นางถามเขา “ท่านอ๋องจิ้นรู้ไหมว่าฤดูฝนของเจียงหนานเป็นอย่างไร?”จิ่งสือเยี่ยนตอบว่า “ไม่รู้หรอก ถึงได้อยากไปดูให้เห็นกับตาอย่างไรล่ะ”เฟิ่งชูอิ่ง “......”คำตอบของเขาทำเอานางหมดคำจะพูดเลยล่ะจิ่งสือเยี่ยนเห็นสีหน้าท่าทางของนางก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “แม่นางทราบหรือว่าฤดูฝนของเจียงหนานเป็นอย่างไร?”ร่างเดิมของเฟิ่งชูอิ่งนี้ไม่เคยไปที่เจียงหนานมาก่อน นางจึงส่ายหน้า “ไม่ทราบเพคะ”“แต่ฤดูฝนที่สามารถเรียกว่าเหมยอวี่ได้ คิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับบ๊วย[footnoteRef:1]กระมัง!” [1: เหมยแปลว่าบ๊วย] คำพูดของนางนำพาไปสู่หัวข้อสนทนาใหม่ จิ่งสือเยี่ยนชอบทานบ๊วยมาก แต่ในเมืองหลวงไม่มีการปลูกบ๊วย บ๊วยที่นำเข้ามาจากเจียงหนานกว่าจะถึงเมืองหลวงก็ไม่สดแล้วตอนแรกเขาบอกว่าจะไปชมฤดูฝนที่เจียงหนาน ก็แค่ข้ออ้างที่คิดขึ้นมาส่งเดชเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาเริ่มจะพูดความจริงขึ้นมาบ้างแล้วเขายังคิดจะลากเฟิ่งชูอิ่งไปลองกินบ๊วยที่นั่นด้วยกัน เอาตั้งแต่บ๊วยสดๆ กินไล่ไปจนถึงที่หมักเป็นสุราเลยทันใดนั้นความคิดของเฟิ่งชูอิ่งก็ล่องลอยเล็กน้อย จิ่งโม่เยี่ยเหมือนจะไม่ชอบกินของเปรี้ยว.....ตอนที่ความคิดนี้ลอยเข้ามาในหัวของนาง นาง
ศิษย์คนนั้นพอกล่าวถึงตรงนี้ก็แผดเสียงดัง “สิ่งชั่วร้ายตัวนั้นมันสังหารศิษย์พี่จนตาย จากนั้นก็ทำร้ายข้าจนสาหัส“ก่อนข้าจะสลบไปเห็นว่าเฟิ่งชูอิ่งลงมือจัดการกับเจ้าสิ่งชั่วร้ายนั่นจนเป็นฝ่ายแพ้พ่าย”เทียนซือได้ยินแบบนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย “พวกเจ้าสู้กับสิ่งชั่วร้ายนั่นไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งกลับเอาชนะได้เนี่ยนะ?”ศิษย์คนนั้นตอบ “ใช่ขอรับ นางฝีมือร้ายกาจมาก พวกเราสู้นางไม่ได้เลย”ตอนที่เทียนซือก้าวเข้ามาในจวนสกุลหลินก็สัมผัสกลิ่นอายชั่วร้ายได้ เขาจึงรู้ว่าสิ่งชั่วร้ายดังกล่าวต้องร้ายกาจมากอีกอย่างเขายังได้กลิ่นอายของไฟจากฟ้าผ่าด้วย ใต้หล้าแห่งนี้ ยันต์ที่สามารถเรียกสายฟ้ามาได้มีน้อยมาก อย่าว่าแต่สายฟ้าที่ทำร้ายสิ่งชั่วร้ายได้เลยศิษย์คนนั้นเล่าต่อว่า “วิชาศาสตร์ลี้ลับของเฟิ่งชูอิ่งร้ายกาจอย่างยิ่ง ท่านอาจารย์โปรดระวังตัวด้วย”เทียนซือเดินหน้ามืดครึ้มตามหาร่องรอยเฟิ่งชูอิ่งทั่วจวนสกุลหลิน แต่กลับไม่พบนาง พบเพียงหลินชูเจิ้งที่บาดเจ็บทั่วร่างหลินชูเจิ้งพอเห็นเทียนซือก็คิดจะฟ้องความผิดของเฟิ่งชูอิ่งแต่พอเขาเปิดปากกลับพูดออกไปว่า “เฟิ่งชูอิ่งร้ายกาจมากจริงๆ นางเป็นเทพธิดาของข้าชัดๆ!”หลังจากพูด
พวกเขาไม่รู้ว่ายันต์ปัญจอสนีแผ่นนั้นนางเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว นางก็แค่กระตุ้นการทำงานของมันเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องโยนยันต์ออกไปแปะอีกเพราะว่าเรื่องหลายอย่างที่เกิดขึ้น เทียนซือจึงรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจทว่าหลังจากค้นจนครบทุกซอกทุกมุมก็ยังไม่พบเฟิ่งชูอิ่ง เขาจึงหันไปถามหลินชูเจิ้งว่า “เฟิ่งชูอิ่งไปไหนแล้ว?”หลินชูเจิ้งไม่อยากจะเอ่ยปากพูดแม้แต่คำเดียว เพราะว่าเขาไม่สามารถควบคุมสิ่งที่ตนเองพูดออกไปได้แต่เมื่อเทียนซือเป็นคนถาม เขาก็จำเป็นจะต้องตอบเขาเปิดปากก็โพล่งออกไปว่า “เทียนซือ เอวของพระสนมสวี่อ่อนนุ่ม ใจของข้าอ่อนยิ่งกว่า เจ้ารีบเข้ามาอยู่ในใจของข้าสิ!”หลินชูเจิ้ง “!!!!!!”เทียนซือ “......”เขารู้ดีว่าสิ่งที่หลินชูเจิ้งพูดออกมาเป็นฝีมือของเฟิ่งชูอิ่ง ไม่ใช่ความต้องการของหลินชูเจิ้ง แต่มันกลับทำให้เขาเกิดจิตสังหารขึ้นมาเพราะว่าหลินชูเจิ้งกล่าวถึงพระสนมสวี่หลินชูเจิ้งเองก็ตระหนักได้ถึงเรื่องนั้นเหมือนกัน เขาจึงใช้มือปิดปากของตัวเองไว้แน่น ก่อนจะส่ายหน้าให้เทียนซืออย่างเอาเป็นเอาตายเทียนซือเห็นเขาเลือดท่วมตัว ถูกหลานสาวของตัวเองเล่นงานจนอยู่ในสภาพนี้แล้ว เขาจึง
หลินชูเจิ้งได้ยินตัวเองกล่าวว่า “เจ้ามีอะไรให้หยิ่งผยองจองหอกนักหรือ? สามสิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ สามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ[footnoteRef:1] สักวันหนึ่งบิดาจะต้องฆ่าเจ้าแน่!” [1: หมายถึงทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง รุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอน] หลินชูเจิ้ง “!!!!!!”จิตใจเขาแทบแตกสลายตรงนั้น นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันแน่เนี่ย!แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เขาถูกฝ่าเท้าของจิ่งโม่เยี่ยเตะโด่งออกมาอีกครั้งเสี้ยวพริบตาที่หลินชูเจิ้งถูกถีบกระเด็น เขาก็เกิดความคิดในใจว่าช่างเถิด กระทืบเขาให้ตายไปเลย!ชีวิตนี้ยังจะเหลืออะไรให้อาวรณ์อีก คราวนี้หลินชูเจิ้งบรรลุอย่างถ่องแท้แล้ว!ตอนที่จิ่งโม่เยี่ยเตะเขาออกไปและคิดจะจากไปนั้น เขากลับรู้สึกถึงความผิดปกติ เพราะว่าคนไม่มีอะไรดีอย่างหลินชูเจิ้ง ช่วงหลังมานี้เขานับว่าพอจะรู้จักนิสัยอีกฝ่ายอยู่บ้าง คนผู้นี้ไม่มีทางกล้าพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าเขาแน่นอนเขาหันกลับไปมองหลินชูเจิ้ง เมื่อเห็นสีหน้าหมดอาลัยตายอยากของหลินชูเจิ้งเขาก็ยิ่งมั่นใจในความคิดของตัวเองเขากดเสียงเอ่ยว่า “หากข้าถาม เจ้าแค่พยักหน้าหรือส่ายหน้าก็พอ”หลินชูเจิ้งพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายกา
‘ครั้งนี้เขาจะต้องฉวยโอกาสสั่งสอนนางสักหน่อย ให้นางหัดว่านอนสอนง่ายเสียบ้าง วันหลังจะได้ไม่สร้างเรื่องปวดหัวให้เขาไม่เว้นวันอีก’‘หากนางเป็นเด็กดีเชื่อฟังที่บอก เขาจะยอมดีกับนางให้มากเสียหน่อย’หลังจากเขาเปิดฝากล่องออกก็พบว่าด้านในมียันต์จำนวนมากอัดแน่นอยู่ตรงกลางของปึกยันต์เหล่านั้นมีแถวกระดาษพันรอบๆ มีตัวอักษรหงส์ฟ้อนมังกรทะยานเขียนไว้ว่า ‘ยันต์ตัดขาด’ ‘ยันต์คู่ขนาน’ ‘ยันต์อสนี’ ‘ยันต์คุ้มครอง’เขาเห็นของเหล่านั้นแล้วพลันรู้สึกถึงความผิดปกติขึ้นมาเพราะว่าเฟิ่งชูอิ่งหวงแหนยันต์เหล่านี้เหมือนสมบัติล้ำค่า เขาเคยขอยันต์จากนางสิบแผ่นแปดแผ่น นางยังทำท่าอิดออดไม่อยากจะมอบให้เขาแต่ครั้งนี้กลับให้เขาเป็นกอบเป็นกำ ดูอย่างไรก็ผิดปกติจิ่งโม่เยี่ยสีหน้าเคร่งขรึมลงเล็กน้อย เขาหยิบยันต์พวกนั้นออกมาแล้วพบกับตั๋วเงินอีกปึกหนึ่งด้านบนตั๋วเงินมีกระดาษม้วนหนึ่งพันเอาไว้ เนื้อหาในกระดาษเขียนวิธีแก้คำสาปอย่างละเอียดพอเขาเห็นแบบนั้นแล้ว นัยน์ตาก็เย็นชาขึ้นหลายส่วนนางคิดจะทำอะไร?จิ่งโม่เยี่ยถามคนเฝ้าประตู “เฟิ่งชูอิ่งไปไหนแล้ว?”คนเฝ้าประตูตอบ “ตอนที่นางมาถึง ผู้น้อยเชิญนางเข้าไปนั่งรอท่านอ๋องในจวน
เฟิ่งชูอิ่งตื่นตระหนกอย่างมากที่พบว่านาง...เป็นคนเมาเรือ!หลังจากนางนั่งเรือมาได้หนึ่งชั่วยามกว่าๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองท้องไส้ปั่นป่วนอยากจะอาเจียน ตอนแรกนางก็ยังไม่คิดอะไร เพราะร่างเดิมที่ชาติก่อนของนางไม่เคยเมาเรือตอนแรกนางคิดแค่ว่าวุ่นวายอดหลับอดนอนทั้งคืน แล้วยังต้องวาดยันต์อีกมากมาย ร่างกายเหนื่อยล้าเกินขีดจำกัด ก็เลยมีอาการแบบนั้นได้ พักสักหน่อยก็คงจะหายแล้วดังนั้นนางจึงเข้าไปนอนพักในห้องส่วนตัวทว่าพอนางพักอาการกลับรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ตอนที่นางลืมตาตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าโลกหมุน น้ำย่อยในกระเพาะตีกลับ นางจึงคว้าถังไม้ที่อยู่ข้างๆ มาอาเจียนจนหมดไส้หมดพุงจนถึงตอนนี้ นางก็เพิ่งจะตระหนักได้ว่าตนเองเมาเรือตอนที่นางตระหนักเรื่องนี้ได้ก็ถึงกับอึ้งสนิทไปเลย แล้วก็ไม่อยากทำใจยอมรับความจริงด้วยแต่เพราะมันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกาย มันจึงไม่สนใจความคิดของนางสักนิดว่ารับได้หรือไม่จิ่งสือเยี่ยนได้ยินเสียงจึงแวะมาสอบถาม “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”เฟิ่งชูอิ่งตอบกลับอย่างหมดแรง “ท่านดูสภาพของข้าสิ เห็นแบบนี้แล้วยังคิดว่าไม่เป็นอะไรอีกหรือ!”จิ่งสือเยี่ยน “......”เขาจึงไปขอยาแก้เมาเรือจากคนพ
นางจึงสั่งให้เฉี่ยวหลิงไปหาเช่ารถม้าของโรงเตี๊ยม เพื่อออกเดินทางกลางดึกทันทีนางทำแบบนี้เพราะต้องการหลีกเลี่ยงจิ่งสือเยี่ยน และทิ้งเขาไว้ที่โรงเตี๊ยมแต่พอนางก้าวขึ้นรถม้ามากลับพบว่าจิ่งสือเยี่ยนนั่งอยู่ด้านในแล้ว นางชะงักเล็กน้อยแล้วหันมองเฉี่ยวหลิงเฉี่ยวหลิงอธิบายว่า “ฟ้ามืดแล้วรถม้าพวกนั้นก็เลยไม่ยอมเดินทาง ต้องขอบคุณท่านอ๋องจิ้นที่ช่วยเหลือไว้”จิ่งสือเยี่ยนเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนใจ “เจ้าล่วงเกินใต้เท้าหลินแบบนั้น เขาขึ้นชื่อเรื่องใจคอคับแคบในราชสำนักจะตายไป“ขอลองคิดๆ ดูแล้ว เขาไม่มีทางปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แน่ ดังนั้นเร่งเดินทางต่อคืนนี้จะดีกว่า”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางไม่กลัวหลินชูเจิ้งจะมาหาเรื่องหรอก เพราะงั้นนางถึงได้ทำเรื่องพวกนั้นลงไปหลินชูเจิ้งอาจจะไม่ไล่ล่านาง แต่ดูจากนิสัยของเทียนซือคนนั้นแล้ว เขาน่าจะไม่ปล่อยนางไปจริงๆ นั่นแหละนางจึงกล่าวว่า “ท่านอ๋องจิ้นคิดได้รอบคอบแล้ว“ตอนนี้ข้าอาการดีขึ้นมากแล้ว คงไม่รบกวนท่านอ๋องจิ้นหรอก”“ไม่รบกวน ไม่รบกวนเลย!” จิ่งสือเยี่ยนตอบด้วยท่าทางดีอกดีใจ “ข้ายังไม่เคยนั่งรถม้าแล้วถูกคนตามล่ากลางดึกมาก่อนเลย คิดว่ามันต้องน่าสนุกแน่”เฟิ่งชูอิ
จิ่งสือเยี่ยนใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วตอบว่า “แม่นางเฟิ่งหนีออกจากเมืองหลวงก็เพื่อเอาชีวิตรอด“ถึงข้าจะรู้ว่าพี่สามไม่ใช่ดาวหายนะแบบที่คนลือกัน แต่เขาก็ถูกผู้อื่นจ้องเล่นงานมากเกินไป“หากแม่นางเฟิ่งต้องกลับไปที่เมืองหลวง จะต้องตกอยู่ในอันตรายแน่ ในเมื่อข้าเลือกจะช่วยนางแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด”เขากับจิ่งโม่เยี่ยถือว่าสนิทสนมกันไม่น้อย แต่เขารู้สึกว่าเฟิ่งชูอิ่งเป็นเพียงผู้บริสุทธิ์ในสถานการณ์แบบนี้ หากเขาไม่ช่วยนางออกจากเมืองหลวง เกรงว่านางจะตายเอาได้....ระหว่างเฟิ่งชูอิ่งต้องตายกับทำให้จิ่งโม่เยี่ยโกรธ เขาเลือกช่วยชีวิตนางอยู่แล้ว หลังจากนั้นค่อยหาทางอธิบายให้จิ่งโม่เยี่ยฟังอีกทีหลังจากเขากล่าวแบบนี้ ทหารองครักษ์ก็เข้าใจว่าควรทำอย่างไร เขาเร่งความเร็วของรถม้าขึ้นทันทีในช่วงเวลาเดียวกันนี้ เทียนซือที่ทราบข่าวก็รู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งเดินทางไปพร้อมกับจิ่งสือเยี่ยนเขาพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย “อ๋องจิ้นยื่นมือเข้ามาสอดเรื่องนี้ทำไมกัน?”ลูกน้องของเขายังไม่อาจให้คำตอบที่ชัดเจนได้ในบรรดาโอรสของฮ่องเต้เจาหยวน จิ่งสือเยี่ยนเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานน้อยที่สุด แล้วก็เป็นคนที่มีอำนาจและความอันตรายน้อยท
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท