เฟิ่งชูอิ่งแอบเดาะลิ้นในใจ หลินหว่านถิงช่างเป็นแม่นางดอกบัวขาวจริงๆ จิ่งสือเฟิงน่ากลัวว่าจะหลงกลอุบายของนางแล้วแต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง วันนี้หน้าที่ของนางคือการช่วยจิ่งโม่เยี่ยจับตัวโจรที่ขโมยโชคชะตาของเขาไปหลังจากฉินจื๋อเจี้ยนเข้ามาขอความคิดเห็นจากจิ่งโม่เยี่ย งานเลี้ยงวันเกิดก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการเฟิ่งชูอิ่งยกจอกสุราขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ขออวยพรให้ท่านอ๋องได้ฉลองวันเกิดทุกปี มีความเจริญรุ่งโรจน์ตลอดไป”จิ่งโม่เยี่ยปรายตามองนางแวบหนึ่ง หัวใจนางพลันกระตุกวูบ นางไม่ได้พูดอะไรผิดสักหน่อย!ทำไมเขาต้องมองนางด้วยสายตาแบบนั้นด้วยล่ะ?เขาเอ่ยเสียงเรียบว่า “ในหนึ่งปี ข้าไม่อยากให้มีวันนี้มากที่สุดแล้ว“เจ้าเปลี่ยนคำอวยพรเถอะ หากพูดได้ดี ข้าจะไม่ลงโทษเจ้า”เฟิ่งชูอิ่งไม่รู้จริงๆ ว่ามันยังมีเรื่องราวอะไรแอบแฝงอยู่อีก นางจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าขออวยพรให้ท่านอ๋อง ‘มีความสุขสมหวังดั่งปรารถนา ทุกเรื่องราวราบรื่นดั่งคาดหวัง’ ”จิ่งโม่เยี่ยหันมองนางแล้วเอ่ยว่า “ตั้งแต่ได้เจอกับเจ้า ข้าก็รู้สึกว่าทุกเรื่องน่าคาดหวังจริงๆ“ข้าไม่มีทางคาดเดาได้เลยว่า อีกเดี๋ยวเจ้าจะสร้างเรื่องอะไรขึ้นมาอีก ช่า
เฟิ่งชูอิ่งมองสีหน้าที่หลากหลายของบรรดาองค์ชาย ก่อนจะรู้สึกขบขันในใจที่แท้ก็ไม่ใช่นางคนเดียวที่กลัวจิ่งโม่เยี่ย องค์ชายคนอื่นๆ ก็หวาดกลัวเขาเหมือนกันทว่าจิ่งโม่เยี่ยในอาภรณ์สีขาวที่ยืนเด่นสง่าอยู่ตรงนั้น ช่างดูหล่อเหลาเหลือเกิน!บรรยากาศของเขาในตอนนี้ แตกต่างกับบรรยากาศเหมือนคนขี้โรคอ่อนแอในยามปกติอย่างสิ้นเชิง ตัวเขาเหมือนกับกระบี่คมที่หลุดจากฝักไหล่กว้าง เอวเล็ก ต้นขากำยำ ประกอบกับใบหน้าที่เหมือนถูกสลักเสลามาเป็นอย่างดี ผมยาวสีดำขลับดุจน้ำหมึก ช่างเป็นอาวุธสังหารจิตใจของสาวน้อยทั้งหลายจริงๆในมือของเขากุมกระบี่ แม้ตอนนี้จะเพียงแค่ยกมันขึ้นเฉยๆ แต่กลับดูเท่จนไม่รู้จะบรรยายอย่างไรเฟิ่งชูอิ่งยกมือแตะคางมองเขาไม่ละสายตา ดวงตาของนางส่องประกายแวววาว แต่ในใจกลับนึกเสียดายเล็กน้อยบุรุษงามเป็นเอกเช่นนี้ หากมิใช่คนบ้า ต่อให้จะนิสัยย่ำแย่สักแค่ไหน ลำพังแค่มีใบหน้าหล่อเหลาของเขา นางก็พร้อมจะยอมทนแล้วแต่น่าเสียดายที่เขาเป็นคนบ้าตัวยง ที่ทำอะไรผิดพลาดนิดเดียวก็จ้องจะเอาชีวิตนางแล้วเขาที่เป็นแบบนั้นนางคงทำเพียงมองชื่นชมอยู่ห่างๆ ไม่มีทางคิดเป็นอื่นกับเขาอย่างแน่นอนดังนั้นตอนนี้นาง
นางหันไปมองทางจิ่งโม่เยี่ยที่กำลังรำกระบี่ พอเอาทั้งสองคนมาเปรียบเทียบกัน ก็มองเห็นความสูงส่งและต้อยต่ำได้ในทันทีหัวใจของนางพลันเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อยครู่ต่อมา กระบี่ในมือของจิ่งโม่เยี่ยก็ตวัดฟันออกไปหนึ่งครา คลื่นกระบี่พลันก่อตัวขึ้นมา พัดพาเอาอาหารภายในจานที่วางอยู่รอบๆ ตัวเขาปลิวกระจัดกระจายจิ่งสือเฟิงรีบคว้าตัวหลินหว่านถิงที่อยู่ข้างๆ มาไว้ตรงหน้าเพื่อเป็นเกราะกำบังปลาทอดจานหนึ่งจึงบินมาฟาดใบหน้าของหลินหว่านถิงอย่างแม่นยำเมื่อครู่นี้นางเพิ่งจะล้มเอาหน้าจูบพื้นไปรอบหนึ่ง ยามนี้ยังถูกจานกระแทกใบหน้าซ้ำอีกรอบ ทำเอาจมูกนางเกือบเบี้ยวทันใดนั้นเอง นางก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เฟิ่งชูอิ่งทักว่านางจะมีดวงเลือดตกยางออกนางรู้สึกว่าการก้าวออกจากจวนวันนี้ มีแต่เรื่องเฮงซวยเกิดขึ้นไม่จบไม่สิ้น!ชั่วพริบตานั้น ภายในศาลาริมน้ำก็ปรากฏเสียงโพล้งเพล้งดังสนั่นไปทั่ว จานชามและอาหารทั้งหมดหล่นไปกองกับพื้นบรรดาองค์ชายที่ยกถาดอาหารขึ้นมาป้องกันตัวรู้สึกว่าตนเองชาญฉลาดยิ่งนัก โชคดีที่พวกเขาเตรียมรับมือเอาไว้ตั้งแต่แรกจิ่งโม่เยี่ยเก็บกระบี่แล้วถามว่า “การรำกระบี่ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”รอบด้านมีเพีย
ครู่ต่อมา เฟิ่งชูอิ่งก็มองเห็นสตรีนางหนึ่งที่มีรูปโฉมงดงามเป็นเอกเดินเข้ามาด้านในเฟิ่งชูอิ่งเคยพบเจอผู้หญิงหน้าตาสวยมาทุกประเภท แต่เพิ่งจะเคยเห็นผู้หญิงที่สวยถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก สวยจนนางบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูกนางคิดว่าคงต้องใช้คำว่า ‘โฉมสะคราญแห่งยุค’ มาบรรยายรูปลักษณ์ของสตรีตรงหน้าสตรีนางนี้มีดวงตาดอกท้อที่งดงามอย่างยิ่ง แล้วยังคล้ายคลึงกับดวงตาของจิ่งโม่เยี่ยอยู่หลายส่วนด้วยแต่ถึงนางจะงดงามสักแค่ไหน เฟิ่งชูอิ่งก็ยังเผลอดูโหงวเฮ้งของนางในพริบตาต่อมาอยู่ดี จุดกลางหน้าผากของนางแคบและมีรอยพับ ติ่งหูเล็กบาง เป็นลักษณะโหงวเฮ้งของพวกที่ไร้ใจนางจึงเปิดเนตรทิพย์มองเส้นโชคชะตาที่ผูกโยงกันไว้ทั้งหมดของสตรีนางนี้ ก่อนนางจะถอยออกไปข้างๆ อย่างเงียบงันเพราะนางมองเห็นว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้านี้ คือมารดาผู้ให้กำเนิดของจิ่งโม่เยี่ยพระสนมสวี่เดินมาหยุดตรงหน้าจิ่งโม่เยี่ยแล้วเอ่ยว่า “เยี่ยเอ๋อร์ เจ้าจัดงานเลี้ยงวันเกิดขึ้นที่นี่ เหตุใดไม่แจ้งให้แม่ทราบบ้างล่ะ?“ตอนแรกข้าไปหาเจ้าที่จวนอ๋องในเมือง ต้องสอบถามคนตั้งมากมายกว่าจะรู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่”องค์ชายทั้งหมดที่เดิมทีคิดจะเดินทางกลับ ยามนี้กล
นางจึงเอ่ยแทรกออกไปว่า “พระสนม วันนี้ท่านอ๋องทรงมิค่อยสบายนัก ก็เลยไม่อยากอาหาร ถ้าอย่างไรท่านค่อยมาหาเขาวันหลังดีไหมเพคะ?”พระสนมสวี่ถึงได้หันหน้ามาทางเฟิ่งชูอิ่ง เอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “คิดว่าเจ้าน่าจะเป็นเฟิ่งชูอิ่ง ว่าที่พระชายาคนใหม่ของเยี่ยเอ๋อร์สินะ?”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า “เพคะ”พระสนมสวี่หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับหางตาเล็กน้อย เอ่ยเสียงแผ่วว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินเรื่องของเจ้ามาแล้ว รู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดีผู้หนึ่ง“วันนี้เห็นเจ้ายืนเคียงคู่กับเยี่ยเอ๋อร์แล้ว ข้าก็รู้สึกวางใจ”เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกว่าคำพูดของนางฟังดูแปลกๆ นางเป็นคนชื่อเสียงโด่งดังขนาดนั้นเชียวหรือ?นางจำได้ว่าร่างเดิมมีนิสัยอ่อนแอปวกเปียก สถานะในเมืองหลวงก็กระอักกระอ่วนมากด้วยฮ่องเต้เจาหยวนพระราชทานนางให้จิ่งโม่เยี่ย ประการแรกเพราะนางอ่อนแอควบคุมง่าย จะฆ่าให้ตายเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ ประการที่สองเพื่อทำให้จิ่งโม่เยี่ยอับอายนางเหลือบมองจิ่งโม่เยี่ยอย่างระมัดระวังแล้วเอ่ยตอบพระสนมสวี่ “พระสนมชมเกินไปแล้วเพคะ ความจริงแล้วข้าแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย”พระสนมสวี่ดึงมือของนางไปกอบกุมอย่างกระตือรือร้น “ถึงก่อนหน้านี้เยี่ยเอ๋อร์จะเคยมีว่าที
เฟิ่งชูอิ่งมองเห็นรอยประทับสีแดงบนฝ่ามือของตนเองได้อย่างชัดเจน ซึ่งรอยประทับดังกล่าวเป็นค่ายกลชนิดหนึ่งแม้นางจะเป็นผู้เชี่ยวชาญลัทธิเต๋า แต่กลับเพิ่งจะเคยเห็นค่ายกลที่ชั่วร้ายแบบนี้เป็นครั้งแรกค่ายกลชนิดนี้นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่นางสามารถคำนวณจากรูปแบบของค่ายกลได้ว่ามันเป็นค่ายกลที่กลืนกินเลือดลมของมนุษย์เป็นอาหารเรื่องนี้ทำให้สามทัศน์ของนางถูกทำลายโดยแท้จริง นางพบหน้าพระสนมสวี่ครั้งแรก อีกฝ่ายก็ลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้แล้วการกระทำแบบนี้ใช้คำว่าชั่วร้ายยังบรรยายไม่หมดเลย มันต้องเรียกว่าเสียสติไปแล้วจิ่งโม่เยี่ยชี้รอยแดงบนมือนางแล้วถามว่า “มันคืออะไร?”เฟิ่งชูอิ่งไม่ยอมตอบ นางถามกลับว่า “พระสนมสวี่เคียดแค้นท่านขนาดนั้นเลยหรือ?”ก่อนหน้านี้นางไม่เคยล่วงเกินพระสนมสวี่ ดังนั้นสามารถที่พระสนมสวี่ลงมือกับนางอย่างโหดเหี้ยม ก็อาจจะเป็นเพราะจิ่งโม่เยี่ยนางถามจบก็พลันคิดได้ว่าคำถามของนางไร้สาระสิ้นดีเพราะเมื่อครู่เขาก็บอกเองว่าพระสนมสวี่เป็นมารดาแท้ๆ ของเขาเองนัยน์ตาดอกท้อของจิ่งโม่เยี่ยทอประกายมืดหม่นออกมา ชี้รอยแดงบนมือของนางแล้วถามซ้ำ “มันคืออะไร?”เฟิ่งชูอิ่งตอบ “มันคือค่ายกลที่กลืนกิ
นางไม่อยากรู้ความลับพวกนี้นักหรอก เพราะยิ่งนางรู้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งต้องตายไวเท่านั้นนางจึงบอกว่า “เอาเถอะ ไม่ต้องเล่าหรอก ข้าไม่ได้อยากรู้”ตอนแรกจิ่งโม่เยี่ยไม่อยากจะพูดถึงเรื่องพวกนี้นัก แต่พอเห็นว่านางไม่อยากฟัง เขากลับอยากจะเล่าขึ้นมาเสียอย่างนั้นเขากล่าวว่า “ถึงนางจะเป็นมารดาแท้ๆ ของข้า แต่กลับเกลียดชังเสด็จพ่อของข้ามาก แล้วนางก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้กำเนิดข้าตั้งแต่แรก”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางรู้สึกเหมือนกำลังจะได้รู้ความลับระดับชาติเลยล่ะนางเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะรู้เรื่องซุบซิบพวกนั้นจิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงเรียบ “นางถูกเสด็จพ่อบีบบังคับถึงได้คลอดข้าออกมา นับตั้งแต่วันที่ข้าลืมตาดูโลก นางก็คิดจะฆ่าข้าทันที“ตอนข้ายังเด็กเกือบตายด้วยน้ำมือของนาง เสด็จพ่อไม่รู้จะทำอย่างไร จึงต้องเลี้ยงดูข้าเพียงลำพัง“ตอนข้าเป็นเด็กยังไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวนัก เห็นมารดาของคนอื่นรักใคร่ทะนุถนอมลูกของตนเองยิ่งชีพ ข้าก็เลยโหยหาความรักจากนาง“สุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นางยังคงเย็นชากับข้าตั้งแต่ต้นจนจบ มีอยู่วันหนึ่ง จู่ๆ นางก็หันมาทำดีกับข้า ทำขนมให้ข้ากินด้วยตัวเอง...”เ
จิ่งโม่เยี่ยลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ “ถ้างั้นก็พอแค่นี้แหละ ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่ช่วยอะไรหรอก“เพราะอย่างไรเจ้าก็ต้องจำเรื่องหนึ่งไว้ให้แม่น บนโลกใบนี้ คนที่อยากจะให้เจ้าตายมีอยู่เยอะเชียวล่ะ”เฟิ่งชูอิ่ง “......” ทำไมชีวิตนางถึงได้เศร้าขนาดนี้นะ!พวกคนในจวนสกุลหลินก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ทางฝั่งจิ่งโม่เยี่ยนี่แหละแย่ของจริง คนที่อยากจะฆ่าเขาให้ตายมีมากมายนับไม่ถ้วน นางเลยพลอยซวยไปด้วยจิ่งโม่เยี่ยถามนาง “เจ้าทำลายค่ายกลนี้ได้หรือไม่?”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า “ไม่มีปัญหา”นางกล่าวจบก็ใช้มือสร้างคาถาขณะที่ปากพึมพำบทสวดบางอย่างไปด้วย จากนั้นก็ยื่นมือออกไปด้านหน้า นิ้วชี้และนิ้วกลางเหยียดตรง ขณะที่นิ้วอื่นๆ พับลงท่ามุทราของนางวาดผ่านค่ายกลดังกล่าวเบาๆ เสียงโหยหวนแหลมแสบแก้วหูพลันดังออกมาจากในค่ายกลพริบตาต่อมา ไอสีดำสายหนึ่งก็ปรากฏออกมา จิ่งโม่เยี่ยรู้สึกตาลายไปชั่วขณะ กลางอกพลันกระตุกวูบ ก่อนภาพเบื้องหน้าจะมืดสนิทเฟิ่งชูอิ่งเห็นว่าเขาท่าทางแปลกๆ จึงใช้มีดเล่มเล็กกรีดปลายนิ้วจนเลือดแดงสดหยดออกมาก่อนจะใช้มือที่เปื้อนเลือดวาดยันต์เต๋ากลางอากาศ ยันต์แผ่นหนึ่งพลันปรากฏออกจากความว่างเปล่า ห่อหุ้ม
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท