ในใจของมู่จิ่วซีคิดเช่นนี้ ถึงอย่างไรนางก็ยังมีเงิน 20,000 ตำลึงอยู่ในมือ สามารถเอาไปทำเรื่องบางอย่างก่อนได้ถ้าหากไม่พอ นางก็จะลากพ่อของนางหรือโม่จุนเข้ามาร่วมด้วย ถ้าหากยังไม่ไหว ก็ยังลากฮั้วอวิ๋นเทียนและพระพันปีหลวง ซึ่งล้วนเป็นคนมีเงินทั้งนั้นพอเป็นแบบนี้แล้ว นางก็จะมีร้านแฟรนไชส์ชานมในพระนคร ต่อให้มีคนเลียนแบบชานมของนาง แต่ด้วยแบรนด์ที่เปิดตัวออกไปแล้ว ก็คงไม่มีใครจะเอาลงได้และนี่ก็เป็นห่วงโซ่ในธุรกิจแรกของนาว"พวกเจาต้องเต็มใจแน่นอน ต่อให้ทำแค่ทำงานให้กับคุณหนูใหญ่พวกเขาก็เต็มใจ แล้วนี่ก็ยังเป็นเถ้าแก่และเป็นหุ้นส่วนของร้านได้ด้วย เดี๋ยวพอตอนเย็นข้าจะไปคุยกับพวกเขา" อู๋ถงกล่าวอย่างตื่นเต้น"เรื่องนี้เจ้ารับผิดชอบเรื่องรายละเอียดและทำเรื่องเอกสารด้วย ส่วนเรื่องร้านค้า ข้าจะคิดว่าวิธีเอง ไม่ตำเป็นต้องใหญ่มาก แค่ร้านประมาณนี้ก็พอแล้ว เดี๋ยวข้ากลับมาจะมาสอนอะไรใหม่ๆ ให้ พวกเราแค่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสตรีในพระนครก็ทำเงินได้แล้ว"มู่จิ่วซีรู้สึกตื่นเต้นกับการได้หาเงินเย่ฮานที่ได้ยินก็รู้เหมือนหัวสมองจะบวก เขารู้สึกเหมือนกับว่านางสุดยอดมาก คุณหนูใหญ่ของเขาก่อนหน้านี้ขาดทุนไป 25,00
"พวกเราเลิกพูดถึงเขาได้แล้ว มู่จิ่วซี เจ้าเต็มใจจะยอมเป็นพระชายาหกของข้าไหม?" โม่หยวนชิงขอแต่งงานอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวมู่จิ่วซีอีกนิดก็เกือบจะล้มตกจากเก้าอี้ นางมองไปที่โม่หยวนชิงอย่างหวาดระแวง เมื่อนางเห็นประกายตาที่ชอบนางของเขาในดวงตาทั้งสองข้างของเขาขึ้นมาจริงๆ ในใจของนางก็คิดถึงเจ้าของร่างเดิม ว่านางไปทำชั่วอะไรมา"เจ้าเองก็ชอบข้าเหมือนกันใช่ไหม ข้าเองก็ชอบเจ้า เจ้ามาเป็นพระชายาหกของข้าเถอะ" โม่หยวนชิงก็คิดว่าการที่มู่จิ่วซีลวนลามเขา จะต้องเป็นเพราะว่านางชอบเขาแน่นอน"ท่านอ๋องหก ข้าไม่เต็มใจ" มู่จิ่วซีทำสีหน้าเย็นชาและปฏิเสธไปตรงๆ"เอ้า! ทำไมล่ะ?" โม่หยวนชิงสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที สภาพของเขาเจ็บช้ำอย่างมากและไม่เข้าใจ"ท่านอ๋องหก ข้าเองเพิ่งจะถูกเสด็จพี่ห้าของเจ้าถอนหมั้น แล้วต้องมากลายเป็นพระชายาหก เจ้าไม่รังเกียจข้าทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาวหรอ""ทำไมต้องอื้อฉาว หรือว่าแต่งกับข้าแล้วทำให้มีข่าวอื้อฉาวหรือไง?""แม้ว่าเจ้าเองจะไม่ได้ขี้เหล่ แต่ข้าผู้หญิงคนหนึ่งกลับหมายปองสองคนพี่น้องอย่างพวกเจ้า แล้วยังต้องมาคลุมเครือแบบนี้อีก แบบนี้จะไม่ให้เป็นเรื่องอื้อฉาวได้ยังไง? อีกอย่างผู้
โม่หยวนชิงพอเห็นนางหงุดหงิดก็รีบเอื้อมมือไปกุมมือของนางและกล่าว : "เจ้าอย่าอารมณ์เสียสิ ก็แค่หาร้านค้าไม่ใช่หรือไง? ข้ามีร้านค้าว่างๆ หลายร้านเลย"มู่จิ่วซีมองไปที่มือของตัวเองที่ถูกกุมเอาไว้และชะงักตะลึงไปไอเด็กคนนี้ ขนาดจีบสาวยังมีลูกไม้"จิ่วซี ข้าจะพาเจ้าไปดูร้าน ถ้าเจ้าชอบ ข้าจะมอบให้เจ้าทั้งหมดก็ได้" โม่หยวนชิงพอเห็นนางตะลึงไป เขาก็คิดว่านางดีใจก็เลยเติมเชื้อไฟเข้าไปเพิ่มในใจของมู่จิ่วซีก็ตะโกนเสียงดัง 'ไอแม่ย้อย' ถ้าผู้ชายคนนี้อยู่ในยุคปัจจุบันจะต้องมีเสน่ห์น่าดึงดูดแน่นอน รูปก็หล่อ มีทั้งฐานะและเงินทอง สิ่งสำคัญคือยังเป็นสายเปย์อีกต่างหากจะมีผู้หญิงคนไหนทนได้ล่ะ"แค่กแค่กแค่ก จะพูดก็พูด มือไม้อย่าแตะต้อง" มู่จิ่วซีรีบชักมือของนางเองกลับ "เจ้ามีร้านค้าว่างจริงงั้นเหรอ?""แน่นอนว่ามี พระพันปีหลวงและก็เสด็จแม่ได้ให้รางวัลข้ามาเป็นร้านค้าหลายแห่ง แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มีความสามารถด้านการทำธุรกิจ แต่ก่อนเสด็จพี่สี่ต้องการให้ข้าขายให้กับเขา แต่ข้าไม่ขาย ก็เลยว่างไว้อยู่""เจ้าไม่ขาย?" มู่จิ่วซีเลิกคิ้ว"เจ้าอยากซื้อ?" โม่หยวนชิงก็ถามทันที"ถ้าเจ้าขายทิ้ง พระพันปีหลวงกับเ
นางก็รีบเจรจากับโม่หยวนชิง แต่ผลลัพธ์คือองครักษ์สองคนนั้นของเขากลับรั้งท่านอ๋องหกไว้ตลอด บอกว่าให้เขาเจรจากับเสด็จแม่เขาสักหน่อยก่อนคงจะดีกว่าโม่หยวนชิงถึงแม้จะพูดว่าไม่เป็นไร แต่มู่จิ่วซีก็คิดว่าเขาควรไปปรึกษากันก่อน นางก็เลยให้ท่านอ๋องหกไปหาเสด็จแม่ของเขา ถ้าเสด็จแม่ของเขาอนุญาตนางก็จะเช่า ไม่อย่างั้นขืนดันทุรังไปก็จะเกิดปัญหาวุ่นวายอีกเพื่อที่จะได้ให้มู่จิ่วซีรู้สึกดีกับเขา ท่านอ๋องหกก็เลยรีบกลับไปที่จวนเพื่อไปหาเสด็จแม่ของเขามู่จิ่วซีกับเย่ฮานก็มุ่งหน้าไปที่หอดาราจันทราต่อ ทั้งสองควบม้าเดินทางไปอย่างไม่หยุดพักพอเถ้าแก่ร่างท้วมของหอดาราจันทราเห็นมู่จิ่วซีก็เปลี่ยนท่าทีในทันทีพร้อมกับเข้ามามาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม"ข้ามาเยี่ยมคุณหนูอาจื่อ" มู่จิ่วซีพูดอย่างตรงๆ"คุณหนูใหญ่มู่ นายท่านได้รับสั่งไว้แล้ว ข้าน้อยจะไปแจ้งให้คุณหนูอาจื่อทราบ ท่านเชิญนั่งดื่มชาก่อน" เถ้าแก่ร่างท้วมพูดขึ้นมามู่จิ่วซีก็พยักหน้าและนั่งลง จากนั้นในหัวของนางก็นึกถึงเมื่อคืนวันนั้นที่ถูกมือสังหารหญิงไล่ฆ่า นางรู้สึกสังหรว่าเป็นคุณหนูอาจื่อคราวก่อนนางไม่ได้ทันสังเกตรูปร่างของคุณหนูอาจื่อ คราวนี้นาง
มู่จิ่วซีพูดประโยคนี้ออกมา อาจื่อและเสี่ยวหลันก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปหน้าของเสี่ยวหลันแดงขึ้นมา จากนั้นก็หันไปมองอาจื่ออาจื่อค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองหน้ามู่จิ่วซีและกล่าว : "คุณหนูใหญ่มู่ ถ้าอาการของข้ากำเริบขึ้นมาตอนนี้ คิดดูว่าท่านพี่ฮั้วจะทำยังไงกับเจ้า?""แหม! นอกจากเจ้าตายแล้ว เขาก็ไม่ยังไงกับข้าทั้งนั้นแหละ ทำไม? เจ้าอยากจะตายจริงๆ งั้นเหรอ?" มู่จิ่วซีไม่อยากเกรงใจอีกต่อไป"เจ้า!" อาจื่อเขม็งหรี่ตาในทันที "มู่จิ่วซี ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจนดีพอ""ข้าก็ไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจนจริงๆ รบกวนคุณหนูอาจื่อบอกให้ชัดเจนหน่อยสิ ข้ายอมรับว่าไม่ได้สนิทกับเจ้า แต่ก็ไม่เคยให้เจ้าขุ่นเคือง แล้วทำไมต้องมารีบสังหารข้าด้วย!"มู่จิ่วซีพูดประโยคนี้ออกไปตรงๆ โดยไม่ได้ลังเลใดๆ เลย นางแค่ต้องการดูปฏิกิริยาของอาจื่ออาจื่อชะงักไปทันที แต่ก็รีบพูดออกมาอย่างจริงจัง : "เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? ข้าก็แค่ไม่ชอบเจ้า ไม่อยากเห็นเจ้ามาที่หอดาราจันทรา รีบสังหารอะไรของเจ้า?"มู่จิ่วซีไม่เข้าใจว่านางแกล้งเสแสร้งหรือไม่ แต่ในเมื่อนางกระชากหนังหน้าตัวเองออกมาแล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจอีกต
"ข้ามีพรสวรรค์ทางด้านทักษะแพทย์อย่างมาก" มู่จิ่วซีกล่าว"เหอะ พูดแบบนี้ เจ้าก็คงมีพรสวรรค์ไปทุกอย่างหมดเลยล่ะสิ แข่งวาดรูปกับคุณหนูสามของตระกูลฉีก็ยังชนะมาได้" อาจื่อยิ้มเยาะเย้ยกล่าวออกมามู่จิ่วซียักใหล่และกล่าวออกมาอย่างเฉยเมย : "พระเจ้าได้ประทานพรวรรค์มาให้ข้า ข้าก็ได้แต่ต้องเต็มใจรับเอาไว้อย่างเสียไม่ได้ ข้าเองก็ไม่อยากจะโดดเด่นขนาดนั้น แต่ความเป็นจริงมันไม่ได้อยู่แล้ว ข้าถูกบังคับให้ต้องเผยความสามารถออกมา""ข้าเลยไม่อยากจะเก็บซ่อนอีกต่อไป คุณหนูอาจื่อ เจ้ามีความสามารถแข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนไว้หรอก ด้วยหน้าตาและความสามารถของเจ้า ต่อให้ไม่มีฮั้วอวิ๋นเทียน ชีวิตของเจ้าเองก็ยังคงดีมากเหมือนเดิมอยู่ไม่ใช่เหรอ?"อาจื่อหรี่ตามองมาที่นาง"มู่จิ่วซี เจ้าฉลาดมากจริงๆ เกินความคาดหมายของข้ามาก แต่ว่าข้าขอพูดกับเจ้าไว้สักประโยคว่าให้ห่างท่านพี่ฮั้วไว้สักหน่อย ไม่งั้นเจ้าเองอาจเป็นฝ่ายรนหาที่ตาย!"น้ำเสียงของอาจื่อแหลมคมและเย็นเยือก"คุณหนูอาจื่อ เจ้าควรรู้ไว้ว่าเรื่องบางเรื่องไม่ใช่ข้าอยากจะขัดขวางก็จะมาขัดขวาง ข้าให้คำสัญญากับเจ้าว่าข้าจะไม่มาหาเขาอย่างไม่มีสาเหตุ แต่บางเรื่อง
ใบหน้าวัยชราของมู่เทียนซิงก็ละอายขึ้นมา ถึงอย่างลูกสาวก็บอกเขาแล้วให้จับตาดูจินเป้ยให้ดี เฝ้าสังเกตว่าเขาติดต่อกับใคร และที่สำคัญก็คือเฝ้าสังเกตฉีเล่อฉี่และที่จวนฉีแต่ผลลัพธ์กลับไม่คารดคิดว่าจินเป้ยจะตาย นี่ทำให้เขาขายหน้าจริงๆเย่อู่เหิงรีบลุกขึ้นมาถวายความเคารพ มู่จิ่วซีก็ยิ้มออกมาเขินๆ และเรียกพ่อของนาง"ท่านพ่อ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?"มู่เทียนซิงนั่งลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้ม : "พ่อสั่งให้คนไปจับตาเฝ้าสังเกตจินเป้ยไว้ตลอดแล้วจริงๆ แต่วันนี้เช้าตรู่เขาก็ตายไปแล้ว ถูกปลิดชีพในดาบเดียว ดูเหมือนจะเป็นฝีมือคนสนิท""ไม่รู้เหรอว่าใครเข้าไปในห้องของจินเป้ย?""เฝ้าจับตาสังเกตอยู่ตลอด กลางดึกก็ไม่มีใครเข้าไป พอมาเช้าตรุ่ก็พบว่าเป็นศพไปแล้ว"เย่อู่เหิงกล่าว : "หรือว่าแอบลักลอบเข้าไปในห้องตั้งนานแล้ว หรือว่าภายในหอหล่านจวี๋มีผู้สมรู้ร่วมคิดมาโดยตลอด?"มู่จิ่วซีกุมไปที่คางของนางและก็พยักหน้า : "ก็เป็นไปได้สูง ศพของจินเป้ยล่ะ? อยู่ที่ศาลต้าหลี่?""ไม่ขอรับ ถูกเจ้าหน้าที่พระราชวังนครบาลเอาไปแล้ว แล้วก็ยังพาคนของหอหล่านจวี๋ไปสอบปากคำบางส่วนด้วย" เย่อู่เหิงกล่าว "เรื่องไส้ศึกได้ถูกเจ้าหน
ระยะเวลาเดินทางหนึ่งชั่วยาม ก็ถูกบีบเหลือเพียงแค่ครึ่งชั่วยาม เมื่อมู่จิ่วซีทั้งสามคนมาถึงวัดเป้ากั๋ว ประตูใหญ่และรอบด้านสี่ทิศของวัดเป้ากั๋วก็มีนักบวชยืนอยู่จำนวนนับไม่ถ้วนอีกทั้งในมือของนักบวชก็ถือเต็มไปด้วย ท่อนไม้บ้าง ไม้กวาดบ้างอานเย่รีบมุ่งตรงไปและลงจากม้าเข้าไปคุย : "ปรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง?""ไม่ค่อยดีนัก หมอล่ะ?" ปรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเป็นนักบวชวัยกลางคนรูปหนึ่ง ดูเหมือนว่าคนที่มาจะมีเพียงแค่สามคนซึ่งเขารู้สึกว่าแต่ละคนไม่มีใครที่ดูเหมือนหมอ เขาก็เลยรีบถามขึ้นมา"คุณหนูใหญ่มู่คือหมอที่ดีที่สุด" อานเย่กล่าวมู่จิ่วซีและเย่ฮานก็ลงจากม้ามา"รีบพาข้าเข้าไป" มู่จิ่วซีกล่าวฮุ่ยเหนิงก็ตกใจอย่างมากพร้อมกับมองไปที่มู่จิ่วซี จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและรีบวิ่งนำทางเข้าไป"ท่านอ๋องอยู่ที่ภายในห้องพัก"มู่จิ่วซีได้เห็นนักบวชออกมาจากวัดเป้ากั๋วตลอดเส้นทาง แต่ละรูปล้วนมีสีหน้าถมึงทึงและจริงจัง คงจะเพื่อปกป้องโม่จุนมู่จิ่วซีกไม่ได้มีเวลามากนักที่จะมองดูรอบๆ และรีบวิ่งเข้าไปด้านในส่วนอานเย่มีเหงื่อออกเต็มหน้าผากพร้อมกับสีหน้าซีดขาว เขาพุ่งเข้าไปเปิดประตูและกล่าวอย