มู่จิ่วซีในใจก็คิดว่าท่านอ๋องสี่ต้องการจะเอาเขอเข่อให้กับใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีอย่างชัดเจน นี่เป็นไปได้ว่าอาจจะเตรียมการไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วอีกทั้งเขอเข่อคนนี้อันที่จริงก็ไม่เหมือนกับหญิงสาวปกติคนอื่น มู่จิ่วซีพูดไม่ออกว่าเพราะอะไร แต่ใบหน้าที่เหมือนกับของอาจื่อถึงหกส่วนทำให้สัญชาตญาณของนางตระหนักได้ว่าที่นี่มีพิรุธให้ตายเถอะ คงไม่ใช่ว่าอาจื่อกับท่านอ๋องสี่มีความเกี่ยวข้องกันหรอกนะ?ความคิดที่ผุดขึ้นมาอย่างกระทันหันทำให้มู่จิ่วซีเองรู้สึกหวั่นเกรง เป็นความรู้สึกที่พอคิดแล้วก็หวาดกลัวบรรยากาศรอบตัวของฮั้วอวิ๋นเทียนล้วนเป็นความหนาวเย็น เหมือนกับว่าอุณหภูมิจะลดลงไปในทันที ทันใดนั้นก็เขียนลงไปในกระดาษว่า 10,000 ตำลึงทอง ทำเอามู่จิ่วซีเกือบจะตกใจจนโดดตัวลอยขึ้นมา"คุณชายถัง เจ้าตั้งใจจริงใช่ไหม ให้ราคาแพงขนาดนั้นเลยเหรอ? นี่มันเอาไปซื้อได้หลายคนเลยนะ" มู่จิ่วซีเขย่าไหล่ของฮั้วอวิ๋นเทียน"คุณชายจิ่ว ถ้าหากท่านไม่ชอบ งั้นข้าก็ขอเอาไว้เอง ขอเพียงข้าชอบ นับประสาอะไรกับแค่ทองคำ" ฮั้วอวิ๋นเทียนพูดกล่าวอย่างยโสโอหัง แต่ความเย็นเยือกในน้ำเสียงกลับสามารถฟังออกได้อย่างชัดเจน"ได้ๆๆ เจ้าชอบก
แต่นางเสียดาย แม้มู่จิ่วซีจะคิดเช่นนี้ แต่ท่านอ๋องสี่ไม่ได้คิดเช่นนั้น เขาพอเห็นคุณชายถังซื้อสาวงามไปสองคน ใบหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นอย่างมากเหมือนกับว่าสาวงามสองคนที่ถูกคุณชายถังซื้อไปกลับทำให้เขาไม่พอใจอย่างมากแต่เขาเป็นคนพูดเองว่าคนที่ให้ราคาสูงจะเป็นคนได้ไป อีกทั้งยังให้เสนอราคาได้อย่างเปิดกว้าง ดังนั้นแม้เขาจะเสียดายสาวงามทั้งสองคน แต่ก็ได้แต่จำใจขายออกไปมู่จิ่วซีเห็นว่าข้างกายของใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีไม่มีสาวงามเลยสักคน แต่เขากลับยังคงยิ้มแย้มและแสดงความยินดีกับทุกคน รวมถึงใต้เท้ากู้แห่งกระทรวงครัวเรือนก็ด้วย เขาเองก็ไม่มีสาวงาม นี่เลยทำให้มู่จิ่วซีปลื้มใจไม่มากก็น้อยข้าราชการราชสำนักจะมาทำตัวสับสนลามกไม่ได้ไม่นานนักทุกคนก็แยกย้ายกัน ฮั้วอวิ๋นเทียนหลังจากได้สัญญาทาสของสาวงามทั้งสองคน เขากับมู่จิ่วซีก็กลับทันทีแต่ว่าเขาไม่ได้กลับไปที่หอดาราจันทรา ทว่าฮั้วอวิ๋นเทียนกลับพาพวกนางไปยังเรือนเล็กอันเป็นเอกลักษณ์แห่งหนึ่งภายในเรือนเดิมทีมีคนอยู่แล้ว คงจะเป็นอสังหาหลังหนึ่งของฮั้วอวิ๋นเทียนฮั้วอวิ๋นเทียนได้ให้หญิงสาวสองคนได้เลือกห้องสำหรับพักผ่อนก่อน จากนั้นเขาก็ค่อยส่งมู่จิ่วซี
บนใบหน้าดุจปีศาจของฮั้วอวิ๋นเทียน ในดวงตาของเขาอันโฉบเฉี่ยวแฝงไปด้วยความไม่แน่ใจ ในหัวเหมือนกับนึกย้อนคิดอะไรบางอย่าง"งั้นเจ้าวางแผนจะทำอย่างไร?" มู่จิ่วซีถาม"ตอนนี้ดูแลพวกนางเป็นการชั่วคราวไปก่อนแล้วค่อยๆ คลี่คลายความจริง ตอนนี้ท่านอ๋องสี่ทำให้ข้าสนใจขึ้นมากจริงๆ" ฮั้วอวิ๋นเทียนยิ้มอย่างเย็นชาขึ้นมา"ไม่ใช่เรื่องดีแน่เลยใช่ไหม?" มู่จิ่วซีก็รีบกระพริบตากลมโตของนางปริบๆ และยิ้มกล่าวฮั้วอวิ๋นเทียนตลกกับมุขของนางและกล่าว : "ตอนนี้อันที่จริงข้ามีความรู้สึกแบบนั้น สาวงามพวกนี้ล้วนถูกฝึกอบรมมาอย่างดี อีกทั้งยังเป็นสาวงามของแต่ละแคว้น แล้วก็ยังผ่านการผ่าตัดเลียนแบบสาวงามคนอื่น นี่ถ้าหากเป็นห่วงโซ่ธุรกิจอย่างแท้จริง รับรองกำไรมหาศาลแน่""ไม่ใช่แค่กำไรมหาศาล แต่อาจสติฟั่นเฟือนด้วย ผู้หญิงพวกนี้มาจากไหนกัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าแต่ละคนล้วนเป็นเด็กกำพร้า อีกอย่างแค่มองก็รู้ว่าไม่ได้ฝึกฝนกันมาแค่วันสองวัน แต่ละคนล้วนเชี่ยวชาญฉิน หมาก อักษร วาดภาพและร้องเต้น ซึ่งนั่นจะต้องทุ่มเทพยายามอย่างมากและเวลาในการฝึกฝน"มู่จิ่วซียิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าท่านอ๋องสี่น่าสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆการฝึกฝนหญิงสาวแบบ
"เจ้ารู้จักกลับบ้านกลับช่องกับเขาด้วยหรอ?" เสียงของโม่จุนราวกับคลานขึ้นมาจากขุมนรก ดูอึมครึมและแฝงไปด้วยความโกรธเกรี้ยว"โม่จุน เจ้าอยากให้ข้าตกใจตายหรือไง!" อันที่จริงมู่จิ่วซีก็รู้ตั้งแต่แวบแรกว่าเป็นท่านผู้สำเร็จราชการแทนเจ้าผู้ชายชาติหมาคนนี้ ซึ่งเขาเป็นคนชอบทำผิดซ้ำซาก เข้ามาที่ห้องพักของนางอย่างที่ต้องรู้ว่าตอนนี้รอบด้านของจวนแม่ทัพล้วนเป็นทหารมังกรดำคอยเฝ้าคุ้มกัน ใครจะสามารถเข้ามาในห้องของนางได้อย่างสะดวกสบายขนาดนี้มู่จิ่วซีเดินมาที่หน้าโต๊ะและจุดตะเกียงน้ำมัน เห็นโม่จุนนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งของนางพร้อมกับใบหน้าดำทะมึนจนไม่อาจดำไปได้มากกว่านี้แล้วโม่จุนพอเห็นนางใส่ชุดของผู้ชายก็ชะงักไปครู่หนึ่ง"เจ้าไปทำอะไรมากันแน่?" โม่จุนขมวดคิ้วกล่าว"ข้าจะไปทำอะไรได้ แน่นอนว่าก็ต้องไปสืบข้อมูลมา โม่จุน นี่เจ้าจะยุ่งกับข้ามากไปแล้วไหม ข้าไม่ใช่พระชายาของเจ้านะ ต่อให้ใช่ เจ้าก็ไม่สามารถมายุ่งกับข้าตั้งแต่หัวจรดเท้าได้ ข้าเป็นคนนะ ข้าต้องการอิสระ ต้องการได้รับความเคารพ" มู่จิ่วซีนั่งลงและเทชาใส่ถ้วยของตนเองและดื่มลงไป"พูดแบบนี้ งั้นเจ้ายอมจะเป็นพระชายาของท่านผู้สำเร็จราชการ
มู่จิ่วซีเหลือบขึ้นไปมองเขาแล้วกล่าว : "ข้ารู้สึกว่าไม่ใช่แค่แคว้นเป่ยจิ้น แต่อีก 5 แคว้นที่เหลือก็ล้วนเป็นไปได้"โม่จุนรีบเดินมายังตรงโต๊ะด้านหน้าของนางและนั่งลงพร้อมกับกล่าว : "ซีเอ๋อร์ เจ้ารู้ไหมว่ากำลังพูดอะไรอยู่?""เจ้าเรียกข้าว่าซีเอ๋อร์ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?" มู่จิ่วซีเลิกคิ้วขึ้นโม่จุนหรี่ตาลง เพราะพอนึกถึงเมื่อก่อนที่ฮั้วอวิ๋นเทียนเรียกนางว่าจิ่วซี เขาก็แอบเนียนเรียกว่าซีเอ๋อร์ บ่งบอกว่าเขากับนางใกล้ชิดกันมากกว่าฮั้วอวิ๋นเทียนกับนางจะนึกออกได้ที่ไหนว่าผู้หญิงคนนี้กลับจับสังเกตฟังออก เพียงแต่ว่าตอนนี้มันควรจะเป็นประเด็นหรอ?มู่จิ่วซีเห็นแววตาของเขาที่กำลังจะปะทุขึ้นมาก็รีบพูดออกไป : "ข้าพูดแบบนี้แน่นอนว่ามีเหตุผล เจ้าใจเย็นลงก่อน ข้าจะบอกเรื่องในคืนนี้ให้เจ้าฟัง อันที่จริงข้าเองก็สับสนอย่างมาก"ขณะพูดมู่จิ่วซีก็เริ่มเล่าเรื่องที่ไปหอหงซิ่วกับฮั้วอวิ๋นเทียนในคืนนี้ทั้งหมดให้ฟัง นางเล่าไปเกือบครึ่งชั่วยามกว่าจะเล่าเข้าใจจากนั้นนางก็หยุดพูดและเอาแต่มองโม่จุนตอนนี้โม่จุนใจเย็นและนิ่งสงบ บรรยากาศรอบตัวล้วนหนาวเย็นมู่จิ่วซีรู้ว่าเขากำลังวิเคราะห์เรื่องที่นางเล่าให้ฟัง
เซียวหลิงเย่ว์และท่านอ๋องสี่ที่แท้ก็รู้จักกัน วันนั้นลูกชายของหวางชิวที่ไปยังร้านฮัวคายชี่ไหล สาวใช้ชิวจวี๋คนนั้นของเซียวหลิงเย่ว์ก็ไปด้วยเช่นกัน"แต่ใต้เท้าเซียวไม่ใช่ว่าสนับสนุนท่านอ๋องสามหรอกเหรอ?" มู่จิ่วซีก็คิดว่าหากใต้เท้าเซียวต้องการใช้อุบายความงามกับจักรพรรดิองค์ก่อน งั้นไม่ใช่ว่าก็ควรจะสนับสนุนท่านอ๋องสี่หรือไง?"ไม่ใช่ว่าพระมเหสีซูต่อมาได้เสียชีวิตลงหรอกเหรอ? ตอนนั้นท่านอ๋องสี่เพิ่งอายุได้ 10 ขวบ พอไม่มีพระมเหสีให้ได้พึ่งพา ใต้เท้าเซียวก็ไม่อาจทนรอได้ "มุมปากของโม่จุนก็เผยรอยยิ้มเวทนาอันโหดร้าย"ให้ตายเถอะ ใต้เท้าเซียวคนนี้แผนสูงจริงๆ" มู่จิ่วซีขอคารวะเลย นี่ไม่ว่ายังไงก็จะสนับสนุนให้องค์ชายสักคนก่อกบฏให้ได้เลยสินะโม่จุนหันไปมองนาง มู่จิ่วซีก็รีบกล่าวขึ้นมา : "งั้นท่านอ๋องสี่กับเซียวหลิงเย่ว์มีความสัมพันธ์กันเป็นยังไงบ้าง?"โม่จุนชะงักไปครู่ก่อนจะขมวดคิ้วกล่าวขึ้นมา : "ก็ปกติ เซียวหลิงเย่ว์เป็นพี่สะใภ้ของท่านอ๋องสี่ เห็นว่าก็เกรงใจกันอยู่""โม่จุน ข้าขอถามเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้าห้ามหลอกข้า" ในหัวของมู่จิ่วซีคิดถึงเรื่องนี้มาตลอด"เจ้าพูดมา ขอเพียงข้ารู้ ข้าก็จะบอกเจ้า" โ
มุมปากของโม่จุนกระตุก เขาเปิดหน้าต่างออกอย่างเชื่อฟังและกระโจนออกไปวันรุ่งขึ้น มู่จิ่วซีก็เริ่มงานอย่างไม่หยุดพัก อย่างแรกไปที่ศาลต้าหลี่เพื่อเยี่ยมเย่อู่เหิง บาดแผลของเย่อู่เหิงดีขึ้นมาแล้ว ก็แค่ไม่สามารถเดินไปไหนตามใจได้มู่จิ่วซีมองเขาทำท่าแยกคิ้วยิงฟันขณะใช้ไม้เท้าค้ำพยุงเดิน จากนั้นก็คิดประโยคหนึ่งขึ้นมาได้ว่า "แค่เดินก็ปวดไข่"ส่วนเย่อู่เหิงพอนึกได้ว่าตนเองเคยถูกมู่จิ่วซีเห็นตอนเปลือยเปล่า ใบหน้าหล่อเหลาก็ร้อนผ่าวพร้อมกับกับหน้าแดงอย่างมากเป็นครั้งคราวแต่ว่าตอนอยู่ด้วยกันกับมู่จิ่วซีเป็นเวลาที่เขามีความสุขที่สุด ไม่ว่าจะพูดเรื่องคดีหรือเรื่องงาน เขาล้วนพอใจมากทั้งนั้นแต่พอมู่จิ่วซีจากไป เขาก็เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว เขาส่ายหัวให้กับตัวเองอีกครั้ง เขารู้ดีว่าเขาชอบมู่จิ่วซีเข้าแล้วแต่พอนึกถึงช่างว่างความต่างของฐานะคนทั้งสอง นึกถึงความเป็นยอดอัจฉริยะของมู่จิ่วซี เขาต่อให้มีใจอยากจะสู่ขอนางก็ยังรู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรเลยจริงๆแต่ว่าเขาช่วงนี้ก็คงจะไม่คิดเรื่องนี้มากนัก ถึงอย่างไรมู่จิ่วซีก็เพิ่งถูกถอนหมั้นไปไม่นาน แน่นอนว่าคงจะไม่คิดเรื่องการแต่งงาน ผนวกกับแคว้นเกาอวิ๋นตอน
ภายในแววตาของหวางชิวทอประกายมืดมนขึ้นมาในทันใด แน่นอนว่าเขานั้นได้ยิน"มู่จิ่วซี เจ้าเลิกเสแสร้งเถอะ เจ้ารีบฆ่าข้าเสียเถอะ เสียดายอาหารเปล่าๆ!" หวางชิวตะโกนด้วยโทสะ"หวางชิว เจ้าคือคนของแคว้นเป่ยจิ้น สำหรับแคว้นเป่ยจิ้นถือว่าเป็นบุคคลสำคัญ ข้าตอนนี้ยังไม่รู้ตัวตนแท้จริงของเจ้า แต่ข้าเชื่อว่าจะได้รู้ในเร็วๆ นี้" มุมปากของมู่จิ่วซีเผยรอยยิ้มอันชั่วร้ายออกมา จากนั้นก็หันหลังเดินออกไป"มู่จิ่วซี หยุดก่อน เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไร! ข้าเป็นหัวหน้าของพวกไส้ศึก ข้าจะไปมีตัวตนอะไรได้อีก เจ้ามันพูดเพ้อเจ้อ!" หวางชิวทันใดนั้นก็กระวนกระวายตื่นเต้นขึ้นมามู่จิ่วซีก็หันกลับมาพูด : "หวางชิว เจ้าคิดจริงหรือว่าจับเจ้าคนเดียวจะเพียงพอแล้ว? พวกเราจับมาตั้งหลายคนแล้ว ยังไงก็ต้องมีสักคนรู้เรื่องของเจ้า มีคนบอกแล้วว่าเจ้าคือบุคคลสำคัญของแคว้นเป่ยจิ้น ดูเหมือนว่าจะพูดไม่ผิดจริงๆ""ใคร? เขามันบังอาจมาพูดไร้สาระ!" หวางชิวกล่าวอย่างเดือดดาล "ข้าไม่ใช่คนของแคว้นเป่ยจิ้น มู่จิ่วซี ถ้าเจ้ากล้าก็ฆ่าข้าเลยสิ!""ขอโทษที ข้าไม่กล้า อีกอย่างข้าอยากจะเอาเจ้าไปแลกกับของบางอย่างจากแคว้นเป่ยจิ้นมากกว่า" มู่จิ่วซีพูดจบก็กล่