นางกล่าวถึงตรงนี้ก็แบมือ “น่าเสียดายที่เขาไม่ได้เป็นแบบนั้น!”ก่อนหน้านี้นางเคยคำนวณดวงชะตาให้เขา ชะตาชีวิตของคนแบบนั้นพิเศษมากเกินไป ไม่มีทางตายง่ายๆ หรอกวิชาของนางจะสูงส่งแค่ไหน แค่ฝีมือของนางก็ใช้เพื่อกำจัดสิ่งชั่วร้ายเป็นหลัก ไม่ใช่เพื่อทำร้ายใครเฉี่ยวหลิงได้ยินแบบนั้นก็รู้ว่านางพูดล้อเล่น จึงหัวเราะออกมา “ก็จริงเจ้าค่ะ”ระหว่างที่สองคนคุยกัน กลับมีคนชุดดำเปิดหน้าต่างแล้วแทรกตัวเข้ามาวันนี้คนชุดดำที่มาสังหารจิ่งโม่เยี่ยมีจำนวนเยอะมาก พอพวกเขาเข้ามาในจวนของปู๋เยี่ยโหวแล้ว พวกคนชุดดำก็ไล่ตามเข้ามาทันทีคนส่วนมากมุ่งหน้าไปที่เรือนด้านหน้า มีเพียงจำนวนน้อยที่อ้อมมาจวนด้านหลังพวกเขาอยากจะจับตัวคนข้างในไปข่มขู่ปู๋เยี่ยโหว ไม่ให้ปู๋เยี่ยโหวสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของจิ่งโม่เยี่ยคนชุดดำที่เข้ามาข้างในห้องมีจุดประสงค์เช่นนี้เขามองไม่เห็นเฉี่ยวหลิง พอเข้ามาถึงก็เห็นเฟิ่งชูอิ่งนั่งอยู่คนเดียวนางหน้าตางดงามมาก ดูอย่างไรก็เหมือนคนรักของปู๋เยี่ยโหวเขายิ้มแล้วเอ่ย “คนงามไม่ต้องกลัว ขอแค่เจ้ายอมร่วมมือด้วย ข้าจะไม่ทำอะไรเจ้า”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มตอบ “หากข้าไม่ยอมร่วมมือล่ะ?”คนชุดดำเอ่ยเสียงเย็น
องครักษ์ของเขาพกยาสมานแผลติดตัวเสมอถึงเขาจะบาดเจ็บเล็กน้อยก็เป็นแผลภายนอกทั้งหมด ไม่อันตรายเขากล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว หากปู๋เยี่ยโหวยังไม่ยอมให้เขาพักที่นี่จะดูมีพิรุธเกินไปปู๋เยี่ยโหวจึงเอ่ยว่า “ถ้าเจ้าไม่รังเกียจจวนโกโรโกโสของข้าก็ตามสบายเลย”จิ่งโม่เยี่ยหันมองไปรอบๆ “จวนของเจ้าหรูหรากว่าจวนของข้าเสียอีก ข้าจะไปรังเกียจได้อย่างไร?”ปู๋เยี่ยโหวใช้ชีวิตเสพสุข แม้จวนหลังนี้จะไม่ได้หรูหราอย่างถึงที่สุด แต่ก็ดีกว่าจวนหลายๆ แห่งในเมืองหลวงปู๋เยี่ยโหวยิ้ม “เจ้าก็พูดเกินความจริงไป”เขากล่าวจบก็เรียกพ่อบ้าน บอกให้เขาจัดการพาพวกจิ่งโม่เยี่ยไปพักจิ่งโม่เยี่ยกลับบอกว่า “ข้ามาถึงก็แย่งที่พักของเจ้าเลยคงไม่ดีเท่าไหร่ เรือนหลังจวนเจ้ายังว่าง ข้าไปพักที่นั่นก็ได้”ปู๋เยี่ยโหว “!!!!!!”เฟิ่งชูอิ่งอยู่ที่นั่น หากจิ่งโม่เยี่ยไปทางนั้นก็งานเข้าน่ะสิ!สองคนนี้จะรสนิยมตรงกันเกินไปแล้วเขารีบห้าม “ตรงนั้นเกรงว่าจะไม่เหมาะ.....”จิ่งโม่เยี่ยถาม “ทำไมถึงไม่เหมาะ?”ปู๋เยี่ยโหวทำหน้าเหมือนอับอาย “ท่านอ๋องก็รู้ว่าข้าชมชอบสตรีงาม ที่นั่นมีหญิงงามของข้าอยู่”“ถึงพวกเราจะเป็นพี่น้องกัน แต่สตรีคงไม่อาจแบ่งปันร่วม
แต่ปู๋เยี่ยโหวรู้ว่ายิ่งเขาพยายามขัดขวางจิ่งโม่เยี่ยมากเท่าไหร่ จิ่งโม่เยี่ยก็ยิ่งอยากไปดูมากเท่านั้นดังนั้นเขาจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “หายากนะที่เจ้าจะรู้สึกสนใจสตรีคนอื่นนอกจากเฟิ่งชูอิ่ง”“ในเมื่อเป็นแบบนั้น ข้าก็พร้อมจะตัดใจแบ่งปันให้เจ้าชื่นชม”“อีกเดี๋ยวหากเห็นนางแล้วชื่นชอบ ข้าจะยกนางให้เจ้าเลย”พอกล่าวจบ จิ่งโม่เยี่ยก็หยุดฝีเท้าทันทีปู๋เยี่ยโหวดันตัวเขา “มา มา มา ไปดูสาวงามกัน!”จิ่งโม่เยี่ยได้ยินคำพูดที่ไม่รักษาท่าทีกิริยาเช่นนั้น จึงมองเขาอย่างรังเกียจ "ข้าไม่ได้วิปริตเหมือนเจ้า"เขากล่าวจบก็เดินกลับไปนั่งปู๋เยี่ยโหวถอนหายใจโล่งอกในใจ มือมีเหงื่อซึม แต่ยังคงยิ้มพลางกล่าวว่า "นี่ไม่ใช่ความวิปริตสักหน่อย!""ข้าแค่รู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่แบบเจ้านั้นช่างเหนื่อยล้า อยากให้เจ้าผ่อนคลายบ้าง""จากประสบการณ์ของข้า วิธีที่ดีที่สุดในการลืมผู้หญิงคนหนึ่ง ก็คือการมีผู้หญิงข้างกายเยอะๆ"จิ่งโม่เยี่ยไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ของเขา จึงพูดเสียงเรียบว่า "เจ้าเองก็เหนื่อยแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ"ปู๋เยี่ยโหวยิ้มพลางกล่าว "ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่นี่"จิ่งโม่เยี่ยจ้องมองเขาแล้วบอกว่า “อย่าบังคับให้ข้าต้
ในช่วงหลังมานี้ เฉี่ยวหลิงได้ฝึกฝนกับนาง รวมถึงได้รับคำแนะนำจากเหมยตงยวนด้วย ทำให้ตอนนี้นางเก่งขึ้นกว่าเดิมมากความสามารถในการแปลงร่างของนางก็ดีขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้นางไม่ได้ทำลูกตาหรือคางหลุดบ่อยๆ เหมือนแต่ก่อนแล้วเมื่อนางเดินไปถึงประตู นางก็แปลงร่างเป็นหญิงงามที่แสนจะยั่วยวนนางยิ้มอย่างเย้ายวน "เชิญนายท่านเข้ามาเจ้าค่ะ!"แม้ว่าปู๋เยี่ยโหวจะรู้ว่านั่นคือเฉี่ยวหลิง แต่เขาก็ตกใจมากจนไม่กล้าเดินเข้าข้างในไปเลยเฉี่ยวหลิงหัวเราะคิกคักพลางยกมือปิดปาก ก่อนจะลากตัวปู๋เยี่ยโหวเข้าไป "นายท่านมาแล้ว คืนนี้อย่าคิดจะไปไหนนะเจ้าคะ!"ปู๋เยี่ยโหว: "......"ช่วยด้วย!ตอนนี้เขาอยากเผชิญหน้ากับจิ่งโม่เยี่ยมากกว่าอีก!แต่เฉี่ยวหลิงรีบลากเขาเข้าไปอย่างรวดเร็วแล้วปิดประตูเสียงดัง เขาจึงไม่มีที่ให้หนีไปไหนได้องครักษ์ที่ประตูเห็นสถานการณ์แบบนี้ก็หัวเราะเบาๆ เขาไม่มีนิสัยชอบแอบฟัง แค่ขอให้ปู๋เยี่ยโหวปลอดภัยก็พอ เขาจึงหันหลังและเดินจากไปแต่พอเขาเข้าไปข้างใน เฉี่ยวหลิงก็ทำท่าจะต่อยเขา เขารีบพูด "ข้าจำเป็นนะ!"เฉี่ยวหลิงจ้องเขา เขาจึงพูดต่อว่า "เดี๋ยวข้าจะเอาของอร่อยๆ มาให้เยอะๆ!"ช่วงนี้ปู๋เยี่ย
ปู๋เยี่ยโหวหัวเราะเบาๆ ช่างนี้พวกเขามักจะใช้เวลาร่วมกันแบบนี้ตลอด ตอนแรกเขาถูกเฉี่ยวหลิงทุบตีอยู่บ่อยๆ แต่พักหลังมานี้เขาเริ่มจะโดนน้อยลงแล้วเขาคิดว่าการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ น่าจะเพราะเฟิ่งชูอิ่งยอมรับตนเองเป็นคนสนิทแล้วนางอาจจะยังไม่ได้เปลี่ยนใจมาชอบเขา แต่อย่างน้อยนางก็ไม่ได้เกลียดเขาเขายิ้ม “ข้าไม่ได้อยากโดนตีนะ ข้าแค่พูดตามความจริงเอง”เขากล่าวจบก็บอกว่า “ข้าถูกจิ่งโม่เยี่ยไล่มาจากทางโน้น ตอนนี้เจ้าจะไล่ข้ากลับออกไปไม่ได้”“คินนี้ข้าจะต้องนอนที่นี่ไปก่อน เจ้าอย่าให้เฉี่ยวหลิงทุบตีข้าเลย!“เฟิ่งชูอิ่งอยู่กับปู๋เยี่ยโหวมานาน จึงเริ่มเข้าใจนิสัยของเขาเจ้าหมอนี่เป็นพวกอยู่นิ่งไม่เป็น ชอบขยันหาเรื่องวุ่นวาย แล้วยังคารมคมคายมากเสียด้วยแต่เขาก็รู้จักประมาณตน ไม่ทำอะไรที่เกินควรทำเขามีขอบเขตของตัวเอง ไม่ทำให้คนอื่นรำคาญคนแบบนี้ ถ้าเป็นสหายก็นับว่าดีทีเดียวแต่เขาก็แสดงความรู้สึกที่มีต่อนางอย่างชัดเจน ทำให้นางรู้สึกลำบากใจตอนนี้นางหวังแค่ว่านางเอกในนิยายจะรับเขาไว้พิจารณา แล้วพวกเขาก็จะได้เป็นเพื่อนกันดีๆพอคิดถึงเรื่องนี้ นางก็นึกขึ้นได้ว่านางเอกในนิยายน่าจะมาถึงเมืองหล
“เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจเลย มีข้าอยู่ตรงนี้ทั้งคน ไม่มีใครรังแกเจ้าได้หรอก”เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกว่าเขาจับประเด็นสำคัญผิดไปเล็กน้อย นางจึงเหลือบมองเขาแล้วเอ่ยว่า “ช่างเถอะ เจ้าดีใจก็พอแล้ว”ตอนแรกนางคิดจะให้เขาไปนอนที่ห้องข้างๆ สักคืน แต่หลังจากลองใคร่ครวญสักพัก หากนางพูดแบบนั้นออกไปจริงๆ เขาจะต้องหลงคิดไปเองอีกแน่ๆ ในเมื่อเป็นแบบนั้น ก็เมินเขาไปเลยจะดีกว่านางไม่สนใจเขา แต่เฉี่ยวหลิงกลับไม่ยอมให้เขาอยู่ในห้องเดียวกันกับนาง ไล่ตะเพิดเขาไปยังห้องที่อยู่ติดกัน จากนั้นก็ยัดผ้านวมผืนบางให้เขาหนึ่งผืนถึงปู๋เยี่ยโหวจะถูกไล่ตะเพิดออกไป แต่เขาก็ดูไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยหลังจากเขาสงบใจลงสักพักก็เริ่มใคร่ครวญถึงความหมายของคำพูดที่เฟิ่งชูอิ่งกล่าวเมื่อครู่นี้คนจากแคว้นซีฉู่อย่างนั้นหรือ?นางต้องการให้เขาทำอะไรกันแน่?แคว้นซีฉู่ตั้งอยู่ติดชายแดนของทิศตะวันตก ห่างไกลจากเมืองหลวงมาก พวกเขาดั้นด้นเดินทางรอนแรมมาไกลถึงเพียงนี้จะต้องมีจุดประสงค์บางอย่างแน่มารดาของเฟิ่งชูอิ่งก็เคยเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นซีฉู่ ทว่าสุดท้ายก็เกือบจะถูกเผาตายทั้งเป็นเพราะตั้งครรภ์ เรื่องนี้หากมองจากมุมของปู๋เยี่ยโหวแล
เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะเบาๆ แล้วรับก้อนน้ำตาลมาอมไว้ในปากเฉี่ยวหลิงเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็เอ่ยถามว่า “คุณหนู ท่านนอนไม่หลับเพราะเจ้าจิ่งโม่เยี่ยคนนั้นใช่หรือไม่?”เฟิ่งชูอิ่งก็ไม่คิดปิดบังนาง “ใช่แล้วล่ะ ข้าไม่คิดฝันเลยว่าวันนี้เขาจะมา”“พอเขามาถึง ข้าก็อดคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่ได้”เฉี่ยวหลิงเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าไม่ชอบขี้หน้าเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเขา คุณหนูก็คงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะเบาๆ “หากไม่ใช่เพราะเขา ท่านพ่อของข้าก็คงจะหลุดออกมาไม่ได้”“ช่วงที่ผ่านมานี้ ข้าใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างสงบสุขมาก เป็นประสบการณ์ที่หายากมากเลยล่ะ แล้วมันก็มิเลวเลย”เฉี่ยวหลิงมองนางด้วยสายตาเป็นห่วง นางจึงตอบพร้อมรอยยิ้มในแววตา “เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้าสบายดีมาก”“ตอนนี้ข้าเริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้วล่ะ เจ้าประคองข้าไปที่เตียงเถอะ!”เฉี่ยวหลิงตอบรับเบาๆ หนึ่งคำเฟิ่งชูอิ่งเอนตัวนอนบนเตียงแล้วแหงนหน้ามองเพดาน ส่งยิ้มเย้ยหยันให้ตัวเอง จากนั้นจึงปิดเปลือกตาลงเพื่อนอนหลับในขณะเดียวกัน จิ่งโม่เยี่ยที่อยู่เรือนด้านหน้ายังไม่ได้เข้านอน ข้างกายเขามีทหารองครักษ์สองสามคนกำลังเอ่ยรายงานเรื่องที่เกิดข
เฟิ่งชูอิ่งถอนหายใจเบาๆ ถือว่านางยังเก็บเรื่องนี้เป็นความลับได้ชั่วคราวจิ่งโม่เยี่ยเดินเล่นอยู่ภายในจวนตากอากาศเกือบครึ่งคืน จนกระทั่งรู้สึกเหนื่อยสุดขีดถึงได้กลับห้องไปงีบหลับช่วงสั้นๆ ฟ้าเพิ่งสาง จิ่งโม่เยี่ยก็พาองครักษ์ทั้งหมดออกจากจวน ไม่แม้แต่จะปลุกปู๋เยี่ยโหวขึ้นมาตอนที่ปู๋เยี่ยโหวตื่นขึ้นมาก็พบว่าจิ่งโม่เยี่ยจากไปเรียบร้อยแล้ว เขาจึงรู้สึกเบิกบานใจอย่างยิ่ง “ในที่สุดก็ไปเสียที ทำเอาข้าตกใจแทบแย่!”เหมยตงยวนที่กลับมาถึงแล้วจึงเอ่ยถามว่า “เมื่อคืนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมแถวนี้ถึงมีแต่วิญญาณเต็มไปหมด?”ศพของมือสังหารเหล่านั้นถูกองครักษ์จัดการเรียบร้อยไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ภายในจวนตากอากาศไม่มีเลือดให้เห็นสักหยดทว่าพวกองครักษ์จัดการได้เพียงซากศพและทำความสะอาดเลือด ไม่สามารถจัดการวิญญาณของคนตายเหล่านั้นได้ตอนที่เหมยตงยวนกลับมาถึงก็พบวิญญาณเร่ร่อนอยู่ทั่วจวน จึงทราบว่าต้องเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นปู๋เยี่ยโหวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้เขาฟังแบบคร่าวๆ เหมยตงยวนพลันขมวดคิ้ว เอ่ยถามเสียงเย็นชาว่า “เขาช่างเลือกมาได้ถูกเวลาเสียจริง นับว่าเขายังโชคดี!”เขารับปากเฟิ่งชูอิ่งว่าจ