ภาคต่อ ของเรื่อง “ฮองเฮา ขย่มบัลลังก์”
บทนำ
“...เพราะความโง่เขลา ลุ่มหลงความงามของสตรี ฝ่าบาทถึงกับฆ่าลูกของเราด้วยมือของพระองค์เอง ! ”เขามองใบหน้าสวยที่เต็มไปด้วยสายธารแห่งน้ำตา น้ำตาสายนั้นไหลหยดลงบนใบหน้าเขาให้ความรู้สึกปวดร้าวจนแทบจะหายใจไม่ออก
“....เฟิ่งอี๋... ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษ...”
เขาขยับปากอย่างยากลำบากร่ำร้องขอโทษอย่างรู้สึกผิด เสียงร่ำไห้ของนางช่างบีบรัดหัวใจเขาจนเจ็บปวด
“ฝ่าบาทฆ่าลูก ฆ่าหม่อมฉัน สังหารครอบครัวหม่อมฉันทั้งตระกูล ! แค้นนี้ต้องชำระด้วยชีวิต.....”
ฉับพลันนั้นนางก็หยิบเข็มเงินวาววับขึ้นมา เขาเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ละล่ำละลักเปล่งวาจาว่า
“ไม่ ๆ ไม่นะ อย่าฆ่าข้า ฮองเฮาข้าผิดไปแล้ว อย่าฆ่าข้าเลย”
“หนี้ชีวิต ต้องชดใช้ด้วยชีวิต !”
สิ้นคำนาง เข็มเงินแหลมคมวาววับก็พุ่งเข้าหาเขาเต็มแรง
“อ๊ากกกกกก”
ฉึบ !
ตอนที่1.
ณ นครฉางซี เมืองหลวงของแคว้นเฉิน
ค่ำคืนในต้นฤดูหนาวนั้น ท้องฟ้ายามค่ำคืนไร้เมฆหมอก ดาวและเดือนสุกสกาวดาษดื่นเต็มท้องฟ้าทอแสงแข่งกับโคมไฟบนถนนสายโลกีย์เบื้องล่าง
เสียงตุบตับผสานกับเสียงขู่กรรโชกอย่างหยาบคายดังขึ้นที่ถนนอีกสายอันมืดมิด ซึ่งเป็นแหล่งชุมนุมของเหล่ายาจกอาศัยเร้นกาย
“เจ้าลูกเต่า ! จะตายอยู่แล้วยังไม่ปล่อยมืออีก”
ยาจกร่างใหญ่ยื้อแย่งสิ่งของบางอย่างในมือของขอทานร่างผอม พร้อมกับกระทืบเท้าลงที่อกคนบนพื้นเต็มแรง
ตุบ !
“อัก”
ขอทานร่างผอมกระอักโลหิตสีแดงข้นออกมาสด ๆ ดวงตาเริ่มพร่าเลือน แต่สองมือยังกำป้ายทองคำซึ่งเป็นป้ายประจำตระกูลเอาไว้แน่น
“ไม่ปล่อยใช่หรือไม่ งั้นก็อย่าหาว่าพวกข้าใจร้าย”
ยาจกอีกคนเตะเข้าที่ท้องของขอทานร่างผอม
ตุบ !
คราวนี้มันถึงกับตัวงอทั้งจุกทั้งเจ็บ ลมหายใจรวยริน แต่มือกลับจิกเกร็งแน่นไม่ยอมปล่อยป้ายทองคำประจำตระกูลง่าย ๆ
เดิมทีเขาเป็นทายาทตระกูลขุนนางในราชสำนัก แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ผลัดเปลี่ยนบัลลังก์มังกรกลายเป็นหงส์ผู้คุมอำนาจเมื่อ 4 ปีก่อน บิดาของเขาไม่อาจยอมอยู่ใต้บัลลังก์สตรี จึงคัดค้านหัวชนฝาเป็นเหตุให้ตระกูลต้องถึงคราวตกอับ บิดาถูกถอดตำแหน่งขุนนาง บ้านถูกยึดทรัพย์สิน เพียงไม่นานบิดาและมารดาก็ตรอมใจตาย เหลือเพียงเขาที่ระเหเร่ร่อนใช้ชีวิตเยี่ยงขอทานตั้งแต่อายุ 13 ปี รักษาชีวิตมาได้จนบัดนี้อายุ 17 ปีเข้าสู่วัยหนุ่ม คืนนี้กลับโชคร้ายพานพบยาจกอันธพาลรุมทำร้ายเพื่อแย่งชิงสมบัติชิ้นสุดท้ายของเขา
พลั๊วะ !
“มอบทองคำแท่งมาให้พวกเราเสียดี ๆ”
ยาจกอีกคนเตะเข้าที่แผ่นหลังลูกขุนนางตกอับเต็มแรง สองตาจับจ้องแท่งทองคำที่โผล่พ้นมือผอมบางออกมา
“อัก”
เด็กหนุ่มวัย 17 พลิกคว่ำไปตามแรงเตะ จากนั้นก็กระอักเลือดออกมาคำโต ดวงตาปรือลง ดวงตาของเขาแทบมองไม่เห็นอะไรแล้ว ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง แม้แต่หายใจยังลำบาก
ยาจกใบหน้าเหี้ยมโหด ยกเท้าขึ้นสูงแล้วกระทืบลงแผ่นหลังคนบนพื้นเต็มแรงจนเกิดดังตุบ
ตุบ !
ร่างขอทานผอมแน่นิ่งไปกับเท้า ดวงตาปิดสนิท พร้อมกับแท่งทองคำร่วงหล่นลงจากมือผอมบาง
“บิดามันเถอะ ! กว่าจะยอมปล่อยมือจากทองคำ ทำเอาข้าเหนื่อยไม่ใช่เล่น”
ยาจกใบหน้าเหี่ยมโหดก้มลงเก็บทองขึ้นมา
ยาจกผู้หนึ่งเอานิ้วอังที่จมูกของขอทานร่างผอมพบว่าไม่มีลมหายใจแล้วจึงเอ่ยเสียงสั่นว่า
“มัน.. ตะ ตายแล้ว”
“แค่ขอทานผู้หนึ่ง สิ้นลมแล้ว ใครเล่าจะสนใจ ไปกันเถอะอย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่เลย”
หัวหน้ายาจกแค่นเสียง พร้อมกับเก็บแผ่นทองคำเข้าในเสื้อ
ครืน ๆ
ฉับพลันนั้น เสียงฟ้าก็คำรามขึ้น เหล่ายาจกจึงแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พบว่าท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งเมื่อครู่กลับมีเมฆสีดำกลุ่มใหญ่ลอยเคลื่อนเข้าปกคลุมทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับฟ้าแลบแปลบปลาบ
“เหมือนฝนจะตก”
ยาจกผู้หนึ่งเอ่ยด้วยเสียงประหลาดใจ เหตุใดต้นฤดูหนาวจึงมีเมฆฝนได้
“นั่นมันเรื่องของฟ้า ส่วนเรื่องของพวกเราคือหาที่ซุกหัวนอน”
สิ้นคำหัวหน้ายาจกก็ก้าวข้ามศพเด็กหนุ่มขอทานผู้นั้นไปอย่างไม่ไยดี พรรคพวกอีกสามคนจึงรีบตามไป
ไกลออกไปจากเมืองหลวงนับพันลี้
บนยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง สายลมหวีดหวิวแรงขึ้นตามเสียงที่เปล่งออกมาของนักบวชในลัทธินอกรีตผู้หนึ่ง
นักบวชในลัทธินอกรีตผู้นั้นสวมหมวกทรงสูง อาภรณ์สีดำสลับขาว มือหนึ่งยกตั้งขึ้นขณะที่ปากบริกรรมคาถาบางอย่าง ส่วนอีกมือถือดาบอาบชโลมเลือดสีแดงฉานตวัดไปมา เบื้องหน้าเป็นโต๊ะที่ประกอบด้วยเครื่องบูชา ตรงกลางโต๊ะมีหุ่นฟางสวมอาภรณ์ลายมังกรสีเหลืองทอง
เมื่อท้องฟ้าแปรปรวนถึงขีดสุดใบหน้าของเขาก็ปรากฏหยาดเหงื่อผุดพราย
....วิญญาณอาฆาตแค้น.... จงฟื้นคืน....
....วิญญูร่วงลับอย่างอับจน.... จงหวนกลับ...
.....ร่างแตกดับ.... จิตจงหวนคืน !....
สิ้นคำ นักบวชลัทธินอกรีตผู้นั้นก็ปักดาบเข้าสู่จุดกึ่งกลางกายของหุ่นฟาง
ฉึบ !
เปรี้ยง !
อสนีบาตฟาดลงมาที่ดาบเล่มนั้นราวกับสวรรค์พิโรธ เกิดเสียงดังก้องไปทั้งพสุธา นักบวชที่ทำพิธีถึงกับกระโดดหลบออกห่างจากแท่นพิธี ดวงตาจับจ้องหุ่นฟางที่กำลังมอดไหม้แน่วนิ่ง หากแต่ว่าร่างกายกลับสั่นสะท้านจนแทบควบคุมตนเองไม่ได้
เปรี้ยง !
เสียงฟ้าผ่าคำรามลั่นไปทั่วทั้งวังหลวง เสียงนั้นทำให้จักรพรรดินีสะดุ้งตื่นขึ้น พระหทัยของพระนางเต้นรัวราวกับกลองตี มือไม้เย็นเฉียบอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ขันที นางกำนัล และทหารรักษาพระองค์รีบวิ่งเข้ามาที่ตำหนักเมฆาสวรรค์ โคมตามจุดต่าง ๆ ถูกจุดขึ้นไม่ง่ายนักเพราะบัดนี้ทั้งสายลม และสายฝนต่างกระโชกแรง
“พระนางทรงตกพระทัยมากหรือไม่”
ชายบำเรอโอบกอดจักรพรรดินีเอาไว้แนบอกเพื่อปลอบขวัญ แต่ร่างของพระนางกลับไม่โอนอ่อนเข้าหาเขา แววพระเนตรยังคงฉายแววตื่นตระหนกอย่างขวัญเสีย
เมื่อขันทีประจำองค์ก้าวเข้ามาภายในห้องบรรทมแล้วคุกเข่าลงหน้าฉากกั้น จักรพรรดินีจึงรีบตรัสถามว่า
“ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น”
“ทูลพระนาง ฟ้าผ่าลงที่เซียนเหรินโจ่วโซ่วด้านหน้าพระตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”
ระหว่างที่ขันทีทูลรายงานนั้น ท้องฟ้าด้านนอกก็แลบแปลบปลาบพร้อมกับส่งเสียงคำรามขึ้นมาอีกหน
จักรพรรดินีมองท้องฟ้าวิปลาสด้านนอกถึงกับอกสั่นขวัญแขวน เหงื่อเฉียบเย็นผุดพรายขึ้นที่แผ่นหลัง เพราะฝนไม่เคยตกในค่ำคืนต้นฤดูหนาวเช่นนี้มาก่อน อีกทั้ง เซียนเหรินโจ่วโซ่วที่ด้านหน้าพระตำหนักนั้นเป็นสัตว์มงคลบนหลังคาซึ่งพระนางทรงมีราชโองการให้ทำขึ้นใหม่เป็นรูปปั้นหงส์ทดแทนรูปปั้นมังกรในปีที่พระนางทรงก้าวขึ้นเป็นจักรพรรดินีของแผ่นดิน เมื่อมันถูกฟ้าทำลายลงเช่นนี้ มิเท่ากับว่าเป็นลางร้ายหรอกรึ
อีกด้านหนึ่งของเมืองหลวง สายฟ้าแปลบปลาบจากท้องฟ้าพุ่งวาบลงยังร่างของขอทานหนุ่มร่างที่เดิมทีสิ้นลมหายใจไปแล้วกลับเกร็งกระตุกท่ามกลางสายฝนกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ชำระคราบสกปรกบนใบหน้าเผยความผุดผ่องให้เห็น ขนตายาวเรียงกันเป็นแพราวอิสตรีกระพือไหว ในขณะที่ร่างผอมเริ่มขยับกายพลิกตัวลุกขึ้น ฉับพลันนั้นสายฝนก็หยุดลง พร้อมกับท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งขึ้นมาอีกครั้งณ แท่นพิธี บนยอดเขาสูงเมื่อพายุสงบลง ผู้ที่ยืนดูพิธีกรรมอยู่ห่าง ๆ ก็รวบรวมความกล้าก้าวเท้าเข้าไปถามนักบวชว่า“พิธีหวนคืนวิญญาณได้ผลหรือไม่”เสียงของชายชราผู้นั้นแปร่งเล็กคล้ายอิสตรีอยู่หลายส่วน“ท่านก็เห็นกับตาแล้วมิใช่หรือ หุ่นฟางตนนี้ถูกอสนีบาตสวรรค์แผดเผามอดไหม้ ทรัพย์เก่าเพรียกหา วิญญาณหวนคืน”นักบวชนอกรีตผู้นั้นเอ่ยอย่างลำพองใจที่พิธีกรรมเสร็จสิ้นด้วยดี เท่ากับว่าฝีมือเขาสูงขึ้นไปอีกขั้น“เช่นนั้นก็ดี.... เช่นนั้นก็ดี...”ชายชราผู้จ้างวานให้นักบวชทำพิธีให้ผงกศีรษะพลางเช็ดน้ำตา น้ำเสียงแปร่งเล็กสั่นเครือ แล้วเขาก็ล้วงเอาถุงบรรจุแท่งทองนับสิบแท่งยื่นให้นักบวชพลางกล่าวว่า“ขอบคุณท่านมาก ที่ช่วยฟื้นคืนมังกรสู่แผ่นดิน”นักบวชนอกรีตรับถุงแ
“คืนนี้คงจะลำบากท่านมิใช่น้อย ข้าจึงสั่งให้นางกำนัลตุ๋นน้ำแกงไก่ไว้รอท่าน” เมื่อองค์หญิงฟางหรงเอ่ยถึงตรงนี้ นางกำนัลผู้หนึ่งก็ยกถ้วยบรรจุน้ำแกงไก่ร้อน ๆ เข้ามา แล้ววางบนโต๊ะให้กับเฉินกงตอนที่3.“เชิญเฉินกงดื่มสักหน่อยเถิดจะได้บำรุงร่างกาย”“ขอบพระทัยองค์หญิง ที่ใส่ใจผู้เฒ่าอย่างกระหม่อม”เฉินกงยกน้ำแกงขึ้นดื่มจนหมดถ้วยเพื่อแสดงการรับน้ำใจ คล้ายกับเมื่อยามที่เขาเคยถวายงานรับใช้ไทเฮา เมื่อทำงานสำเร็จ ไทเฮาก็มักจะถวายสิ่งของเป็นการตอบแทนความดีความชอบ“เมื่อดื่มหมดถ้วยแล้ว หวังว่าท่านคงจะหลับสบาย”เมื่อตรัสเสร็จองค์หญิงก็ลุกขึ้นให้นางกำนัลประคองเดินออกไปยังประตูเฉินกงรีบลุกขึ้นแล้วประสานมือค่อมศีรษะลง“น้อมส่งองค์หญิง”เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เขากลับพบว่าดวงตาพร่าเลือน โลหิตสด ๆ ไหลทะลักออกจากช่องทวารทั้งเก้า ร่างของชายชราทรุดฮวบลงกับพื้นทันทีตุบ !เสียงนั้นทำให้องค์หญิงฟางหรงชะงักฝีเท้า ยาพิษที่ผสมอยู่ในน้ำแกงไก่คงออกฤทธิ์แล้ว นางไอออกมาสองสามครั้งก่อนสั่งกับทหารที่หน้าประตูห้องว่า“จัดการปัดกวาดให้เรียบร้อยด้วย”“รับพระบัญชา”ขันทีชรานอนจมกองเลือด ดวงตาเบิกกว้างมองไปที่หน้าประตู แม้ตายแล้
ขอทานหนุ่มร้องเสียงหลงพลางหดขาคู้เข้าหาตัว เพื่อหลบหนีจากการสัมผัสของแม่เล้าเจียวมี่ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็รีบปรับอารมณ์เป็นยิ้มแย้มทันที แล้วขุดเอามารยาพันเล่มเกวียนจากการเป็นแม่เล้ามานานขึ้นมาใช้ว่า“ไม่ต้องตกใจ.... เมื่อคืนเจ้ามาสลบอยู่ที่หน้าหอไซ้ยเกอของข้า เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดรอยฟกซ้ำ ข้าเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนแล้งน้ำใจ จึงให้คนพาเจ้ามานอนพักที่นี่ เจ้าชื่ออะไรรึ”บุรุษบนเตียงได้ฟังวาจานางแล้วยิ่งขมวดคิ้วแน่น เขารำพึงรำพันออกมาว่า“เราชื่อเฉินเฉิง ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ เราควรจะอยู่ในวังมิใช่รึ”ความทรงจำครั้งสุดท้ายในหัวของเขาไหลเวียนเรื่องราวในอดีต รู้สึกเหมือนว่าเพิ่งจะเกิดขึ้น เขาเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉิน มีพระนามว่า “เฉินเฉิง” เพราะเชื่อคำยุยงของฟางเหรินกุ้ยเฟย จึงสังหารเฟิ่งอี๋ฮองเฮา แล้วเรื่องที่เหลือเชื่อก็พลันเกิดขึ้นเมื่อวิญญาณของเฟิ่งอี๋กลับเข้ามาในร่างของฟางเหริน แก้แค้นเขาได้อย่างเลือดเย็นภาพบนแท่นบรรทมในตำหนักเมฆาสวรรค์ยังชัดเจนในห้วงความทรงจำ หวนนึกถึงครั้งใดหัวใจของเขาก็เจ็บราวกับถูกบีบให้แหลกลาญ เขายกมือขึ้นกุมหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจ รู้สึกเจ็บปวดจนยากจะบรรยายออกมาเจ
“เรารู้ว่าทุกท่านต่างเห็นแก่ความสงบสุขของประชาชนในใต้หล้า แต่หากจะโต้เถียงกันเช่นนี้ต่อไปก็คงจะไม่ได้ข้อยุติเป็นแน่ ดังนั้น เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย เราเห็นว่าควรแต่งตั้งผู้แทนพระองค์ไปตรวจสอบความจริงที่เมืองซานซีดีหรือไม่ เราทุกคนจะได้รู้ว่า ความจริงแล้วควรเก็บภาษีเท่าไหร่กันแน่”“องค์จักรพรรดินีทรงพระปรีชา เกล้ากระหม่อมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”ใต้เท้าหยวนรุ่ย อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบเสนอตัวประจบขึ้นก่อนใคร หากเทียบกับสมัยก่อนนั้น ในภาษาชาวบ้านบุตรชายของเขาก็เท่ากับเป็นสามีเอกของนาง ส่วนเขาก็มีศักดิ์เป็นถึงพ่อสามี สายสัมพันธ์เช่นนี้ มีหรือที่เขาจะไม่รีบสนับสนุนอีกฝ่าย“เช่นนั้น ฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งผู้ใดเป็นผู้แทนพระองค์”ใต้เท้าจื่อลู่ เจ้ากรมการคลังรีบถามขึ้น เพราะหน้าที่นี้เหมือนของร้อนที่ไม่มีผู้ใดอยากจะรับ เนื่องจากฉากบังหน้ามีตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงผู้แทนพระองค์ แต่กลับแบกภาระไว้มากนัก เพราะหากตรวจสอบว่าไม่ควรเก็บภาษีเมืองซานซีสูงถึงสิบเท่าก็เท่ากับขัดพระประสงค์ แต่ถ้ามีหลักฐานยืนยันว่าต้องเก็บ ก็จะเป็นศัตรูกับเหล่าขุนนางส่วนใหญ่จักรพรรดินีทรงยิ้มน้อย ๆ แล้วตรัสออกมาว่า“ผู้ท
“เรารู้ว่าทุกท่านต่างเห็นแก่ความสงบสุขของประชาชนในใต้หล้า แต่หากจะโต้เถียงกันเช่นนี้ต่อไปก็คงจะไม่ได้ข้อยุติเป็นแน่ ดังนั้น เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย เราเห็นว่าควรแต่งตั้งผู้แทนพระองค์ไปตรวจสอบความจริงที่เมืองซานซีดีหรือไม่ เราทุกคนจะได้รู้ว่า ความจริงแล้วควรเก็บภาษีเท่าไหร่กันแน่”“องค์จักรพรรดินีทรงพระปรีชา เกล้ากระหม่อมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”ใต้เท้าหยวนรุ่ย อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบเสนอตัวประจบขึ้นก่อนใคร หากเทียบกับสมัยก่อนนั้น ในภาษาชาวบ้านบุตรชายของเขาก็เท่ากับเป็นสามีเอกของนาง ส่วนเขาก็มีศักดิ์เป็นถึงพ่อสามี สายสัมพันธ์เช่นนี้ มีหรือที่เขาจะไม่รีบสนับสนุนอีกฝ่าย“เช่นนั้น ฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งผู้ใดเป็นผู้แทนพระองค์”ใต้เท้าจื่อลู่ เจ้ากรมการคลังรีบถามขึ้น เพราะหน้าที่นี้เหมือนของร้อนที่ไม่มีผู้ใดอยากจะรับ เนื่องจากฉากบังหน้ามีตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงผู้แทนพระองค์ แต่กลับแบกภาระไว้มากนัก เพราะหากตรวจสอบว่าไม่ควรเก็บภาษีเมืองซานซีสูงถึงสิบเท่าก็เท่ากับขัดพระประสงค์ แต่ถ้ามีหลักฐานยืนยันว่าต้องเก็บ ก็จะเป็นศัตรูกับเหล่าขุนนางส่วนใหญ่จักรพรรดินีทรงยิ้มน้อย ๆ แล้วตรัสออกมาว่า“ผู้ท
ขอทานหนุ่มร้องเสียงหลงพลางหดขาคู้เข้าหาตัว เพื่อหลบหนีจากการสัมผัสของแม่เล้าเจียวมี่ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็รีบปรับอารมณ์เป็นยิ้มแย้มทันที แล้วขุดเอามารยาพันเล่มเกวียนจากการเป็นแม่เล้ามานานขึ้นมาใช้ว่า“ไม่ต้องตกใจ.... เมื่อคืนเจ้ามาสลบอยู่ที่หน้าหอไซ้ยเกอของข้า เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดรอยฟกซ้ำ ข้าเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนแล้งน้ำใจ จึงให้คนพาเจ้ามานอนพักที่นี่ เจ้าชื่ออะไรรึ”บุรุษบนเตียงได้ฟังวาจานางแล้วยิ่งขมวดคิ้วแน่น เขารำพึงรำพันออกมาว่า“เราชื่อเฉินเฉิง ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ เราควรจะอยู่ในวังมิใช่รึ”ความทรงจำครั้งสุดท้ายในหัวของเขาไหลเวียนเรื่องราวในอดีต รู้สึกเหมือนว่าเพิ่งจะเกิดขึ้น เขาเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉิน มีพระนามว่า “เฉินเฉิง” เพราะเชื่อคำยุยงของฟางเหรินกุ้ยเฟย จึงสังหารเฟิ่งอี๋ฮองเฮา แล้วเรื่องที่เหลือเชื่อก็พลันเกิดขึ้นเมื่อวิญญาณของเฟิ่งอี๋กลับเข้ามาในร่างของฟางเหริน แก้แค้นเขาได้อย่างเลือดเย็นภาพบนแท่นบรรทมในตำหนักเมฆาสวรรค์ยังชัดเจนในห้วงความทรงจำ หวนนึกถึงครั้งใดหัวใจของเขาก็เจ็บราวกับถูกบีบให้แหลกลาญ เขายกมือขึ้นกุมหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจ รู้สึกเจ็บปวดจนยากจะบรรยายออกมาเจ
“คืนนี้คงจะลำบากท่านมิใช่น้อย ข้าจึงสั่งให้นางกำนัลตุ๋นน้ำแกงไก่ไว้รอท่าน” เมื่อองค์หญิงฟางหรงเอ่ยถึงตรงนี้ นางกำนัลผู้หนึ่งก็ยกถ้วยบรรจุน้ำแกงไก่ร้อน ๆ เข้ามา แล้ววางบนโต๊ะให้กับเฉินกงตอนที่3.“เชิญเฉินกงดื่มสักหน่อยเถิดจะได้บำรุงร่างกาย”“ขอบพระทัยองค์หญิง ที่ใส่ใจผู้เฒ่าอย่างกระหม่อม”เฉินกงยกน้ำแกงขึ้นดื่มจนหมดถ้วยเพื่อแสดงการรับน้ำใจ คล้ายกับเมื่อยามที่เขาเคยถวายงานรับใช้ไทเฮา เมื่อทำงานสำเร็จ ไทเฮาก็มักจะถวายสิ่งของเป็นการตอบแทนความดีความชอบ“เมื่อดื่มหมดถ้วยแล้ว หวังว่าท่านคงจะหลับสบาย”เมื่อตรัสเสร็จองค์หญิงก็ลุกขึ้นให้นางกำนัลประคองเดินออกไปยังประตูเฉินกงรีบลุกขึ้นแล้วประสานมือค่อมศีรษะลง“น้อมส่งองค์หญิง”เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เขากลับพบว่าดวงตาพร่าเลือน โลหิตสด ๆ ไหลทะลักออกจากช่องทวารทั้งเก้า ร่างของชายชราทรุดฮวบลงกับพื้นทันทีตุบ !เสียงนั้นทำให้องค์หญิงฟางหรงชะงักฝีเท้า ยาพิษที่ผสมอยู่ในน้ำแกงไก่คงออกฤทธิ์แล้ว นางไอออกมาสองสามครั้งก่อนสั่งกับทหารที่หน้าประตูห้องว่า“จัดการปัดกวาดให้เรียบร้อยด้วย”“รับพระบัญชา”ขันทีชรานอนจมกองเลือด ดวงตาเบิกกว้างมองไปที่หน้าประตู แม้ตายแล้
อีกด้านหนึ่งของเมืองหลวง สายฟ้าแปลบปลาบจากท้องฟ้าพุ่งวาบลงยังร่างของขอทานหนุ่มร่างที่เดิมทีสิ้นลมหายใจไปแล้วกลับเกร็งกระตุกท่ามกลางสายฝนกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ชำระคราบสกปรกบนใบหน้าเผยความผุดผ่องให้เห็น ขนตายาวเรียงกันเป็นแพราวอิสตรีกระพือไหว ในขณะที่ร่างผอมเริ่มขยับกายพลิกตัวลุกขึ้น ฉับพลันนั้นสายฝนก็หยุดลง พร้อมกับท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งขึ้นมาอีกครั้งณ แท่นพิธี บนยอดเขาสูงเมื่อพายุสงบลง ผู้ที่ยืนดูพิธีกรรมอยู่ห่าง ๆ ก็รวบรวมความกล้าก้าวเท้าเข้าไปถามนักบวชว่า“พิธีหวนคืนวิญญาณได้ผลหรือไม่”เสียงของชายชราผู้นั้นแปร่งเล็กคล้ายอิสตรีอยู่หลายส่วน“ท่านก็เห็นกับตาแล้วมิใช่หรือ หุ่นฟางตนนี้ถูกอสนีบาตสวรรค์แผดเผามอดไหม้ ทรัพย์เก่าเพรียกหา วิญญาณหวนคืน”นักบวชนอกรีตผู้นั้นเอ่ยอย่างลำพองใจที่พิธีกรรมเสร็จสิ้นด้วยดี เท่ากับว่าฝีมือเขาสูงขึ้นไปอีกขั้น“เช่นนั้นก็ดี.... เช่นนั้นก็ดี...”ชายชราผู้จ้างวานให้นักบวชทำพิธีให้ผงกศีรษะพลางเช็ดน้ำตา น้ำเสียงแปร่งเล็กสั่นเครือ แล้วเขาก็ล้วงเอาถุงบรรจุแท่งทองนับสิบแท่งยื่นให้นักบวชพลางกล่าวว่า“ขอบคุณท่านมาก ที่ช่วยฟื้นคืนมังกรสู่แผ่นดิน”นักบวชนอกรีตรับถุงแ
ภาคต่อ ของเรื่อง “ฮองเฮา ขย่มบัลลังก์”บทนำ “...เพราะความโง่เขลา ลุ่มหลงความงามของสตรี ฝ่าบาทถึงกับฆ่าลูกของเราด้วยมือของพระองค์เอง ! ”เขามองใบหน้าสวยที่เต็มไปด้วยสายธารแห่งน้ำตา น้ำตาสายนั้นไหลหยดลงบนใบหน้าเขาให้ความรู้สึกปวดร้าวจนแทบจะหายใจไม่ออก“....เฟิ่งอี๋... ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษ...”เขาขยับปากอย่างยากลำบากร่ำร้องขอโทษอย่างรู้สึกผิด เสียงร่ำไห้ของนางช่างบีบรัดหัวใจเขาจนเจ็บปวด“ฝ่าบาทฆ่าลูก ฆ่าหม่อมฉัน สังหารครอบครัวหม่อมฉันทั้งตระกูล ! แค้นนี้ต้องชำระด้วยชีวิต.....”ฉับพลันนั้นนางก็หยิบเข็มเงินวาววับขึ้นมา เขาเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ละล่ำละลักเปล่งวาจาว่า“ไม่ ๆ ไม่นะ อย่าฆ่าข้า ฮองเฮาข้าผิดไปแล้ว อย่าฆ่าข้าเลย”“หนี้ชีวิต ต้องชดใช้ด้วยชีวิต !”สิ้นคำนาง เข็มเงินแหลมคมวาววับก็พุ่งเข้าหาเขาเต็มแรง“อ๊ากกกกกก”ฉึบ !ตอนที่1. ณ นครฉางซี เมืองหลวงของแคว้นเฉิน ค่ำคืนในต้นฤดูหนาวนั้น ท้องฟ้ายามค่ำคืนไร้เมฆหมอก ดาวและเดือนสุกสกาวดาษดื่นเต็มท้องฟ้าทอแสงแข่งกับโคมไฟบนถนนสายโลกีย์เบื้องล่างเสียงตุบตับผสานกับเสียงขู่กรรโชกอย่างหยาบคายดังขึ้นที่ถนนอีกสายอันมืดม