“เรารู้ว่าทุกท่านต่างเห็นแก่ความสงบสุขของประชาชนในใต้หล้า แต่หากจะโต้เถียงกันเช่นนี้ต่อไปก็คงจะไม่ได้ข้อยุติเป็นแน่ ดังนั้น เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย เราเห็นว่าควรแต่งตั้งผู้แทนพระองค์ไปตรวจสอบความจริงที่เมืองซานซีดีหรือไม่ เราทุกคนจะได้รู้ว่า ความจริงแล้วควรเก็บภาษีเท่าไหร่กันแน่”
“องค์จักรพรรดินีทรงพระปรีชา เกล้ากระหม่อมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ใต้เท้าหยวนรุ่ย อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบเสนอตัวประจบขึ้นก่อนใคร หากเทียบกับสมัยก่อนนั้น ในภาษาชาวบ้านบุตรชายของเขาก็เท่ากับเป็นสามีเอกของนาง ส่วนเขาก็มีศักดิ์เป็นถึงพ่อสามี สายสัมพันธ์เช่นนี้ มีหรือที่เขาจะไม่รีบสนับสนุนอีกฝ่าย
“เช่นนั้น ฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งผู้ใดเป็นผู้แทนพระองค์”
ใต้เท้าจื่อลู่ เจ้ากรมการคลังรีบถามขึ้น เพราะหน้าที่นี้เหมือนของร้อนที่ไม่มีผู้ใดอยากจะรับ เนื่องจากฉากบังหน้ามีตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงผู้แทนพระองค์ แต่กลับแบกภาระไว้มากนัก เพราะหากตรวจสอบว่าไม่ควรเก็บภาษีเมืองซานซีสูงถึงสิบเท่าก็เท่ากับขัดพระประสงค์ แต่ถ้ามีหลักฐานยืนยันว่าต้องเก็บ ก็จะเป็นศัตรูกับเหล่าขุนนางส่วนใหญ่
จักรพรรดินีทรงยิ้มน้อย ๆ แล้วตรัสออกมาว่า
“ผู้ที่ซื่อตรง และยุติธรรมอย่างยิ่ง ก็คงจะหนีไม่พ้นใต้เท้าจ้านแห่งกรมอาญา”
ใต้เท้าจ้านได้ยินดังนั้นถึงกับหัวใจกระตุกวูบ รู้สึกถึงหยาดเหงื่อเย็นชุ่มแผ่นหลัง แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็รู้ดีแก่ใจว่าไม่อาจจะปฏิเสธหน้าที่นี้ได้จึงคุกเข่าลงแล้วเอ่ยว่า
“กระหม่อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี ในเมื่อท่านยินดีเดินทางนับพันลี้ ข้าก็จะมอบทหารรักษาพระองค์หนึ่งกองให้เดินทางไปพร้อมกับท่านด้วยเพื่อความปลอดภัย”
“เป็นพระมหากรุณาพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากได้ข้อยุติแล้ว องค์จักรพรรดินีก็เสด็จไปยังห้องทรงงาน ส่วนเหล่าขุนนางต่างแยกย้ายกลับไปปฏิบัติหน้าที่ของตน ในระหว่างโถงทางเดินแม่ทัพหลี่รีบสาวเท้าเข้ามาใกล้ใต้เท้าจ้าน แล้วเอ่ยวาจาอย่างเดือดดาลว่า
“ท่านเห็นหรือไม่ เห็นหรือไม่ นับวันจักรพรรดินียิ่งทรงเหลวไหล ไร้คุณธรรมอย่างยิ่ง แผ่นดินที่มีสตรีเป็นผู้นำสักวันต้องย่อยยับเป็นแน่”
“ท่านแม่ทัพหลี่ โปรดสำรวมวาจาด้วย หากผู้ใดได้ยินเข้าเกรงว่าหัวท่านจะหลุดจากบ่า”
ใต้เท้าจ้าน เตือนสติขุนนางเฒ่าด้วยกันอย่างหวังดี แม้ว่าตนจะเห็นด้วยกับวาจานี้ครึ่งหนึ่งแต่ก็ไม่ควรพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้
“ข้าเป็นถึงแม่ทัพ กลัวตายที่ใด ทุกวันนี้ข้าก็อยู่แบบไม่ศักดิ์ศรีอยู่แล้ว”
แม่ทัพหลี่ยังคงพูดจาโผงผางไม่เลิกรา ใต้เท้าจ้านจึงได้แต่ส่ายหน้าอย่าจนปัญญา ได้แต่เงียบเสียง แม่ทัพหลี่จึงพูดระบายความอัดอั้นออกมาอีกว่า
“องค์จักรพรรดินีทรงบีบบังคับขุนนางที่กระด้างกระเดื่องต่อพระนางให้ออกจากตำแหน่งขุนนาง ซ้ำยังยึดทรัพย์สินเข้าท้องพระคลัง พี่น้องขุนนางที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้รัชกาลก่อนถูกองค์จักรพรรดินีเหยียบย่ำจนเดือดร้อนกันไปหมดแล้ว”
เขาพ่นคำพูดออกมาอย่างเกรี้ยวกราด เพราะเขาเองก็ถูกจักรพรรดินีลิดรอนอำนาจเช่นกัน
“เอ่อ... คือ....”
ใต้เท้าจ้านอ้าปากจะเอ่ยวาจา แต่แม่ทัพหลี่ชิงพูดขึ้นก่อนว่า
“มิหนำซ้ำพระนางยังมัวเมาในกามรมณ์เกินไปแล้ว เลี้ยงชายบำเรอไว้นับพันคน แล้วรีดภาษีจากประชาชนมาใช้จ่ายบำเรอความสุขตน ไม่เห็นแก่ความสุขของไพร่ฟ้า ไร้คุณธรรม ไร้คุณธรรมสิ้นดี พระนางทรงเป็นเช่นนี้ เหตุใดท่านยังทนไหว”
เมื่อได้ยินแม่ทัพหลี่เอ่ยวาจาอันตรายเช่นนี้ออกมา ใต้เท้าจ้านถึงกับตื่นตระหนก รีบหยุดเท้าแล้วหันไปคุยกับแม่ทัพหลี่อย่างจริงจังว่า
“ท่านแม่ทัพหลี่ โปรดระงับโทสะด้วย อย่างไรเสียพระนางก็ทรงขึ้นเป็นจักรพรรดินีอย่างถูกต้องตามกฎมณเฑียรบาล ตอนนี้ข้าก็มองไม่เห็นผู้ใดที่จะนั่งบนบัลลังก์มังกรได้เหมาะสมเท่ากับพระนางอีกแล้ว”
เอ่ยจบ ใต้เท้าจ้านก็รีบสาวเท้าจากไปโดยไว ปล่อยให้แม่ทัพหลี่กระทืบเท้าไม่พอใจอยู่ด้านหลัง
ณ ห้องทรงงาน
“น่าเบื่อที่สุด !”
เฟิ่งอี๋ซึ่งบัดนี้ครอบครองตำแหน่งองค์จักรพรรดินีโยนฎีกาลงพื้น พระโขนงขมวดมุ่น
บุรุษรูปงามผู้หนึ่งก็ยื่นมือเรียวนุ่มเข้านวดที่ขมับของพระนางอย่างอ่อนโยน ในขณะที่บุรุษรูปงามอีกคนก็ก้มลงเก็บฎีกาฉบับนั้นวางไว้บนโต๊ะเรียบร้อยเช่นเดิมอย่างรู้งาน
“พระนางทรงงานหลายชั่วยามแล้วพักก่อนดีหรือไม่”
บุรุษรูปงามที่นวดขมับให้พระนางเอ่ยเสียงทุ้มกังวาน เขามีนามว่า – ลี่จู่ – เป็นขันทีฝ่ายซ้ายประจำองค์จักรพรรดินี
“เรายังไม่เหนื่อย เพียงแต่ว่าเวียนหัวกับแมลงรบกวนพวกนี้ นอกจากถวายฎีกาคัดค้านในสิ่งที่เราดำริแล้วพวกมันไม่คิดจะทำอย่างอื่นกันรึอย่างไร”
น้ำเสียงของพระนางเจือความเหนื่อยหน่ายกับการรับมือกับเหล่าขุนนางที่เต็มไปด้วยจิ้งจอกเฒ่า ขอเพียงนางก้าวพลาดแค่ก้าวเดียว จิ้งจอกเหล่านั้นก็จะรุมทึ้งนางทันที
“พระนางจะทรงมีโทสะไปไย ในเมื่อแมลงเหล่านั้นล้วนสติปัญญาเล็กนิดเดียว”
บุรุษรูปงามที่วางฎีกาไว้เรียบร้อยแล้วยิ้มพรายออกมา เขามีนามว่า – ลี่จ้ง – เป็นขันทีฝ่ายขวาประจำองค์จักรพรรดินี เขามีหน้าตาคล้ายคลึงลี่จู่อยู่หลายส่วน เนื่องจากเป็นฝาแฝดกัน
เนื่องจากวังหลังที่เคยเต็มไปด้วยชายบำเรอของจักรพรรดินี ดังนั้น ขันทีในรัชกาลของจักรพรรดินีจึงไม่ต้องตัดเครื่องเพศออก แต่นางกำนัลทุกคนกลับต้องสวมใส่เครื่องเหล็กป้องกันส่วนสงวนของนางเอาไว้แทน
“บางครั้งแมลงตัวเล็ก ๆ ก็ก่อความรำคาญให้เราได้”
เฟิ่งอี๋ทอดถอนลมหายใจออกมา
“ขออภัยที่กระหม่อมบังอาจคาดเดา ความจริงแล้วสิ่งที่ก่อกวนพระหทัยของพระนางให้ต้องขุ่นเคือง ใช่เป็นเรื่องฟ้าวิปลาสเมื่อคืนหรือไม่”
ลี่จ้งกล่าวอย่างระมัดระวัง แม้จักรพรรดินีที่ประทับอยู่เบื้องหน้าจะมีอายุเพียง 22 ปี เท่ากับเป็นน้องสาวของเขา และเป็นสตรีที่สวยหยาดเยิ้มราวกับเทพเซียนลงมาจุติ แต่ทว่ากลับมีอำนาจมากล้นลิขิตชีวิตคนทั้งแผ่นดิน ดังนั้น เขาจึงคอยสังเกตสีหน้าพระนางทุกครั้งก่อนจะกระทำการใด
เฟิ่งอี๋พยักหน้ารับเบา ๆ ปล่อยให้ลี่จู่นวดคลึงขมับ มือเรียวนุ่มลงน้ำหนักอย่างอ่อนโยนทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
ตั้งแต่นางครอบครองบัลลังก์มังกร ผู้คนทั้งที่แลเห็น และแลไม่เห็นต่างคิดช่วงชิงอำนาจจากมือนาง นางจึงต้องมีราชโองการให้เชื้อพระวงศ์แยกย้ายไปอยู่ที่ชายแดน และลิดรอนกำลังทหารในมือของแม่ทัพป้องกันการแย่งชิงบัลลังก์ อีกทั้ง ยังขู่ขวัญขุนนางที่คิดจะต่อกรกับนางด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งยึดทรัพย์ ทั้งปลดจากตำแหน่ง
แม้ว่ายามนี้ จะดูเหมือนว่าคลื่นลมสงบสุข แต่ใครจะรู้ว่ามีคลื่นใต้น้ำซุกซ่อนอยู่มากน้อยเท่าใด
ภาคต่อ ของเรื่อง “ฮองเฮา ขย่มบัลลังก์”บทนำ “...เพราะความโง่เขลา ลุ่มหลงความงามของสตรี ฝ่าบาทถึงกับฆ่าลูกของเราด้วยมือของพระองค์เอง ! ”เขามองใบหน้าสวยที่เต็มไปด้วยสายธารแห่งน้ำตา น้ำตาสายนั้นไหลหยดลงบนใบหน้าเขาให้ความรู้สึกปวดร้าวจนแทบจะหายใจไม่ออก“....เฟิ่งอี๋... ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษ...”เขาขยับปากอย่างยากลำบากร่ำร้องขอโทษอย่างรู้สึกผิด เสียงร่ำไห้ของนางช่างบีบรัดหัวใจเขาจนเจ็บปวด“ฝ่าบาทฆ่าลูก ฆ่าหม่อมฉัน สังหารครอบครัวหม่อมฉันทั้งตระกูล ! แค้นนี้ต้องชำระด้วยชีวิต.....”ฉับพลันนั้นนางก็หยิบเข็มเงินวาววับขึ้นมา เขาเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ละล่ำละลักเปล่งวาจาว่า“ไม่ ๆ ไม่นะ อย่าฆ่าข้า ฮองเฮาข้าผิดไปแล้ว อย่าฆ่าข้าเลย”“หนี้ชีวิต ต้องชดใช้ด้วยชีวิต !”สิ้นคำนาง เข็มเงินแหลมคมวาววับก็พุ่งเข้าหาเขาเต็มแรง“อ๊ากกกกกก”ฉึบ !ตอนที่1. ณ นครฉางซี เมืองหลวงของแคว้นเฉิน ค่ำคืนในต้นฤดูหนาวนั้น ท้องฟ้ายามค่ำคืนไร้เมฆหมอก ดาวและเดือนสุกสกาวดาษดื่นเต็มท้องฟ้าทอแสงแข่งกับโคมไฟบนถนนสายโลกีย์เบื้องล่างเสียงตุบตับผสานกับเสียงขู่กรรโชกอย่างหยาบคายดังขึ้นที่ถนนอีกสายอันมืดม
อีกด้านหนึ่งของเมืองหลวง สายฟ้าแปลบปลาบจากท้องฟ้าพุ่งวาบลงยังร่างของขอทานหนุ่มร่างที่เดิมทีสิ้นลมหายใจไปแล้วกลับเกร็งกระตุกท่ามกลางสายฝนกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ชำระคราบสกปรกบนใบหน้าเผยความผุดผ่องให้เห็น ขนตายาวเรียงกันเป็นแพราวอิสตรีกระพือไหว ในขณะที่ร่างผอมเริ่มขยับกายพลิกตัวลุกขึ้น ฉับพลันนั้นสายฝนก็หยุดลง พร้อมกับท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งขึ้นมาอีกครั้งณ แท่นพิธี บนยอดเขาสูงเมื่อพายุสงบลง ผู้ที่ยืนดูพิธีกรรมอยู่ห่าง ๆ ก็รวบรวมความกล้าก้าวเท้าเข้าไปถามนักบวชว่า“พิธีหวนคืนวิญญาณได้ผลหรือไม่”เสียงของชายชราผู้นั้นแปร่งเล็กคล้ายอิสตรีอยู่หลายส่วน“ท่านก็เห็นกับตาแล้วมิใช่หรือ หุ่นฟางตนนี้ถูกอสนีบาตสวรรค์แผดเผามอดไหม้ ทรัพย์เก่าเพรียกหา วิญญาณหวนคืน”นักบวชนอกรีตผู้นั้นเอ่ยอย่างลำพองใจที่พิธีกรรมเสร็จสิ้นด้วยดี เท่ากับว่าฝีมือเขาสูงขึ้นไปอีกขั้น“เช่นนั้นก็ดี.... เช่นนั้นก็ดี...”ชายชราผู้จ้างวานให้นักบวชทำพิธีให้ผงกศีรษะพลางเช็ดน้ำตา น้ำเสียงแปร่งเล็กสั่นเครือ แล้วเขาก็ล้วงเอาถุงบรรจุแท่งทองนับสิบแท่งยื่นให้นักบวชพลางกล่าวว่า“ขอบคุณท่านมาก ที่ช่วยฟื้นคืนมังกรสู่แผ่นดิน”นักบวชนอกรีตรับถุงแ
“คืนนี้คงจะลำบากท่านมิใช่น้อย ข้าจึงสั่งให้นางกำนัลตุ๋นน้ำแกงไก่ไว้รอท่าน” เมื่อองค์หญิงฟางหรงเอ่ยถึงตรงนี้ นางกำนัลผู้หนึ่งก็ยกถ้วยบรรจุน้ำแกงไก่ร้อน ๆ เข้ามา แล้ววางบนโต๊ะให้กับเฉินกงตอนที่3.“เชิญเฉินกงดื่มสักหน่อยเถิดจะได้บำรุงร่างกาย”“ขอบพระทัยองค์หญิง ที่ใส่ใจผู้เฒ่าอย่างกระหม่อม”เฉินกงยกน้ำแกงขึ้นดื่มจนหมดถ้วยเพื่อแสดงการรับน้ำใจ คล้ายกับเมื่อยามที่เขาเคยถวายงานรับใช้ไทเฮา เมื่อทำงานสำเร็จ ไทเฮาก็มักจะถวายสิ่งของเป็นการตอบแทนความดีความชอบ“เมื่อดื่มหมดถ้วยแล้ว หวังว่าท่านคงจะหลับสบาย”เมื่อตรัสเสร็จองค์หญิงก็ลุกขึ้นให้นางกำนัลประคองเดินออกไปยังประตูเฉินกงรีบลุกขึ้นแล้วประสานมือค่อมศีรษะลง“น้อมส่งองค์หญิง”เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เขากลับพบว่าดวงตาพร่าเลือน โลหิตสด ๆ ไหลทะลักออกจากช่องทวารทั้งเก้า ร่างของชายชราทรุดฮวบลงกับพื้นทันทีตุบ !เสียงนั้นทำให้องค์หญิงฟางหรงชะงักฝีเท้า ยาพิษที่ผสมอยู่ในน้ำแกงไก่คงออกฤทธิ์แล้ว นางไอออกมาสองสามครั้งก่อนสั่งกับทหารที่หน้าประตูห้องว่า“จัดการปัดกวาดให้เรียบร้อยด้วย”“รับพระบัญชา”ขันทีชรานอนจมกองเลือด ดวงตาเบิกกว้างมองไปที่หน้าประตู แม้ตายแล้
ขอทานหนุ่มร้องเสียงหลงพลางหดขาคู้เข้าหาตัว เพื่อหลบหนีจากการสัมผัสของแม่เล้าเจียวมี่ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็รีบปรับอารมณ์เป็นยิ้มแย้มทันที แล้วขุดเอามารยาพันเล่มเกวียนจากการเป็นแม่เล้ามานานขึ้นมาใช้ว่า“ไม่ต้องตกใจ.... เมื่อคืนเจ้ามาสลบอยู่ที่หน้าหอไซ้ยเกอของข้า เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดรอยฟกซ้ำ ข้าเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนแล้งน้ำใจ จึงให้คนพาเจ้ามานอนพักที่นี่ เจ้าชื่ออะไรรึ”บุรุษบนเตียงได้ฟังวาจานางแล้วยิ่งขมวดคิ้วแน่น เขารำพึงรำพันออกมาว่า“เราชื่อเฉินเฉิง ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ เราควรจะอยู่ในวังมิใช่รึ”ความทรงจำครั้งสุดท้ายในหัวของเขาไหลเวียนเรื่องราวในอดีต รู้สึกเหมือนว่าเพิ่งจะเกิดขึ้น เขาเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉิน มีพระนามว่า “เฉินเฉิง” เพราะเชื่อคำยุยงของฟางเหรินกุ้ยเฟย จึงสังหารเฟิ่งอี๋ฮองเฮา แล้วเรื่องที่เหลือเชื่อก็พลันเกิดขึ้นเมื่อวิญญาณของเฟิ่งอี๋กลับเข้ามาในร่างของฟางเหริน แก้แค้นเขาได้อย่างเลือดเย็นภาพบนแท่นบรรทมในตำหนักเมฆาสวรรค์ยังชัดเจนในห้วงความทรงจำ หวนนึกถึงครั้งใดหัวใจของเขาก็เจ็บราวกับถูกบีบให้แหลกลาญ เขายกมือขึ้นกุมหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจ รู้สึกเจ็บปวดจนยากจะบรรยายออกมาเจ
“เรารู้ว่าทุกท่านต่างเห็นแก่ความสงบสุขของประชาชนในใต้หล้า แต่หากจะโต้เถียงกันเช่นนี้ต่อไปก็คงจะไม่ได้ข้อยุติเป็นแน่ ดังนั้น เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย เราเห็นว่าควรแต่งตั้งผู้แทนพระองค์ไปตรวจสอบความจริงที่เมืองซานซีดีหรือไม่ เราทุกคนจะได้รู้ว่า ความจริงแล้วควรเก็บภาษีเท่าไหร่กันแน่”“องค์จักรพรรดินีทรงพระปรีชา เกล้ากระหม่อมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”ใต้เท้าหยวนรุ่ย อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบเสนอตัวประจบขึ้นก่อนใคร หากเทียบกับสมัยก่อนนั้น ในภาษาชาวบ้านบุตรชายของเขาก็เท่ากับเป็นสามีเอกของนาง ส่วนเขาก็มีศักดิ์เป็นถึงพ่อสามี สายสัมพันธ์เช่นนี้ มีหรือที่เขาจะไม่รีบสนับสนุนอีกฝ่าย“เช่นนั้น ฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งผู้ใดเป็นผู้แทนพระองค์”ใต้เท้าจื่อลู่ เจ้ากรมการคลังรีบถามขึ้น เพราะหน้าที่นี้เหมือนของร้อนที่ไม่มีผู้ใดอยากจะรับ เนื่องจากฉากบังหน้ามีตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงผู้แทนพระองค์ แต่กลับแบกภาระไว้มากนัก เพราะหากตรวจสอบว่าไม่ควรเก็บภาษีเมืองซานซีสูงถึงสิบเท่าก็เท่ากับขัดพระประสงค์ แต่ถ้ามีหลักฐานยืนยันว่าต้องเก็บ ก็จะเป็นศัตรูกับเหล่าขุนนางส่วนใหญ่จักรพรรดินีทรงยิ้มน้อย ๆ แล้วตรัสออกมาว่า“ผู้ท
ขอทานหนุ่มร้องเสียงหลงพลางหดขาคู้เข้าหาตัว เพื่อหลบหนีจากการสัมผัสของแม่เล้าเจียวมี่ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็รีบปรับอารมณ์เป็นยิ้มแย้มทันที แล้วขุดเอามารยาพันเล่มเกวียนจากการเป็นแม่เล้ามานานขึ้นมาใช้ว่า“ไม่ต้องตกใจ.... เมื่อคืนเจ้ามาสลบอยู่ที่หน้าหอไซ้ยเกอของข้า เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดรอยฟกซ้ำ ข้าเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนแล้งน้ำใจ จึงให้คนพาเจ้ามานอนพักที่นี่ เจ้าชื่ออะไรรึ”บุรุษบนเตียงได้ฟังวาจานางแล้วยิ่งขมวดคิ้วแน่น เขารำพึงรำพันออกมาว่า“เราชื่อเฉินเฉิง ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ เราควรจะอยู่ในวังมิใช่รึ”ความทรงจำครั้งสุดท้ายในหัวของเขาไหลเวียนเรื่องราวในอดีต รู้สึกเหมือนว่าเพิ่งจะเกิดขึ้น เขาเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉิน มีพระนามว่า “เฉินเฉิง” เพราะเชื่อคำยุยงของฟางเหรินกุ้ยเฟย จึงสังหารเฟิ่งอี๋ฮองเฮา แล้วเรื่องที่เหลือเชื่อก็พลันเกิดขึ้นเมื่อวิญญาณของเฟิ่งอี๋กลับเข้ามาในร่างของฟางเหริน แก้แค้นเขาได้อย่างเลือดเย็นภาพบนแท่นบรรทมในตำหนักเมฆาสวรรค์ยังชัดเจนในห้วงความทรงจำ หวนนึกถึงครั้งใดหัวใจของเขาก็เจ็บราวกับถูกบีบให้แหลกลาญ เขายกมือขึ้นกุมหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจ รู้สึกเจ็บปวดจนยากจะบรรยายออกมาเจ
“คืนนี้คงจะลำบากท่านมิใช่น้อย ข้าจึงสั่งให้นางกำนัลตุ๋นน้ำแกงไก่ไว้รอท่าน” เมื่อองค์หญิงฟางหรงเอ่ยถึงตรงนี้ นางกำนัลผู้หนึ่งก็ยกถ้วยบรรจุน้ำแกงไก่ร้อน ๆ เข้ามา แล้ววางบนโต๊ะให้กับเฉินกงตอนที่3.“เชิญเฉินกงดื่มสักหน่อยเถิดจะได้บำรุงร่างกาย”“ขอบพระทัยองค์หญิง ที่ใส่ใจผู้เฒ่าอย่างกระหม่อม”เฉินกงยกน้ำแกงขึ้นดื่มจนหมดถ้วยเพื่อแสดงการรับน้ำใจ คล้ายกับเมื่อยามที่เขาเคยถวายงานรับใช้ไทเฮา เมื่อทำงานสำเร็จ ไทเฮาก็มักจะถวายสิ่งของเป็นการตอบแทนความดีความชอบ“เมื่อดื่มหมดถ้วยแล้ว หวังว่าท่านคงจะหลับสบาย”เมื่อตรัสเสร็จองค์หญิงก็ลุกขึ้นให้นางกำนัลประคองเดินออกไปยังประตูเฉินกงรีบลุกขึ้นแล้วประสานมือค่อมศีรษะลง“น้อมส่งองค์หญิง”เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เขากลับพบว่าดวงตาพร่าเลือน โลหิตสด ๆ ไหลทะลักออกจากช่องทวารทั้งเก้า ร่างของชายชราทรุดฮวบลงกับพื้นทันทีตุบ !เสียงนั้นทำให้องค์หญิงฟางหรงชะงักฝีเท้า ยาพิษที่ผสมอยู่ในน้ำแกงไก่คงออกฤทธิ์แล้ว นางไอออกมาสองสามครั้งก่อนสั่งกับทหารที่หน้าประตูห้องว่า“จัดการปัดกวาดให้เรียบร้อยด้วย”“รับพระบัญชา”ขันทีชรานอนจมกองเลือด ดวงตาเบิกกว้างมองไปที่หน้าประตู แม้ตายแล้
อีกด้านหนึ่งของเมืองหลวง สายฟ้าแปลบปลาบจากท้องฟ้าพุ่งวาบลงยังร่างของขอทานหนุ่มร่างที่เดิมทีสิ้นลมหายใจไปแล้วกลับเกร็งกระตุกท่ามกลางสายฝนกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ชำระคราบสกปรกบนใบหน้าเผยความผุดผ่องให้เห็น ขนตายาวเรียงกันเป็นแพราวอิสตรีกระพือไหว ในขณะที่ร่างผอมเริ่มขยับกายพลิกตัวลุกขึ้น ฉับพลันนั้นสายฝนก็หยุดลง พร้อมกับท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งขึ้นมาอีกครั้งณ แท่นพิธี บนยอดเขาสูงเมื่อพายุสงบลง ผู้ที่ยืนดูพิธีกรรมอยู่ห่าง ๆ ก็รวบรวมความกล้าก้าวเท้าเข้าไปถามนักบวชว่า“พิธีหวนคืนวิญญาณได้ผลหรือไม่”เสียงของชายชราผู้นั้นแปร่งเล็กคล้ายอิสตรีอยู่หลายส่วน“ท่านก็เห็นกับตาแล้วมิใช่หรือ หุ่นฟางตนนี้ถูกอสนีบาตสวรรค์แผดเผามอดไหม้ ทรัพย์เก่าเพรียกหา วิญญาณหวนคืน”นักบวชนอกรีตผู้นั้นเอ่ยอย่างลำพองใจที่พิธีกรรมเสร็จสิ้นด้วยดี เท่ากับว่าฝีมือเขาสูงขึ้นไปอีกขั้น“เช่นนั้นก็ดี.... เช่นนั้นก็ดี...”ชายชราผู้จ้างวานให้นักบวชทำพิธีให้ผงกศีรษะพลางเช็ดน้ำตา น้ำเสียงแปร่งเล็กสั่นเครือ แล้วเขาก็ล้วงเอาถุงบรรจุแท่งทองนับสิบแท่งยื่นให้นักบวชพลางกล่าวว่า“ขอบคุณท่านมาก ที่ช่วยฟื้นคืนมังกรสู่แผ่นดิน”นักบวชนอกรีตรับถุงแ
ภาคต่อ ของเรื่อง “ฮองเฮา ขย่มบัลลังก์”บทนำ “...เพราะความโง่เขลา ลุ่มหลงความงามของสตรี ฝ่าบาทถึงกับฆ่าลูกของเราด้วยมือของพระองค์เอง ! ”เขามองใบหน้าสวยที่เต็มไปด้วยสายธารแห่งน้ำตา น้ำตาสายนั้นไหลหยดลงบนใบหน้าเขาให้ความรู้สึกปวดร้าวจนแทบจะหายใจไม่ออก“....เฟิ่งอี๋... ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษ...”เขาขยับปากอย่างยากลำบากร่ำร้องขอโทษอย่างรู้สึกผิด เสียงร่ำไห้ของนางช่างบีบรัดหัวใจเขาจนเจ็บปวด“ฝ่าบาทฆ่าลูก ฆ่าหม่อมฉัน สังหารครอบครัวหม่อมฉันทั้งตระกูล ! แค้นนี้ต้องชำระด้วยชีวิต.....”ฉับพลันนั้นนางก็หยิบเข็มเงินวาววับขึ้นมา เขาเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ละล่ำละลักเปล่งวาจาว่า“ไม่ ๆ ไม่นะ อย่าฆ่าข้า ฮองเฮาข้าผิดไปแล้ว อย่าฆ่าข้าเลย”“หนี้ชีวิต ต้องชดใช้ด้วยชีวิต !”สิ้นคำนาง เข็มเงินแหลมคมวาววับก็พุ่งเข้าหาเขาเต็มแรง“อ๊ากกกกกก”ฉึบ !ตอนที่1. ณ นครฉางซี เมืองหลวงของแคว้นเฉิน ค่ำคืนในต้นฤดูหนาวนั้น ท้องฟ้ายามค่ำคืนไร้เมฆหมอก ดาวและเดือนสุกสกาวดาษดื่นเต็มท้องฟ้าทอแสงแข่งกับโคมไฟบนถนนสายโลกีย์เบื้องล่างเสียงตุบตับผสานกับเสียงขู่กรรโชกอย่างหยาบคายดังขึ้นที่ถนนอีกสายอันมืดม