อะไรก็ไม่รู้ดลใจให้นางพูดแบบนั้น อาจเป็นจิตใต้สำนึกก็เป็นได้ และแล้วเมื่อร่างทั้งสองเปลือยเปล่าคลอเคล้าเคียงกาย มือของซูเจินก็สัมผัสไปที่หน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ รู้สึกได้ถึงไฝอีกสามเม็ดเรียงกันเป็นเส้นแนวขวาง นางกำลังจะครวญครางเพราะความเสียวกระสัน แต่เพราะอยู่ๆ ถูกสอดเสียดในความคับแคบอย่างไม่ทันตั้งตัว เลยกลายเป็นหวีดร้องแทน
“อ๊า...”
“ฮึ่ม...”
ชายปริศนาคำรามตอบ เขาเริ่มกระแทกกระทั้นความแน่นหนั่นเป็นจังหวะสวบสาบ หญิงสาวปล่อยมือจากหน้าท้องเขาแล้วไปกำผ้าปูที่นอนไว้แทน เจ็บแปลบอย่างไม่เคยพบเจอแต่เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นความหรรษา ดวงตาคู่งามปรือขึ้นเพื่อจะเพิ่งหน้ามองอีกฝ่ายให้ได้ แต่กลับเห็นเพียงเรือนกายและโครงหน้าที่นางเชื่อว่าเขาเป็นคนหนุ่มรูปงาม
แต่ก็เพียงเท่านั้น เพราะการร่วมรักด้วยความเมามันมิได้จบแค่ครั้งเดียว มันยังถูกกระทำต่อเนื่อง เปลี่ยนท่วงท่าไปเรื่อยๆ จนขาเตียงแทบโยกคลอน
“ขะ...ข้าไม่ไหว ข้าไม่ไหวแล้ว” ซูเจินจิกเล็บลงไปที่ต้นขาแกร่งตอนที่นางถูกจับพลิกหลัง เป็นท่าที่สอดประสานได้แนบแน่นจนขนลุกชูชัน “ช่วยด้วย ข้าเหมือนกำลังจะ...จะแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว ช่วยข้าที!”
“ฮึ่ม...”
คนแปลกหน้าร้องคำรามก่อนจะเด้งเอวสอบเป็นจังหวะที่รุนแรงถี่หนักขึ้น เมื่อร่องลึกลับรัดรึงรุนแรงจนอีกฝ่ายถึงขั้นต้องกดเกร็งความรู้สึก บีบเคล้นสะโพกมนจนแทบจะเกิดรอยช้ำ เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังสนั่นไปทั้งห้อง ม่านเตียงถูกกระชากฉีกขาดโดยฝีมือซูเจิน และมิช้ามินานทุกอย่างก็ถึงกาลพรั่งพรูเป็นเขื่อนทำนบแตกออกมา
“วันนี้ชีวิตข้าพังหมดแล้ว ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ฮึก...แม้แต่ความภูมิใจในตัวเอง” ในห้วงของแสงสลัวราวความฝันของทั้งคู่ ซูเจินรำพึงรำพันทั้งน้ำตา “บางทีหากอยู่ๆ ข้ามีครรภ์เพราะคืนนี้ขึ้นมาก็อาจจะเป็นการดีก็ได้ อย่างน้อยก็ทำให้ข้ามีเหตุผลที่จะยังมีชีวิตอยู่ต่อไป...”
“เจ้าเป็นใคร...” ชายหนุ่มครวญ นางแค่เมาและเสียสติเพราะเรื่องร้ายที่มาพร้อมๆ กัน ส่วนเขาปวดหัวหนักเพราะที่ถูกวางยาปลุกกำหนัดมันเพิ่งจะคลายลง “เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป เจ้าเป็นใคร บอกข้าที”
เขาไขว่คว้ามือหาตอนเห็นร่างนางผู้นั้นพยายามลุกขึ้นอย่างยากเย็น แต่สุดท้ายก็กระชากได้เพียงสร้อยคอของนางติดมือ ไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่านี้แม้แต่เปล่งเสียง ได้แต่นอนมองสตรีปริศนาผู้นั้นเดินหายไปตามแสงไฟด้านนอก ดูนางมิได้อาลัยอาวรณ์เขาเลยสักนิด
ทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างมีชีวิตเป็นของตนเอง เส้นทางในแบบที่ตนเองเลือกนับจากนั้น และไม่ได้มีโอกาสได้พานพบกันอีก กระทั่งวันเวลาผ่านไปหลายปี พรหมลิขิตก็นำพาโชคชะตาของพวกเขาให้กลับมาพบกันอีกครั้ง แต่เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องติดตามตอนต่อไป...
หกปีผ่านไป...“ยายเฒ่า! ยายเฒ่า!” เสียงเอะอะโวยวายอยู่หน้าบ้าน หญิงสาวสองคนที่เพิ่งกลับมาถึงหมาดๆ และกำลังเตรียมทำอาหารอยู่ในครัวได้แต่มองหน้ากัน คนเด็กกว่าทำท่าจะออกไปดู แต่เป็นอีกคนที่ยกมือปราม“หลิงเอ๋อร์ เจ้ามือเลอะแล้วเพราะกำลังผสมเครื่องปรุง แต่ข้ายังไม่ได้ทำอะไรมากนอกจากล้างผัก เดี๋ยวข้าไปดูเอง”“เจ้าค่ะ คุณหนู” ตอบรับด้วยความเคยชินก่อนจะสะดุดเมื่อเห็นสายตาดุๆ ที่มองมา นางเลยเปลี่ยนคำพูดแล้วเสียงก็อ่อนลง “จ้ะ พี่ซูเจิน” เช็ดมือลวกๆ กับผ้ากันเปื้อนแล้วเดินออกจากครัว เห็นมารดากำลังพยายามประคองตัวเองด้วยไม้เท้า สีหน้าตกใจไม่แพ้กัน หญิงสาวจึงไปเปิดประตูออกอย่างแรง ก็พอดีคนที่ทุบประตูปังๆ เกือบได้หน้าทิ่ม “อ้าว วันนี้เจ้าอยู่บ้านหรืออาเจิน” เป็นแม่ค้าขายปลาในตลาดที่คุ้นเคยกัน แต่ไม่ค่อยจะเป็นในทางที่ดีนัก “อยู่ก็ดี เพราะข้าเบื่อจะคุยกับแม่เฒ่า นี่แนะดูฝีมือลูกสาวเจ้าเสียก่อน มาทำอาเต้าของข้าปากแตกจนได้เลือด เจ้าเป็นแม่จะรับผิดชอบยังไงหา!” “รับผิดชอบ?” หญิงสาวทวนคำเสียงสูง หันมองเด็กชายตัวอ้วนกลมทรงเดียวกับแม่ของเขา เห็นปากบวมเจ่อมีคราบเลือดจริง ก็เลยหันไปหาเด็กตั
“เอ๊ะ นังเด็กบ้านี่ ลูกข้าพูดแบบนั้นเสียที่ไหน ว้าย!” นางหว่านพุ่งเข้ามาหมายจะหยุมหัวเด็กน้อยแต่กลับถูกแม่ของอีกฝ่ายผลักอย่างแรงจนตัวกระเด็น เหมือนที่นางผลักไฉไฉเมื่อครู่ “อาเจิน เจ้าผลักข้าทำไม มันเจ็บนะ” “เมื่อครู่พี่หว่านก็ผลักลูกข้า ลูกข้าก็เจ็บ” ไม่ใช่เพียงเท่านั้นเพราะตอนนี้นางถกแขนเสื้อขึ้นทำท่าจะเอาเรื่อง “อาเต้าอายุเท่านี้ย่อมไม่รู้ความว่าพูดอะไรออกไป เด็กวัยนี้พี่หว่านก็รู้ว่าชอบพูดตามผู้ใหญ่ ดังนั้นคำแปลกๆ แบบนี้ ข้าย่อมเข้าใจได้ว่า อาเต้าฟังมาจากแม่ของเขานั่นเอง” “ใช่ๆ ขอรับน้าเจิน!” อาเต้าเข้าใจว่าเป็นคำชมเลยรีบตอบรับ “ข้าฟังมาจากท่านแม่ ตอนไปคุยกับป้าหวังและป้ามู่ บอกว่าไฉไฉไม่มีพ่อเพราะน้าเจินใจแตก ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าแปลว่าอะไร” “นี่! อาเต้า” แม่ค้าขายปลาห้ามบุตรชายผู้ฉลาดเฉลียวไม่ทันเสียแล้ว ได้แต่ยืนหน้าซีด รีบขยุ้มคอเสื้อลูกแล้วรีบลากออกไปทันที “เอาเถอะๆ ความจริงเด็กๆ ตีกันเป็นเรื่องปกติ ข้าไม่ถือสาหาความก็ได้เพราะไฉไฉก็เจ็บเหมือนกัน อย่างนั้นข้ากลับก่อน ลาแล้วแม่เฒ่า ฮึ่ย! กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยอาเต้า ปากไม่มีหูรูด!” สองแม่ลูกตัววุ่นวาย
เป็นมารดาหรืออดีตหลี่ฮูหยินนั่นเอง และซูเจินผู้นี้จะเป็นใครไปเสียมิได้ ถ้าไม่ใช่หลี่ซูเจิน หญิงสาวผู้ถูกทอดทิ้งในวันวิวาห์ และถูกมอมสุราให้ไปเสพสมกับชายแปลกหน้าจนตั้งครรภ์ ก่อให้เกิดไฉไฉสาวน้อยผู้น่ารักนี่เอง “ท่านแม่ ความจริงมันโหดร้ายเกินไปเจ้าค่ะ จะให้ข้าบอกลูกได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ว่าพ่อของนางไม่ใช่ทหารที่มีเกียรติ แต่เป็น...ผู้ชายบำบัดความใคร่ในโรงเตี๊ยม” เป็นเรื่องเจ็บปวดแต่หญิงสาวชาชินแล้วที่จะพูดถึงชายปริศนา“เขาก็คงถูกจ้างมาให้ทำร้ายข้า วันเวลาผ่านไปนานขนาดนี้ เขาก็คงไม่มีความทรงจำหลงเหลือแล้ว ดีไม่ดียังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำ ให้ไฉไฉเข้าใจว่าพ่อของนางเป็นทหารดีแล้วเจ้าค่ะ แล้ววันหนึ่งเราค่อยบอกว่าพ่อของนางเสียชีวิตในสนามรบก็ได้ ฟังแล้วมันน่าภูมิใจกว่าบอกว่าพ่อตายเพราะเป็นโรคทางกาม” “ตายแล้ว พูดมาได้อย่างไร” หลี่ฮูหยินตกใจคำพูดลูกสาว หกปีผ่านไปได้ทำลายหลี่ซูเจินผู้อ่อนด้อยต่อโลกนี้ไปจนหมดสิ้น นางกลายเป็นหลี่ซูเจินคนใหม่ที่ไม่เกรงกลัวอะไรอีก อยากพูดอะไรก็พูด และไม่ยอมให้ใครมารังแกนางยังจำวันนั้นได้ เมื่อหลี่ลู่ซือผู้เป็นสามีถูกองครักษ์เสื้อแพรคุมตัวไปแ
ดังนั้นซูเจินกับหลิงเอ๋อร์ที่ไม่ยอมไปไหน จึงต้องรับจ้างทำงานในสวนผักของชาวบ้านไปด้วย แม้จะเป็นงานหนักและได้เงินน้อย แต่ข้อดีคือจะมีผักสดๆ เหลือให้เอากลับมาทำอาหารกินได้ทุกวัน บางครั้งก็โชคดีได้เนื้อสัตว์ป่าที่เพื่อนบ้านเมตตาแบ่งปันให้ เพราะเห็นว่าบ้านนางมีแต่ผู้หญิง กระทั่งซูเจินพบว่าตัวเองตั้งครรภ์ หญิงสาวก็ราวกับว่าเกิดความฮึกเหิมมากขึ้นที่จะมีชีวิตอยู่ ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องน่าเจ็บปวดที่ความผิดพลาดก่อให้เกิดชีวิตใหม่ แต่หลี่ฮูหยินมาคิดๆ ดูแล้ว การมีไฉไฉกลับทำให้แววตาของบุตรสาวกลับมาฉายแววประกายอีกครั้ง แม้ซูเจินจะไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยนางก็ไม่คิดสั้น ตอนนี้นางมีความหวังใหม่ คือการเป็นแม่ที่ดีให้ลูกสาวเมื่อรู้ว่าพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ หลี่ฮูหยินจึงค่อยๆ เดินยักแย่ยักยันเข้าบ้าน ซูเจินลอบถอนใจอีกรอบ มารดาเคยเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์ที่ได้รับการเคารพนับหน้าถือตาเพราะเป็นคนใจบุญสุนทาน บัดนี้กลายเป็นแม่เฒ่าผู้ตกอับต้องสวมใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ และไหนจะโรคของผู้สูงวัยอีก นางไม่มีเงินมากพอจะซื้อยาดีๆ หรืออาหารบำรุงร่างกายให้ ทำได้แต่ประคองอาการไปวันๆ เห็นมารดาเป็นแบบนี้ ก็อด
“โถ่...ท่านแม่”หลี่ซูเจินแทบทรุดลงไปกับพื้น เจ็บปวดแทบอยากร้องไห้แต่ไม่กล้าร้องเพราะกลัวทุกอย่างจะยิ่งแย่ หญิงหม้ายเหมือนคิดอะไรอยู่นานแล้วแต่ไม่กล้าพูด สุดท้ายก็ยอมเอ่ยเพราะสงสารครอบครัวนี้“อาเจิน อย่าหาว่าข้าดูถูก แต่บ้านนอกมันก็อย่างนี้เอง คงไม่เหมือนเมืองที่พวกเจ้าจากมา” นางว่าช้าๆ “ที่หมู่บ้านข้างๆ ข้าได้ยินว่ามีโรงน้ำชามาเปิดใหม่ หากเจ้าหรือน้องสาวไปขอทำงานที่นั่น หน้าตาสวยๆ อย่างพวกเจ้า บางทีก็อาจจะ...เอ่อ...และคงได้เงินมาก”“ข้าไม่ขายตัว! อาหลิงก็ด้วย พวกเราไม่ขายเรือนร่าง!” ซูเจินแผดเสียงกร้าวเพราะเข้าใจได้ในทันทีว่านางหลิวหมายถึงอะไร แต่เห็นสีหน้าเจื่อนๆ ของอีกฝ่ายก็ใจเย็นลง เพราะเชื่อว่าที่พูดมาคงเพราะหวังดี “ป้าหลิว ให้พวกข้าทำงานอะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่ขายตัว พวกเราทำได้หมด ยกเว้นเรื่องนี้เรื่องเดียวจริงๆ”“เฮ้อ...อาเจินเอ๋ย พูดก็พูดเถอะ ที่ข้ากับผัวที่ตายจากไปคิดตรงกันเห็นจะมีเรื่องเดียว ก็คืออย่ามีลูก” นางคิดถึงสามีที่ตายไปเป็นสิบๆ ปีแล้ว “ถ้าข้ามีลูกกับตาแก่นั่น ก็มิรู้ว่าจะมีปัญญาเลี้ยงได้ดีหรือไม่ เด็กคนหนึ่งกว่าจะโตมาได้ต้องกินต้องใช้ตั้งเท่าไร ความจริงหากเจ้าไม่ต้องเลี
“เป็นอะไรหน้าแดง หรือจะไม่สบาย” ป้าหลิวทักเพราะอยู่ๆ เห็นซูเจินเงียบไปแล้วแก้มก็แดงฉ่ำ หญิงสาวหัวเราะแห้งๆ กลบเกลื่อน เพราะที่หน้าแดงขึ้นมาด้วยนางดันไปคิดถึงฉากลามกเข้า ก็ไม่รู้ว่าทำไมมันแสนจะประทับติดในความทรงจำ “อาเจิน ลองคิดดูดีๆ ไปหาพ่อของไฉไฉสักครั้ง ไปบอกให้เขารู้ว่าเขามีลูกสาวอยู่ตรงนี้ หรืออย่างน้อยก็ไปเอาเงินจากเขามาสักก้อนเพื่อให้ตั้งตัวได้ จะได้พาแม่เฒ่าไปหาหมอ และจะได้เลี้ยงดูไฉไฉให้ดีกว่านี้ด้วย เจ้าไม่เห็นหรือว่าลูกตัวเองตัวเล็กกว่าลูกคนอื่นมากนัก ข้าว่าคงเพราะนางไม่ค่อยได้กินเนื้อแน่ๆ เฮ้อ...เด็กๆ น่ะต้องกินเนื้อเยอะๆ รู้หรือไม่ จะได้ตัวโตๆ”พูดถึงความป่วยไข้ของมารดา และตัวที่แทบจะเรียกได้ว่าแคระแกร็นของลูกสาว ความหม่นหมองก็เกาะกุมในหัวใจทันที นางยิ้มกลับคืนให้ป้าหลิว“ข้าจะลองไปคุยกับท่านแม่ดูก่อน และอาหลิงด้วย เพราะถ้าข้าไม่อยู่ นางจะดูแลทั้งท่านแม่และไฉไฉไหวหรือเปล่า” พูดแล้วก็ถอนใจรอบที่ร้อย “บางทีข้าคงต้องพาไฉไฉไปด้วย เฮ้อ...ไม่อยากให้ลูกไปด้วยเลย”“เอาน่า สิ่งที่ดีกว่าอาจจะรอเจ้าอยู่เบื้องหน้าก็ได้” หญิงม่ายปลอบ “ถ้าไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง ชีวิตเจ้าก็จะดำเนินต่
“ซูเจินหลานรัก ดีจริงๆ ที่ได้พบกัน คิดว่าชาตินี้จะไม่ได้พบหน้าเสียแล้ว” เป็นหลี่เหลียงซือหรืออารองที่พูดไปก็ร้องไห้ไป เห็นสร้อยที่หญิงสาวสวมใส่อยู่ก็จำได้ว่าเป็นของที่จะให้แค่ผู้หญิงในตระกูล “ตอนพี่สะใภ้ส่งจดหมายมาให้ อาดีใจมาก อยากจะไปเยี่ยมพี่สะใภ้ด้วยตนเองอยู่ไม่น้อย แต่ก็อย่างที่หลานเห็น ชีวิตของอาก็ไม่ได้จะดีสักเท่าใด ผ่านวันเวลามาได้ด้วยความลำบากยากเย็นนัก แล้วนี่อาสะใภ้ของหลานก็มาด่วนจากไปเมื่อปีก่อน อาก็เลยหยุดปิดร้านสักวันก็ยังทำไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นมันจะไม่พอค่าเช่าที่กันพอดี...”ซูเจินลูบไล้สร้อยที่ใส่อยู่ มารดาให้ไว้เมื่อวันที่นางจะเดินทางจากมา ความจริงแล้วนางเองก็เคยมีอยู่เส้นหนึ่งใส่ติดตัวตลอดแต่มันหายไปไหนไม่ทราบ พอจะเข้าเมืองหลวงเพื่อความไม่ประมาท เพราะซูเจินกับอารองก็ไม่ได้พบหน้ากันนานแล้ว หลี่ฮูหยินจึงเอาสร้อยประจำตระกูลหลี่ใส่ให้ เมื่อไปถึงจะได้เป็นสัญลักษณ์ไม่ให้ทักผิดตัว“อารอง ท่านแม่สบายดี อย่าได้กังวลไปเลยเจ้าค่ะ พวกเราเข้าใจว่าอารองอยู่ทางนี้ก็คงจะลำบากไม่น้อยเช่นกัน”หลี่เหลียงซือเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของหลี่ซูเจินที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาเป็นน้องชายของหลี
“เย้! ที่นอนนุ่มๆ ดีจังเลย” เด็กน้อยวิ่งไปทางห้องทันทีไม่ได้สนใจผู้ใหญ่อีก เพราะตอนอยู่บ้านนอกหาได้มีเบาะนอนดีๆ สักหลังไม่ เหลียงซือพอคาดเดาได้เลยไปขอซื้อที่นอนเก่าของเพื่อนบ้านมาไว้ต้อนรับหลานๆ อย่างน้อยก็คือว่าเป็นของขวัญจากผู้ใหญ่ก็แล้วกัน“ซูเจิน เจ้าคิดจะกลับมาตามหาพ่อของไฉไฉจริงหรือ” ชายวัยกลางคนถามหลานสาว เพราะเนื้อความในจดหมายที่อดีตหลี่ฮูหยินส่งมามันไม่ชัดเจนนัก ความจริงพวกเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในคืนนั้นใครคือคนที่อยู่กับซูเจินกันแน่ เพราะตัวนางเองยังไม่เคยยอมพูดให้ชัดเจน “ซูเจิน ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว เขาอาจจะจำไม่ได้แล้วก็เป็นได้ หรือถ้าเขาเป็นคนชั่วร้าย บางทีพวกเราไม่ต้องรับรู้ไปเลยเสียยังจะดีกว่า คิดซะว่าเขาเป็นแค่ใครคนหนึ่งที่ได้ตายจากไป”“ข้าก็อยากจะคิดแบบนั้น แต่พอมาทบทวนดูแล้ว เหตุใดข้าถึงต้องแบกรับทุกอย่างเพียงลำพัง ทั้งที่ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด” หญิงสาวพูดอย่างจริงจัง “อารอง ข้าคิดว่าอย่างน้อยเขาควรได้รับผิดชอบอะไรบ้าง แต่อย่าห่วงเลย ข้าจะทำการสืบหาตัวเขาแบบเงียบๆ หากเจอเขาแล้วก็จะเฝ้าดูอยู่ก่อนสักระยะ เผื่อเขาเป็นคนเลวระยำ ข้าจะได้ไม่เข้าไปวุ่นวายด้วยให้เปลืองตัว...”พูดไป
สองปีผ่านไป...หลังจบเรื่องวุ่นวายในราชสำนัก ก็ใช้เวลาไปเกือบปี ทำให้ฤกษ์หมั้นหมายเสียหาย องค์ชายฟู่เหรินจึงเสนอว่าให้ใช้ฤกษ์อภิเษกไปเลยในคราวเดียว นั่นคือหมั้นและแต่งในวันเดียวกันย่อมไม่มีใครขัดขวางอยู่แล้ว เพราะใครๆ ต่างก็อยากให้องค์ชายใหญ่เป็นฝั่งเป็นฝาเพื่อที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งต่อไป แต่เป็นเขาเองที่ชิงทูลองค์จักรพรรดิก่อน ว่าไม่ต้องการขึ้นเป็นรัชทายาท“เจ้าเป็นลูกคนโต ถ้าเจ้าไม่เป็นรัชทายาท แล้วเจ้าจะเป็นอะไร”พระบิดาถามเขาในวันนั้น และเขาที่มีพระชายาอยู่เคียงข้าง ก็ตอบทันควัน“กระหม่อมจะเป็นหมอ จะรักษาผู้คนโดยไม่แบ่งแยกฐานะ นี่ก็เป็นการดูแลไพร่ฟ้าในฐานะเชื้อพระวงศ์เช่นกัน...”องค์จักรพรรดิอยากจะขัด แต่พอเห็นโอรสกับชายาของเขาจับมือกันไว้แน่นราวกับว่าได้ร่วมกันตัดสินใจเรื่องนี้มาทั้งคู่ ก็ได้แต่ระลึกไปถึงพระสนมอิงหลันผู้ล่วงลับ นางไม่เคยมีใครรักชอบให้เขา แต่งงานเพราะหน้าที่ แต่ตลอดเวลานางก็ทำได้ดี กระทั่งอบรมสั่งสอนบุตรก็ยังทำได้ไม่มีบกพร่อง เป็นเขาเองที่กักขังนางไว้ในวังหลวงนี้จนวันตาย“เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาแล้วก็ไปปกครองเมืองต้าหลี่ก็แล้วกัน” จักรพรรดิพูดถึงเมืองใหญ่ที่สุดที่อย
“ข้าจะไปช่วยเขา สนามพลังแบบนั้นต้องมีคนคุ้มกัน ไม่อย่างนั้นอาจเป็นอันตราย” นางหันไปบอกสองคนข้างหลัง “ท่านพาลูกปลาตัวกลมไปที่บ้านยายเฒ่าตาบอดก่อน แล้วข้าจะตามไปทีหลัง”“คงไม่ต้องแล้ว” เป็นฮัวฮัวที่พูดขึ้น สายตานางมองไปอีกทางแล้วก็ชี้นิ้วไปข้างหน้า “ท่านพ่อกับพวกอาๆ มาช่วยพวกเราแล้ว เย้!”เกิดการปะทะระหว่างนักฆ่าลึกลับกับพวกองครักษ์เสื้อแพรที่มากันเต็มรูปแบบ เพราะตอนนี้ได้จัดการภายในราชสำนักเสร็จสิ้น จึงตามออกมากวาดล้างทั้งหมดที่เหลือข้างนอกในคราวเดียว“ถวายการอารักขาองค์ชายใหญ่!” เสียงเจิ้งห่าวหรานหัวหน้าองครักษ์ตะโกนก้อง “ไฉไฉ ฮัวฮัว หลบไปอยู่ในที่ปลอดภัย เร็ว!”เมื่อพ่อสั่งก็มีอย่างเดียวคือห้ามต่อต้าน สามสายลับต่างวัยวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ไกลๆ และคอยดูห่างๆ พวกเขาไม่ได้เก่งต่อสู้สักคน แค่พอมีวิชาและเอาตัวรอดเป็นเท่านั้น ในเมื่อองครักษ์มาแล้ว ก็ควรให้เป็นหน้าที่ของคนมีความสามารถแล้วกัน“นั่น...เสียงอะไร” เพราะความเป็นคนหูดีที่สุดของไฉไฉทำให้ได้ยินอะไรแปลกๆ นางรู้ทันทีว่ามีคนแอบอยู่แถวนั้นและกำลังจะหนี หันไปมองหน้าน้องสาว เห็นนางจ้องอยู่เช่นกัน แสดงว่ารู้แล้ว “ฮัวฮัว พี่เพิ่งเจอว่าเหลือลู
“นี่เจ้า! ริอ่านติดสินบนเจ้าพนักงานตั้งแต่ยังเด็ก ท่านพ่อตีเจ้าตายแน่ๆ! ตุ่นภูเขา! แล้วท่านเป็นผู้ใหญ่ประสาอะไร พาเด็กห้าขวบมาในสถานที่แบบนี้ ท่านเองก็ต้องถูกลงโทษด้วยแน่นอน!”“โฮ่! แมวพันหน้า อย่าเพิ่งพูดมากเลยดีกว่า ถ้าไม่ได้ข้ากับลูกปลาตัวกลมเมื่อครู่ ท่านเองก็คงไม่เหลือซาก”“นี่พวกเจ้า...พูดอะไรกัน ข้างงไปหมด” ฟู่เหรินที่ฟังสายลับสามคนสามวัยเถียงกันด้วยภาษาอะไรก็ไม่รู้ช่างปวดหัวนัก “เดี๋ยวก่อน ทำไมเราต้องมาเถียงกันในเวลานี้ นี่มันหน้าสิ่วหน้าขวาน! พวกนักฆ่าตามมาถึงตัวแล้ว!”“ลูกหินของข้าหมดแล้ว! พี่ใหญ่ ท่านเอาที่ข้าให้ไว้มาด้วยหรือเปล่า” ฮัวฮัวแบมือหาพี่สาวทันที ไฉไฉรีบล้วงเสื้อ ปรากฏว่ามีแต่หมั่นโถวตากแดดร่วงลงมาหลายชิ้น “พี่ใหญ่! แล้วก็ชอบห้ามข้ากินของหวานตอนกลางคืน แต่พี่กลับพกติดตัวตอนหนีพวกนักฆ่าออกมาแบบนี้ จะให้ข้าคิดยังไงกัน!”“นี่ทำไมข้าถึงได้พกหมั่นโถวออกมาขนาดนี้เนี่ย ข้าต้องหยิบเสื้อมาผิดตัวแน่ๆ” นางคิดไปถึงเหตุผลว่าทำไมต้องหยิบเสื้อมาใส่ แล้วก็ดันเกิดหน้าแดง เพราะตอนนั้นเกือบได้สานสัมพันธ์กับฟู่เหรินอยู่แล้วเชียว “โอ๊ย! ไม่รู้แล้ว พวกเราหาอาวุธเอาเท่าที่มีรอบตัวสู้ไป
“หา...หมายความว่า...ว้าย!”พรึ่บ!ไฉไฉมัวแต่เถียงกับองค์ชายเลยไม่ทันระวังตัว นางก้าวพลาดลงไปในบ่อที่ขุดไว้ดักสัตว์ แม้จะไม่เจ็บเท่าไรเพราะกลิ้งม้วนตัวลงไปพอดี แต่หลุมนี้ลึกมาก เรียกว่าเป็นความซวยจริงๆ“องค์ชาย! ท่านวิ่งไปข้างหน้าอีกไม่เท่าไรจะเจอต้นไม้สองง่าม มีกระท่อมของยายเฒ่าตาบอดอยู่ไม่ไกลจากนั้น” นางตะโกนบอกเขาเสียงดัง “ที่นั่นเป็นจุดนัดพบของสายลับกับองครักษ์ ท่านจะปลอดภัย”“ไม่ได้! รอก่อน ข้าจะช่วยเจ้าเอง” ฟู่เหรินลงไปนอนแนบพื้นแล้วพยายามส่งมือเข้าไปหา “ข้าจะไม่หนีไปคนเดียว ถ้าจะรอด เราต้องรอดไปด้วยกัน!”“โอ๊ย! ท่านนี่โง่จริง ข้าให้ท่านหนีไปก่อนเพราะท่านเป็นตัวถ่วง ยังไม่รู้ตัวอีก” เสียงหญิงสาวแผดขึ้นมา “ท่านมันอ่อนแอจึงเป็นตัวภาระ นี่ข้ามีแผนแล้ว ข้ามีระเบิดพลุติดตัวไว้ยามฉุกเฉิน ข้าจะยิงใส่พวกมัน แล้วท่านจะมาอยู่แถวนี้ให้เกะกะทำไมเล่า!”หญิงสาวโกหก นางไม่มีของที่ว่า แต่ทำเป็นชูอะไรก็ไม่รู้ขึ้นมา เพื่อให้เขาสบายใจ“ระเบิดพลุอะไรของเจ้าหา นั่นมันหมั่นโถวตากแดดที่เอาไว้ปิ้งกินกับน้ำผึ้งที่น้องสาวชอบไม่ใช่หรือไง แล้วนี่พกมาทำไมเนี่ย!” เขาพูดแบบนั้นนางเลยได้หันดู อ้าวจริงด้วย ไม่ร
โอ๊ย!...อุ้บ!”ไฉไฉดึงหูฟู่เหรินเหมือนที่เห็นหลี่ซูเจินทำเจิ้งห่าวหรานมาตั้งแต่นางจำความได้ ท่านแม่ดึงหูท่านพ่อทีไร ท่านพ่อมีอันได้ยอมแพ้ เพราะมันเจ็บ!มือหนึ่งดึงหู อีกมืออุดปากเขาแน่นไม่ให้ร้อง แต่เพียงครู่เดียวก็ปล่อยมือที่บิดหูออกแล้วไปกระซิบ“ข้างนอกเป็นนักฆ่าที่ตั้งใจลอบฆ่าท่านมาตั้งแต่ที่ตลาดแล้ว และท่านคงคิดไม่ผิด ฝู่เตี้ยวเป็นหนอนจริงๆ ตอนนี้พวกเราถึงได้ตกอยู่ในอันตราย”“ขืนยังอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ยังไงพวกเราก็คงได้ตาย” ฟู่เหรินได้พูดเป็นคำแรกตนที่เอามือลูบหูตัวเองป้อยๆ คิ้วขมวดตึง มองไปข้างนอกยังเห็นห่ามีดบินอยู่เลย “ข้าจะพาเจ้าออกไปเอง เจ้าหลบข้างหลังข้าไว้ก็แล้วกัน”กลายเป็นไฉไฉที่คิ้วขมวดไปด้วย เพราะสำหรับนางแล้วฟู่เหรินหาได้เป็นวรยุทธ์ไม่ ซ้ำยังอ่อนแอจนไม่รู้ว่ามีชีวิตรอดจากวังหลวงมาถึงวันนี้ได้อย่างไร ถึงนางไม่เก่งอะไรมาก แต่อย่างน้อยก็รู้หลักพื้นฐาน และเอาตัวรอดเก่งด้วย “ท่านอยู่ข้างหน้าข้า คงอยากเป็นเป้าเคลื่อนที่กระมัง” นางเอื้อมมือขึ้นไปบนเตียง ควานหาลูกหินของฮัวฮัวอีกชุด ซึ่งมันเป็นชุดสุดท้ายแล้ว “นี่แหละองค์ชาย ท่านคงยังไม่รู้ว่าอะไร ข้าถูกท่านพ่อจับไปฝึกเป็นสา
“ฝู่เตี้ยวคงไม่ได้อยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก” นางบอก หลังคาดการณ์จากสิ่งที่ฮัวฮัวบอกไว้ก่อนกลับบ้านไป พฤติกรรมประหลาดของขันทีน้อย คือเขาชอบหายไปไหนในช่วงที่ฟู่เหรินจะไม่มีทางรับรู้ ฮัวฮัวสะกดรอยตามแบบห่างๆ จึงรู้ว่าฝู่เตี้ยวต้องไปพบใครมาแน่ๆ แต่คงไม่ใช่ฝ่ายเดียวกัน เพราะฝ่ายเดียวกันนี้ก็มีเพียงหน่วยองครักษ์กับคนของเซี่ยงกงกงเท่านั้นเอง ประจวบเหมาะกับที่อยู่ดีๆ ตำแหน่งขององค์ชายถูกเปิดเผย จึงไม่มีทางคิดเป็นอื่นไปได้เลย นอกจาก... “ฝู่เตี้ยวคือหนอนบ่อนไส้สินะ” ฟู่เหรินพูดขึ้นมาเอง เป็นไฉไฉที่ต้องหันหน้าไปมอง เพราะเขาพูดเหมือนรู้ว่านี่มันเรื่องอะไร ชายหนุ่มสั่นหน้าด้วยความหดหู่ใจ “อะไรคือสิ่งที่ทำให้ฝู่เตี้ยวที่อยู่กับข้ามาตั้งแต่อายุสิบปีกลับมาหักหลังข้าได้” “นั่นเป็นเรื่องที่ต้องไปสืบภายหลัง แต่ตอนนี้...” ข้างนอกเงียบเกินไป ราวกับไม่มีแม้แต่เสียงของสายลมราตรี หญิงสาวล้วงไปใต้เตียงแล้วหยิบดาบที่เป็นอาวุธประจำตัวซึ่งซุกซ่อนไว้เผื่อเวลาฉุกเฉิน “เราต้องรอดไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน ได้โปรดอยู่ข้างหลังข้าก็พอ” “อาหง ท่าทีเจ้าเปลี่ยน หรือว่าความจริง...เจ้ามีสถานะอื่น”
ไม่ทันได้บอกว่าห้ามอะไรด้วยซ้ำเพราะชายหนุ่มไม่ฟัง เขากระโดดขึ้นเตียงมาทำตัวเหมือนเด็กๆ เท่านั้นไม่พอยังชักผ้าขึ้นมาห่ม แล้วเอามือตบปุๆ กับที่นอนข้างกาย “อาหง ลงมานอนเถอะ วันนี้พวกเราก็เหนื่อยกันมามาก เจ้าไม่ง่วงหรือไง” เจ้าตัวพูดไปก็หาวไป แล้วก็ดึงร่างบางให้ลงมานอนเคียงกัน “ฮ้าว...ที่นอนของเจ้าหอมเหลือเกิน ไหนขอดมใกล้ๆ หน่อย อื้ม...ข้าเข้าใจฮัวฮัวแล้วว่าทำไมติดแม่ เพราะแม่ของนางนอกจากจะหอมแล้วยังตัวอุ่นและนุ่มน่ากอดอีกด้วย ดูท่าหากฮัวฮัวกลับมาเมื่อใด คงได้ทะเลาะกับข้าเป็นแน่ เรื่องแย่งกันกอดแม่ของนาง” “ท่านพี่...” ได้แต่ดีดดิ้นและร้องอย่างถอนอกถอนใจ เพราะตอนนี้นางถูกเขาดึงไปกอดหน้าตาเฉย รับรู้ได้กระทั่งเสียงหัวใจเต้นระรัวของตัวเอง และกายอันอบอุ่นขององค์ชายที่ตอนนี้กดนางให้แนบร่างเขาแน่นยิ่งกว่าเดิม “ท่านพี่ ข้าหายใจไม่ออกเจ้าค่ะ” “หายใจไม่ออก อย่างนั้นคงต้องช่วยให้หายใจคล่องเสียหน่อย” เขาผละตัวแล้วเชยคางนางขึ้น หญิงสาวเลิกคิ้วงงๆ เพราะอยู่ๆ ดันเกิดตามเขาไม่ทัน “สิ่งนี้มีในตำราแพทย์ เรียกว่าการแลกเปลี่ยนลมปราณ ข้าจะแสดงให้เจ้าดูเอง...” “หือ...อื้อ! อื้อ!”
กลัวเขาไม่รู้ว่านางใส่ใจมากเลยต้องคุยโอ้อวดเสียหน่อย ความจริงแล้วก็เป็นฟู่เหรินนั่นเองที่ตามนางไม่ทัน เพราะไฉไฉนั้นนิสัยเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ชายหนุ่มกินน้ำแกงที่ถูกป้อนให้จนเกลี้ยง รู้สึกสบายท้องมาก เพราะเขาก็ไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่า ไฉไฉรีบเก็บชาม “ข้าจะไปเตรียมน้ำให้ท่านอาบ ท่านพี่ก็ไปผลัดผ้าได้เลยนะเจ้าคะ” หันไปมองห้องพักคนไข้ชั่วคราว เห็นหญิงชรายังป้อนน้ำข้าวให้ลูกชายยังไม่เสร็จ “ข้าควรไปดูพวกเขา...” “เจ้าไปเตรียมน้ำเถอะ ข้าจะไปดูเอง และจะได้ตรวจอาการครั้งสุดท้ายก่อนจะให้ยาระงับปวดด้วย เพราะคนไข้จะได้หลับยาว” ในเมื่อตกลงกันได้เช่นนั้นจึงแยกกัน ไฉไฉเข้าครัวไปจัดน้ำต้มน้ำหม้อหนึ่ง เห็นฝู่เตี้ยวทำอาหารใกล้เสร็จแล้ว นอกจากผัดผักและน้ำแกง ก็มีปลาย่างเพิ่มขึ้นมาด้วย มิช้ามินานนัก น้ำอุ่นก็ถูกผสมจนเสร็จสิ้น ไฉไฉมองด้วยความภูมิใจ เรื่องการบ้านการเรือนแบบนี้ท่านยายย่อมเป็นผู้อบรมสั่งสอนอย่างดี ในที่สุดก็บรรลุเป้าหมาย ได้ผสมน้ำให้องค์ชายอาบเสียที “อ๊ะ ลืมไปเลย ต้องใส่นี่เข้าไปด้วย คิก...” นางหยิบห่อเครื่องหอมออกมาจากอกเสื้อ มันเป็นเครื่องหอมประจำตัวที่ม
“ไฮ้...เจ้าพูดอะไรแบบนั้น ข้าจะรังเกียจทำไมกัน ภรรยาตั้งใจทำให้ขนาดนี้ ข้าต้องดีใจมากอยู่แล้ว” รีบลุกมาแล้วประคองให้นางมานั่ง ก่อนจะเอาผ้าซับเหงื่อที่หน้าผากให้ “อาหง เจ้าเดินไปมาทั้งวันแล้วก็พูดไม่หยุด คงจะเหนื่อยมาก แล้วยังลำบากมาทำอาหารอีก เรื่องแบบนี้ให้ฝู่เตี้ยวทำให้ได้ เขาถนัด”ปกติคงต้องมีขัดคอกันบ้าง แต่คงไม่ใช่ครั้งนี้ เพราะขันทีน้อยเห็นด้วย ในสายตาเขาก็ยังคิดว่าคุณหนูเจิ้งเป็นลูกผู้ดีเป็นชนชั้นสูง แต่ทำงานพอๆ กับสาวชาวบ้าน ตอนนี้คงเหนื่อยสายตัวแทบขาดหารู้ไม่ว่าไฉไฉไม่เหมือนคุณหนูบ้านไหน เพราะนางแอบเข้ามาฝึกเป็นสายลับกับหน่วยของบิดาตั้งแต่อายุแปดขวบแล้ว...ก็ตั้งแต่หลังจากพบกับองค์ชายว่าที่คู่หมั้น เจิ้งห่าวหรานก็จับลูกสาวมาฝึกวิชายุทธ์ทันที ทำให้แค่นี้ไม่ได้ทำให้หญิงสาวเหนื่อยล้าหรือพลังถดถอยได้เลย“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ วันนี้พวกเราทั้งสามคนเหนื่อยเหมือนกันหมด เรื่องแค่นี้ข้าทำได้ อีกอย่างข้ารู้ว่าฝู่เตี้ยวคงต้องกำลังดูแลท่านพี่อยู่ด้วย ข้าเลยไม่ได้เข้ามาปรนนิบัติท่านพี่ ต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ”“นั่นสิ ความจริงแม่นางหงควรมาดูแลคุณชาย แล้วบ่าวต่างหากที่ไปทำกับข้าว” ฝู่เตี้ยวลุกขึ