“… ก็จับมันแต่ง ๆ ไป คุณจะมามากความมากเรื่องทำไม” คำพูดจาขอไปทีของนายธวัชชัย ฟังยังไงก็ไม่เป็นมิตร ไม่อ่อนโยนกับแขกเอาเสียเลย
‘ใบหม่อน’ นั่งอยู่ระหว่างกลางผู้ใหญ่ ฟังพวกเขาสนทนากัน ฝั่งหนึ่งยอมโอนอ่อนตามทุกอย่าง ต่างจากคุณพ่อคุณแม่ ใช่คนยอมเสียหน้าใครที่ไหน
อดีตคุณนายกินทรัพย์สมบัติมาตั้งแต่รุ่นทวด ดันทำธุรกิจเครื่องสำอางเจ๊งไม่เป็นท่า ยังดีที่มีบารมีของสามีเป็นทหารระดับนายพัน มีเงินเก็บ ทรัพย์สินมากพอกู้บ้านสักหลัง เลยได้ย้ายมาอาศัยอยู่ทาวเฮ้าส์เล็ก ๆ ริมชานเมือง
ถึงจะดีกว่าตอนอาศัยอยู่บ้านหลังเก่า เป็นแฟลตทรุดโทรม ไม่เหมือนกับเฟอร์นิเจอร์ของบ้านหลังนี้ดูมีราคาสักหน่อย มีโทรทัศน์หกสิบนิ้วตั้งอยู่กลางบ้าน ของสะสมเป็นเครื่องจานชามสังคโลกของคุณพ่อ ของกระจุกกระจิกของคุณแม่ ห้องครัวและพื้นที่ใช้สอยเหมาะสมสำหรับครอบครัวที่มีลูกชายสองคน ลูกสาวหนึ่งคน ด้านหน้าบ้านจอดรถยนต์ได้สองคัน
ดวงตาคู่สวยกลอกมองคนในฝั่งตรงข้าม คุณพ่อคุณแม่ของฝ่ายชายแต่งตัวดี มีสกุลรุนชาติ หิ้วกระเป๋าแบรนด์เนมสวมเสื้อผ้าไหมสีขาวสวย คุณพ่อสวมเสื้อเชิ้ตสีครีม ใบหน้าหล่อเหลาคมคายใต้แว่นกรอบหนา ละม้ายคล้ายลูกชายซึ่งยังคงไม่มา
“... ไม่ต้องห่วงนะ ต้องแต่งอยู่แล้วครับ ผมกับภรรยา ยังไงก็อยากได้หลานกับลูกสะใภ้”
“ก็ใช่ไง พวกคุณอยากได้ แต่ประเด็นคือท้องก่อนแต่ง ผมกับเมียจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน...”
“เรื่องมันผ่านมาแล้วไหมคะคุณ แล้วคงไม่ใช่ปัญหาหรอก พวกเขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน ไม่ใช่ใครที่ไหน ใบหม่อนนี่แม่ก็เห็นมาตั้งแต่ประถมฯ ลูกเป็นเด็กดี” คุณแม่ตั้งใจชมหญิงสาวที่เอาแต่ก้มหน้า คุณพ่อของฝ่ายชายเองก็รีบตัดสินใจ
“อย่างนั้นขอเป็นอาทิตย์หน้านะครับ ผมจะมาคุยเรื่องฤกษ์งามยามดี”
“ตามนั้นเลยครับ มีทางเลือกมากที่ไหน แค่ไม่ให้มันท้องไม่มีพ่อก็บุญท่วมหัวละ รีบ ๆ แต่งไปก่อนท้องมันจะใหญ่กว่านี้แล้วกัน เมียผมขี้เกียจตอบคำถามเพื่อน ญาติ ๆ เขาก็เยอะ”
ทั้งคู่ไม่มีทางยอมให้ลูกสาวเป็นขี้ปาก โดยเฉพาะคุณแม่ผู้ชื่นชอบการเข้าสมาคมเมียทหาร
ใบหม่อนรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย หลังโดนฝ่ามือพิฆาตจนได้แต่นั่งลูบต้นแขน กระทั่งตอนนี้ บนโซฟากำมะหยี่สีน้ำตาลเข้มตัวเก่าซึ่งยังดูดีเหมาะสมกับการรับแขก ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก แต่ละคนนั่งหลังตรงยังถึงกับบั้นท้ายสะดุ้ง
“...ขอสินสอดสมน้ำสมเนื้อหน่อยละกัน พวกคุณคงไม่งกเงินแค่นี้ใช่ไหม? ค่าตัวลูกสะใภ้น่ะ”
ความห้าวหาญของนายทหารใหญ่เหมือนตบหน้าครอบครัวฝ่ายชาย คุณพ่อคุณแม่มองหน้ากัน ส่งสัญญาณทางสายตาเรื่องว่าที่ลูกสะใภ้ ค่อยหันไปตอบ
“สองล้าน... พอไหวไหมครับ เรื่องฝากครรภ์ค่าคลอดอะไรต่าง ๆ ครอบครัวผมรับผิดชอบเอง ผมว่าพวกเขามีงานการทำกันแล้ว น่าจะดูแลกันได้”
“สี่ ไม่รวมทองนะคะ...” คุณแม่ยกปลายนิ้วเรียวยาวที่มีเล็บสีแดงสดสวย แยกเขี้ยวจนเห็นไรฟันขาวครบทุกซี่ “งานแต่งจ่ายกันเอง จัดกันเองนะ นี่ค่าน้ำนม แม่เลี้ยงมันมา ถึงมันจะออกไปอยู่เองตอนเข้ามหา’ลัย ยังไงแม่ก็เลี้ยงมา”
“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา ดิฉันต้องขอโทษแทนลูกชายด้วยนะคะ”
คุณพ่อฝ่ายหญิงพยักหน้า โบกมือไปมาว่าไม่เป็นอะไร พอตกลงเรื่องค่าตัวลูกสาวได้แล้ว ไม่ลืมหันไปถามเจ้าตัวที่นั่งเงียบกริบ
“ว่าไงล่ะ? โอเคไหม พอใจหรือเปล่า มีอะไรพูดได้เลยนะ”
“ไม่มีค่ะ”
ร่างบางในเสื้อยืดกางเกงยีน แต่งตัวสบาย ๆ ในสภาพอยู่บ้านสไตล์ใบหม่อน ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทุกคนเพื่อขอโทษ หลายวันมานี้ ตั้งแต่เธอตัดสินใจบอกความจริงกับพวกเขาเรื่องลูก แทนที่จะหอบท้องเล็ก ๆ หนีไปอยู่ที่อื่นเหมือนในละคร เธอเฝ้าแต่เอ่ยคำขอโทษ จนอีกครั้งสุดท้ายที่ไหว้แม่
“หนูขอโทษนะแม่ หนูไปก่อนนะ...”
“เออ... จะไปไหนก็ไป ไม่ค่อยกลับบ้านกลับช่องอยู่แล้วนี่”
คุณแม่นิดทำเป็นไม่สนใจลูกสาว ส่ายหน้าหนีไปอีกทางหนึ่งน้ำตาคลอเบ้า คุณแม่อีกคนซึ่งนั่งอยู่ในฝั่งตรงกันข้าม จึงลุกเข้ามาหาเธอด้วยรอยยิ้ม
“หนูใบหม่อน กลับกับแม่นะลูก เดี๋ยวพ่อกับแม่ไปส่ง”
คุณแม่ ‘ณิชา’ หรือคุณแม่มนบอกกับลูกสะใภ้อย่างใจดี หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอด แม้ในสีหน้าคร่ำเครียดของคนอื่นในบ้าน พวกเขาพยายามหาทางออกที่ดีที่สุด โดยไม่กดดันเธอเลยแม้แต่น้อย
“ขอบคุณค่ะคุณแม่”
“ไม่ต้องคิดมากนะลูก เรื่องแค่นี้เอง ไป ๆ ไปกัน” พูดแล้วคุณแม่ก็พาสาวท้องอ่อนลุกอย่างระวัง จับจูงมือเรียวไปถึงหน้าบ้าน ประตูรั้วบานใหญ่ติดกับสวนหย่อมเล็ก ๆ
ประจวบเหมาะพอดี รถยนต์ญี่ปุ่นห้าประตูสีดำจอดสนิทข้างกำแพงเพราะที่จอดในบ้านไม่ว่างเลยสักที่ ทั้งสามคนกำลังเดินออกไปพบชายหนุ่ม ซึ่งเปิดประตูลงมาจากรถ
“โทษทีครับ พ่อ แม่ รถติดมาก เลิกงานช้าด้วยแหละ คุยกับบ้านหม่อนเรียบร้อยแล้วนะครับ?”
“เรียบร้อยจ้ะ มาแล้วก็ไปด้วยกันนะ กินข้าวเย็นกันก่อนค่อยกลับคอนโดฯ” คุณแม่ตบบ่าลูกชายเบา ๆ สีหน้าเข้มเครียดจึงกลับมาระรื่นยินดี
“ครับแม่ ไปรถผมเนอะ ให้ลุงเขมมาขับรถพ่อกลับบ้าน...”
“เอ้า ไป ๆ กันลูก” คุณพ่อไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร ทั้งยังถูกใจลูกสะใภ้ซึ่งเป็นมิตรสหายกันมานานกับลูกชายของเขา เป็นทั้งเพื่อนรัก เพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนโรงเรียนประถมฯ
----------------------------------
ใบหม่อนคอยหลีกเลี่ยงบทสนทนากับตะวัน เมื่อเขามาส่งเธอหน้าคอนโดมิเนียม ถามว่าไม่สบายตัวตรงไหนหรือเปล่า เธอเอาแต่ปิดปากเงียบ ไม่พูดจา ไม่อ่านข้อความของเขาเหมือนเคยจนกระทั่งถึงรุ่งเช้า ดันกลับมาคิดได้ว่าควรพูดคุยกันให้รู้เรื่องดีกว่า เลยขับรถไปหาเจ้าตัวถึงบ้าน
แม่บ้านอายุห้าสิบกว่าออกมาเปิดประตูรั้วเลื่อนอัตโนมัติให้ ทักทายด้วยรอยยิ้มเชื้อเชิญเข้าบ้าน ขณะที่เจ้าของบ้านรีบออกมาต้อนรับ
“ไอ้ตะวัน... มึงมีเรื่องต้องเคลียร์กับกู” ทั้งน้ำเสียงและอากัปกิริยาแข็งกระด้าง ชายร่างสูงในเชิ้ตหล่อเหลาสีดำสนิทพลันชักสีหน้าใส่
“อะไรอีกอะ?”
“ทำไมมึงไม่ใส่ถุงวะ ความผิดมึง...”
“กูก็เมาหรือเปล่า? แล้วกูบอกมึงแล้วว่าอย่าแดก ๆ เหล้าน่ะ มึงฟังที่ไหน อย่ามาโทษกู”
“เออ... ปกติมึงไปซ่ำสาว ที่เล่าให้กูฟังน่ะ มึงไม่มีถุงยางสักอันเลยเหรอ?”
“อันนั้นไปกับสาว นี่ไปกับเพื่อน จะพกถุงเพื่อ?”
“สักอันก็ไม่มีเลย?”“มาถามเอาอะไรตอนนี้ มึงน่ะมายั่วกู เอานมมาถูอยู่ได้ ถูจนหำแข็งไปหมดเนี่ย กูล่ะอยากถ่ายวิดีโอเอาไว้ให้ดูจริง ๆ มึง...” ปลายเสียงขาดหายไปเมื่อมือเรียวยกขึ้นปิดป้องไปซะครึ่งหน้า และเพื่อให้ไอ้ตะวันหยุดพูด เธอเข่นเขี้ยวขู่ด้วยน้ำเสียงที่หลุดมาตามไรฟัน“เงียบเลยนะมึง!”เพื่อนหนุ่มยกมือทั้งสองขึ้นโบกไปมาในอากาศ ยอมจำนนแต่โดยดี เมื่อหญิงสาวอารมณ์เย็นลงยอมมอบอิสรภาพให้ หมุนตัวเดินไปทั้งหน้าตาไม่รับแขก ตะวันยังเดินตามเจ้าของแผ่นหลังบางที่แสนเย็นชาราวน้ำแข็งขั้วโลก เซ้าซี้ถามหาความสัมพันธ์ฉันเพื่อนซึ่งขาดสะบั้นลงคนหนึ่งตีตัวออกหาก ลำบากคนตามง้อ ทุกฝีก้าวของร่างสูงในเชิ้ตหล่อเหลาตามติดคนตัวเล็กอย่างกระชั้นชิด ดวงตาคู่คมเศร้าหมองเป็นกังวลติดตามใบหน้าขาวใส ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง“...ทำไมไม่รับโทรศัพท์? ไหนบอกว่าลืมไง ไหนว่าเรื่องมันไม่เคยเกิด กูกับมึงไม่เคยเมา”“...”“เอามือถือมานี่” พูดพลันคว้าโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง ตะวันรู้แม้กระทั่งว่าเพื่อนชอบยัดมือถือเครื่องเล็กเอาไว้ข้างหลัง หากว่าลงจากรถยนต์แล้วไม่ได้ไปเดินตลาดหรือสถานที่มีคนเยอะ ๆที่ผ่านมาเ
เห็นใครเขามีหลาน ก็อยากมีบ้าง เป็นเรื่องธรรมดาของคนแก่ ถึงวัยหนึ่งคงอยากอุ้มหลาน แถมทั้งคุณพ่อคุณแม่อายุห้าสิบห้าปีแล้ว ตกเย็นออกไปเดินเล่นในสวนหย่อมของโครงการหมู่บ้านจัดสรร ได้แต่มองหลานบ้านอื่นตาละห้อย“กะยึดหลานไว้เลี้ยงกันสองคนน่ะสิ...” ปากงึมงำ พอคุณแม่ออกจากบ้านไปแล้ว ร่างสูงชะลูดโน้มตัวลงตวัดข้อพับเนียนขึ้นอุ้ม พาคนที่หลับสนิทเข้ามานอนในห้องนอนของเขา บนชั้นสองของบ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่า โดยไม่ทำให้เธอตื่นหญิงสาวหลับสนิท ศีรษะซบพิงอยู่บนอกกว้าง ไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่ามีคนกำลังนั่งจ้องมอง ดวงตาคู่คมปลาบแอบแฝงประกายปรารถนา‘แอบลักขโมยหน่อย... ดีไหมนะ คงไม่ตื่นมั้ง?’ ถามในใจ ปลายจมูกโด่งเป็นสันคมซุกลงบนแก้มใสที่หยาดน้ำแห้งเหือดไปได้สักพัก ด้วยหัวใจที่เต้นระรัวแรง หัวสมองคิดถึงค่ำคืนแสนหวาน----------------------------------สองเดือนที่แล้ว...“หม่อน... มึงขยับนิดนึงดิ” เสียงแหบพร่ากระซิบบอกคนใต้ร่างที่เอาแต่หนีบขาเข้าหากัน ใบหน้าแดงซ่านส่ายไปมา เมื่อผู้ชายตัวโตเริ่มกระหน่ำจังหวะสวาทเข้าหาเธออย่างไม่ลดละ ไม่ถอยสักอึดใจ ท่อนอุ่นร้อนที่ผลุบเข้าออกทำให้เธอส่งเสียงประหลาด หัวสมองขาวโพลน ไ
ทุกวันนี้ตะวันอายุยี่สิบห้าปี เรียนจบมหา’ลัยเอกชนชื่อดังด้วยเกรดงั้น ๆ ดันได้ทำงานเป็นผู้จัดการใหญ่อยู่เต็นท์รถมือสอง เพราะเส้นสายของคุณพ่อ“ห้ามร้อง ไม่ดีกับลูก” เสียงเข้มสั่งคนที่นอนหันหลังให้ ไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย ก่อนจะผ่อนลมหายใจหนัก เขาคิดว่ามีวิธีจัดการกับใบหม่อน“ธรรมดามึงก็ไม่มีใครเอาอยู่ละ ร้องไห้ขี้มูกย้อย ยิ่งดูน่าสมเพชเข้าไปใหญ่”“กูขี้เหร่หรอ?” เธอหันกลับไปถาม เธอก็รู้ตัวว่าสวยอยู่หรอก แค่สูญเสียความมั่นใจ ยกมือจับหน้าจับตาพอเพื่อนหนุ่มทัก“เออ น่าเกลียดมาก...”“หน้ากูเลอะปะ? กูไม่ได้แต่งหน้าเยอะเลยนะ แค่รองพื้นกรีดตาเบา ๆ เอง”ถ้าเป็นเมื่อก่อน ใบหม่อนคงโดนด่าว่า ‘เชี้ย! แล้วมึงจะร้องทำไม ร้องหาพระแสงอะไร’ ตะวันกลับถ้อยทีถ้อยอาศัย เดินไปหยิบกระจกกรอบไม้ขนาดพอดีมือมาถือ เพื่อให้อีกฝ่ายมองภาพสะท้อนในนั้นเอาเอง“แหกตาดูเอา”“เชี้ย... น่ากลัว” คนสบถเบิกตากว้างมองผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ขอบตาบวมช้ำหลังผ่านการร้องไห้อย่างหนัก บนหน้าอกยังเหมือนกับว่าจะมีรอยจ้ำแดง สภาพเธอยังกับโดนข่มขืน! ทั้งที่แค่ตื่นมาร้องไห้แล้วนอนต่อร่างสูงล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างเดิม ข้างหญิงสาวที่ไม่ได้ถือตัวก
แปลก... ประหลาด...ตะวันเอาอกเอาใจผิดปกติ!ในสีหน้าสงสัยระคนค้างคาใจว่าอีกคนเป็นอะไร เขาไม่เหมือนหนุ่มห้าวหาญที่เคยรู้จัก ยังสบตาเธออย่างจริงจังจริงใจ ผิดจากตะวันคนเดิม“เมื่อยใช่ไหม? รองเท้าน่ะ” พูดพลางก้มตัวลงนั่งถอดรองเท้าให้ สองเท้าเปลือยเปล่าสัมผัสพรมเย็นเฉียบ เย็น... ยิ่งขึ้นไปอีกพอชายหนุ่มไปคว้าเก้าอี้มาให้เธอนั่งดวงตาคู่สวยคอยมองตามทุกกิริยา มือหนาจับข้อเท้าขาวสวยอย่างอ่อนโยน หมุนไปมาเบา ๆ ไม่ให้เธอรู้สึกเจ็บแม้สักน้อย ค่อนข้างสบาย...“ทำอะไรน่ะ?”“นวดให้ไง...”“เอ้อ... ทำตัวแปลก จังเลยนะ”“หม่อน... เป็นเมียตะวัน เป็นแม่ของลูกตะวัน ก็ต้องดูแลดี ๆ”‘แล้วจะให้ทำหน้ายังไงดีล่ะ ทำตัวยังไงดี’ใบหม่อนไม่ได้พูดออกไป เมื่อรอยยิ้มจริงใจบนใบหน้าหล่อเหลาทำใบหม่อนรู้สึกขนลุกขึ้นมา พอเขายิ้ม นวดข้อเท้าให้เธอ เลยเลือกที่จะเบือนหน้าหนีพ่อของลูกไปอีกทาง----------------------------------เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อก่อนเธอเป็นเด็กสาวที่โดนบูลลี่เป็นประจำน่ะสิ พอได้มาเป็นเพื่อนกับตะวัน อย่าว่าแต่รอยขีดเขียนบนโต๊ะว่า ‘อีแรด’ สารพัดเรื่องราวที่พวกขี้อิจฉาสามารถจะสรรหามาแกล้งเธอได้ ไม่มีให้เห็นอีก บรรดา
น่าตกใจกว่าอาหารหน้าตาน่ารับประทาน เป็นคำเรียกที่เปลี่ยนแปลงไป ตะวันดูสุภาพนุ่มนวล เหมือนตอนพูดจากับสาว ๆ ใบหม่อนนั่งลงชิมฝีมือของเขายังเผลออุทานออกมาอร่อย มันอร่อยมาก! เธอไม่คิดว่าลูกคนรวย มีแม่บ้านคอยจัดการงานให้ทุกอย่างจะทำอาหารเป็น ปลาทูนึ่งมะนาวแกะก้างปลาออกให้เรียบร้อย รสชาติไม่เปรี้ยวจนเกินไป ไม่เผ็ดจัดจ้านมากไป เอาใจคนท้องที่อาจจะมีปัญหาเรื่องกรดไหลย้อนในอนาคต“ไม่น่าเชื่อเลยอะ เป็นเพื่อนกันมาเป็นสิบปี ไม่เคยกินฝีมือมึงได้ไงวะ”“ไม่เคยทำให้ใครกิน ปกติทำเองกินเอง นักเลงไง”“จริง ๆ ก็งกหรือเปล่า ทำเองกินเอง กินคนเดียว กะไม่แบ่งใครล่ะสิ”“เอ้อ นั่นแหละ อย่างที่มึงว่า กูงก ของซื้อมา นั่งกินคนเดียวอร่อยเหาะ ไม่มีใครแย่ง” แล้วคนพูดก็หัวเราะ มองชามข้าวสีขาวลายกระต่ายน่ารัก เห็นภรรยาก้มหน้าก้มตาตักข้าวหอมมะลิอุ่นเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย“แต่ว่าต่อไปนี้จะทำให้หม่อนกับลูกกินบ่อย ๆ เลยนะ”หญิงสาวหน้าตะลึงงัน เรียกเสียงหัวเราะจากว่าที่คุณพ่อ“โธ่... ใบหม่อน ดูทำหน้าเข้า กินไป ๆ เหอะ กินให้อิ่มนะครับ”ตะวันแสนเป็นกันเองแถมพูดจาไพเราะขึ้น ไม่วางบุคลิกเหมือนเป็นเพื่อนสนิทกัน ยังนั่งดูเธอทานข้า
ร่างสูงในเชิ้ตหล่อเหลาสีครีมอ่อนเปียกชื้นเหงื่อ ชักชวนภรรยาให้นั่งลงบนโซฟาเพื่อที่เขาจะไปชงชามาให้เธอดื่มใบหม่อนหย่อนนั่งรอบนโซฟาในห้องรับแขกได้สักพัก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งข้อความหาเพื่อนสาว แต่พอเห็นว่าอีกคนก็ยังไม่ออกมา เธอจึงชะโงกคอมองหา ลุกขึ้นไปเปิดลูกบิดประตูห้องครัวหาคนที่เพิ่งจะถอดเสื้อโยนทิ้งลงพื้นมัดกล้ามที่ไล่เรียงกันอย่างสวยงามลงตัวถึงหน้าอกแน่นขนัดทำเอาเธอจ้องเขม็ง หากพอมุมปากหนาหยักได้รูปฉีกยิ้มออกมา จึงรีบส่ายแก้มแดง ๆ หนี“ถอดเสื้อทำไมเล่า”“ร้อน...” พูดพลางส่งแก้วชาอุ่นร้อนให้พร้อมจานรองถ้วยลายน่ารัก ปลายนิ้วเรียวยาวยังเชยคางมนขึ้นให้เธอมองหน้าเขา เพราะกลัวว่าจะทำแก้วน้ำร้อนหกท่าทีเขินอายนั้นทำให้ตะวันได้ใจใหญ่ ถึงเมียไม่ยอมเข้าใกล้ แม้แต่จะพูดจากันยังเว้นระยะห่าง เขายืนมองเธอจิบชาได้ไม่กี่คำ รับถ้วยไปวางบนเคาน์เตอร์ครัวค่อยหันกลับไปคว้าเอวบางเข้าหมับ คนในอ้อมแขนสะดุ้งตกใจ“ผัวทำหน้าที่ทุกอย่างแล้ว เมียไม่ทำหน้าที่...?” เลิกคิ้วถามคนที่เงยหน้าขึ้นมองตามรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ตรงมุมปาก ใบหม่อนไม่ทันตั้งรับการรุกของสามี“พูดอะไรของมึง เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องทะ
ลูกยังไม่ได้ยินเสียงของเขาหรอก...สักประมาณห้าเดือน เด็กน้อยถึงสามารถรับรู้ได้ถึงเสียงของโลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเสียงเพลงหรือเสียงของคุณพ่อตะวันอ่านหนังสือเกี่ยวกับทารกในครรภ์มาพอสมควร และทั้งที่รู้อย่างนั้น เขายังพยายามพูดคุยกับเจ้าตัวเล็กในท้อง หยอกคุณแม่เล่นเป็นประจำคืนก่อนเขาไม่ได้ล่วงเกินภรรยา เพราะเห็นว่าเธอยังไม่พร้อม ปล่อยให้นอนหลับสบายจนสาย ก่อนออกไปทำงานเงียบ ๆ ในวันหยุดอยู่บ้านเขาก็ลุกจากเตียงก่อน หุงหาอาหารวางไว้บนเคาน์เตอร์ครัว นั่งดูโทรทัศน์รอในห้องรับแขก กว่าที่คุณแม่จะงัวเงียตื่นเดินมาหา“มึง...” เสียงหวานเรียก ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นจากนิตยสารที่นั่งอ่านอยู่สักพักบนโซฟาสีดำสนิท หญิงสาวหน้าชะงัก ยืนขาแข็งไปเสียอย่างนั้น“เอ้อ... ตะวัน เรามีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย”“ครับเมีย นั่งสิ...”ร่างสูงในชุดอยู่บ้านตบที่นั่งเบา ๆ เป็นเชิงเรียก ภรรยาก็นั่งลงข้างกันใบหม่อนเริ่มสวมชุดคลุมท้อง เป็นเสื้อตัวหลวมโพรกความยาวถึงหัวเข่า เธอดูกล้า ๆ กลัว ๆ ในความสัมพันธ์ฉันเพื่อนซึ่งเคยแน่นแฟ้น เธอทำตัวห่างเหินมากขึ้น ยังบอกกับเขาไปตรง ๆ ว่าทั้งเธอและเขาควรเปลี่ยนคำที่ใช้เรียกตัวเอง หลังแต่งงา
ใบหม่อนคงต้องยอมรับว่ามันดี ดีไปหมดทุกท่าที่เขาขยับ มือที่จับ ริมฝีปากที่บรรจงจูบ อ้อมแขนที่ตระกองกอดเธออย่างแสนรัก ถึงแม้ว่าเขายังไม่ได้สานสัมพันธ์กับเธอ เมื่อโทรศัพท์เจ้ากรรมดันส่งเสียงดังซะก่อน แต่นั่นคงไม่ขัดจังหวะมากมายนักในเมื่อเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เธอกับสามีไม่มี Plan จะออกไปไหน โทรสั่งอาหารมาทานกันที่บ้านหญิงสาวยังคงไม่หิวเพราะเพิ่งทานข้าวเช้าไป เธอเห็นตะวันคุยโทรศัพท์กับลูกน้อง เหมือนกับว่าอีกฝ่ายไม่อยากจะวางสาย แต่สามีเธออยากวาง“สงสัยอะไรโทรไปถามพี่ปิ๋วก่อนนะครับ วันนี้วันหยุดพี่ อยู่บ้านกับเมีย” น้ำเสียงห้วน ๆ บอกว่าเขาไม่อยากทำงานล่วงเวลา อยากมีเวลาส่วนตัวบ้าง แม้นั่นจะเป็นไปได้ยากในความเป็นจริง ตะวันทำงานจันทร์ถึงศุกร์ กลับถึงบ้านก็เกือบสองทุ่มแล้วใบหม่อนไม่คิดก้าวก่ายเรื่องในที่ทำงานของสามี แต่พอเขาวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะกระจกใส หน้าโซฟาที่นั่งอยู่ด้วยกัน เธอตัดสินใจถาม“น้องที่ทำงานเหรอ?”“อืม... เด็กจบใหม่ ไม่ค่อยรู้เรื่องน่ะ” ตอบแล้วตะวันท่าทางดีใจขึ้นมา “หวงเหรอ?”“หวงทำไมล่ะ”“หวงสิ ต้องหวง มีผัวหน้าตาดี ควรจะต้องหวง”ดูพูดเข้าสิ ยกหางตัวเองอีกต่างหาก! ใบหม่อน
ถึงแม้ว่าเธอยอมมอบหัวใจให้เขาแล้วก็ตาม ไม่มีวันไหน ที่เขาจะรักเธอน้อยลงสักวันเรือนไทยยกสูงด้านในเป็นเวลาของผู้หลักผู้ใหญ่จับกลุ่มพูดคุยกัน บ่าวสาวขอตัวออกมายืนสูดอากาศด้านนอก หญิงสาวยังอยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายตัวโต อุ้มประคองเธอออกมาวางลงบนพื้นหญ้าด้านหน้าอย่างระวัง ถอดรองเท้าส้นเตี้ยให้ใส่เป็นรองเท้าแตะแทน ยังกำชับบอกว่าจะไม่ดีต่อลูกน้อยไม่ควรยืนนาน ๆสักพักหนึ่งเขามองเข้าไปในบ้าน แผ่นป้ายติดดอกไม้น่ารักด้านบน “ผมเคยมองป้ายแต่งงานของพวกเขา จินตนาการอยู่ว่าอาจเป็นชื่อของเรา”“เห็นค่ะ... ตาเยิ้มเชียว แหม่มเลยยอมไปกินหูฉลามด้วยไง แหม่มไม่ไปอาฟเตอร์ปาร์ตี้ ท่าทางน่าสนุกจะตาย”“แล้วหูฉลามอร่อยไหม?”“คนพาไปอร่อยกว่า...”“อ้อ ยังไงก็ขอบคุณที่รับรักคุณอคินนะครับ... ครูแหม่ม” เขายิ้ม มือโอบเอวบางเข้าแนบชิดสะโพก ก้มหน้าลงมองชุดไทยสีขาวคาดสไบทอง เครื่องประดับสะท้อนแสงอาทิตย์ยามสาย ใต้ต้นไม้สูงใหญ่ใบหน้าหวานงามแต่งแต้มเครื่องสำอางเบาบาง ทว่าริมฝีปากสีแดงสดเข้ากับชุดสวย เธอระบายยิ้มอ่อน“แหม่มชอบคุณก่อน คอยเฝ้าไปถามหาหนังสือประหลาด ๆ ก็แค่ข้ออ้างของแหม่ม แหม่มจะเอาหนังสือภาษามือสำหรับเด็กไปทำอะไร
ใบหน้างามระรื่นอารมณ์ดี แค่เจอโทรศัพท์เครื่องเดียว หญิงสาวรีบเปิดตู้เสื้อผ้า สวมเดรสลายดอกไม้มีสม็อคเอวน่ารัก ออกจากห้องไปซื้อของเข้าบ้านมาใส่ตู้เย็นเอาไว้ เผื่อแฟนหนุ่มกลับบ้านมา จะได้มีขนมปังมีข้าวรองท้องเสียหน่อย“น่าหมั่นไส้ ตัวลืมเรื่องของเราแล้วสิ เราสนิทกันขนาดไหน” บ่นพลางอมลมไว้ในแก้มป่อง คนถือถุงพะรุงพะรังเดินตามหญิงสาวที่นำหน้าเข้าลิฟต์ไป ปลายนิ้วเรียวกดเลข 15 ก่อนจะหันไปบอกกับพี่ชายซึ่งอยู่กันตามลำพัง“คนเราต้องโตไหม มิกกี้... ไม่เอานะ ไม่คิดมาก”เธอยอมเป็นฝ่ายง้อพี่ชายฝาแฝดก่อนวันนี้ ส่งยิ้มหวานให้ มือข้างหนึ่งเลื่อนไปกุมมือหนา ชายหนุ่มไม่ถนัดมือที่จะกุมน้องสาวก็ย้ายของไปถือไว้อีกข้างทั้งหมด เพื่อสอดประสานปลายนิ้วเข้าด้วยกันเหมือนอย่างเคย“เค้ายังรักตัวเหมือนเดิมนะ ตัวเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ เป็นคนที่เกิดมาด้วยกัน เค้าจะเป็นแม่คนแล้วนะ ตัวต้องดีใจสิถึงจะถูก”“I love you too Anika...”แววตาซึ่งเต็มไปด้วยความโหยหาอาทรสบประสานกัน สองพี่น้องได้ปรับความเข้าใจ บีบมือกันและกันแน่น ประตูลิฟต์เปิดอ้าออกกว้าง พร้อมความรู้สึกใหม่ ๆ ซึ่งยังคงเหมือนเดิม และแตกต่างไปในขณะเดียว----------
ว่าที่คุณพ่ออ่อนโยนกว่าที่เธอคิด เขาลิ้มชิมเรือนร่างอย่างนิ่มนวลกระทั่งเต้าตึงซึ่งขยายใหญ่กว่าเดิม แทรกกายเข้าหาเธออย่างเร่าร้อนทว่าโอนอ่อนตาม บนโต๊ะกินข้าวก็ใช่ว่าจะไม่เคย ไม้สีดำแข็งแรงทนทานสมราคาคุยของเซลล์ขายเฟอร์นิเจอร์ หลังจากที่เจ้าของห้องเพิ่งถอยมาใหม่ เพราะตัวเก่ามันหัก!ผู้ชายตัวโตใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก อย่างไม่น่าเชื่อเลยว่า...พ่อหนุ่มเอวดุจะกลายเป็นพ่อหนุ่มเอวหวาน สองขาเรียวที่โอบรัดรอบเอวสอบ ขยับเบา ๆ หมุนวนเป็นวงกลมแต่ทำให้เธอรู้สึกถึงความล้ำลึกอัณณิกาก็คงไม่ไหว ร่างกายส่ายเร่า ส่งเสียงครวญครางปานขาดใจ เพราะติดใจสามีคนใหม่คนเดิม“คุณอคิน อ๊าาย!” เสียงหวานหวีดร้อง สะโพกงามกระตุกเกร็งเมื่อเดินทางมาสุดทางฝัน เธอหายใจหอบโยนทว่าตะโบมจูบริมฝีปากหนาหยักได้รูปช่องทางรัดร้อนกระตุกเป็นจังหวะ เร็วแรง ทำให้เรือนกายกำยำรุ่มร้อนราคะกัดกรามแน่นเป็นสันนูนอคินฟุบหน้าลงบนไหล่มน ฝังกายแกร่งครั้งสุดท้ายเพื่อปลดปล่อย ราวกับว่าเขาพร้อมละทิ้งทุกสิ่งอย่าง แม้ทำได้เพียงตัวสั่นเป็นลูกนกตกรังในอ้อมแขนเล็ก ๆ ส่งเสียงคำรามราวสัตว์ป่าออกมา ทันทีที่การบีดรัดคลายตัวลง สองขาเรียวไขว้กันเหนือแ
ภาพขาวดำซึ่งเจ้าตัวที่ขยับไปมา ถีบแขนถีบขาวุ่นวายกับร่างกายตัวเองซึ่งยังไม่สมบูรณ์ดี เลขด้านบนสุดของจอ 12w6d ประมาณสิบสองสัปดาห์หกวันสาววัยห้าสิบกว่าตะลึงงัน ประคองจับแท็บเล็ตด้วยมือทั้งสองข้าง หรี่ตามองดูให้ชัด ถึงแม้ว่าจอสี่เหลี่ยมขนาดสิบนิ้วกว่า ใหญ่พอที่จะมองภาพได้อย่างชัดเจนคุณแม่ป้อมดูวิดีโอสั้น ๆ เรียงกันหลายตอนจบแล้วกลับหันมาจ้องลูกชายตาเขม็ง“ไม่ดีใจเหรอ?” ถามหน้าเหลอหลา ด้วยสายตาที่ดุดันก้าวร้าวของหญิงตรงหน้า ไม่ได้ตั้งตัวก็โดนฝ่ามือพิฆาตเข้าบนต้นแขนเป็นล่ำสันเพราะว่าใกล้มือที่สุด ถึงลูกชายจะมีมัดกล้ามแข็งแรง คุณแม่ก็ไม่คณนามือจนเจ้าตัวต้องร้อง“โอ๊ยแม่! ตีผมทำไมอะ ผมตั้งใจมากเลยนะ เห็นแม่บ่นว่าอยากได้หลาน เมื่อไรลูกชายจะมีเมีย ผมตั้งใจกินแต่ของดี ๆ ขยันทำการบ้านมากเลยนะแม่”“หลานก็ส่วนหลาน แต่แก... มันน่านักนะ!” เสียงตะคอกว่าก่อนจะลดเสียงลงเพราะกลัวใครมาได้ยินเข้า หญิงสาวรีบเข้ามากอดแขน“คุณแม่คะ... หนูลืมกินยาเองค่ะ อย่าตีพี่เขาเลย”“ตกลง... ลืมหรอ?”หญิงสาวส่ายหน้า ขยิบตาส่งสัญญาณให้เขาบอกว่าให้รับคำแก้ตัวของเธอหน่อย จะได้ไม่ถูกคุณแม่ตีจนแขนแดงไปหมด ชายหนุ่มไม่ได้สนใจเพ
‘เอ๊ย! มิสแว่น ๆ’‘ลุกเร็วมึง!’‘ยังไม่เลิกเรียนมานั่งร้านกาแฟได้ไง!’เสียงหวานใสของครูสาวผมฟู แว่นหน้าเตอะ ดังก้องเข้ามาในหัว ขนาดว่าเธอตะโกนอย่างดุดันที่สุดแล้วกลับไร้ซึ่งความน่ากลัว จะว่าดุก็ยังไม่ได้เลยเด็กหนุ่มวิ่งหนีคุณครูสาว ตะโกนเรียกมิสแว่น ๆ อะไร ๆ ทำไม ๆ แก๊งเด็กแสบที่ถึงจะสวมกางเกงน้ำเงินแต่หน้าตาเอาเรื่องเอาราว เกินกว่าครูตัวเล็กนิดเดียวจะรับมือไหว คุณครูยังทำกาแฟหกใส่เสื้อหนุ่มในร้านกาแฟ ล้มหน้าคะมำ!อัณณิกาสารภาพความในใจว่าเธอซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากเมื่อได้รับน้ำใจจากเขา ไม่ใช่เพียงผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ในวันที่ไม่ได้ดูแลตัวเองจนดูสวยเท่านี้วันนั้นอคินไม่ถือโทษโกรธเธอเรื่องกาแฟ จับตัวเด็กแสบได้ สั่งสอนแทนคุณครู แต่ละคนเงยหน้ากันแทบไม่ขึ้น‘ไม่เป็นไรนะครับ ครู...’เขาพูดเท่านั้น คุณครูไม่ได้บอกชื่อเสียงเรียงนามกับเขาเลย ทำให้จำครูแหม่มไม่ได้อคินไม่คิดว่าเธอยังคงเก็บของเล็กน้อยเอาไว้ ตัวเขาเองก็ไม่คิดอะไรจนพบเธออีกครั้งหนึ่ง มายืมหนังสือ มาคืนหนังสือ เขาเห็นหน้าเธอบ่อยขึ้น มาก ๆ เข้าก็เริ่มหลงใหลในความน่ารักอ่อนหวานของหญิงสาวตรงหน้า“แหม่ม... ดีใจจังค่ะ ขอบคุณที่ดูแลแหม่ม
งอนกันไปงอนกันมา วันต่อมาก็หายโกรธ ความสัมพันธ์ของเธอและเขาไม่ซับซ้อน สามารถนั่งพูดจากันอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมเมื่อกลับบ้านด้วยกัน เขาพูดกับเธอเรื่องพี่ชายว่าเขาไม่ชอบ เธอก็จะพยายามวางตัวให้ดีกว่านี้เย็นนี้เธอมารอพบเขาหน้าห้องสมุด ใต้ร่มไม้ใหญ่บนม้านั่งหินตัวเดิม สวมเดรสสีขาวสะอาด เข้ารูปสมส่วน แต่งหน้าบาง ๆ เข้ากับลิปสติกสีชมพู“รอนานไหม?” เป็นคำถามแรกของคนที่ถือน้ำหวานชื่นใจติดมือมาพร้อมกับกระเป๋าหนัง มือส่งให้หญิงสาวที่ดูมีน้ำมีนวลขึ้นเล็กน้อย เธอรับแก้วน้ำไปดื่ม แก้วพลาสติกใสมีหลอดมองดูเหมือนจะเป็นน้ำหวานทั่วไป“น้ำนมข้าวโพดหรือคะ?”“ครับ ซื้อมาตอนพักกลางวัน บำรุงแฟนหน่อย”คนได้ยินหยิบหลอดเข้าปากชิมน้ำอร่อยไปหนึ่งคำ รสชาติไม่หวานมาก ขณะร่างสูงในเชิ้ตหล่อเหลาสีกรมท่านั่งลงข้างเธอ ตั้งใจจะนั่งคุยกับแฟนสักหน่อย“ช่วงนี้เลิกงานเร็วหรือครับ?”“ค่ะ เดือนนี้งานไม่ยุ่ง แต่ว่าเดือนหน้าเลิกช้าแล้วนะ”“ไม่เป็นไร ผมจะไปรอแหม่ม... เหมือนเดิม” ปลายเสียงย้ำชัด กระทั่งแววตาเอ็นดูเห็นเธอดื่มน้ำจนหมดแก้วอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ลืมถามถึงมาสเซอร์หนุ่ม “เย็นนี้มาสเซอร์มิกจะมาชวนดูหนังอีกหรือเปล่า?”“ไ
นาฬิกา กระเป๋า รองเท้า ของป๋าสายเปย์ เหมือนเกทับเดรสลายดอกไม้ตัวสวยที่ตากอยู่บนราวตากผ้าริมระเบียง กลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มเป็นฝีมือของพ่อบ้าน ซักตากเสื้อผ้าให้ในระหว่างเธอออกไปทำงาน แต่เป็นวันหยุดของเขาอัณณิกาสังเกตว่าเสื้อผ้าตัวไหนที่พี่ชายฝาแฝดซื้อให้มักหลบอยู่ในซอกมุม ถึงเก็บเข้าตู้เสื้อผ้าพับวางอย่างเรียบร้อย ก็พับซ่อนเอาไว้ แขวนไว้ด้านในสุดเหมือนจงใจให้เธอไม่หยิบมันขึ้นมาสวมเธอไม่ได้ต่อว่าผู้ชายขี้หวงทั้งที่รู้ว่าเขาน่ะคิดอะไร เพราะเวลาที่มีสาว ๆ มาเจ๊าะแจ๊ะบรรณารักษ์หนุ่มฮ็อตเนิร์ด โดยเฉพาะนักศึกษาฝึกงาน เธอแอบหวงเขาอยู่เหมือนกันวันนี้เธอเลิกงานไวสักหน่อย เดินเลาะริมทางเท้าไปถึงแล้วก็นั่งรอบริเวณม้าหิน ใกล้กับลานจอดรถยนต์ มองเห็นประตูกระจกอัตโนมัติเปิดอ้ากว้าง และปิดลงพร้อมแอร์เย็นฉ่ำจากด้านใน ร่างสูงในเชิ้ตหล่อเหลาลายทางเดินออกมาพบเธอด้วยสีหน้าคร่ำเครียด“ผมเลิกช้านิดนึงนะครับ หนังสือชำรุด... หลายเล่ม”“ไม่เป็นไร ๆ แหม่มรอได้ คุณอคินทำงานก่อนเลย” เธอโบกมือไปมาบอกให้เขาไปทำงาน ชายหนุ่มคะยั้นคะยอเธอให้เข้าไปนั่งข้างใน อัณณิการู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก เธอจำเป็นต้องปฏิเสธชายที
รอยยิ้มพริ้มพรายบนวงหน้าหล่อเหลายามก้มลงมองริมฝีปากงาม พูดจาเจื้อยแจ้วเป็นนกแก้ว ทั้งเอ็นดูหลงใหลเมื่อใดที่อัณณิกาตั้งคำถามกับเขาจะตอบเธอมากขึ้น ทั้งที่ไม่ใช่คนพูดเยอะ พักหลังมานี้เขาสามารถพูดจาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับเธอ“เราสองคน... อาจเป็นเรื่องสั้นสักเล่ม อาจมีตอนจบที่ไม่ดี ก็ได้นะคะ”“ต้องดีสิ ทำไมจะไม่ดีล่ะ ผมกับแหม่มชอบอะไรเหมือนกัน แล้ว... เราชอบหนังสือเหมือนกัน ผมชอบอ่านนิยายเหมือนแหม่มเลยนะ”หนังสือเล่มบางในมือของอัณณิกาไม่ใช่เรื่องราวที่ดีนัก หญิงสาวหยิบผิดเล่มมาจากห้องสมุดของเขา เธออ่านมันแล้วมีสีหน้าเศร้าหมองเพราะตอนจบที่ไม่สมหวังของตัวละคร“แล้วแหม่มจะทำยังไงดี...” คิดเองเออเอง ตอบเอง! “ไม่รู้เหมือนกัน เป็นเรื่องอนาคต”ร่างบางในเดรสกระโปรงน่ารักนั่งลงในมุมหนึ่งของห้องสมุดในบ้านหลังใหญ่ เธอเอาหลังพิงกำแพงอย่างท้อแท้ ได้รับการปลอบใจจากแฟนหนุ่ม ที่เฝ้าติดตามเธอไม่ห่าง“นั่นสิ เป็นเรื่องอนาคต แล้วจะไปคิดเยอะแยะทำไม” ปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ชายหนุ่มนั่งลงข้าง ๆ เธอ ระหว่างชั้นหนังสือสูงจรดเพดาน มองหาหนังสือเล่มใหม่ หวังว่าอีกคนจะอารมณ์ดีขึ้น“มีเ
Maiken หรือ Mike หวงน้องสาวยังกับอะไรดี ถึงวันนี้จะแต่งงานไปแล้ว นั่นเป็นสาเหตุให้หลายคนคิดด้วยว่าเรื่องที่พูดทั้งหมดคงมั่นใจไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริง อาจไม่จริงเลยก็ได้“ตัวยังไม่รู้จักผู้ชายดีพอ ไม่มีใครหวังดีกับเรานอกจากมิกกี้ เค้าบอกตลอดไม่ให้ไว้ใจหนุ่ม ๆ จะมีดีสักกี่คน”“โธ่... มาสเซอร์มิก เค้าโตแล้วปะ” เธอโวยวายพี่ชาย ขีดเส้นสัมพันธ์ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ด้วยการเรียกเขาว่า ‘มาสเซอร์มิก’ เป็นความหมายนัย ๆ ว่าต่างคนต่างมีหน้าที่การงานแล้ว ควรมีอิสรภาพของตนเอง“มาสเซอร์มิก ขอเถอะ ๆ นะ”“พูดไม่รู้เรื่องนะ”“ตัวอะพูดไม่รู้เรื่อง”“ไปเหอะ ไปคุยกันสองคนดีกว่า” คนประท้วงรวบช้อนกินข้าวทั้งที่ยังไม่ได้กินเลยสักคำ คว้าข้อมือน้องสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “วันนี้อยู่นอนคุยกัน... เค้าไปเที่ยวมา มีเรื่องเล่าให้ฟังตั้งเยอะแยะ”“ได้ไงเล่า ตัวไปนอนกับเมียตัวดิ”“ไม่”พี่ชายฝาแฝดยังคงดื้อรั้นหัวชนฝา แต่ไม่ทันจะได้พาน้องสาวไปจากห้องรับประทานอาหาร คุณพ่อคุณแม่เรียกให้รอผู้ใหญ่มาครบก่อนเขาก็ต้องอยู่ บอกด้วยว่าภรรยาของเขาจะมารับประทานอาหารค่ำด้วย และรอกลับบ้านด้วยกัน---------------------------------