"ได้! วันนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้า ขอเพียงเจ้าชนะ ข้าจะให้เจ้าได้เป็นผู้พิทักษ์เงาข้างกายของโม่จุน""คุณหนูใหญ่มู่ ท่านไม่ได้เป็นคนกำหนด" จี๋เฟิงหันไปมองโม่จุนครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวออกมาพร้อมกับอดกลั้นดวงตาที่แดงฉานโม่จุนหัวเราะยิ้มขึ้นมาและก็กล่าว : "จี๋เฟิง ถ้าหากเจ้าสามารถเอาชนะคุณหนูใหญ่มู่ได้ อย่าว่าแต่ตำแหน่งผู้พิทักษ์เงาข้างกาย ข้าจะให้เจ้าได้เป็นพี่ใหญ่ผู้พิทักษ์เงาข้างกายของข้าก็ยังได้!""ท่านอ๋อง ท่านพูดจริงอย่างงั้นหรือ?" จี๋เฟิงกล่าวขึ้นมาอย่างดีใจ ทหารมังกรดำคนอื่นก็ล้วนตกใจขึ้นมาเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างล้วนอิจฉาถึงอย่างไรการได้อยู่ข้างกายท่านผู้สำเร็จราชการแทนก็ดูน่าเกรงขามแล้ว อีกทั้งยังได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์มากมาย ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย"แน่นอนว่าที่ข้าพูดไปสามารถกล่าวได้ว่า พวกเจ้าที่นี่ทั้งหมดขอเพียงสามารถเอาประลองเอาชนะคุณหนูใหญ่มู่ได้ พวกเจ้าก็ล้วนจะสามารถเป็นผู้พิทักษ์เงาข้างกายข้าได้เช่นกัน" โม่จุนก็ได้ใช้สิ่งล่อใจนี้กับพวกเขา ทหารมังกรดำต่างล้วนถูกชักนำอารมณ์จนฮึกเหิมสายตาพวกเขาที่มองไปยังมู่จิ่วซีราวกับกำลังหมายปองหมั่นโถวร้อนๆ อย่างใดอย่างนั้น"พ
มู่จิ่วซียิ้มกล่าว : "จี๋เฟิง จริงๆ แล้วข้าสามารถโจมตีเจ้าได้ตั้งแต่แรก" มู่จิ่วซีตีไม้เรียวกับมือตัวเองและก็กล่าว "ข้าเคยบอกแล้ว ข้าเป็นแต่กระบวนท่าสังหาร ข้าสู้กับเจ้าไปตั้งหลายกระบวนท่าขนาดนั้น อันที่จริงมันไม่ควรด้วยซ้ำ"ประโยคนี้ทำให้จี๋เฟิงสีหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา"ไม่พอใจสินะ ต่อเลย แต่ว่ากระบวนท่าของข้าต่อจากนี้จะล้วนเป็นกระบวนท่าสังหาร พวกเจ้าทุกคนจับตาไว้ให้ดีล่ะ เรียนได้ก็เรียน เรียนไม่ได้ก็รู้ไว้ซะว่าตัวเองโง่มากแค่ไหน" จู่ๆ มู่จิ่วซีก็พูดขึ้นมาพร้อมกับน้ำเสียงอันคมกริบบรรยากาศอึมครึมได้แผ่ซ่านออกมารอบตัวของนาง จิตสังการที่กระหายเลือดอันรุนแรงได้ปกคุลมไปทั่วทุกบริเวณทหารมังกรดำที่อยู่ตรงนั้นต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที พวกเขาแต่ละคนมีสีหน้าซีดขาวแม้แต่โม่จุน็ยังรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่มืดครึ้ม ราวกับว่าเขาได้เจอกับศัตรูที่สุดยอดในใจของเขารู้สึกตกใจอย่างมาก บรรยากาศกลิ่นอายของมู่จิ่วซีแบบนี้สิ ถึงจะเป็นการแสดงพลังที่แท้จริงของนาง แม้ว่าเมื่อก่อนเขาจะรับรู้ได้ แต่ก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนในครั้งนี้นางเหมือนกับได้ปกครองขุมนรกไว้ทั้งหมด ส่วนนางก็คือจักรพรรดินีของขุมนรกนี้ ข
ในตอนสุดท้ายเขาถูกมู่จิ่วซีใช้ฝ่าเท้าเตะกวาด ขาเรียวยาวของนางวาดเตะออกมาตั้งฉากกลับลำตัวของนาง ตรงส่วนปลายรองเท้าได้ปรากฎใบมีดแหลมคมเฉือนไปตรงลำคอของจี๋เฟิง"พี่ใหญ่จี๋เฟิง!" หลายคนกระโจนเข้ามาช่วย พวกเขาคิดว่าจี๋เฟิงถูกมู่จิ่วซีฆ่าตายไปแล้ว"เขาไม่เป็นไร" มู่จิ่วซีปัดฝุ่นตามลำตัวและพูดออกมา "นอกจากรวดเร็ว รุนแรงและแม่นยำแล้ว ร่างกายอันยืดหยุ่นคงจะเป็นกุญแจไปสู่ชัยชนะ แล้วก็ ต้องเข้าใจอีกว่าอวัยวะส่วนไหนที่ควรจะเอามารับแบดเจ็บแทนเพื่อปกป้องชีวิต นี่เป็นวิธีช่วยชีวิตตัวเองในตอนที่วิกฤติที่สุด""คุณหนูใหญ่มู่ ทำไมบนตัวของเจ้าถึงได้มีอาวุธลับมากมาย?" บางคนที่ทั้งสงสัยและกังวลก็ได้ถามขึ้นมามู่จิ่วซีก้ยิ้มกล่าว : "ข้ากลัวตายไง ดังนั้นขอเพียงว่าซ่อนไว้ได้ ข้าก็จะซ่อนเอาไว้ตามร่างกาย เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน อีกเรื่องหนึ่ง หากตัวเองถูกจับได้ การมีสิ่งของซ่อนไว้ได้มากขึ้นแม้เพียงหนึ่งชิ้น บางทีก็อาจช่วยชีวิตเอาไว้ได้ แน่นอนว่าสามารถเอาไว้ใช้ปลิดชีพตัวเองก็ได้ เผื่อว่าจะทนการถูกทรมานไม่ไหว"มู่จิ่วซีเผยไพ่ลับก้นหีบออกมาหลายใบ แต่ว่าในผมของนางยังมีสิ่งของที่ยังไม่ถูกเผยออกมาให้เห็น นางเอ
ทุกคนทั้งตืนตระหนกและตื่นเต้น ทหารมังกรดำคนหนึ่งอดไม่ไหวที่จะถามขึ้นมา : "คุณหนูใหญ่มู่ ท่านะจะมอบของดีอะไรให้กับพวกเรางั้นเหรอ""จากที่ข้าดูแล้ว เจ้ากินแส้ของข้าก็คงพอแล้ว ยังจะคิดอยากจะได้ของดีอะไรอีก" มู่จิ่วซีกรอกตามองเขาอย่างโมโหทันใดนั้นทั้งหมดก็ต่างหัวเราะเยาะขึ้นมาหลังจากนั้น ตรงสนามนั้นก็ได้ปรากฎภาพฉากพิสดารให้เห็น ทหารมังกรดำแต่ละคนส่งเสียงร้องอย่างเวทนา พวกเขาต่างกุบบั้นท้ายหนีกันอุตลุดมู่จิ่วซีเดิมทีกำลังใช้แส้ฟาดไปที่ก้นของพวกเขา ตอนที่โม่จุนกำลังจะเดินเข้ามาก็ได้เห็นภาพฉากนี้เช่นกัน ทันใดนั้นเขาก็หันหลังกลับและเดินออกไปผู้หญิงคนนี้เป็นผู้ชายหรือเปล่า เขาทนดูไม่ไหวจริงๆทำไมนางทำอะไรถึงได้ดูห่ามขนาดนั้น? นางแปลกประหลาดมากจริงๆ ทำไมนางถึงได้แข็งแกร่งขนาดนั้น?ชั่วขณะนั้นโม่จุนก็รู้สึกว่าหากตัวเขาเองไม่ตั้งใจพยายามมากกว่านี้ ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องแพ้ให้กับผู้หญิงคนนี้แน่สนามตรงนั้นนอกจากจะมีเสียงโหยหวนออกมาแล้ว ก็ยังมีเสียงกู่ร้องยินดีออกมาด้วย เพราะในตอนสุดท้ายมู่จิ่วซีก็หยิบดาบยาวประมาณนิ้วมือซึ่งใบมีดบางเหมือนกับปีกของจั๊กจั่นมอบให้จี๋เฟิง"รู้ไหมว่าซ่อนเอาไว
"เรื่องแปลกอะไร? เจ้าอย่าบอกข้านะว่าเขาไปหาเซียวหลิงเย่ว์แล้ว?" มู่จิ่วซีคาดเดาและกล่าวออกมาเย่อู่เหิงก็รีบห่ายหัวและกล่าว : "ไม่ใช่แบบนั้นขอรับ หวางจึเย่หลังจากออกไป ภายในร้านเครื่องประดับฮัวคายชี่ไหลก็มีคนเดินออกมาคนหนึ่ง""ใคร?" ม่านตาของมู่จิ่วซีถึงกับหดลง"ท่านอ๋องสี่ขอรับ" สีหน้าของเย่อู๋เหิงดูหนักอึ้งอย่างมากมู่จิ่วซีเองก็ตกใจเหมือนกัน"เจ้าว่าใครนะ?" มู่จิ่วซีถามอีกครั้ง นางเองก็ไม่อยากจะเชื่อ"ท่านอ๋องสี่โม่อี้ซิวขอรับ" เย่อู่เหิงกล่าวอีกครั้ง อันที่จริงเขาก็แทบไม่อยากจะเชื่อ รู้สึกราวกับว่าเรื่องยิ่งซับซ้อนมาขึ้นห่างไกลจากที่พวกเขาคาดคะเนไว้อีก"เจ้าแน่ใจ? หวางจึเย่มาพบกับท่านอ๋องสี่หรือ?" มู่จิ่วซีกล่าวออกมาด้วยเสียงแหลมเย่อู่เหิงส่ายหัว : "ไม่มั่นใจขอรับ คือหวางจึเย่ออกไปได้ไม่นานนัก ท่านอ๋องสี่ก็เดินออกมา แต่ว่าร้านเครื่องประดับฮัวคายชี่ไหลเป็นของท่านอ๋องสี่ หรือว่ามันจะแค่เรื่องบังเอิญ?""เรื่องนี้มีความสำคัญมาก ไม่สามารถหาข้อสรุปแบบเลื่อนลอยได้ บางทีท่านอ๋องสี่อาจบังเอิญอยู่ที่นั่นเพื่อคิดเงินบัญชี" มู่จิ่วซีอธิบายแก้ต่างกับตนเอง "แต่หวางจึเย่ไปที่ร้านเครื่อง
ท่านอ๋องหกโม่หยวนชิงก็เห็นมู่จิ่วซีที่บังเอิญเดินออกมาพอดี เขาเผยรอยยิ้มอันตระการตาและกล่าวกับนาง : "จิ่วซี เจ้าต้องการไปที่พระราชวังงั้นเหรอ?"มู่จิ่วซีก็ยิ้มแย้มกล่าวออกมา : "ใช่แล้วล่ะ ท่านอ๋องหกมาทำไมรึ? หรือว่าเตรียมตัวที่จะมาประลองกับข้าพร้อมแล้ว?"โม่หยวนชิงส่ายหัวและกล่าว : "ยังไม่ถึงหนึ่งเดือนเลย ข้าแต่มารับเจ้าเข้าไปในวัง เจ้าทานอาหารกลางวันแล้วใช่ไหม?""ยังไม่ได้ทาน ข้าอยากจะไปร้านชานมทานอะไรสักหน่อยแล้วค่อยเข้าวัง" มู่จิ่วซีกล่าว ขณะนั้นเย่ฮานก็จูงม้าออกมาบาดแผลของเย่ฮานหายดีแล้ว ดังนั้นเขาจึงกลับมาเป็นองครักษ์ของมู่จิ่วซีอีกครั้ง แน่นอนว่ารวมถึงเหอเฟิงและหลิวฮั่ว แต่มู่จิ่วซีสั่งให้พวกเขาไปจับตาตรงปากทางของเส้นทางลับทั้งสองของที่ร้านเฟิงเหอ เพื่อเพื่อดูว่ามีผู้ต้องสงสัยเคลื่อนไหวหรือไม่"ข้าเองก็คิดแบบนั้น ข้าว่าจะไปดูร้านสี่ห้องที่เพิ่งเปิดใหม่อยู่พอดี ดูว่าธุรกิจเป็นยังไงบ้าง" โม่หยวนชิงกล่าวมู่จิ่วซีเดิมทีใจของนางไม่ค่อยสงบ ตอนนี้ก็สงบลงมาได้พร้อมกับพยักหน้า จากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทาง ทุกคนล้วนขี่ม้าโดยมีท่านอ๋องหกและองครักษ์ทั้งสองร่วมเดินทางหลังจากวนไปรอบ มู่
เขามีความคิดอยากจะเอื้อมือออกไปลูบหัวนาง แต่พอเห็นแววตาทั้งสองของโม่หยวนชิงที่ถลึงมอง เขาก็หมดอารมณ์ในทันทีในใจก็แอบด่าไอเด็กวรคนนี้อย่างไม่ได้หนักใจ"จิ่วซี เจ้าอย่าเดินใกล้กับเสด็จพี่ห้ามากนัก เขารังเกียจเจ้า" โม่หยวนชิงก็กระตุกหนวดเสือทันทีมู่จิ่วซีชะงักไป จากนั้นก็ยิ้มแย้มออกมา"ไอตัวแสบ เจ้าพูดไร้สาระอะไร หุบปาก!" โม่จุนอีกนิดก็เกือบโมโหขึ้นมา แต่ว่าประตูทางเข้าได้มาอยู่ข้างหน้าแล้วขันทีตรงหน้าประตูก็ส่งเสียงดังขึ้นมา"ท่านผู้สำเร็จราชการแทน ท่านอ๋องหก คุณหนูใหญ่มู่ได้มาถึงแล้ว!"มู่จิ่วซีพอเข้าไปก็เห็นฝ่าบาทนั่งอยู่บนพระที่นั่งมังกร พระพันปีหลวงประทับอยู่ตรงด้านซ้ายของฝ่าบาท ด้านล่างแบ่งออกเป็นสองฝั่งซ้ายขวา ทางด้านซ้ายทั้งหมดเป็นองคมนตรีของราชสำนักแคว้นเกาอวิ๋นส่วนด้านขวาคือคนของแคว้นซีเย่ว์ที่แต่งกายต่างออกไป โดยมีองค์ชายสามและองคมนตรีคนอื่นๆทั้งสามคนรวมมู่จิ่วซีก็ได้เดินเข้าไป แน่นอนว่าต้องถวายบังคมก่อนพระพันปีหลวงและฝ่าบาทเพื่อเห็นมู่จิ่วซีก็เผยรอยยิ้มออกมา ตรงจุดนี้ทำให้มู่จิ่วซีรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในทันที ต่อให้พระพันปีหลวงหลอกเงินนางอย่างไร แต่ความรักเอ็น
พระพันปีหลวงทรงดูภูมิฐานและมีน้ำใจ นางทรงยิ้มแย้มและหันไปมองท่านผู้สำเร็จราชการแทนและกล่าว : "ท่านผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าว่าไงล่ะ?"โม่จุนก็รีบกล่าวขึ้นมาอย่างนอบน้อม : "พวกเราแคว้นเกาอวิ๋นและแคว้นซีเย่ว์เป็นมิตรสหายเก่ากันมา ทุกปีที่แคว้นซีเย่ว์มาเยือนแคว้นเกาอวิ๋นก็ล้วยมาประลอง อ้างอิงกฎที่เคยใช้กันมา พวกเราก็ต้องรับคำท้าอยู่แล้ว""ฮาๆๆ ท่านผู้สำเร็จราชการแทนดูสบายอารมณ์เสียจริง ปีหน้าหนาวช่างหนาวมาก ฝ่าบาทมอบภารกิจให้ข้าต้องเอาธัญพืชไปให้ได้ หวังว่าพระพันปีหลวงและท่านผู้สำเร็จราชการแทนจะสนองความปรารถนาของข้า" องค์ชายสามยิ้มแย้มและกล่าวขึ้นมา"ข้าตอนนั้นถูกราชาหมาป่าไล่ตามอย่างหน้าสิ่วหน้าขวาน ข้าเลยทำร้ายดวงตามันบอดไปข้าง" มู่จิ่วซีจู่ๆ ก็เอ่ยปากยิ้มแย้มพูดออกมาคำพูดที่โพล่งขึ้นมาของมู่จิ่วซีทำให้คนของแคว้นซีเย่ว์ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีโดยเฉพาะอามู่ซึ่งตอนนี้แววตาสองข้างได้ทอประกายของความเหี้ยมโหด เขาถลึงจ้องมองมู่จิ่วซี"ให้ตายเถอะ ดวงตาช่างเหมือนหมาป่าจริงๆ" มู่จิ่วซีรีบถอยกลับมามานั่งอยู่ข้างๆ มู่เทียนซิงท่านพ่อของนางเอง "ท่านพ่อ เจ้าเอาชนะเขาได้ไหม?"มู่เทียนซิงก็ไอออกมาและ