เขากล่าวถึงตรงนี้ก็ส่งยิ้มให้ซูโหย่วเหลียง “จิ่งโม่เยี่ยทำลายกองทัพรักษาพระองค์ที่ด้านนอกเมืองหลวงได้ พวกเจ้าคิดว่าจะรักษาเมืองหลวงเอาไว้ได้นานแค่ไหนล่ะ?”ซูโหย่วเหลียงเอ่ยเสียงเย็นชา “อ๋องฉู่เป็นขุนนางกบฏ หลังจากนี้จะมีกองกำลังรักษาพระองค์มาเพิ่มอีก”ปู๋เยี่ยโหวไม่ชอบเวลาที่มีคนพูดอะไรแบบนี้ จึงหัวเราะอย่างเย็นชา “เขาเป็นขุนนางกบฏ? น่าขันจริงๆ!”“ใต้เท้าซูเกรงว่าจะลืมไปแล้ว บัลลังก์มังกรของฮ่องเต้เจาหยวนแย่งชิงมาจากใคร เรื่องนี้คนในราชสำนักเขารู้กันหมดแหละ”“ต่อให้มีกองทัพรักษาพระองค์บุกเข้าเมืองหลวงมาช่วยฮ่องเต้เจาหยวน แต่ใต้เท้าซูลองเดาดูสิ ในกองทัพมีคนมากน้อยแค่ไหนที่เลือกยืนอยู่ฝั่งจิ่งโม่เยี่ย?”ซูโหย่วเหลียงใจสั่นวูบจิ่งโม่เยี่ยเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของอดีตฮ่องเต้ ความสามารถโดดเด่นตั้งแต่เด็ก ในราชสำนักจึงมีคนจำนวนมากที่สนับสนุนเขาเขาอายุสิบสี่ก็ยกทัพไปตีแคว้นหนานเยว่ได้ แล้วยังบุกเข้าไปถึงวังหลวงของแคว้นหนานเยว่ด้วย แม้ฮ่องเต้เจาหยวนจะสั่งปิดข่าว แต่ในกองทัพล้วนทราบเรื่องนี้ดีบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลาย เกือบทั้งหมดเลือกจะยืนฝั่งเดียวกับจิ่งโม่เยี่ย มิฉะนั้นกองทัพรักษาพระองค์
กว่าเขาจะอาการดีขึ้น ก็ได้ยินเรื่องทั้งหมดที่จิ่งโม่เยี่ยทำลงไป เขาจึงเกิดขี้ขลาดขึ้นมาทันทีไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น จิ่งโม่เยี่ยลงดาบได้อย่างว่องไวและคมกริบมาก ยามเขาเชือดใครสักคน ไม่มีลังเลสับสนแม้แต่น้อยเหล่าขุนนางที่ต่อต้านจิ่งโม่เยี่ยหนักที่สุดในราชสำนัก ต่างก็ถูกเขาล้วงหลักฐานการทำผิดออกมาตัดสินโทษแม้ทุกคนจะคิดว่าการกระทำของจิ่งโม่เยี่ยเป็นการทำลายคนที่คิดเห็นต่าง แต่เพราะหลักฐานที่เขานำออกมามีน้ำหนัก คนอื่นจึงไม่กล้าพูดอะไรพวกเขาเป็นขุนนางมานาน ไม่มีใครกล้าพูดหรอกว่ามือตัวเองขาวสะอาดอีกอย่างพวกเขาก็ประจักษ์วิธีการของจิ่งโม่เยี่ยมากับตา หลักฐานพวกนั้นเกรงว่าเขาจะสั่งให้คนรวบรวมเอาไว้นานแล้วไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ทุกวันนี้จิ่งโม่เยี่ยควบคุมเมืองหลวงได้อย่างเบ็ดเสร็จภายในกองทัพก็มีแม่ทัพนายกองจำนวนมากที่สวามิภักดิ์ต่อเขา ประกอบกับอำนาจกองทัพในมือของตัวเอง คาดว่าทหารครึ่งหนึ่งน่าจะอยู่ในมือของเขาจิ่งสือเฟิงเห็นสถานการณ์แบบนี้ก็ได้แต่โง่งมถึงเขาไม่ได้ฉลาดมากนัก แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ ไม่มีทางทำตัวเป็นนกชูหัวหาเรื่องตายหรอกจนป่านนี้แล้วจิ่งสือเฟิ่งเพิ่งจะระลึกเรื่องบางอย่างได้ นั่น
ฉินจื๋อเจี้ยนอยากจะเกลี้ยกล่อมจิ่งโม่เยี่ย พวกเขาเห็นกับตาว่าเฟิ่งชูอิ่งตายไปแล้ว เห็นกับตาว่านางเป็นเพียงศพเย็นชืดจิ่งโม่เยี่ยเห็นกับตาว่าเฉี่ยวหลิงนำร่างของเฟิ่งชูอิ่งใส่โลงศพแล้วขุดดินฝัง ในสถานการณ์แบบนั้น ต่อให้เป็นต้าหลัวจินเซียน[footnoteRef:1]ลงมายังโลกมนุษย์ ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตนางได้อยู่ดี [1: หนึ่งในเทพเจ้าทั้งห้าของลัทธิเต๋า ไม่แก่ไม่ตายเป็นอมตะ] แต่สุดท้ายเขาก็ต้องกลืนคำพูดพวกนั้นกลับเข้าไป เพราะเขารู้ว่าจิ่งโม่เยี่ยพูดแบบนี้ไม่ใช่เพราะคิดว่าเฟิ่งชูอิ่งยังมีชีวิตอยู่ แต่เพราะหวังอยากให้นางมีชีวิตอยู่เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านอ๋องฐานะสูงศักดิ์ ตอนนี้สถานการณ์ของท่านดีกว่าแต่ก่อนทุกอย่าง แต่ก็ชวนกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง”“หากท่านอ๋องมีลูกของตัวเองสักคน ก็จะมีทายาทผู้สืบทอด ตำแหน่งของท่านย่อมมั่นคง”“ตอนนี้ท่านอ๋องไม่มีภรรยาอนุ มิสู้รับอนุภรรยาเข้ามาสักหน่อยล่ะ ท่านอ๋องจะได้มีทายาทสืบสกุล?”จิ่งโม่เยี่ยเข้าใจความคิดของเขา จึงหันไปมองแล้วบอกว่า “เจ้าคิดว่าข้าว่างมากนักหรือไง?”ฉินจื๋อเจี้ยนยิ้มตอบ “ย่อมไม่ใช่แบบนั้น ท่านอ๋องยุ่งจนตัวเป็นเกลียวเลยพ่ะย่ะค่ะ”“แต่เพราะว่าท่านอ๋องยุ่ง
ก่อนหน้านี้เขามัวแต่ไปแก้แค้น ในใจมีเรื่องต้องแบกรับจึงดูสุขุมอยู่บ้างตอนนี้แม้ว่าปู๋เยี่ยโหวจะยังแก้แค้นไม่สำเร็จอย่างแท้จริง ฮ่องเต้เจาหยวนยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็อยู่ไม่ไกลจากความตายนักองครักษ์เงาของฮ่องเต้เจาหยวนกับกองทัพอวี๋ซานคุ้มครองเขาอย่างแน่นหนา ปู๋เยี่ยโหวจึงบุกเข้าวังไปสังหารเขาไม่ได้จิ่งโม่เยี่ยมอบตำแหน่งรองเจ้ากรมของกรมคลังให้ปู๋เยี่ยโหว ตอนรับตำแหน่งใหม่ๆ เขาก็ยังไปทำงานอยู่บ้างเขาเป็นคนที่ฉลาดเป็นกรด จึงโอนย้ายงานของตัวเองไปให้เพื่อนร่วมงานส่วนหนึ่ง ส่วนตัวเองก็ทำงานที่เหลืออยู่จนเสร็จ จากนั้นก็หนีออกไปเที่ยวเล่นสองสามวันก่อนจิ่งโม่เยี่ยมีเรื่องจะปรึกษาแต่หาตัวเขาไม่เจอ หลังจากสั่งสอนเขาไปยกใหญ่ก็สงบเสงี่ยมอยู่สองสามวัน แต่หลังจากนั้นก็กลับมาเหมือนเดิมตอนนี้เขาชักจะอิจฉาปู๋เยี่ยโหวขึ้นมาแล้ว เจ้าหมอนั่นใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปวันๆ เหมือนคนไม่มีหัวใจเขาเอ่ยว่า “ขอแค่เขาทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จสิ้น เขาจะไปไหนก็ช่างเถอะ”สำหรับจิ่งโม่เยี่ย ถึงสายเลือดจะเบาบางแค่ไหน แต่ปู๋เยี่ยโหวก็เป็นญาติเพียงคนเดียวที่เขายอมรับฉินจื๋อเจี้ยนถอนหายใจ “ท่านอ๋องตามใจเขาไปเถอะ ระวังวันหนึ่
จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าในเมืองหลวงมีคนมากมายอยากให้เขาตาย ไม่ว่าใครจะเป็นคนจ้างคนเหล่านี้มา ก็สมควรตายทั้งสิ้น!ห้วงอารมณ์ที่เขากักเก็บเอาไว้ถูกปลดปล่อยออกมาในชั่วพริบตา การปรากฏตัวของคนเหล่านี้กลายเป็นที่ระบายความโกรธแค้นของเขาทว่าพวกคนชุดดำมีจำนวนมากเกินไป จิ่งโม่เยี่ยพาองครักษ์ติดตัวมาด้วยไม่กี่คน แม้พวกเขาจะฝีมือร้ายกาจสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถต้านทานกำลังของคนหมู่มากได้หลางซานเข้ามาคุ้มกันข้างกายจิ่งโม่เยี่ย “ท่านอ๋อง เสด็จหนีเร็วพ่ะย่ะค่ะ!”จิ่งโม่เยี่ยหันไปเห็นว่ามีศพคนชุดดำจำนวนไม่น้อยล้มทับบนหลุมศพของเฟิ่งชูอิ่ง เขาจึงรู้สึกรังเกียจขึ้นมาเล็กน้อยหากพวกคนชุดดำมานอนตายอยู่ตรงนี้ เขากลัวว่าจะเป็นการรบกวนเฟิ่งชูอิ่งทว่าคนชุดดำมีจำนวนมากเกินไป ยิ่งฆ่าก็ยิ่งมาก ศพจึงกองทับถมมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็จะยิ่งรบกวนเฟิ่งชูอิ่งเขาจึงพาพวกหลางซานฝ่าวงล้อมออกไปด้วยใบหน้าดำทะมึนคนชุดดดำพวกนั้นรับคำสั่งเด็ดขาดมา จึงไล่ตามพวกเขาไม่ปล่อยหลางซานกล่าว “ท่านอ๋อง จวนตากอากาศของปู๋เยี่ยโหวอยู่แถวนี้ วันนี้เขาอยู่ในจวนด้วย”ปู๋เยี่ยโหวอยู่ที่นั่นจะต้องมีทหารองครักษ์อยู่ด้วยไม่น้อย ทั้งสองกลุ่มรวมกันอย่างไรก
ปู๋เยี่ยโหวยังแอบมีใจให้เฟิ่งชูอิ่งด้วย ย่อมต้องยอมใจร้ายปิดปากเงียบเป็นความลับตอนนี้จิ่งโม่เยี่ยมาถึงจวนตากอากาศของเขาแล้ว สุดท้ายเรื่องที่เขากลัวก็เกิดขึ้นจริงเขากลัวว่าจิ่งโม่เยี่ยเจอเฟิ่งชูอิ่งแล้วจะเชือดเขาทิ้งเฟิ่งชูอิ่งกระพริบตาปริบๆ “วางใจเถอะ ข้าจะซ่อนตัวอย่างดี เจ้าอย่าหลุดปากก็พอ”ปู๋เยี่ยโหวยิ้ม “ข้าเป็นคนมีไหวพริบดีมาก ไม่มีทางหลุดพิรุธแน่นอน”เฉี่ยวหลิงที่อยู่ข้างๆ กรอกตามองบน หากให้ไล่รายชื่อคนที่สามารถไว้ใจไม่ได้บนโลกใบนี้ ปู๋เยี่ยโหวลำดับที่สอง ก็ไม่มีใครกล้าลำดับหนึ่งแล้วนิสัยของเจ้าสุนัขตัวนี้ จะไม่หลุดปากบอกเบาะแสของเฟิ่งชูอิ่งจริงหรือ?เฟิ่งชูอิ่งโบกมือเบาๆ เฉี่ยวหลิงจึงเข็นเก้าอี้มีล้อของนางเข้าไปในห้องด้านหน้ามีเสียงต่อสู้กันอย่างรุนแรง ปู๋เยี่ยโหวจึงพาคนของตัวเองออกไปช่วยเหลือเฟิ่งชูอิ่งพักรักษาตัวที่นี่เกือบสามเดือนแล้ว แผลที่ขายังไม่หายดีนัก แต่ก็พอจะเดินได้บ้างเพราะก่อนหน้านี้นางใช้คาถาต้องห้าม บาดแผลก็เลยสมานตัวช้ามากๆ แต่นางไม่คาดคิดว่ามันจะช้าถึงเพียงนี้สามเดือนแล้ว นางใช้ชีวิตอยู่ภายในจวนตากอากาศตลอด อย่างไรก็ต้องมีเบื่อบ้างเหมยตงยวนมักจะออกไปข้า
นางกล่าวถึงตรงนี้ก็แบมือ “น่าเสียดายที่เขาไม่ได้เป็นแบบนั้น!”ก่อนหน้านี้นางเคยคำนวณดวงชะตาให้เขา ชะตาชีวิตของคนแบบนั้นพิเศษมากเกินไป ไม่มีทางตายง่ายๆ หรอกวิชาของนางจะสูงส่งแค่ไหน แค่ฝีมือของนางก็ใช้เพื่อกำจัดสิ่งชั่วร้ายเป็นหลัก ไม่ใช่เพื่อทำร้ายใครเฉี่ยวหลิงได้ยินแบบนั้นก็รู้ว่านางพูดล้อเล่น จึงหัวเราะออกมา “ก็จริงเจ้าค่ะ”ระหว่างที่สองคนคุยกัน กลับมีคนชุดดำเปิดหน้าต่างแล้วแทรกตัวเข้ามาวันนี้คนชุดดำที่มาสังหารจิ่งโม่เยี่ยมีจำนวนเยอะมาก พอพวกเขาเข้ามาในจวนของปู๋เยี่ยโหวแล้ว พวกคนชุดดำก็ไล่ตามเข้ามาทันทีคนส่วนมากมุ่งหน้าไปที่เรือนด้านหน้า มีเพียงจำนวนน้อยที่อ้อมมาจวนด้านหลังพวกเขาอยากจะจับตัวคนข้างในไปข่มขู่ปู๋เยี่ยโหว ไม่ให้ปู๋เยี่ยโหวสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของจิ่งโม่เยี่ยคนชุดดำที่เข้ามาข้างในห้องมีจุดประสงค์เช่นนี้เขามองไม่เห็นเฉี่ยวหลิง พอเข้ามาถึงก็เห็นเฟิ่งชูอิ่งนั่งอยู่คนเดียวนางหน้าตางดงามมาก ดูอย่างไรก็เหมือนคนรักของปู๋เยี่ยโหวเขายิ้มแล้วเอ่ย “คนงามไม่ต้องกลัว ขอแค่เจ้ายอมร่วมมือด้วย ข้าจะไม่ทำอะไรเจ้า”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มตอบ “หากข้าไม่ยอมร่วมมือล่ะ?”คนชุดดำเอ่ยเสียงเย็น
องครักษ์ของเขาพกยาสมานแผลติดตัวเสมอถึงเขาจะบาดเจ็บเล็กน้อยก็เป็นแผลภายนอกทั้งหมด ไม่อันตรายเขากล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว หากปู๋เยี่ยโหวยังไม่ยอมให้เขาพักที่นี่จะดูมีพิรุธเกินไปปู๋เยี่ยโหวจึงเอ่ยว่า “ถ้าเจ้าไม่รังเกียจจวนโกโรโกโสของข้าก็ตามสบายเลย”จิ่งโม่เยี่ยหันมองไปรอบๆ “จวนของเจ้าหรูหรากว่าจวนของข้าเสียอีก ข้าจะไปรังเกียจได้อย่างไร?”ปู๋เยี่ยโหวใช้ชีวิตเสพสุข แม้จวนหลังนี้จะไม่ได้หรูหราอย่างถึงที่สุด แต่ก็ดีกว่าจวนหลายๆ แห่งในเมืองหลวงปู๋เยี่ยโหวยิ้ม “เจ้าก็พูดเกินความจริงไป”เขากล่าวจบก็เรียกพ่อบ้าน บอกให้เขาจัดการพาพวกจิ่งโม่เยี่ยไปพักจิ่งโม่เยี่ยกลับบอกว่า “ข้ามาถึงก็แย่งที่พักของเจ้าเลยคงไม่ดีเท่าไหร่ เรือนหลังจวนเจ้ายังว่าง ข้าไปพักที่นั่นก็ได้”ปู๋เยี่ยโหว “!!!!!!”เฟิ่งชูอิ่งอยู่ที่นั่น หากจิ่งโม่เยี่ยไปทางนั้นก็งานเข้าน่ะสิ!สองคนนี้จะรสนิยมตรงกันเกินไปแล้วเขารีบห้าม “ตรงนั้นเกรงว่าจะไม่เหมาะ.....”จิ่งโม่เยี่ยถาม “ทำไมถึงไม่เหมาะ?”ปู๋เยี่ยโหวทำหน้าเหมือนอับอาย “ท่านอ๋องก็รู้ว่าข้าชมชอบสตรีงาม ที่นั่นมีหญิงงามของข้าอยู่”“ถึงพวกเราจะเป็นพี่น้องกัน แต่สตรีคงไม่อาจแบ่งปันร่วม