มู่จิ่วซีถอนหายใจ จี๋เฟิงสะกดรอยตามจื่ออวิ๋นเฟยไว้ก็ดี ถึงอย่างไรตอนนี้พวกนั้นก็ลอยนวลอยู่ เป็นไปได้มากว่าหมอผีจะมาหาศิษย์พี่ท่านนี้ของเขาห้ามพลาดโอกาสจับกุมหมอผีเด็ดขาดตกกลางคืน ในที่สุดมู่จิ่วซีก็รอโม่จุนกลับมาด้วยใบหน้ามืดมน ทว่าตอนนางได้เห็นเขา ใบหน้ามืดมนก็สว่างสดใสขึ้นมา"ซีเอ๋อร์ พักผ่อนดีขึ้นไหม?" โม่จุนเผยยิ้มมู่จิ่วซีพยักหน้ากล่าว : "ข้าเดิมไม่ได้เป็นอะไรมาก เอาแต่นอนน่าเบื่อ ทำไมเจ้ากลับมาดึกดื่นขนาดนี้ คณะเจรจาแคว้นเป่ยจิ้นคงทำตัวทุเรศมากสินะ?""อานเย่กลับมาบอกเจ้า?" โม่จุนถามมู่จิ่วซีพยักหน้า : "ข้าไม่อยู่ก็ยังเป็นประเด็นจุดสนใจใช่ไหม?"โม่จุนนึกถึงคำพูดของจื่ออวิ๋นเฟย ทันใดนั้นก็กล่าวด้วยใบหน้าเกรี้ยวกราด : "เจ้าว่าจื่ออวิ๋นเฟยคนนี้สมองมีปัญหารึเปล่า?""ฮาๆๆ สมองของเขาไม่ค่อยเหมือนกับคนอื่น แต่ว่าบางครั้งก็เหมือนกับข้า นึกอะไรได้ก็พูด""เขาทำไมถึงพูดต่อหน้าคนมากมายว่าทั้งตัวของเจ้ามีแต่บาดแผล!" โม่จุนโกรธจนอยากกระอักเลือด จื่ออวิ๋นเฟยเป็นผู้ชาย แบบนี้เป็นการบอกว่ามู่จิ่วซีถูกเขาเห็นเรือนร่างทั้งหมดแล้วไม่ใช่หรือไง?"เขาเองก็ไม่ได้พูดผิด ตอนนี้ข้าถอดจนหมดก็ไม
"มู่จิ่วซี! เจ้าบังอาจ!" เสียงของโม่จุนดังจนเกือบจะฉีกพังหลังคามู่จิ่วซีรีบอุดหูและพูด : 'โม่จุน ข้าเป็นผู้ป่วย เจ้าทำกับข้าแบบนี้มันดีรึไง? อีกอย่างทำไมเจ้าถึงไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย?"โม่จุนทันใดนั้นหน้าแดง ใบหน้าของเขาเดี๋ยวมืดมนเดี๋ยวแดงก่ำ เขาถูกเย้าแหย่ไปไม่น้อย"ดื่มชาบัวหิมะสักหน่อยสิ เจ้าโมโหมาทั้งวันคงจะเหนื่อย" มู่จิ่วซีส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ไม่เคยเห็นผู้ชายเจ้าอารมณ์แบบนี้มาก่อนเขาจากนี้ไปจะเป็นผู้ชายชอบใช้ความรุนแรงรึเปล่า? ใครแต่งงานกับเขาแล้วไม่เชื่อฟัง คงได้ถูกเขาตบตีจนอนาถแน่มู่จิ่วซีหนาวขนลุกชันทันทีและมองเขาอย่างหวาดกลัวอยู่ห่างเจ้าผู้ชายชาติหมาก่อนดีกว่าถ้ายังรักชีวิตโม่จุนเห็นสายตาของมู่จิ่วซีทั้งน่าโมโหและน่าขำ นี่นางกลัวเขางั้นเหรอ? กำลังคิดว่าทำยังไงไม่ให้เขามายุ่งสินะ?โม่จุนหายใจเข้าลึกและนั่งลงพร้อมกับกล่าว : "เจ้าเองก็รู้ว่าข้าหัวเสียมาทั้งวัน อย่าทำให้ข้าโมโหอีกคนได้ไหม?""ข้าไม่ได้อยากให้เจ้าโมโห ข้าก็แค่ปากเสียไปหน่อย เจ้ากลับจริงจัง แบบนี้ทำตัวเองหัวเสียชัดๆ" มู่จิ่วซีพูดอย่างบริสุทธิ์ใจ"รู้ว่าตัวเองปากเสียก็แก้ไม่ได้รึไง?" โม่จุนกล่าวอย่
โม่จุนส่ายหัวและกล่าวจริงจัง : "ทัศนคติของเซวียนหยวนห้าวเป็นคนขี้โมโห มกุฎราชกุมารถูกทำให้พิการ แคว้นเป่ยจิ้นถ้าไม่ทำอะไรเลยคงจะขายหน้า แต่หากพวกเขาจะเริ่มสงครามข้าก็ไม่กลัว แค่อาจต้องลำบากประชาชนผู้คน""จุดประสงค์ของคณะเจรจาคืออะไร? เพื่อให้สามารถผ่านพ้นฤดูหนาวไปได้? แคว้นเป่ยจิ้นตอนหน้าหนาวจำเป็นต้องการอาหาร ดังนั้นขอเพียงปรับสมดุลเรื่องอาหารได้ เรื่องนี้ก็ไม่ได้ยากจะจัดการ อีกอย่างเซวียนหยวนห้าวและเซวียนหยวนเชาเดิมทีต่างก็แข่งขันกัน ตอนนี้เขาจะหัวเราะในใจก็ยังไม่สาย""โม่จุน ข้าเองก็ไม่ได้กลัวสงคราม แต่เจ้าก็พูดเอง คนที่ลำบากในยามศึกสงครามก็คือประชาชน กระทรวงครัวเรือนทำการปรับปรุงอาวุธ เสริมประสิทธิภาพการต่อสู้ทางทหารและผลผลิตเกษตรกรรม พวกเราต้องอดทนไปอีกสักระยะก็จะสามารถสยบได้โดยไม่ต้องรบ เมื่อเผชิญกับพลังที่แท้จริง พวกเขาก็ได้แต่ร้องขอความเมตตา"ดวงตาของมู่จิ่วซีทอประกายแสงอันเย็นวาบ : "ขอเพียงประดิษฐ์ปืนใหญ่ออกมาได้ ทั้งใต้หล้าจะสามารถเป็นของแคว้นเกาอวิ๋นได้ทั้งหมด"โม่จุนตกใจเหม่อเมื่อเห็นสีหน้ามั่นใจของนางและคำพูดอันหึกเหิมเขาไม่เคยมีความคิดจะรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งเดียว
"อันที่จริง บ้างครั้งข้าก็รู้สึกว่ามีหลายคนสมองหมาปัญญากระบือ" มู่จิ่วซีกล่าวเห็นด้วย "ไม่เข้าใจก็แสร้งทำเป็นเข้าใจ""ใช่ๆๆ สมองหมาปัญญากระบือ!" จื่ออวิ๋นเฟยกล่าวเหมือนได้ถูกปลอมใจ "คุณหนูใหญ่ ที่แท้ท่านก็ช่างโดดเด่น ว่ากันว่าคนที่โดดเด่นมักจะมีสมองความคิดไม่เหมือนคนอื่น เจ้าว่าไหม?""ใช่ หากสมองทุกคนเหมือนกัน แล้วจะแยกแยะได้ยังไงว่าใครโดดเด่นหรือไม่โดดเด่น เช่นหมอเทวดาอย่างเจ้า สมองของเจ้าจะต้องไม่เหมือนคนอื่น ไม่งั้นจะมาเป็นหมอเทวดาได้ยังไง" มู่จิ่วซีกล่าวประจบประแจง"ก็ใช่น่ะสิ ได้คุยกับคนฉลาดมันช่างรู้สึกผ่อนคลายมากเสียจริง" จื่ออวิ๋นเฟยยิ้ม "คุณหนูใหญ่มู่ เจ้าเป็นผู้หญิงฉลาดและกล้าหาญมากสุดเท่าที่ข้ารู้จัก""งั้นหรอ? งั้นนับว่าเป็นเกียรติกับข้า" มู่จิ่วซียิ้มกล่าว "ทว่าเมื่อก่อนผู้คนล้วนด่าทอว่าข้ามันไม่ได้เรื่อง ไร้การศึกษาไร้ความสามารถ สมองกลวง""ฮาๆๆ ใช่เลย ข้าตอนเด็กปรมาจารย์ก็บอกว่าข้าสมองกลวง ชอบดันทุรัง เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่ยอมแพ้" จื่ออวิ๋นเฟยยิ้มมีความสุข ใบหน้าซึ่งเย็นเป็นน้ำแข็งได้ถูกหลอมละลาย"บางครั้งอัจฉริยะกับคนบ้าก็แยกกันด้วยเส้นบางๆ คนปกติไม่มีวันเข้าใจ" ม
จื่ออวิ๋นเฟยหลังจากหลบหลังมู่จิ่วซีก็ได้กล่าวต่อ : "คุณหนูใหญ่มู่ เข้ามันป่วยวิตถาร ถ้ารักษาไม่หายก็อยู่ให้ห่างเขาหน่อยเถอะ เจ้าจะได้ไม่โดนเขาทุบตี"มู่จิ่วซีกลั้นขำพร้อมกับเอามือทาบอก หากนางยังขำหัวเราะต่อไปแผลได้ปริแน่โม่จุนสีหน้าดำมืดยิ่งกว่าฟ้าตอนกลางคืนด้านนอก"จื่ออวิ๋นเฟย เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นหมอเทวดาแล้วข้าจะไม่กล้าฆ่าเจ้าหรือไง!" โม่จุนชี้นิ้วไปทางจื่ออวิ๋นเฟยมู่จิ่วซีเลยรีบพูด : "โม่จุน เจ้าอย่าโมโห หมอเทวดาก็แค่เป็นคนตรงไปตรงมา เจ้าไม่ต้องฟังก็สิ้นเรื่อง เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ ข้ายังมีธุระต้องถามหมอเทวดาจื่อ"โม่จุนเห็นท่าทีอ้อนวอนของนาง จนในที่สุดก็หลับตาลง จากนั้นก็ลืมตาถลึงจ้องมองจื่ออวิ๋นเฟยครู่หนึ่งก่อนจะพูดกับมู่จิ่วซี : "แม้ว่าเขาจะเป็นหมอเทวดา ทว่าก็เป็นผู้ชาย ดึกขนาดนี้แล้ว มีธุระอะไรก็ไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้"มู่จิ่วซีกระตุกมุมปากและกล่าว : "ไม่เป็นไร ข้าให้เย่ฮาน ชิงเฟิงเข้ามาอยู่ด้วยก็ได้ เจ้ากลับไปพักเถอะ พวกเราคุยกันไม่ดึกมากหรอก""เจ้านั่นแหละคิดอัปมงคล ข้าเป็นหมอนะ! ชิ้วๆๆ เจ้ารีบออกไปเลย!" จื่ออวิ๋นเฟยไล่โม่จุนออกไปอย่างอารมณ์เสียมู่จิ่วซีรีบวิ่งมาอ
มู่จิ่วซีพยักหน้ากล่าว : "ข้าเข้าใจความรู้สึกเจ้าดี แต่ว่าข้าสัญญากับเจ้าได้ว่าเราหลังจากจับกุมเขาแล้วจะไม่ฆ่าเขา เพียงแต่คงไม่อาจปล่อยให้เขาทำร้ายคนบริสุทธิ์ได้อีก"จื่ออวิ๋นเฟยกล่าวอย่างลังเล : "เดิมทีข้าต้องการแลกเปลี่ยนกับศาสตร์ศัลยกรรมตกแต่ง จนกระทั่งเขามาพบข้า ข้าถึงได้รู้ว่าข้าทำไม่ได้ คุณหนูใหญ่ ข้าทำไม่ได้จริงๆ""ได้ ข้าเข้าใจ งั้นข้าจะจับเขาเอง เจ้าคงไม่ติดขัดใช่ไหม?" คำถามของมู่จิ่วซีแปลกอย่างมากจื่ออวิ๋นเฟยอ้ำอึ้ง จากนั้นก็กล่าวอย่างอักอ่วน : "แน่นอน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังหวังว่าคุณหนูใหญ่จะไว้ชีวิตเขา"มู่จิ่วซีคิดอยู่ครู่ จากนั้นก็พยักหน้าและกล่าว : "ถ้าเขาไม่ฆ่าตัวตายเสียก่อน ข้าจะพยายาม"จื่ออวิ๋นเฟยยืนขึ้นมาในทันทีและกล่าว : "มู่จิ่วซี เจ้า พวกเจ้าจับเขาได้แล้วงั้นเหรอ?"มู่จิ่วซีคงไม่พูดไม่ได้ว่าจื่ออวิ๋นเฟยฉลาดมากเมื่อครู่จี๋เฟิงได้บอกกับนางว่าจับหมอผีได้แล้ว ซึ่งจับได้ตอนสะกดรอยตามจื่ออวิ๋นเฟย เพียงแต่จื่ออวิ๋นเฟยไม่รู้ว่าพอเขาจากไป จี๋เฟิงและพวกก็เข้าจับกุมทันทีมู่จิ่วซีเอาแต่ยิ้มไม่พูดอะไรกันไปทางจื่ออวิ๋นเฟย จื่ออวิ๋นเฟยสีหน้าตกใจ ทำไมเขาถึงคิดไม่ได้ว่า
จื่ออวิ๋นเฟยกรอกตากล่าว : "ปิดบังอะไรเจ้าไม่ได้เลยจริงๆ"เขานับวันยิ่งรู้สึกว่ามู่จิ่วซีฉลาดมีไหวพริบ"ฮิๆ ของดีแบบนั้นข้าจะไม่รู้ได้ยังไง ยังมีอีกรึเปล่า?" มู่จิ่วซียิ้มอย่างเลศนัย ดูยังไงก็ล้วนเหมือนแฝงเจตนาไม่ดี"ยานี้เรียกว่ายาเทพสถิตย์ ประกอบด้วยสมุนไพรหายากหลายสิบชนิด ปรมาจารย์ให้ข้ามาแค่ 5 เม็ด ตอนนี้เหลือแค่ 2 เม็ด ส่วนยาเทพในการใช้ชีวิตของจริง ข้าเองไม่เคยใช้" จื่ออวิ๋นเฟยกล่าว"ยาเทพสถิตย์ แค่ฟังก็รู้ว่าเป็นของดี ให้ข้าดูได้ไหม?"จื่ออวิ๋นเฟยก็รีบกล่าว : "ให้เจ้ากินไปเม็ดหนึ่งแล้ว คงให้เจ้าไม่ได้อีก" ท่าทีของเขาเหมือนกับกลัวมู่จิ่วซี"อย่างกไปหน่อยเลย ข้าไม่ได้หน้าด้านขนาดนั้น ข้าแค่ขอเอามาดูศึกษา" มู่จิ่วซียิ้มแก้เขินจื่ออวิ๋นเฟยไม่เชื่ออยู่เล็กน้อย ทว่าพอเขาเห็นนางตั้งท่าว่าจะไม่ให้เขาไปไหนคืนนี้ ถ้าไม่หยิบเอายาออกมา เขาเลยต้องหยิบออกมาเขาหยิบขวดยาออกมาอย่างระมัดระวังแล้วเทออกมาเม็ดหนึ่งมู่จิ่วซีรีบเอาตัวขยับประชิดเข้าใกล้ นางหยิบยาเม็ดสีขาวเล็กๆ จากมือของเขาและรู้สึกแปลกใจอย่างมากนางเอามาวางไว้ใต้จมูกและสูดดม จากนั้นก็บ่นพึมพำในปาก ตอนท้ายยังพยักหน้าและเอายาค
"หรอ? พิสูจน์เรื่องอะไร?" จื่ออวิ๋นเฟยถูกดึงดูดความสนใจในทันที"ก็นิสัยไม่คิดจะใฝ่ดีของศิษย์น้องเจ้า ปรมาจารย์เจ้าเลยยอมให้มันหายไปกับตำนานดีกว่าจะถ่ายทอดให้กับเขาไงล่ะ แต่เจ้าในฐานะศิษย์รัก กลับไม่ตั้งใจศึกษาและยอมแพ้ ปรมาจารย์ของเจ้าคงเสียใจ" มู่จิ่วซีกล่าว "ตอนนี้มีโอกาสทำให้สำเร็จ เจ้าไม่คิดจะลองเลยจริงๆ เหรอ?""โอกาสสำเร็จอะไร? เจ้างั้นเหรอ?""ใช่ ข้าไง ข้าปรุงพิษได้เก่งกว่าศิษย์น้องเจ้า เจ้าว่ามีความหวังสูงไหมล่ะ?" มู่จิ่วซียักคิ้ว ทำท่าอวดดีอย่างกับใต้หล้านี้ไม่มีใครสู้นางได้จื่ออวิ๋นเฟยถูกนางอวดเบ่งใส่ เพราะคนที่ถอนพิษได้เก่ง แสดงว่าก็ต้องปรุงพิษได้เก่ง ดังนั้นเขาเลยเชื่อว่าความสามารถปรุงยาของมู่จิ่วซีเก่งกว่าศิษย์น้องหมอผี แน่นอนว่าเก่งกว่าหมอเทวดาอย่างเขา"เจ้ากลับไปลองคิดดู อยากให้ของดีๆ แบบนี้หายไปกับตำนานหรือไม่ ความทุ่มเทของปรมาจารย์เจ้า เจ้ายังอยากช่วยเขาสืบสานต่อไปหรือไม่?" มู่จิ่วซีกระตุกยิ้มมุมปาก ทำเอาจื่ออวิ๋นเฟยขบคิดอยู่กับตัวเองจื่ออวิ๋นเฟยกลับไปที่ห้องของตัวเองอย่างเซื่องซึมเย่ฮานและชิงเฟิงก็ได้ยิน ตอนนี้ชิงเฟิงได้กล่าวอย่างตื่นเต้นขึ้นมา : "คุณหนูใหญ่