ชั่วพริบตานั้น เทียนซือรู้สึกเย็นวาบไปทั่วสรรพางค์กาย ไม่ใช่เพราะเฉี่ยวหลิงเป็นวิญญาณร้าย แต่เพราะท่วงท่าของนางในยามนี้ดูเป็นภัยคุกคามต่อบุรุษผู้หนึ่งอย่างยิ่งก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเห็นวิญญาณร้ายพวกนี้อยู่ในสายตาเลย เพราะเขาว่าวิญญาณร้ายไม่สามารถทำอะไรได้ยามอยู่ต่อหน้าเขา เขาสามารถทำให้พวกมันแหลกสลายได้ดังใจทว่าวิญญาณร้ายที่อยู่ตรงหน้าเขายามนี้กลับทำลายความเข้าใจทั้งหมดที่เขาเคยมีต่อวิญญาณร้ายเฉี่ยวหลิงเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก เขาจึงเคลื่อนไหวหลบหลีกไม่ทันนัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยการภาวนา อ้อนวอนขอให้เฉี่ยวหลิงปล่อยเขาไปแต่น่าเสียดาย เฉี่ยวหลิงไม่คิดจะมีเมตตากับเขาแม้แต่น้อย นางใช้เท้าเตะอัดหว่างขาของเขาอย่างรุนแรงความเจ็บปวดรวดร้าวปานจะขาดใจตายปรากฏขึ้นโดยตรง ทั้งยังรุนแรงมากด้วยเทียนซือแผดเสียงร้องโหยหวน ตัวคนล้มลงไปคุดคู้บนพื้นเฉี่ยวหลิงยกมือเท้าเอว “ข้ายังคิดว่าเจ้าจะแน่สักแค่ไหน ถึงทำให้คุณหนูของข้าต้องเปลืองแรงตั้งมากมายเพื่อจัดการกับเจ้า“ตอนนี้ดูแล้ว เจ้าก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่เลยนี่!”เหงื่อจำนวนมากผุดขึ้นเต็มหน้าผากของเทียนซือ เขาเจ็บจนเอ่ยเสียงสั่น “คุณหนูของเจ้าเป็นใคร?”เฉ
ทว่าเขายังไม่ทันจะได้เดินไปไหนไกล ก็มองเห็นป้ายที่แขวนอยู่บนต้นไม้สองต้นเบื้องหน้า ป้ายแผ่นนั้นเขียนตัวอักษรด้วยเลือดที่ยังไม่แห้งดี คงแปลกหากเขามองไม่เห็นบนป้ายสองแผ่นนั้นเขียนไว้ว่า ‘เทียนซืออัณฑะแหลกหมดสิ้นความเป็นชาย’ ส่วนอีกแผ่นเขียนว่า ‘พระสนมสวี่มากตัณหาผ่านบุรุษมานับหมื่น’บนพื้นยังมีตัวอักษรสีแดงขนาดใหญ่เขียนแนวขวางเอาไว้อีกว่า ‘มีใจแต่ไร้น้ำยา’กลอนเหล่านี้ไม่คล้องจองกัน แล้วยังไม่มีความงามทางกาพย์กลอน ทว่ากลับมีความดูถูกเหยียดหยามอยู่เต็มเปี่ยมเทียนซือโกรธจนแทบกระอักเลือดชั่วชีวิตนี้เขาไม่เคยรู้สึกโมโหจนเลือดขึ้นหน้ามากขนาดนี้มาก่อนเลย!เขาโกรธจนเอื้อมมือไปกระชากแผ่นป้ายออก ทว่าพอแผ่นป้ายร่วงลงไปแล้วกลับมีข้อความซ่อนอยู่ด้านหลังอีกเทียนซือบอกกับตัวเองว่าไม่ควรอ่านกลอนบ้าๆ พวกนี้อีก เพราะอ่านไปก็โมโหมากขึ้นเปล่าๆทว่าสายตาของเขากลับกวาดผ่านมันอย่างอดไม่อยู่ ข้อความดังกล่าวเขียนเอาไว้ว่า ‘เทียนซือกำลังจะตาย ณ ที่แห่งนี้’สัญชาตญาณของเทียนซือร้องเตือนอย่างหนัก เขาตระหนักได้ว่ามือขวาของตนเองผิดปกติ เมื่อก้มลงไปมองจึงเห็นรอยเข็มแห่งหนึ่ง รอบๆ รอยเข็มดังกล่าวมีรอยช้ำสีม่วงคล้ำ
หากสังหารเทียนซือหลังจากนั้น คนที่จะต้องเจ็บตัวก็คือจิ่งโม่เยี่ยจิ่งโม่เยี่ยกล่าวอย่างปลงตก “การที่เทียนซือต้องมาเจอเจ้า คงถือเป็นความซวยแปดชั่วโคตรของเขาแล้วล่ะ แต่เจ้าทำได้ไม่เลวจริงๆ”ไม่รู้เพราะอะไร ท้องน้อยของเขายามนี้กลับรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา วิธีการทรมาทรกรรมคนของนาง ช่างมากมายซับซ้อนไม่จบสิ้นเสียจริงๆ แล้วยังยากต่อการป้องกันด้วยแม้เขาจะรู้สึกสะใจ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกเป็นห่วงตัวเองในภายภาคหน้าด้วยหลังจากพวกเขาแต่งงานกันแล้ว จวนอ๋องของเขาเกรงว่าจะไม่มีวันสงบสุขเฟิ่งชูอิ่งหัวเราะเบาๆ “ข้าไม่ชอบการที่ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้เลยเพคะ อะไรเรียกว่าการเจอข้าเป็นความซวยแปดชั่วโคตรกัน?“หากเขาไม่ได้คิดจะฆ่าข้าให้ตาย ข้าก็คงไม่ลงมือกับเขาเช่นนี้หรอก? หากจะพูดให้ถูก เป็นเขาที่แส่หาเรื่องตายเองชัดๆ เลย“วิชาเต๋าของเขาสูงล้ำกว่าข้า ความสามารถก็แข็งแกร่งกว่าข้า หากข้าประมือซึ่งๆ หน้าแล้วเอาชนะเขาไม่ได้ ก็ต้องใช้วิธีอื่นอยู่แล้วสิ“ไม่ว่าจะใช้วิธีการแบบไหน ขอแค่ฆ่าเทียนซือได้ก็เป็นเรื่องดีทั้งนั้นแหละ”จิ่งโม่เยี่ยเห็นด้วยกับความคิดของนาง เพราะความจริงแล้ว เขาก็คิดว่าเทียนซือสมควรตายเหมือนกันเ
หลางซานลองคำนวณเวลาดูและพบว่าตั้งแต่ตอนที่เทียนซือถูกเตะกล่องดวงใจ ตอนนี้ใกล้จะครบหนึ่งเค่อแล้วหากยังมีร่มสีดำคันนั้นอยู่ พวกเขาก็คงฆ่าเทียนซือไม่ได้บรรยายกาศหนาวยะเยือกรอบๆ ก็ทวีความรุนแรงขึ้นด้วย ยันต์คุ้มครองที่เฟิ่งชูอิ่งมอบให้พวกเขาเริ่มแผ่ความร้อนรุนแรงกว่าเดิมเขาจึงตัดสินใจอย่างเฉียบขาด “ถอย!”เสี้ยวพริบตาที่พวกเขาถอนกำลังออกไป คนของอารามเทียนอี้ก็มาถึงพอดีพวกเขามองเห็นเทียนซือที่ทรุดอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าซีดขาวก็พากันตกตะลึงเพราะว่าเทียนซือคือผู้ที่แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในอารามเทียนอี้ ถึงเขาจะไม่ใช่เจ้าอาราม แต่กลับเป็นคนที่อำนาจตัดสินใจอย่างแท้จริงของอารามเทียนอี้เขากัดฟันเลยว่า “เผาแผ่นป้ายพวกนั้นให้ข้าเดี๋ยวนี้!”แผ่นป้ายไม้ที่วางอยู่ตรงนั้นนับเป็นความอัปยศอดสูของเขาอย่างมากบรรดานักพรตที่เพิ่งมาถึงแอบแปลกใจ ทำไมเรื่องแรกที่เขาสั่งให้ทำถึงเป็นการเผาแผ่นป้ายพวกนี้ล่ะ พวกเขาจึงหันมองแผ่นป้ายเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัวเทียนซือตะคอกอย่างสุดเสียง “ห้ามมอง เผาให้หมด!”เสียงของเขาดังมากจนพวกนักพรตสะดุ้งกันเป็นแถบๆ เพราะว่าในใจของพวกเขา เทียนซือเป็นบุคคลที่มีความสูงส่ง สุขุมและสง่างาม
เฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”เขาเป็นบ้าอะไรเนี่ย!คนที่ทะยานเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นปู๋เยี่ยโหวที่ถูกจับแขวนอยู่ด้านนอกทั้งคืนจิ่งโม่เยี่ยยกเท้าเตรียมจะถีบเขาให้กระเด็น เขากลับก้มตัวหมอบลงและกอดขาของเฟิ่งชูอิ่งเอาไว้ “ข้าไม่ขออะไรมากหรอก ขอแค่เจ้าเห็นอกเห็นใจข้าสักหน่อยก็พอ”เฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”นางขนลุกขนพองไปทั่วสรรพางค์กายแต่กลับได้ยินเขากล่าวต่อว่า “หลังจากนี้ไปหากมีเรื่องอะไรน่าสนุก หรือจะไปฆ่าใครที่ไหนอย่าลืมเรียกข้าไปด้วยล่ะ ไม่ต้องพาคนอื่นไปหรอก”เฟิ่งชูอิ่ง “......”มารดาเถอะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?ตอนที่จิ่งโม่เยี่ยคิดจะถีบปู๋เยี่ยโหวให้กระเด็นออกไปอีกครั้ง เขาก็กลิ้งตัวลงพื้นอย่างว่องไว อ้อมไปคุกเข่าด้านหลังเฟิ่งชูอิ่งแทนเนื่องจากปูมหลังของปู๋เยี่ยโหวเป็นตระกูลบัณฑิต วรยุทธ์จึงไม่เก่งกาจเท่าจิ่งโม่เยี่ย แต่วิชาตัวเบาของเขานับว่ายอดเยี่ยม เคลื่อนไหวหลบหลีกได้คล่องแคล่วอย่างยิ่งขนาดเฉี่ยวหลิงที่อยู่ตรงนั้นยังได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ เจ้าหมอนี่จะลื่นไหลเกินไปแล้ว!จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยใบหน้ามืดครึ้ม “จะดีร้ายเจ้าก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ของแคว้น ช่วยรักษาเกียรติตัวเองหน่อยได้ไหม?”ปู
เฟิ่งชูอิ่งทำเมินไม่สนใจเขาอีก ไอ้ลูกหมานี่ทดสอบขีดจำกัดนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าปู๋เยี่ยโหวกลับเกาะติดนางไม่เลิก “ทำให้ข้ามองเห็นน้องสาววิญญาณร้ายทีสิ!”เฟิ่งชูอิ่งกระตุกมุมปากเล็กน้อย “ได้สิ!”นางกล่าวจบก็ช่วยเปิดเนตรทิพย์ให้เขา เขาจึงมองเห็นเฉี่ยวหลิงที่อยู่ห่างจากเขาไม่ไกลเฉี่ยวหลิงไม่ใช่สตรีที่งดงามจนล่มเมืองล่มแคว้นอะไร แต่นางหน้าตาหมดจดเกลี้ยงเกลา หากมองดูดีๆ ก็ถือว่าเป็นสาวงามคนหนึ่งเลยปู๋เยี่ยโหวส่งเสียงจิ๊ปากเบาๆ “ที่แท้น้องสาววิญญาณร้ายก็หน้าตางดงามเช่นนี้อีก น่าเอ็นดูถึงเพียงนี้.....”ทว่าประโยคถัดมายังไม่ทันหลุดออกจากปากของเขา เพราะว่าเฉี่ยวหลิงแสดงสิ่งที่นางช่ำชองที่สุดให้เขาดู ซึ่งก็คือคางหลุดลูกตาหล่นปู๋เยี่ยโหว “......”ปู๋เยี่ยโหว “!!!!!!”ถึงแม้จะเป็นกลางวันแสกๆ แต่เขาก็ยังหวาดกลัวจนเหงื่อเย็นออกชุ่มแผ่นหลังทว่าเฉี่ยวหลิงที่ไม่มีคางและลูกตายังแสยะยิ้มบางๆ ให้เขาซ้ำอีก เขาจึงตื่นกลัวจนหงายหลังก้นจ้ำเบ้าจิ่งโม่เยี่ยเห็นสภาพของเขาก็หัวเราะอย่างเย็นชา “สมน้ำหน้า!”ปู๋เยี่ยโหวไม่ได้อยากจะเห็นภาพอะไรแบบนี้สักนิด นางจึงโอดครวญว่า “ชูชู ช่วยปิดเนตรทิพย์ให้ข้าทีเถอะ!”เฟิ่
ปู๋เยี่ยโหว “!!!!!!”เขาค่อนข้างชอบเรื่องเร้าใจนะ แต่วันนี้มันเร้าใจมากเกินไป!ตอนที่เขากำลังจะหล่นกระแทกพื้น เฉี่ยวหลิงก็วาดขาเตะเขาลอยโด่งขึ้นไปอีกครั้งด้วยเหตุนี้เอง ปู๋เยี่ยโหวจึงถูกเฉี่ยวหลิงเตะส่งออกจากจวนอ๋องคนในจวนส่วนมากจะไม่ค่อยรู้เรื่องที่ข้างกายเฟิ่งชูอิ่งมีวิญญาณร้ายอยู่ด้วย พอได้เห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว พวกเขาก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้างจิ่งโม่เยี่ยเห็นสภาพน่าสังเวชของปู๋เยี่ยโหว เขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้ที่สั่งให้องครักษ์มาเชิญตัวเขาออกไป เป็นการกระทำที่ค่อนข้างจะมีมารยาททีเดียวเพราะการเตะคนจนกระเด็นออกไปเช่นนี้ ถึงจะเป็นวิธีการรับมือกับปู๋เยี่ยโหวที่ถูกต้องฉินจื๋อเจี้ยนพานางกำนัลกลุ่มหนึ่งเดินถืออาหารมาส่งให้เฟิ่งชูอิ่ง เห็นฉากดังกล่าวเข้าพอดี ถาดอาหารในมือของเขาจึงตกลงพื้นและหกกระจายพวกเขามองไม่เห็นเฉี่ยวหลิง จึงเห็นเพียงปู๋เยี่ยโหวที่หมุนไปหมุนมากลางอากาศเหมือนลูกหนัง ทั้งยังเปลี่ยนทิศทางไปทางนั้นทีทางนี้ทีนี่มันเป็นการเห็นผีกลางวันแสกๆ ชัดๆ เลย!ตอนที่เทียนซือถูกนำตัวไปถึงอารามเทียนอี้ ส่วนท้องน้อยของเขาก็บวมปูดจนน่าเกลียดแล้วนอกจากนี้ มือซ้ายของเขายังบวมเป่งเ
เจ้าอารามกล่าวว่า “เทียนซือ เมื่อวานนี้ตอนที่ปู๋เยี่ยโหวบุกเข้ามาในอารามเทียนอี้ เขาใช้กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม[footnoteRef:1] ส่งคนแฝงตัวเข้าไปในคลังสมบัติและกวาดทุกอย่างที่อยู่ข้างในไปหมดเลย” [1: หลอกล่อความสนใจของศัตรูให้เข้าใจผิด] เทียนซือตกตะลึง “เจ้าว่าอะไรนะ? ของในคลังสมบัติมีตั้งมากมายขนาดนั้น พวกเขาขโมยไปทั้งหมดเลยหรือ?”เจ้าอารามตอบ “ใช่ แม้แต่อีแปะเดียวพวกเขาก็ไม่เหลือเอาไว้“ดังนั้นเทียนซือ ไม่ใช่พวกเราไม่อยากมอบเครื่องประดับให้ท่านหรอก แต่เพราะว่าไม่มีอะไรเหลือจริงๆ!“ตอนนี้อารามเทียนอี้ แม้จะไม่ถึงขั้นยากจนข้นแค้น แต่ก็ไม่ได้ดีไปกว่านั้นมากนัก”เขาเองก็อัดอั้นตันใจ ทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดของอารามเทียนอี้ถูกเก็บเอาไว้ในคลังสมบัติตอนนี้พวกเขายังพอจะเหลือเงินติดตัวอยู่บ้าง แต่จำนวนก็ไม่ได้เยอะอะไรเพราะว่ามีจำนวนไม่มาก อาจถึงขั้นไม่พอใช้จ่ายในชีวิตประจำวันด้วยซ้ำวันนี้ตอนที่พ่อครัวมาหาเขาเพื่อขอเงินซื้อวัตถุดิบทำอาหาร เขายังไม่มีจ่ายเลยตอนแรกเทียนซือยังฝืนประคองสติอยู่ได้ กำลังจะเตือนให้คนของอารามเทียนอี้ระวังเฟิ่งชูอิ่งเอาไว้แต่พอยามนี้เขาได้ยินสิ่งที่อีกฝ่าย
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท