ใครกล้ารังแกเฟิ่งชูอิ่ง เขาจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้เป็นผู้เป็นคนเอง!หากพูดให้ถูกจุดอีกหน่อย เขาจะฆ่าพวกมันให้ตาย แล้วสั่งสอนว่าควรจะเป็นผีอย่างไร!เฉี่ยวหลิงเห็นจิตสังหารพลุ่งพล่านรุนแรงของเขา แต่ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เขากล่าวออกมาหมายถึงอะไรแล้วนางก็ไม่กล้าถามด้วยโชคดีที่ตอนนี้น้ำร้อนต้มเสร็จแล้ว นางจึงปลุกเฟิ่งชูอิ่งให้ไปอาบน้ำตอนนี้กล้ามเนื้อของเฟิ่งชูอิ่งยังแข็งเกร็งอยู่บางส่วน ส่วนข้อต่อไม่สามารถหักงอได้ จึงไม่สามารถเดินด้วยตัวเองและต้องให้เฉี่ยวหลิงอุ้มนางเข้าไปพอนางเข้ามาด้านในแล้ว เหมยตงยวนก็มองนางแล้วบอกว่า “มีข้าอยู่ตรงนี้ หลังจากนี้ไปจะไม่มีใครรังแกเจ้าได้”เฟิ่งชูอิ่งยังสะลึมสะลืออยู่ สมองตอบสนองได้ไม่รวดเร็วเท่าตอนปกติ นางจึงไม่รู้จะตอบกลับอีกฝ่ายอย่างไร เพียงปรือตามองเขาอย่างงุนงง “หา?”เหมยตงยวนไม่ได้พูดอะไรอีก เขาหมุนตัวเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งจึงงุนงงกว่าเดิม นางหันไปถามเฉี่ยวหลิง “เขาเป็นอะไรไป?”เฟิ่งชูอิ่งตอบ “ข้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งหมดให้เขาฟังเจ้าค่ะ เขาดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจนิดหน่อย”นางหันมองแผ่นหลังของเหมยตงยวน “เขาอาจจะโกรธไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ”เฟิ่งชูอิ
เหมยตงยวนเป็นวิญญาณร้ายที่บำเพ็ญมาสิบกว่าปี จึงเข้าสู่มรรคาวิญญาณไปแล้วแล้วเขายังแข็งแกร่งยิ่งกว่าเฉี่ยวหลิงอีก สิ่งที่ต่างจากเฉี่ยวหลิงคือเขาสามารถวาดยันต์เองได้ แล้วก็สามารถควบคุมรูปลักษณ์ของตัวเองได้ด้วย อยากปรากฏให้ใครเห็นก็ทำได้เลยเขายืนเต็มความสูงก้มมองปู๋เยี่ยโหวโดยไม่พูดไม่จา ก่อนจะยื่นมือไปกระชากผมของปู๋เยี่ยโหว ก่อนกดศีรษะเขาลงไปในน้ำปู๋เยี่ยโหว “!!!!!!”ความทรงจำเกี่ยวกับเหมยตงยวนฝังลึกในใจของเขา เพราะว่าคืนที่บิดาของเขาถูกคนฆ่าตาย เหมยตงยวนอยู่ข้างกายเขาตลอดเวลาดังนั้นแม้เหมยตงยวนจะดูเย็นชาในสายตาของเขา แต่กลับดูเป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาได้ด้วยทว่าตอนนี้ผู้ใหญ่ที่พึ่งพาได้คนนั้นกลับจับหัวเขากดถังอาบน้ำ มันจะแตกต่างจากเดิมมากเกินไปแล้ว!ปู๋เยี่ยโหวพยายามดิ้นรนสุดชีวิต เหมยตงยวนกลับไม่สะทกสะท้าน ตอนที่เขารู้สึกว่าปู๋เยี่ยโหวใกล้จะขาดอากาศตาย ก็กระชากศีรษะอีกฝ่ายขึ้นมาปู๋เยี่ยโหวสูดหายใจอย่างเอาเป็นเอาตาย คิดจะพูดอะไรบางอย่าง กลับถูกเหมยตงยวนจับกดลงไปในน้ำอีกครั้งปู๋เยี่ยโหว “!!!!!!”เขาคิดว่าเหมยตงยวนน่าจะเป็นบ้าไปแล้ว!สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือเขาไม่สามารถตอบโต้อีกฝ่ายได้!ห
เหมยตงยวนพลันหรี่ตาลงเล็กน้อย วันนี้เขาได้ยินเรื่องที่จิ่งโม่เยี่ยรังแกเฟิ่งชูอิ่งเป็นครั้งที่สองแล้วก่อนเขาตาย นอกจากจะรู้จักจิ่งโม่เยี่ยแล้วยังเคยพบเจออยู่หลายครั้งด้วย เรียกได้ว่าค่อนข้างคุ้นเคยเชียวล่ะตอนนั้นจิ่งโม่เยี่ยแม้จะมีฐานะสูงศักดิ์ ไม่สามารถเข้าใกล้สนิทสนมได้ แต่หากมองภาพรวมของอีกฝ่าย ก็ถือว่าเป็นเด็กหนุ่มที่เฉลียวฉลาดรู้จักวางตัวแต่วันนี้ไม่ว่าเฉี่ยวหลิงหรือปู๋เยี่ยโหวก็ฟ้องเป็นเสียงเดียวกันว่าจิ่งโม่เยี่ยรังแกเฟิ่งชูอิ่ง ซึ่งนิสัยของอีกฝ่ายแตกต่างจากเด็กหนุ่มในยามนั้นมากเขาจึงถามปู๋เยี่ยโหว “เขารังแกชูอิ่งอย่างไรบ้าง?”ตอนแรกปู๋เยี่ยโหวคิดจะซื้อใจเหมยตงยวนมาเป็นพวกเดียวกัน แต่หลังจากถูกเหมยตงยวนสั่งสอน เขาในตอนนี้จึงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นการใส่ร้ายจิ่งโม่เยี่ยแทนเรื่องที่เกิดขึ้นจริงมีเพียงสามส่วน แต่เขากลับใส่สีตีไข่จนเรื่องราวร้ายแรงถึงสิบส่วนปู๋เยี่ยโหวถึงขั้นบอกว่า “ขาของชูอิ่งหักเพราะเขาทำ!”“หากไม่ใช่เพราะเขา ชูอิ่งคงไม่ถูกเจ้าเทียนซือนั่นรังแกถึงเพียงนี้หรอก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ถูกเกือบไฟคลอกตาย ต้องใช้วิชาต้องห้ามรักษาชีวิตตัวเอง”ระหว่างที่เขาเล่าก็แอบคิดใน
ปู๋เยี่ยโหว “!!!!!!”อ๊าก อ๊าก อ๊าก! คนอื่นเอาแต่บอกว่าเขาเป็นบ้า เขาสิบคนรวมกันยังไม่บ้าเท่าเหมยตงยวนเลยไม่พูดไม่จาก็กระชากหัวคนจับกดน้ำแบบนี้ มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว!เหมยตงยวนจับเขากดน้ำอยู่นานมากทีเดียว จนกระทั่งเขารู้สึกว่าหายใจไม่ออกจริงๆ ถึงได้ยอมปล่อยมือเขาได้ยินเสียงของเหมยตงยวนลอยมาว่า “คิดจะแต่งชูอิ่ง? เจ้าคู่ควรหรือไง!”ปู๋เยี่ยโหว “......”เขาคิดว่าตนเองก็มิเลวเลยนะ ไม่ได้ย่ำแย่แบบที่เหมยตงยวนพูดสักหน่อยแต่พอเขาสบตากับดวงตาที่เย็นชาของเหมยตงยวน เขาก็กลืนคำพูดทั้งหมดลงไปทันทีเพราะเขารู้ว่าหากหลุดปากเถียงออกไปแม้แต่ประโยคเดียว เหมยตงยวนได้ใช้กระบี่เชือดเขาแน่หรือบางทีในสายตาของตาแก่คนนี้ อาจจะไม่มีใครคู่ควรกับลูกสาวของเขาเลยก็ได้เหมยตงยวนเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เก็บความคิดที่เจ้ามีต่อชูอิ่งเสีย เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้หากเจ้ากล้าแพร่งพรายแม้แต่คำเดียว ข้าจะมาเอาชีวิตของเจ้า”ปู๋เยี่ยโหวรีบตอบ “ท่านลุงเหมยสบายใจได้ เรื่องที่ชูชูตายแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมา ข้าจะไม่มีวันแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด”“แต่เจ้าอารามของอารามเทียนอี้คนนั้น คืนนี้เขาก็เป็นพยานรู้เห็นเหตุการณ์ด้วย เขาอาจจะไม่ย
ตอนที่ปู๋เยี่ยโหวเดินทางออกไป ฝนด้านนอกหยุดตกเรียบร้อยแล้ว แต่ความชื้นในอากาศทำให้มีสีขาวนวลปรากฏตรงเส้นขอบฟ้าเขานึกขึ้นได้ว่าจิ่งโม่เยี่ยยังไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเฟิ่งชูอิ่งเลย มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มบางๆเขาแอบคาดหวังให้เหมยตงยวนไปหาเรื่องจิ่งโม่เยี่ยอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าถ้าเป็นแบบนั้นจิ่งโม่เยี่ยจะรับมือไหวหรือไม่ทว่าเส้นทางกลับเมืองหลวงของปู๋เยี่ยโหวนับว่าราบรื่นไม่น้อย เขาบังเอิญผ่านมาเห็นกองกำลังของจิ่งโม่เยี่ยปะทะกับกองกำลังเสริมของฮ่องเต้เจาหยวนพอดีปู๋เยี่ยโหวเห็นสถานการณ์แบบนั้นก็พลันฮึกเหิม เขาตระหนักดีว่าการที่บุกเข้าหากองทัพนับหมื่นพันเพียงลำพังไม่ต่างกับการหาเรื่องตาย มิฉะนั้นเขาคงจะบุกเข้าไปร่วมวงด้วยแล้วปู๋เยี่ยโหวใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนจะอ้อมไปด้านหลังกองทัพหนุน ไล่สังหารทหารภายในกองทัพคนหนึ่ง แล้วเปลี่ยนไปสวมชุดของคนตาย แฝงตัวปะปนเข้าไปในกองทัพตอนนี้กองกำลังทั้งสองแห่งปะทะกันจนดูไม่ออกว่าใครฆ่าใคร ปู๋เยี่ยโหวฝีมือยอดเยี่ยมมาก เขาแฝงตัวอยู่ในกองทัพโดยไม่มีใครสังเกตเห็นเลยเขาแอบลอบเข้าไปใกล้ผู้นำทัพของฝ่ายตรงข้าม เพราะว่าสถานการณ์สู้รบกำลังดุเดือด เขาจึงไม่เป็นที่สะด
ปู๋เยี่ยโหว “......”เขายกมือเกาจมูกเบาๆ เอ่ยด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ!”จิ่งโม่เยี่ยรู้สึกปวดหัว แต่กลับรู้สึกว่าการกระทำของปู๋เยี่ยโหวผิดแผกเกินไป จึงเอ่ยถามว่า “ทำไมเจ้าถึงออกจากวังหลวงกะทันหัน?”“อย่าตอแหลด้วยการบอกว่าเจ้าไปพบหน้าเฟิ่งชูอิ่งเป็นครั้งสุดท้าย เหตุผลนี้ข้าเชื่อไม่ลง”หากปู๋เยี่ยโหวอยากพบหน้าเฟิ่งชูอิ่งเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ เขาคงไม่ออกไปกะทันหันกลางดึกหรอก เขาคงปรี่ไปตั้งแต่ตอนที่รู้ว่านางเกิดเรื่องขึ้นในจวนอ๋องฉู่แล้วเมื่อคืนนี้จะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นแน่นอน ปู๋เยี่ยโหวถึงได้รีบร้อนออกไปกลางดึกปู๋เยี่ยโหวยกนิ้วโป้งให้จิ่งโม่เยี่ย “ปิดบังเจ้าไม่ได้จริงๆ สินะ”“ความจริงแล้ววันนี้เจ้าอารามหลบหนีออกมาจากข้างในวัง ในคืนนั้น คงที่ลงมือฆ่าบิดาของข้าก็คือเขา”จิ่งโม่เยี่ยจ้องมองเขา เขาจึงเอ่ยต่อโดยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน “ตอนแรกข้าจับตัวเขาได้แล้ว คิดไม่ถึงว่าไอ้แก่หัวล้านนั่นจะลูกไม้เยอะไม่เบา ถึงได้หนีจากเงื้อมมือข้าไปได้”“หลังจากเขาหนีไปข้าก็เลยออกตามล่า แต่กลับตามจับกลับมาไม่ได้”“ข้าเป็นห่วงเรื่องทางฝั่งวังหลวงก็เลยย้อนกลับมาดู บังเอิญเจอเจ้ากำ
เมื่อคืนเหมยตงยวนทราบแล้วว่าจิ่งโม่เยี่ยเป็นคนทำให้เฟิ่งชูอิ่งขาหัก เขาจึงอยากมาดูอาการสักหน่อยแต่เพราะเขายังไม่เคยอยู่ร่วมกับเฟิ่งชูอิ่ง ไม่รู้ว่าพ่อกับลูกสาวควรจะปฏิบัติต่อกันอย่างไร แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะใช้เหตุผลอะไรมาขอดูแผลที่ขาของนางตอนที่เขาได้ยินเฟิ่งชูอิ่งคุยกับเฉี่ยวหลิงเรื่องแผลที่ขา เขาจึงใช้โอกาสนี้เดินเข้ามาขอดูขาของนางเพราะนางใช้วิชาต้องห้ามไปก่อนหน้านี้ กอปรกับไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ขาของนางในยามนี้จึงบวมเป่งและเป็นสีม่วงช้ำ ดูแล้วน่ากลัวอย่างมากตอนที่นางตกจากกำแพงก็ขาหักแล้ว ตอนที่สู้กับเทียนซือจึงบาดเจ็บหนักยิ่งกว่าเดิม เมื่อคืนนี้ยังถูกปู๋เยี่ยโหวเหยียบซ้ำอีก อาการของนางในตอนนี้จึงสาหัสมากจริงๆและเพราะใช้วิชาต้องห้าม การฟื้นฟูของนางจึงเชื่องช้ากว่าอาการขาหักในยามปกติมากบาดแผลของนางไม่ใช่สิ่งที่หมอทั่วไปจะรักษาได้เหมยตงยวนไม่พูดไม่จา ใช้มือประสานคาถาแล้วลูบผ่านขาของนางเบาๆ ช่วยนางทำลายอาคมต้องห้ามที่ยังหลงเหลืออยู่บนขาเขาเคยร่ำเรียนศาสตร์แพทย์มาบ้าง จึงพอจะมีทักษะด้านการรักษาเขาตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเฟิ่งชูอิ่งอย่างละเอียด “เจ้าต้องเชื่อมกระดูก อาจจะเจ็
เขาอยากได้ยินเฟิ่งชูอิ่งเอ่ยเรียกเขาว่าพ่ออีก แต่เขากลับรู้สึกว่าการร้องขอแบบนั้นคงไม่เหมาะสักเท่าไหร่เขาจึงเอ่ยว่า “หลังจากนี้ไปข้าจะปกป้องเจ้าเอง”เฟิ่งชูอิ่งส่งยิ้มบางๆ ให้เขา “ข้ารู้อยู่แล้ว”“ก่อนหน้านี้พวกเขาบอกว่าบิดามารดาของข้าตายหมดแล้ว ไม่มีใครปกป้องข้าได้ แต่ข้ารู้ว่าตอนที่พวกท่านยังมีชีวิตอยู่จะต้องรักข้ามากแน่ๆ”“พวกท่านพยายามทำทุกอย่างเพื่อทิ้งของที่ดีที่สุดเอาไว้ให้ข้า”เหมยตงยวนได้ยินแบบนั้นก็ปวดแปลบในใจ เขาเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าไม่สมควรเป็นพ่อคนเลยสักนิด ข้าติดค้างเจ้ากับแม่ของเจ้ามากเหลือเกิน”“ข้าเป็นคนไม่ได้เรื่องเลย ไม่สามารถปกป้องเจ้ากับแม่ได้ จนเจ้าต้องเผชิญหน้ากับความลำบากมากมาย”เฟิ่งชูอิ่งเบิกตากว้างจ้องมองเขา นางอยากรู้เรื่องของเขากับสตรีศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นซีฉู่เขากลับไม่ยอมเล่าอะไรต่อ เปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “ถึงตอนนี้ข้าจะตายไปแล้ว แต่จะไม่ยอมให้ใครรังแกเจ้าได้”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า “หลังจากนี้ไปข้าจะมีบิดาคอยรักและเป็นห่วงแล้ว”ยามพ่อลูกพบหน้ากันอีกครั้ง เหมยตงยวนเองก็รู้สึกสงสัยเรื่องของนางอยู่มิใช่น้อยเขาครุ่นคิดแล้วถามว่า “เจ้าเล่าเรื่องของเจ้ากับจิ่งโม