มู่จิ่วซีรับรู้ถึงสายตาที่หยั่งเชิงลึกของโม่จุน นางหันไปมองเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็เผยฟันยิ้มแฉ่งให้กับเขาในใจก็คิดว่าชายคงนี้คงจะคิดฉวยโอกาสให้กับตัวนางเอง กลัวว่านางเองคงจะยิงธนูไม่เป็นสินะนางเองถ้าต้องถูกผู้ชายชาติหมดคนนี้มองจนทะลุปรุโปร่ง นางจะยังเรียกตัวเองว่าราชินีแห่งราตรีได้หรอ?"ก้อนหินเยอะแยะไปหมด พวกเราไปช่วยหยิบมาให้" มีคนกล่าวขึ้นมา ทุกคนต่างก็ช่วยกันเก็บก้อนหิวแถวนั้นจากนั้นก็มีคนเอาเป้าธนูมาวางตั้งเอาไว้ ไม่นานนักด้านหน้าของมู่จิ่วซีก็มีหินมาวางไว้กองหนึ่ง ด้านหน้าของฝนทมิฬก็มีหินกองหนึ่งวางเอาไว้เช่นกันมู่จิ่วซีหยิบหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งขึ้นมาถือและกล่าว : "ดูว่าใครเขวี้ยงโดนจุดแดงตรงกลางใช่ไหม?"ฝนทมิฬเหลือบมองครู่หนึ่งและพูดขึ้นมา : "ใช่ คุณหนูใหญ่คิดว่าระยะประมาณนี้พอจะได้ไหม?""แล้วแต่เจ้าเลย" มู่จิ่วซียิ้มกล่าว"งั้นเราก็แข่งที่ระยะ 30 เมตรแล้วกัน" ฝนทมิฬเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นมามู่จิ่วซีพยักหน้า พวกทหารย้ายเป้าธนูถอยออกไปอีกให้ห่างเป็นระยะทางประมาณ 30 เมตรระยะห่างถึงขนาดนี้ การจะปาให้โดนจุดแดงใจกลางถือว่ายากมาก การกะเรี่ยวแรงไม่อาจพลาดไปได้เลย
"เหน็บแนมเขาคนเดียวซะที่ไหนล่ะ ทุกคนต่างก็ล้วนโดนหางเลขไปด้วย""ใช่น่ะสิ พวกเจ้าบอกทีว่าที่คุณหนูใหญ่มู่พูดว่าพวกเรามันสวะ ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่าพวกเราดูจะคล้ายขึ้นมาจริงๆ""ถ้าต้องประลองกับนางพวกเรามันก็สวะจริงๆ""ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ พวกเราร่ำเรียนกันมาตั้งหลายปี ทำไมทักาะแต่ละอย่างของเราถึงเทียบกับนางไม่ติด""ที่เลวร้ายที่สุดคือ คุณหนูใหญ่มู่แต่ก่อนเป็นคุณหนูใหญ่ผู้ลากมากดีที่ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง แต่เพียงพริบตานางก็กลับมามีความสามารถหลากหลาย สั่นสะเทือนผู้คนไปทั้งใต้หล้า""ช่างอัศจรรย์""บุตรสาวของพระผู้เป็นเจ้าหรือไง""ฮือๆ พวกเราแพ้โคตรอนาถเลย...ไม่มีหน้าไปเจอคนแล้ว...""นายท่านเสียหน้าจนไม่มีให้จะเสียแล้ว"รอบด้านต่างมีเสียงดังขึ้นไปทั่ว มู่จิ่วซีได้ยินก็เกือบจะหัวเราะออกมา"เจ้ายิงธนูไม่เป็นใช่ไหม?" ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่โม่จุนมาอยู่ข้างกายนาง เสียงอันแผ่วเบาของเขาได้ดังขึ้นข้างหูของนางมู่จิ่วซีเอื้อมมืออกมาและผลักเขาออกไปและก็กล่าว : "พูดดีๆ ก็ได้ จะเข้ามาใกล้ขนาดนี้ทำไม ถ้าข้าพลาดมือไป เจ้าได้สิ้นชีพแน่"โม่จุนตกตะลึงไป จากนั้นใบหน้าหล่อเหลาเขาก็โกรธขึ้นมา
โม่จุนหันมองมู่จิ่วซี จากนั้นก็หันมองจี๋เฟิงและกล่าว : "จี๋เฟิงคือทหารมังกรดำพอจะจัดอันดับได้ว่าเป็นผู้พิทักษ์เงาแนวหน้า 20 คนแรก""20 คนแรก? แข็งแกร่งขนาดนั้นเลย?" มู่จิ่วซีหันมองจี๋เฟิงและกลับตกใจเล็กน้อยใบหน้าอันเรียบเฉยปกติของจี๋เฟิงดูเหมือนจะขยับเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองมู่จิ่วซีและกล่าว : "ได้โปรดคุณหนูใหญ่มู่สั่งสอน ข้าน้อยอย่างข้าพอจะเข้าใจถึงความเก่งกาจผู้พิทักษ์เงาของแคว้นศัตรู""พวกนั้นน่ะเหรอ เจ้าไม่ต้องไปเข้าใจหรอก ไม่ต่างกับพวกเจ้าเท่าไหร่" ประโยคนี้ของมู่จิ่วซีทำให้กลุ่มทหารมังกรดำส่งเสียงร้องระงมกันออกมาโม่จุนก็กล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ : "จากที่ข้าดูแล้ว พวกเจ้าอาจเทียบไม่ติดด้วยซ้ำ! ขายหน้านัก"โม่จุนรู้สึกชายหน้าจริงๆ เขาพามู่จิ่วซีมาที่ค่ายของทหารมังกรดำเพื่อให้นางได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งผู้พิทักษ์เงาของแคว้นเกาอวิ๋นใครจะไปคิดว่ากลับแพ้ยับเยิน อีกทั้งระดับยังห่างชั้นกันแบบต่อให้หวดม้าไล่ตามก็ตามไม่ทันประเภทนั้น มันทำให้เขารู้สึกใจหายวาบหากแคว้นศัตรูมีมู่จิ่วซี เขารู้สึกว่าเขาคงได้แต่ต้องกังวลจนผมบนหัวได้ล่วงหมดแน่แต่ที่ยังดีคือมู่จิ่วซีคือคนของแคว้นเกาอว
"ได้! วันนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้า ขอเพียงเจ้าชนะ ข้าจะให้เจ้าได้เป็นผู้พิทักษ์เงาข้างกายของโม่จุน""คุณหนูใหญ่มู่ ท่านไม่ได้เป็นคนกำหนด" จี๋เฟิงหันไปมองโม่จุนครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวออกมาพร้อมกับอดกลั้นดวงตาที่แดงฉานโม่จุนหัวเราะยิ้มขึ้นมาและก็กล่าว : "จี๋เฟิง ถ้าหากเจ้าสามารถเอาชนะคุณหนูใหญ่มู่ได้ อย่าว่าแต่ตำแหน่งผู้พิทักษ์เงาข้างกาย ข้าจะให้เจ้าได้เป็นพี่ใหญ่ผู้พิทักษ์เงาข้างกายของข้าก็ยังได้!""ท่านอ๋อง ท่านพูดจริงอย่างงั้นหรือ?" จี๋เฟิงกล่าวขึ้นมาอย่างดีใจ ทหารมังกรดำคนอื่นก็ล้วนตกใจขึ้นมาเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างล้วนอิจฉาถึงอย่างไรการได้อยู่ข้างกายท่านผู้สำเร็จราชการแทนก็ดูน่าเกรงขามแล้ว อีกทั้งยังได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์มากมาย ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย"แน่นอนว่าที่ข้าพูดไปสามารถกล่าวได้ว่า พวกเจ้าที่นี่ทั้งหมดขอเพียงสามารถเอาประลองเอาชนะคุณหนูใหญ่มู่ได้ พวกเจ้าก็ล้วนจะสามารถเป็นผู้พิทักษ์เงาข้างกายข้าได้เช่นกัน" โม่จุนก็ได้ใช้สิ่งล่อใจนี้กับพวกเขา ทหารมังกรดำต่างล้วนถูกชักนำอารมณ์จนฮึกเหิมสายตาพวกเขาที่มองไปยังมู่จิ่วซีราวกับกำลังหมายปองหมั่นโถวร้อนๆ อย่างใดอย่างนั้น"พ
มู่จิ่วซียิ้มกล่าว : "จี๋เฟิง จริงๆ แล้วข้าสามารถโจมตีเจ้าได้ตั้งแต่แรก" มู่จิ่วซีตีไม้เรียวกับมือตัวเองและก็กล่าว "ข้าเคยบอกแล้ว ข้าเป็นแต่กระบวนท่าสังหาร ข้าสู้กับเจ้าไปตั้งหลายกระบวนท่าขนาดนั้น อันที่จริงมันไม่ควรด้วยซ้ำ"ประโยคนี้ทำให้จี๋เฟิงสีหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา"ไม่พอใจสินะ ต่อเลย แต่ว่ากระบวนท่าของข้าต่อจากนี้จะล้วนเป็นกระบวนท่าสังหาร พวกเจ้าทุกคนจับตาไว้ให้ดีล่ะ เรียนได้ก็เรียน เรียนไม่ได้ก็รู้ไว้ซะว่าตัวเองโง่มากแค่ไหน" จู่ๆ มู่จิ่วซีก็พูดขึ้นมาพร้อมกับน้ำเสียงอันคมกริบบรรยากาศอึมครึมได้แผ่ซ่านออกมารอบตัวของนาง จิตสังการที่กระหายเลือดอันรุนแรงได้ปกคุลมไปทั่วทุกบริเวณทหารมังกรดำที่อยู่ตรงนั้นต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที พวกเขาแต่ละคนมีสีหน้าซีดขาวแม้แต่โม่จุน็ยังรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่มืดครึ้ม ราวกับว่าเขาได้เจอกับศัตรูที่สุดยอดในใจของเขารู้สึกตกใจอย่างมาก บรรยากาศกลิ่นอายของมู่จิ่วซีแบบนี้สิ ถึงจะเป็นการแสดงพลังที่แท้จริงของนาง แม้ว่าเมื่อก่อนเขาจะรับรู้ได้ แต่ก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนในครั้งนี้นางเหมือนกับได้ปกครองขุมนรกไว้ทั้งหมด ส่วนนางก็คือจักรพรรดินีของขุมนรกนี้ ข
ในตอนสุดท้ายเขาถูกมู่จิ่วซีใช้ฝ่าเท้าเตะกวาด ขาเรียวยาวของนางวาดเตะออกมาตั้งฉากกลับลำตัวของนาง ตรงส่วนปลายรองเท้าได้ปรากฎใบมีดแหลมคมเฉือนไปตรงลำคอของจี๋เฟิง"พี่ใหญ่จี๋เฟิง!" หลายคนกระโจนเข้ามาช่วย พวกเขาคิดว่าจี๋เฟิงถูกมู่จิ่วซีฆ่าตายไปแล้ว"เขาไม่เป็นไร" มู่จิ่วซีปัดฝุ่นตามลำตัวและพูดออกมา "นอกจากรวดเร็ว รุนแรงและแม่นยำแล้ว ร่างกายอันยืดหยุ่นคงจะเป็นกุญแจไปสู่ชัยชนะ แล้วก็ ต้องเข้าใจอีกว่าอวัยวะส่วนไหนที่ควรจะเอามารับแบดเจ็บแทนเพื่อปกป้องชีวิต นี่เป็นวิธีช่วยชีวิตตัวเองในตอนที่วิกฤติที่สุด""คุณหนูใหญ่มู่ ทำไมบนตัวของเจ้าถึงได้มีอาวุธลับมากมาย?" บางคนที่ทั้งสงสัยและกังวลก็ได้ถามขึ้นมามู่จิ่วซีก้ยิ้มกล่าว : "ข้ากลัวตายไง ดังนั้นขอเพียงว่าซ่อนไว้ได้ ข้าก็จะซ่อนเอาไว้ตามร่างกาย เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน อีกเรื่องหนึ่ง หากตัวเองถูกจับได้ การมีสิ่งของซ่อนไว้ได้มากขึ้นแม้เพียงหนึ่งชิ้น บางทีก็อาจช่วยชีวิตเอาไว้ได้ แน่นอนว่าสามารถเอาไว้ใช้ปลิดชีพตัวเองก็ได้ เผื่อว่าจะทนการถูกทรมานไม่ไหว"มู่จิ่วซีเผยไพ่ลับก้นหีบออกมาหลายใบ แต่ว่าในผมของนางยังมีสิ่งของที่ยังไม่ถูกเผยออกมาให้เห็น นางเอ
ทุกคนทั้งตืนตระหนกและตื่นเต้น ทหารมังกรดำคนหนึ่งอดไม่ไหวที่จะถามขึ้นมา : "คุณหนูใหญ่มู่ ท่านะจะมอบของดีอะไรให้กับพวกเรางั้นเหรอ""จากที่ข้าดูแล้ว เจ้ากินแส้ของข้าก็คงพอแล้ว ยังจะคิดอยากจะได้ของดีอะไรอีก" มู่จิ่วซีกรอกตามองเขาอย่างโมโหทันใดนั้นทั้งหมดก็ต่างหัวเราะเยาะขึ้นมาหลังจากนั้น ตรงสนามนั้นก็ได้ปรากฎภาพฉากพิสดารให้เห็น ทหารมังกรดำแต่ละคนส่งเสียงร้องอย่างเวทนา พวกเขาต่างกุบบั้นท้ายหนีกันอุตลุดมู่จิ่วซีเดิมทีกำลังใช้แส้ฟาดไปที่ก้นของพวกเขา ตอนที่โม่จุนกำลังจะเดินเข้ามาก็ได้เห็นภาพฉากนี้เช่นกัน ทันใดนั้นเขาก็หันหลังกลับและเดินออกไปผู้หญิงคนนี้เป็นผู้ชายหรือเปล่า เขาทนดูไม่ไหวจริงๆทำไมนางทำอะไรถึงได้ดูห่ามขนาดนั้น? นางแปลกประหลาดมากจริงๆ ทำไมนางถึงได้แข็งแกร่งขนาดนั้น?ชั่วขณะนั้นโม่จุนก็รู้สึกว่าหากตัวเขาเองไม่ตั้งใจพยายามมากกว่านี้ ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องแพ้ให้กับผู้หญิงคนนี้แน่สนามตรงนั้นนอกจากจะมีเสียงโหยหวนออกมาแล้ว ก็ยังมีเสียงกู่ร้องยินดีออกมาด้วย เพราะในตอนสุดท้ายมู่จิ่วซีก็หยิบดาบยาวประมาณนิ้วมือซึ่งใบมีดบางเหมือนกับปีกของจั๊กจั่นมอบให้จี๋เฟิง"รู้ไหมว่าซ่อนเอาไว
"เรื่องแปลกอะไร? เจ้าอย่าบอกข้านะว่าเขาไปหาเซียวหลิงเย่ว์แล้ว?" มู่จิ่วซีคาดเดาและกล่าวออกมาเย่อู่เหิงก็รีบห่ายหัวและกล่าว : "ไม่ใช่แบบนั้นขอรับ หวางจึเย่หลังจากออกไป ภายในร้านเครื่องประดับฮัวคายชี่ไหลก็มีคนเดินออกมาคนหนึ่ง""ใคร?" ม่านตาของมู่จิ่วซีถึงกับหดลง"ท่านอ๋องสี่ขอรับ" สีหน้าของเย่อู๋เหิงดูหนักอึ้งอย่างมากมู่จิ่วซีเองก็ตกใจเหมือนกัน"เจ้าว่าใครนะ?" มู่จิ่วซีถามอีกครั้ง นางเองก็ไม่อยากจะเชื่อ"ท่านอ๋องสี่โม่อี้ซิวขอรับ" เย่อู่เหิงกล่าวอีกครั้ง อันที่จริงเขาก็แทบไม่อยากจะเชื่อ รู้สึกราวกับว่าเรื่องยิ่งซับซ้อนมาขึ้นห่างไกลจากที่พวกเขาคาดคะเนไว้อีก"เจ้าแน่ใจ? หวางจึเย่มาพบกับท่านอ๋องสี่หรือ?" มู่จิ่วซีกล่าวออกมาด้วยเสียงแหลมเย่อู่เหิงส่ายหัว : "ไม่มั่นใจขอรับ คือหวางจึเย่ออกไปได้ไม่นานนัก ท่านอ๋องสี่ก็เดินออกมา แต่ว่าร้านเครื่องประดับฮัวคายชี่ไหลเป็นของท่านอ๋องสี่ หรือว่ามันจะแค่เรื่องบังเอิญ?""เรื่องนี้มีความสำคัญมาก ไม่สามารถหาข้อสรุปแบบเลื่อนลอยได้ บางทีท่านอ๋องสี่อาจบังเอิญอยู่ที่นั่นเพื่อคิดเงินบัญชี" มู่จิ่วซีอธิบายแก้ต่างกับตนเอง "แต่หวางจึเย่ไปที่ร้านเครื่อง