ขอทานหนุ่มร้องเสียงหลงพลางหดขาคู้เข้าหาตัว เพื่อหลบหนีจากการสัมผัสของแม่เล้า
เจียวมี่ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็รีบปรับอารมณ์เป็นยิ้มแย้มทันที แล้วขุดเอามารยาพันเล่มเกวียนจากการเป็นแม่เล้ามานานขึ้นมาใช้ว่า
“ไม่ต้องตกใจ.... เมื่อคืนเจ้ามาสลบอยู่ที่หน้าหอไซ้ยเกอของข้า เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดรอยฟกซ้ำ ข้าเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนแล้งน้ำใจ จึงให้คนพาเจ้ามานอนพักที่นี่ เจ้าชื่ออะไรรึ”
บุรุษบนเตียงได้ฟังวาจานางแล้วยิ่งขมวดคิ้วแน่น เขารำพึงรำพันออกมาว่า
“เราชื่อเฉินเฉิง ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ เราควรจะอยู่ในวังมิใช่รึ”
ความทรงจำครั้งสุดท้ายในหัวของเขาไหลเวียนเรื่องราวในอดีต รู้สึกเหมือนว่าเพิ่งจะเกิดขึ้น เขาเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉิน มีพระนามว่า “เฉินเฉิง” เพราะเชื่อคำยุยงของฟางเหรินกุ้ยเฟย จึงสังหารเฟิ่งอี๋ฮองเฮา แล้วเรื่องที่เหลือเชื่อก็พลันเกิดขึ้นเมื่อวิญญาณของเฟิ่งอี๋กลับเข้ามาในร่างของฟางเหริน แก้แค้นเขาได้อย่างเลือดเย็น
ภาพบนแท่นบรรทมในตำหนักเมฆาสวรรค์ยังชัดเจนในห้วงความทรงจำ หวนนึกถึงครั้งใดหัวใจของเขาก็เจ็บราวกับถูกบีบให้แหลกลาญ เขายกมือขึ้นกุมหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจ รู้สึกเจ็บปวดจนยากจะบรรยายออกมา
เจียวมี่ได้ยินเขากล่าววาจาเช่นนั้น ก็เดาเอาว่าเด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะเป็นลูกขุนนางในวัง แล้วบังเอิญเกิดเหตุร้ายกับครอบครัวเป็นแน่จึงได้กลายมาเป็นขอทานข้างถนนเช่นนี้
“เจ้าคงจะเป็นลูกขุนนางในวังใช่หรือไม่”
นางถามออกไปอย่างใจคิด
คำพูดนั้นทำให้เฉินเฉิงตวัดสายตามองเจียวมี่อย่างขุ่นเคือง นางผู้นี้ไม่รู้จักที่สูงแผ่นดินต่ำ
“ข้าเป็นฮ่องเต้ !”
เฉินเฉิงคำรามออกมา
เจียวมี่และคนอื่น ๆ ชะงักไป จากนั้นก็พากันหัวเราะออกอย่างครื้นเครงราวกับว่ากำลังฟังเรื่องตลกอยู่ก็ไม่ปาน ทำให้อารมณ์เฉินเฉิงปะทุเป็นไฟยิ่งขึ้น เขาจึงตวาดออกมาว่า
“สามหาว พวกเจ้าบังอาจหัวเราะฮ่องเต้รึ ไม่อยากมีชีวิตอยู่กันรึยังไง”
“นี่ เจ้าหนุ่ม หากเจ้าเป็นฮ่องเต้ ข้าก็เป็นฮองเฮาแล้วสิ อิ อิ”
เจียวมี่ปิดปากหัวเราะ
“บังอาจ !”
เฉินเฉิงตวาดหน้าดำหน้าแดง ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นต่อให้โกรธขึ้งมากแค่ไหนก็ดูน่ารักมากกว่าน่ากลัว
“ฮ่องเต้สวรรคตไปนานแล้ว ผู้ที่นั่งอยู่บัลลังก์มังกรตอนนี้ก็เป็นจักรพรรดินี ไหนเลยจะมีฮ่องเต้ออกมาเดินเพ่นพ่านได้”
เจียวมี่นั่งลงข้างเขา แล้วพยายามพูดกับบุรุษหนุ่มดี ๆ เผื่อว่าเขาจะตั้งสติขึ้นมาได้
เฉินเฉิงสะท้านวูบ ผู้คนเหล่านั้นกล่าวหาว่าฮ่องเต้จะตายได้อย่างไร ในเมื่อเขาผู้เป็นฮ่องเต้ยังนั่งหายใจอยู่ตรงนี้ หรือว่านี่ไม่ใช่ตัวเขา เมื่อตระหนักได้ดังนั้น เขาก็กระโจนลงจากเตียง ผู้คนต่างแตกฮือหลีกทางให้เขา
ร่างนั้นมุ่งตรงไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง และเมื่อเห็นใบหน้าตนเองในคันฉ่องชัดเจน เขาถึงกับดึงทึ้งใบหน้างดงามนั้น ราวกับว่าเลือดเนื้อนี้เป็นเพียงหน้ากาก
“นี่คือผู้ใด.... คือผู้ใด....”
เขาร้องออกมาเสียงพร่าสั่น
“นายหญิง ข้าว่าเจ้านี่มันคงสติฟั่นเฟือนไปแล้ว ไล่มันออกไปจากหอไซ้ยเกอเถอะ”
ผู้คุมซ่องรีบเสนอ เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะเก็บคนบ้าเอาไว้
เจียวมี่ขมวดคิ้วอย่างใคร่ครวญ เมื่อคืนนางดีใจแทบตายที่คิดว่าตนเองเก็บได้แท่งทองคำที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับหอไซ้ยเกอได้อย่างมหาศาล แต่ความจริงแล้วกลับเป็นเพียงบุรุษเสียสติคนหนึ่ง
“อาจจะพอมีหนทาง”
นางตอบ เพราะยังตัดใจจากใบหน้าอันงดงามนั้นมิได้ จากนั้น เจียวมี่ก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปด้านหลังชายหนุ่มที่เอาแต่ร่ำไห้คร่ำครวญแล้วเอ่ยอย่างปลอบประโลมว่า
“เฉินเฉิง.... เจ้าคงถูกทำร้ายจนตื่นตระหนกตกใจมากเกินไป เช่นนี้ดีหรือไม่ ให้เจ้าพักอยู่ที่นี่รักษาตัวให้หาย แล้วจาก......”
“ไม่ ! ไสหัวออกไปให้หมด”
เจียวมี่ยังกล่าวไม่ทันจะจบประโยค เขาก็ตวาดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด แล้วอาละวาดเอากับสิ่งของตรงหน้าราวกับคนบ้าคลั่ง
“จับไว้เร็วเข้า !”
แม่เล้ารีบถอยออกห่างด้วยความตื่นตระหนก พลางร้องให้ผู้คุมซ่องควบคุมตัวเขาไว้ เมื่อเฉินเฉิงดิ้นรนขัดขืน ผู้คุมซ่องจึงใช้สันฝ่ามือฟันฉับลงที่ท้ายทอยของเขาเต็มแรง
ตุบ !
ร่างของเฉินเฉิงทรุดฮวบลงกับพื้นทันที
เจียวมี่ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วบอกผู้คุมซ่องให้หามร่างที่สลบไปนอนที่เตียงตามเดิม จากนั้นจึงสั่งความกับเด็กรับใช้ว่า
“ไปตามหมอมาดูอาการเฉินเฉิงที”
ณ ท้องพระโรง
ขุนนางน้อยใหญ่กำลังโต้เถียงการเรื่องจัดเก็บภาษี ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตนเอง แต่เสียงข้างมากไม่เห็นด้วยกับการเก็บภาษีเมืองซานซีเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าจากปีก่อน
“กราบทูลองค์จักรพรรดินี เมืองซานซีเป็นเมืองชายแดน เป็นเขตทุรกันดาร กระหม่อมเห็นว่าหากเก็บภาษีเพิ่มขึ้นสิบเท่าเกรงว่าประชาชนมากมายจะเดือดร้อนพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพหลี่กลั้นใจกราบทูล ยอมเสี่ยงตายเห็นแย้งกับเหล่าขุนนางที่คอยประจบสอพลอองค์จักรพรรดินีโดยไม่คำนึงถึงความสุขของไพร่ฟ้าประชาชน
“ถึงเมืองซานซีจะเป็นเมืองชายแดน แต่ก็เป็นเมืองหน้าด่านที่ทำการค้ากับชาวปอซือ จัดเก็บภาษีเล็กน้อยเท่านี้จะเป็นอะไรได้”
ใต้เท้าจื่อลู่ออกความคิดเห็นสนับสนุนพระดำริขององค์จักรพรรดินีอย่างเต็มที่ เพราะเขาเป็นเจ้ากรมการคลังคนใหม่ที่จักรพรรดินีแต่งตั้งแทนใต้เท้าชุนซึ่งถูกประหารในรัชกาลที่แล้ว
“แต่ข้าพระองค์เห็นด้วยกับแม่ทัพหลี่ ถึงแม้เมืองซานซีจะเป็นเมืองหน้าด่านติดต่อค้าขายกับชาวปอซือ แต่รายได้ก็ใช่ว่าจะมากมาย การเก็บภาษีเพิ่มขึ้นสิบเท่า เกรงว่าจะทำให้ประชาชนลำบากจริง ๆ”
ใต้เท้าจ้าน เจ้ากรมอาญาเสนอความเห็นขึ้นบ้าง ตั้งแต่เขาทำคดีลอบวางยาพิษพระสนมฟางเหรินกุ้ย และการตายอย่างไม่เป็นธรรมของเฟิ่งอี๋ฮองเฮาก็ทำให้เขาชราภาพลงมาก คดีที่หนักที่สุด คือ กบฏอ๋องเฉินฉู่ เป็นเหตุให้ต้องผลัดเปลี่ยนแผ่นดินทำเอาเขาผมขาวโพลนทั้งศีรษะ
“ใต้เท้าจ้าน แม่ทัพหลี่ เบี้ยประจำตำแหน่งที่ท่านได้รับทุกวันนี้ก็ล้วนมาจากภาษีประชาชน หากไม่เก็บภาษีเพิ่มขึ้น ไหนเลยจะมีเงินมาจ่ายเบี้ยให้ท่าน แลเหล่าขุนนางทั้งหลายได้”
ใต้เท้าหยวนรุ่ย อัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย กล่าวขึ้นอย่างไม่ไว้หน้าผู้ใด เพราะถือว่าตนเป็นถึงบิดาของ อี้หลวนถง (ชายบำเรออันดับ 1) ในจักรพรรดินี
จักรพรรดินีทรงประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ทอดสายตาคมกริบมองเบื้องล่าง แม้พระวรกายจะสงบนิ่งงามสง่า แต่ในใจนั้นทั้งวุ่นวาย ทั้งร้อนรุ่มดั่งไฟสุ่ม เมื่อคืนท้องฟ้าปั่นป่วนวิปลาสทำให้นางนอนไม่ทั้งคืน รุ่งเช้าขึ้นมายังต้องมานั่งหลังแข็งรับฟังเหล่าขุนนางถกเถียงกัน ชวนให้ปวดหัวยิ่งนัก
ดังนั้น เมื่อเห็นขุนนางอีกคนกำลังจะเอ่ยวาจาขึ้นบ้าง พระนางจึงทรงยกพระหัตถ์ขึ้นเป็นสัญลักษณ์ให้เหล่าขุนนางเลิกโต้เถียงกัน เมื่อขุนนางน้อยใหญ่สงบวาจา พระนางจึงตรัสเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่นชัดเจนว่า
“เรารู้ว่าทุกท่านต่างเห็นแก่ความสงบสุขของประชาชนในใต้หล้า แต่หากจะโต้เถียงกันเช่นนี้ต่อไปก็คงจะไม่ได้ข้อยุติเป็นแน่ ดังนั้น เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย เราเห็นว่าควรแต่งตั้งผู้แทนพระองค์ไปตรวจสอบความจริงที่เมืองซานซีดีหรือไม่ เราทุกคนจะได้รู้ว่า ความจริงแล้วควรเก็บภาษีเท่าไหร่กันแน่”“องค์จักรพรรดินีทรงพระปรีชา เกล้ากระหม่อมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”ใต้เท้าหยวนรุ่ย อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบเสนอตัวประจบขึ้นก่อนใคร หากเทียบกับสมัยก่อนนั้น ในภาษาชาวบ้านบุตรชายของเขาก็เท่ากับเป็นสามีเอกของนาง ส่วนเขาก็มีศักดิ์เป็นถึงพ่อสามี สายสัมพันธ์เช่นนี้ มีหรือที่เขาจะไม่รีบสนับสนุนอีกฝ่าย“เช่นนั้น ฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งผู้ใดเป็นผู้แทนพระองค์”ใต้เท้าจื่อลู่ เจ้ากรมการคลังรีบถามขึ้น เพราะหน้าที่นี้เหมือนของร้อนที่ไม่มีผู้ใดอยากจะรับ เนื่องจากฉากบังหน้ามีตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงผู้แทนพระองค์ แต่กลับแบกภาระไว้มากนัก เพราะหากตรวจสอบว่าไม่ควรเก็บภาษีเมืองซานซีสูงถึงสิบเท่าก็เท่ากับขัดพระประสงค์ แต่ถ้ามีหลักฐานยืนยันว่าต้องเก็บ ก็จะเป็นศัตรูกับเหล่าขุนนางส่วนใหญ่จักรพรรดินีทรงยิ้มน้อย ๆ แล้วตรัสออกมาว่า“ผู้ท
“เรื่องที่ฟ้าผ่าลงที่เซียนเหรินโจ่วโซ่วด้านหน้าพระตำหนัก จนรูปปั้นหงส์ศักดิ์สิทธิ์หักลงนั้น พระนางไม่ต้องเป็นกังวล กระหม่อมสั่งให้คนงานเร่งซ่อมแซมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ลี่จู่ทอดเสียงทุ้มกังวานเบา ๆ เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนพระกรรณ หน้าที่ของเขานั้นคือการปรนนิบัติให้พระนางได้สุขสบาย สำราญพระทัยอย่างถึงที่สุดลี่จ้งได้ยินน้องชายฝาแฝดเอ่ยเช่นนั้นก็ยิ้มอ่อน แล้วเอ่ยว่า“พระนางกังวลว่า รูปปั้นหงส์ศักดิ์สิทธิ์หักลงเป็นลางร้ายต่างหาก”แม้จะเป็นฝาแฝดที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกันจนแทบจะแยกไม่ออก แต่นิสัยของพวกเขากับต่างกันอย่างมาก เขาแข็งกร้าวดุดัน อีกฝ่ายอ่อนโยนเอาใจจักรพรรดินีพยักหน้าช้า ๆ อย่างยอมรับ เพราะเหตุที่เกิดขึ้นนั้นทำให้นางอดหวาดหวั่นมิได้ จากนั้นพระนางก็ลืมพระเนตรขึ้น“ลี่จ้ง... เจ้าช่างรู้ใจเราจริง ๆ”เสียงแว่วหวานของพระนางนั้นมาพร้อมกับรอยยิ้มพิมพ์ประพายดวงตาหงส์มีประกายระยับขณะที่ออกพระโอษฐ์ว่า“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่า... ตอนนี้เราต้องการอะไร”ลี่จ้งยกยิ้มขึ้นน้อย ๆ เพียงแค่เขาคลี่ยิ้มออกมา ห้องทั้งห้องก็พลันสว่างไสวขึ้นมาอย่างฉับพลัน“พระนางอยากให้พวกกระหม่อมถวายความสุขให้ เพื่อคลายคว
“อ๊าซ์ !”เฟิ่งอี๋สะดุ้งเฮือกเผยอปากร้องลั่น แอ่นสะโพกหยัด รู้สึกเหมือนร่างแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อถูกสองนิ้วแกร่งทะลวงเข้าจนสุดลำ กล้ามเนื้อส่วนในของนางขมิบตอดลำนิ้วเขาตุบ ๆ น้ำหวานแตกทะลักออกมาไม่ขาดสาย รู้สึกตัวเบาหวิวลอยละลิ่วขึ้นสู่สรวงสวรรค์ในคราแรกลี่จ้งรีบถอนลำนิ้วออก แล้วโน้มใบหน้าหล่อคมลงไปที่หว่างขานาง จากนั้นก็โฉบปากลงที่กลีบเนื้อฉ่ำวาววับเต็มไปด้วยน้ำหวาน เขาใช้ปลายลิ้นตวัดเลียน้ำหวานอย่างเอร็ดอร่อยส่วนลี่จู่นั้นก็ตวัดปลายลิ้นร้อนปัดป่ายยอดปทุมทองนางอย่างไม่ยอมแพ้ เขาออกแรงดูดดึงแรง ๆ จนแก้มตอบ ส่วนมืออีกข้างก็เฟ้นฟอนหนั่นเนื้อนิ่มอวบอัดอีกข้างเพื่อปรนเปรอความสุขซ่านอย่างทัดเทียม“อะ... อื้อ... ดีจัง... อ่า”เฟิ่งอี๋เผยอปากครางผะแผ่ว ทั้งมือและปากของบุรุษทั้งสองทำให้นางรู้สึกเสียวซ่าน สุขสบายจนไม่นึกถึงสิ่งใดอีกแล้วเมื่อบุรุษทั้งสองดื่มด่ำกับน้ำหวานจนพอใจแล้ว พวกเขาก็หยัดตัวขึ้น แล้วรีบถอดอาภรณ์ออกอย่างว่องไวเฟิ่งอี๋แลเห็นแท่งหยกของเขาแล้วรู้สึกว่าท้องน้อยของนางวูบโหว่ง ร้อนรุ่มไปหมดทั่วทั้งร่างอย่างกระสันซ่าน เพราะแท่งหยกของพวกเขานั้นทั้งลำใหญ่ ทั้งตั้งแข็ง ปลายหัว
บุรุษทั้งสองต่างก็ครางกระหึ่มในลำคอเมื่อได้ยินเสียงครางแว่วหวาน คล้ายกับเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีจึงเร่งเร้าจ้วงแทงเข้าออกอย่างไม่ลดละโหมกระหน่ำราวกับพายุถี่ ๆ จนในที่สุดร่างสวยที่อยู่ตรงกลางก็สะท้านเกร็ง“อ๊ายยยยยยยยยย”เฟิ่งอี๋กรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง กล้ามเนื้อตรงจุดเชื่อมต่อบีบรัดแท่งหยกตึบ ๆ น้ำหวานไหลทะลักออกพรวด ๆ รู้สึกคล้ายวิญญาณออกจากร่างแล้วทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า"หืมมมมม....”บุรุษหนุ่มทั้งคู่ขบกรามจนหน้าบิดเบี้ยว เมื่อแท่งหยกของพวกเขาถูกนางบีบรัดจนแทบระเบิด พวกเขาจึงจ้วงอัดหนัก ๆ เป็นครั้งสุดท้าย แล้วแหงนหงายคำรามกึกก้อง“อ้ากกกกกก”เรือนร่างบุรุษหนุ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง กระตุกเสียวหงึก ๆ พร้อมกับสาดซัดน้ำอุ่น ๆ เข้าไปในโพรงสวาททั้งด้านหน้าและหลัง ในขณะที่ร่างของสวยตรงกลางหลับตาพริ้มอ่อนระทดระทวยรู้สึกอุ่นซ่านภายในเรือนกายทั้งสามกอดกันและกันประสานเป็นหนึ่งเดียว อยู่ในท่านั้นราวกับว่านานชั่วกัปชั่วกัลป์ จากนั้นจึงค่อย ๆ ทรุดกายเอนลงนอนลงพลางหอบหายใจแรง ณ หอไซ้ยเกอ บุรุษผู้หนึ่งนั่งมองตนเองในกระจกตาไม่กะพริบ แม้จะอยู่ในร่างนี้หลายวันแล้ว แต่เฉินเฉิงก็ยังรู้สึกแปลกตากับบุรุษใ
“ให้ข้าช่วยทำงานอย่างอื่นได้หรือไม่ หาบน้ำ ผ่าฟืนหรือล้างจานก็ได้”เขาลั่นวาจาออกไปทั้ง ๆ ที่ตนเองไม่เคยทำสักอย่าง แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องนอนกับผู้หญิงเพื่อแลกเบี้ย“เจ้าคิดว่าล้างจาน ผ่าฟืนกี่ชาติถึงจะชดใช้ค่ายา ค่าเสื้อผ้าที่เจ้าสวมใส่ได้ เหอะ ! อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องรับแขก !”“ขะ... ข้าทำไม่เป็น”เมื่อต่อรองไม่ได้ผล เขาก็ต้องใช้วิธีโกหก เพราะตนตอนนี้ คือ เด็กหนุ่มวัยสิบแปดบางทีอาจจะยังไม่เคยเรียนรู้อย่างว่ามาก่อนวาจาของเขาทำให้ทั้งเจียวมี่ และผู้คุมต่างหัวเราะลั่น“เจ้าไม่ต้องกังวลไป... ข้าได้เตรียมผู้ฝึกสอนให้เจ้าแล้ว เหมยฮวาเข้ามาได้แล้ว”ประโยคหลังแม่เล่าตะโกนออกไปทางประตู ไม่นานนักสตรีวัยสามสิบห้าในชุดบางเบา ก็เดินเข้ามาในห้องจากนั้น เจียวมี่ก็ลุกขึ้น แล้วเอ่ยว่า“ช่วยสอนเด็กใหม่ที”สิ้นคำ นางก็เดินออกไปเฉินเฉิงเห็นเช่นนั้นจึงสาวเท้าจะออกจากห้องไปเช่นกัน แต่ถูกผู้คุมซ่องทั้งสองผลักเข้ามาในห้องเต็มแรงจนล้มลงไปกับพื้น“นายหญิงสั่งว่า เจ้าต้องเรียนรู้งานกับเหมยฮวาจนครบทุกกระบวนท่าจึงจะออกจากห้องนี้ไปได้”จบคำพวกมันก็กระแทกประตูปิดดัง ปัง !เหมยฮวา ย่อตัวลงนั่งข้าง ๆ บุรุษหนุ่ม นา
“บุรุษอ่อนแอเช่นเจ้า ถ้าข้าไม่เก็บมาดูแลเจ้าก็ตายอยู่ข้างถนนไปแล้ว”เสียงเจียวมี่หวีดแหลมขึ้น แต่เฉินเฉิงยังคงจมอยู่กับความคิดของเองจึงไม่รับรู้ว่านางพูดว่าอะไร จึงยังคงนิ่งเฉยไม่โต้ตอบอันใด แม่เล้าเห็นดังนั้น ยิ่งเดือดดาลมากขึ้น จึงตวาดขึ้นอีกว่า“เจ้าหูหนวกรึไง !”“ข้าจะเป็นชายบำเรอของจักรพรรดินี !”เฉินเฉิงโพล่งในสิ่งที่เขาคิดออกมาบรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นิ่งชะงักไปชั่วครู่ เจียวมี่ที่ยังโมโหไม่หายจึงถลึงตาใส่เขา แล้วปรามาสต่อไปว่า“ขอทานข้างถนนเช่นเจ้า แม้แต่เอามือไปแตะที่กำแพงวังหลวงยังไม่ได้เลย แล้วจะเอาสิทธิ์อะไรไปเป็นชายบำเรอจักรพรรดินี ฝัน....”“ข้าเป็นหลานแม่ทัพหลี่ !”เฉินเฉิงตะโกนขัดขึ้นมาประโยคเดียว เจียวมี่ถึงกับหุบปากแทบไม่ทัน นางตาโตเอ่ยคล้ายคนติดอ่างในฉับพลันว่า“เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ”“ข้าเป็นหลานแม่ทัพหลี่ ด้วยศักดิ์นี้คงจะเพียงพอให้มีสิทธิ์เป็นชายบำเรอในวังหลวงได้กระมัง”เฉินเฉิงตอบชัดถ้อยชัดคำ แววตาของเขาเริ่มมีประกายแวววาวขึ้นมาบ้างแล้ว ส่วนบรรดาผู้ที่อยู่ในหอไชยเกอต่างสบตากันไปมาณ จวนแม่ทัพเสียงห่วงทองกระทบประตูไม้บานใหญ่ดังขึ้นสามครา เจียวมี่และเฉินเฉิงยื
“ข้าขอบอกเจ้าไว้ตรงนี้ หากเจ้าแอบอ้างว่าเป็นหลานแม่ทัพ แล้วถูกทางการจับไป โทษนี้เป็นของเจ้าผู้เดียว ข้าไม่เกี่ยว”เจียวมี่กัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทำตาเขียวใส่หนุ่มน้อย“วางใจเถอะ ข้าไม่สุมไฟใส่ศีรษะท่านแน่นอน”เฉินเฉิงตอบเสียงราบเรียบ แผ่นหลังยังคงตั้งตรง ใบหน้าเชิดขึ้นเล็ก ๆ เมื่อยามเผลอมือขวาไพล่หลัง มือซ้ายกำไว้หลวม ๆ ยกขึ้นเล็กน้อยในระดับเอวเช่นเดิมเจียวมี่เม้มริมฝีปากแน่น เหลือบตามองบนอย่างนึกหมั่นไส้ในการวางท่าสูงส่งเกินวัยของเขา พลางนึกในใจว่า - แต่ถ้าหากท่านแม่ทัพยอมรับว่าเจ้าเป็นหลานชายจริง ข้าก็จะคิดบัญชีค่าเสียหายทั้งต้นทั้งดอก –แล้วความคิดของนางก็หยุดลง เมื่อประตูจวนเปิดขึ้นอีกครั้ง พ่อบ้านประจำจวนได้เชิญทั้งสองเข้าไปเจียวมี่เบิกตากว้างมองซ้ายขวาสำรวจความโอ่โถงของจวนแม่ทัพอย่างตื่นตา ส่วนเฉินเฉิงนั้นเดินตามหลังผู้อาวุโสไปอย่างเงียบ ๆ ฝีเท้ามั่นคง แววตามองตรง ไม่สอดส่ายไปที่ใดแม่ทัพหลี่นั่งรออยู่ในเรือนใหญ่ เมื่อพ่อบ้านนำคนเข้ามาเขามองก็กวาดสายตามองบุรุษหนุ่ม และสตรีนางหนึ่งด้วยอากัปกิริยาสงบนิ่งเจียวมี่ยอบตัวโค้งศีรษะลงคารวะแม่ทัพอย่างนอบน้อม จากนั้นก็หันไปสะกิดเด็กหนุ่มด
“ฝ่าบาททรงอภัยให้กระหม่อมด้วย ที่ใช้วาจาล่วงเกินพระองค์ กระหม่อมไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ ว่าฝ่าบาทจะทรงอยู่ในร่างนี้”ดวงตาที่ชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตาของชายชรามองบุรุษหนุ่มตรงหน้าด้วยความดีใจอย่างสุดซึ้ง“ตอนแรกข้าก็แทบไม่เชื่อเช่นกันว่าจะฟื้นจากความตายขึ้นมาแล้วมาอยู่ในร่างของเด็กหนุ่มเช่นนี้”เฉินเฉิงทอดถอนหายใจ“นั่นอาจจะเป็นพระว่าสวรรค์ทรงห่วงใยใต้ล่า คืนชีวิตให้กับฝ่าบาทเพื่อทวงคืนบัลลังก์มังกร !”แม่ทัพหลี่กล่าววาจาหนักแน่นเหี้ยมหาญ ดวงตาของเขาลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ เขาทนกับการอยู่ภายใต้การปกครองของสตรีมานานแล้วแววตาของเฉินเฉิงวูบไหวเพียงเล็กน้อย แล้วกลับมาเป็นแน่วแน่เช่นเดิม เอ่ยวาจาว่า“เพราะเหตุนี้ ข้าจึงต้องมาขอให้ท่านช่วยเหลือ”“ฝ่าบาท....”ความน้อยเนื้อต่ำใจมหาศาลเคลื่อนขึ้นมาจุกที่ลำคอทำให้เขาไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้“ท่านแม่ทัพมีสิ่งใดลำบากใจหรือไม่ โปรดเอ่ยวาจามาเถอะ”“หากเป็นเมื่อก่อนข้าพร้อมที่จะยกกำลังทหารบุกเข้าวังหลวงเพื่อชิงบัลลังก์จากจักรพรรดินีให้ฝ่าบาท แต่ตอนนี้ข้าไม่มีกำลังทหารอยู่ในมือแม้แต่นายเดียว เป็นแม่ทัพเพียงแค่ในนามเท่านั้น”แม่ทัพหลี่เอ่ยออกมาอย่างสลดหดหู่ ใบหน้าข
“หม่อมฉันหนิงเฟยขออภัยที่เสียกิริยาแล้ว เนื่องจากหม่อมฉันอยากจะท่องบทกลอนถวายฝ่าบาทสักบทเพคะ”“เจ้า !.....”ใต้เท้าหมิงฉางกำลังจะอ้าปากตวาดนางอีกรอบ แต่เฉินเฉิง รีบยกมือขึ้นห้ามแล้วเอ่ยว่า“ว่ามาเถอะ”น้ำเสียงของเขาสั่นอย่างห้ามไม่ได้ เขากลั้นใจรอฟังกลอนบทนั้นโดยไม่รู้ตัว“เจ้าคือสตรีเพียงหนึ่งเดียวในใจข้า ด้วยปัญญาล้ำเลิศเป็นหนึ่งในใต้หล้าในใจข้าเจ้าคือยอดบุปผาสง่างาม ทุกโมงยามเคียงคู่ครองบัลลังก์”เมื่อนางเอ่ยบทกลอนนี้จบลง เฉินเฉิงไม่ลังเลอีกต่อไปประกาศก้องให้ได้ยินทั่วกันทั้งท้องพระโรงว่า“จากนี้ไปหนิงเฟยเป็นฮองเฮาของเราแต่เพียงผู้เดียว”ทุกคนในท้องพระโรงต่างตะลึงอ้าปากค้างไปตามกัน ๆ ฮ่องเต้ที่ไม่แตะต้องสตรีมากกว่าสิบปี บัดนี้กลับประกาศแต่งตั้งดรุณีน้อยเป็นฮองเฮาทันทีที่พบหน้า และยังไม่ทันที่เหล่าขุนนางจะหายตกตะลึง ฮ่องเต้ก็รับสั่งว่า“ทุกคนออกไปให้หมด ข้าจะอยู่กับฮองเฮาของเราเพียงลำพัง”เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็ออกไปจากท้องพระโรงด้วยความงวยงง แต่ก็มิได้มีผู้ทัดทานเพราะการที่ฮ่องเต้ยอมแตะต้องสตรีย่อมเป็นเรื่องดีแน่เมื่ออยู่กันเพียงลำพัง เฉินเฉิงรีบสาวเท้าเข้ามาหาสตรีเบื้องล่าง
ราชครูต้าเว่ยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เลือดพุ่งออกมาจากร่างไหลทะลักเปรอะเปื้อนแท่งทองคำบนพื้นเหล่านั้น แล้วเขาก็ล้มลงสิ้นใจตายจากนั้นเมื่อเห็นว่าทหารฝ่ายตรงข้ามถูกจับกุมเอาไว้หมดแล้ว ลี่จู่จึงนำกำลังทหารไปยังตำหนักของหลวนถงในลำดับต่อไป จนในที่สุดเขาก็ควบคุมสถานการณ์ความวุ่นวายภายในวังหลังเอาไว้ได้หลังเหตุการณ์ก่อกบฏสิ้นสุดลง แม่ทัพฉีเฮาและใต้เท้าจ้านได้อัญเชิญเฉินเฉิงฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์ตามราชโองการของจักรพรรดินีเมื่อเฉินเฉิงฮ่องเต้นั่งบนบัลลังก์มังกรด้วยวัยเพียงสิบแปดพรรษา แล้วเขาก็ได้ทำตามคำขอของจักรพรรดินีทุกประการถึงแม้ว่าหน่วยพยัคฆ์ทมิฬจะถูกเชิดชูให้เป็นกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน ภายใต้การดูแลขององค์ฮ่องเต้โดยตรง แต่สองพี่น้องฝาแฝดลี่จ้ง และลี่จู่ก็ไม่คิดรับใช้ราชสำนักอีกต่อไปจึงขอพระราชทานราชานุญาตให้พวกตนออกจากตำแหน่งแม่ทัพ และรองแม่ทัพของหน่วยพยัคฆ์ทมิฬบุรุษทั้งสองในอาภรณ์สีเรียบนั่งบนอาชาพ่วงพีด้วยกิริยาองอาจ ม้าเหยาะย่างผ่านฝูงชนที่กำลังมุงดูป้ายประกาศของทางการ เรื่อง จักรพรรดินีฟางเหรินผู้ไร้คุณธรรมสังหารองค์หญิงฟางหรง ชาวบ้านต่างก่นด่าสาปแช่งจักรพรรดินีด้วย
“เฟิ่งอี๋....ข้าจะพาเจ้ากลับวังหลวงไปรักษา... เจ้าอดทนสักหน่อยนะ.. เฟิ่งอี๋”เฉินเฉิงใช้แขนเสื้อซับเลือดให้นางอย่างกระวนกระวาย เลือดของนางออกมากเกินไปแล้ว เขาต้องพานางกลับวังไปรักษา จึงพยายามออกแรงเพื่ออุ้มนางให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล สุดท้ายก็ต้องจำยอมทรุดตัวลงนั่งกอดนางไว้แนบอกตามเดิมเพราะเสียงผะแผ่วของนางดังขึ้นว่า“ฝ่าบาท... ไม่มีประโยชน์เพคะ”เสียงขาดหายเป็นห้วง ๆ ของนางทำให้เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป เพราะเกรงว่าหากเขาขยับเพียงน้อยนิด ลมหายใจของนางก็จะถูกสายลมช่วงชิงไป“หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาทรับปากสามประการ.... ประการแรก ฝ่าบาทโปรดอภัยโทษให้แก่หลวนถงทุกคน ประการที่สองขอฝ่าบาทโปรดดูแลหน่วยพยัคฆ์ทมิฬแทนหม่อมฉันด้วย”ลี่จ้งได้ยินดังนั้น ก็สะอื้นไห้หนักขึ้น แม้จวบจนวินาทีสุดท้ายพระนางยังทรงรักและห่วงใยชีวิตข้ารับใช้อย่างพวกเขาหลังจากนี้หากพระนางไม่ขออภัยโทษ หลวนถงที่มีฐานะเป็นชายาบำเรอของจักรพรรดินีต้องถูกประหารให้ตายตกตามกันไป ส่วนหน่วยพยัคฆ์ทมิฬนั้นได้ขึ้นชื่อว่าปฏิบัติการโหดเหี้ยมอำมหิตมีศัตรูมากมาย หากพระนางสิ้นลงเหล่าขุนนางที่มีใจเจ็บแค้นต้องถวายฎีกาให้ลงทัณฑ์พวกเขาปางตายเป็น
ใต้เท้าจ้านรับม้วนราชโองการสีทองไว้ด้วยมือสั่นระริก หัวของเขาถึงกับสรรหาถ้อยคำที่จะเอ่ยออกมาไม่ถูก การสนทนาของแม่ทัพทั้งสองเมื่อครู่ทำให้เขาพอจะคาดเดาได้ว่า แม่ทัพฉีเฮาเป็นสายลับขององค์จักรพรรดินีที่แฝงตัวอยู่ข้างกายองค์หญิงฟางหรง มิน่าเล่า แม้นว่าจะอยู่ไกลถึงพันลี้ แต่พระนางยังทรงล่วงรู้แผนการขององค์หญิงมาตลอดราวกับว่าเห็นได้ด้วยตาตนเอง“พระนางทรงรับสั่งเอาไว้ว่า... เมื่อปราบกบฏเรียบร้อยแล้วให้ท่านเป็นผู้ประกาศราชโองการนี้”ลี่จ้งเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นใต้เท้าจ้านได้ยินดังนั้น พลันรู้สึกว่าม้วนราชโองการในมือหนักขึ้นมาเป็นร้อยเท่าพันทวี เหงื่อเม็ดใหญ่ถึงกับไหลย้อยลงที่ขมับ“ท่านโปรดวางใจเถิด ข้าจะทำตามนั้น”ใต้เท้าจ้านแบกรับหน้าที่สำคัญเอาไว้ด้วยใจ ในอกเขาคล้ายกับมีความตื้นตันลูกใหญ่ถาโถมขึ้นมาจนรู้สึกตีบตันที่ลำคอ เมื่อรู้ว่าจักรพรรดินีที่ใคร ๆ ต่างมองว่าโหดเหี้ยมอำมหิต ไร้คุณธรรม แต่ความจริงแล้วที่พระองค์ทรงทำทั้งหมดก็เพื่อปกป้องบัลลังก์มังกรเพื่อคืนให้แก่ฮ่องเต้“เหตุใดพระนางต้องกระทำการที่เลี่ยงแก่ชีวิตตนเองเช่นนี้ด้วย”แม่ทัพฉีเฮาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด กลยุทธ์ในการศึกมีมากก
คำถามที่เป็นเหมือนดังเช่นคำตัดพ้อของเฟิ่งอี๋ทำให้เฉินเฉิงชะงักไป ทุกถ้อยคำที่นางเอ่ยมาล้วนตรงกับสิ่งที่เขาคิดทั้งสิ้น หากตอนนั้นนางบอกเขาตรง ๆ ว่าน้องสาวสายเลือดเดียวกันคิดจะฆ่าเขาเพื่อชิงบัลลังก์ เขาก็คงไม่เชื่อ และจะระแวงสงสัยนางเสียอีกว่ายั่วยุให้เขาสังหารพี่น้อง ดังนั้น นางจึงใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ เพื่อพิสูจน์ความจริงให้เขาเห็นกับตาตนเององค์หญิงฟางหรงยิ้มเยาะออกมาแล้วเอ่ยยั่วอารมณ์เฟิ่งอี๋ว่า“ฮองเฮา... ท่านทรงรักฝ่าบาทยิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่ฝ่าบาทเคยพระราชแพรขาวปลิดชีพท่านจนตายมาแล้ว นอกจากท่านจะไม่แค้นแล้วยังปกป้องเขา ช่างโง่งมจริง ๆ”“ฟางหรง ! เจ้าหยุดกล่าววาจาเหลวไหลได้แล้ว”เฉินเฉิงตวาดออกมาด้วยความโมโหที่นางตั้งใจยั่วยุให้เขาและเฟิ่งอี๋ขัดแย้งกันอีก ทั้งยังกลัวว่านางจะไม่ให้อภัยเขา“หม่อมฉันก็ไม่ได้โง่พอให้องค์หญิงได้ครอบครองบัลลังก์มังกรได้อย่างสมใจนึกหรอกเพคะ”เฟิ่งอี๋เชิดหน้าตอบกลับอย่างท้าทาย“เจ้า !”ฟางหรงชี้นิ้วสั่นระริกไปใบหน้าหยิ่งผยองของสตรีอีกคน ขบฟันแน่นด้วยความโกรธเมื่อถูกยอกย้อนกลับในขณะที่สถานการณ์ตรงหน้ากำลังตึงเครียด สื่อหม่าก็ร้องโอดครวญขึ้นมาว่า “โอ๊ย... องค
เมื่อนางกินไก่ตุ๋นที่เฉินเฉิงนำมาให้จนหมดแล้วรู้สึกง่วง และอ่อนเพลียมากจึงเผลอหลับไป ครั้นเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมายังรู้สึกว่าเหมื่อยล้าไปหมด เหงื่อผุดซึมตามตัวคล้ายกับว่าภายในร่างกายกำลังต่อต้านกับพิษ“ลี่จู่... ลี่จ้ง...”เฟิ่งอี๋ส่งเสียงเรียกขันทีข้างกายเสียงเบา ไม่นานนักผู้ภักดีทั้งสองก็ปรากฏกายขึ้นข้างแท่นบรรทม“พระนางทรงเป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ สีหน้าไม่สู้ดีนัก”ลี่จู่รีบเข้าไปประคองนางลุกขึ้น ส่วนลี่จ้งนั้นรีบหาผ้าชุบน้ำมาซับใบหน้านางเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น“เราคิดว่า... เรากำลังถูกพิษ”“กระหม่อมจะไปสังหารฮ่องเต้เดี๋ยวนี้ !”ลี่จ้งขว้างผ้าในมือทิ้ง ผุดลุกขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด คนที่อยู่กับพระนางตลอดช่วงเย็นนี้มีเพียงเฉินเฉิงผู้เดียวเท่านั้น ดังนั้น คนที่วางยาพิษพระนางจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขา“ช้าก่อน”เฟิ่งอี๋รีบเอ่ยห้าม เพราะรู้ว่าลี่จ้งวรยุทธ์สูงมากแค่ไหน เพียงแค่พริบตาเดียวก็สามารถปลิดชีพบุรุษอ่อนแอย่างเฉินเฉิงได้แล้ว“ฝ่าบาททรงทำร้ายพระนางครั้งแล้วครั้งเล่า เหตุใดพระนางยังทรงอาลัยอาวรณ์ฝ่าบาทอยู่อีกเล่า”ลี่จู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขามิได้ใจแข็งดั่งเช่นพี่ชายฝาแฝด เมื่อรู้สึกปวดใจแ
“เจ้าเอ่ยวาจาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”เฉินเฉิงตวาดออกไปด้วยความโมโหที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนวางยาพิษ“ยาเสน่ห์ขวดนั้น ความจริงแล้วคือยาพิษ”สื่อหม่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบเย็น ในเมื่อฮ่องเต้ทรงลุ่มหลงสตรียิ่งนัก เขาจึงยัดเยียดหน้าที่วางยาพิษจักรพรรดินีให้ฮ่องเต้เสีย หลังจากวันนั้นเขาก็เร่งเดินทางไปสมทบกับกองทัพขององค์หญิงฟางหรงเพื่อดำเนินตามแผนการขั้นต่อไป“จะเป็นยาพิษได้อย่างไร ในเมื่อตอนนั้นใช้เข็มพิสูจน์พิษทดสอบแล้วเข็มไม่เปลี่ยนสี”เขาจำได้แม่นยำว่าตอนที่ผสมยาขวดนั้นให้นางกิน ขันทีได้พิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าไม่มีพิษ อีกทั้ง นับตั้งแต่นางดื่มยาเข้าไป นางก็ลุ่มหลงเขาคล้ายกับต้องยาเสน่ห์ เขาจึงเข้าใจว่านั่นคือยาเสน่ห์จริง ๆฟางหรงหัวเราะขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า“เสด็จพี่.... พิษขวดนั้น เป็นพิษจากทางเหนือที่ถูกปรุงขึ้นเป็นพิเศษ ไร้รส ไร้กลิ่น และไม่สามารถพิสูจน์พิษได้ด้วยเข็มเงิน”นางไขข้อข้องใจให้แก่พี่ชายผู้โง่เขลาของตน ช่างน่าเสียดายใบหน้าอัดงดงามในร่างใหม่ของฮ่องเต้ยิ่งนัก แม้ว่าได้ร่างที่สมบูรณ์เหนือกว่าบุรุษทั้งปวง แต่จิตวิญญาณที่อยู่ในนั้นกลับยังคงเป็นฮ่องเต้ผู้อ่อนแอเช่นเดิมเฉินเฉิงได้
ลี่จ้ง และลี่จู่ขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสัน แววตาเต็มไปด้วยความกังวล แต่สุดท้ายก็ต้องจำใจเอ่ยอย่างพร้อมเพรียงกันว่า“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าเคร่งเครียดของพวกเขาทั้งสองนั้น มิได้คลายลงแม้แต่น้อย หากเป็นไปได้ พวกเขาอยากจะติดตามในขบวนเสด็จด้วยขบวนเสด็จประพาสป่าของจักรพรรดินีได้มาถึงที่บริเวณชายป่าทางด้านทิศเหนือของเมืองหลวง เฉินเฉิงก็ดึงเชือกให้ม้าเหยาะย่างช้า ๆ เพื่อให้เฟิ่งอี๋ได้ชมความงามของธรรมชาติสองข้างทางช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ป่าผลิบานให้เห็นได้ทั่วไป สตรีที่อยู่ในอ้อมกอดเขาบนหลังม้าส่งเสียงใส ๆ ไปตลอดทางด้วยความตื่นเต้น จักรพรรดินีผู้อยู่เหนือคนนับหมื่นเมื่อถอดมงกุฎหงส์ออกก็กลายเป็นดรุณีน้อยแสนบอบบางผู้หนึ่งยามที่ลมพัดผ่านกายนางนำเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ โชยเข้าจมูกเขา เฉินเฉิงอดมิได้ที่จะปักจมูกลงข้างแก้มเนียนของนางเพื่อสูดกลิ่นหอมนั้นอีกครั้ง“ฝ่าบาททรงแอบกินเต้าหู้หม่อมฉันอีกแล้วนะเพคะ”เฟิ่งอี๋กระซิบเขาให้ได้ยินเพียงสองคน “หากแอบเจ้าคงไม่รู้ เมื่อเจ้ารู้แล้ว แต่ไม่หลบหนีนั่นแสดงว่าเจ้าเต็มใจ”เฉินเฉิงยิ้มกริ่ม แล้วทอดสายตาไปยังเนินเขาเบื้องหน้าซึ่งเป็นป่าทึบเฟิ่งอี๋ห
เฟิ่งอี๋ได้แต่เบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ยังไม่ทันที่นางจะได้โต้ตอบอันใด นางก็ถูกเขาอุ้มเดินไปยังเตียงทั้ง ๆ ที่แท่งหยกของเขายังอยู่ภายในกายนางทุกย่างก้าวการเคลื่อนไหวเกิดการเสียดสีที่จุดสัมผัสอันอ่อนไหวปลุกไฟสวาทของทั้งคู่ให้ลุกฮือขึ้นมาอีกครั้ง“เฟิ่งอี๋... ข้ารักเจ้า... ข้าอยากให้เราเคียงคู่ครองบัลลังก์เหมือนเมื่อกาลก่อน”เฉินเฉิงเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ภายในแววตาของเขาฉ่ำวาวไปด้วยความเสน่หา ขณะที่วางร่างนางลงบนเตียง แล้วตนก็ทาบทับร่างของนางเอาไว้“ท่านกล่าวเช่นนี้ ต้องการข้าหรือต้องการบัลลังก์มังกรคืนกันแน่”เขารู้สึกว่าร่างนางแข็งเกร็งต่อต้านขึ้นมา จึงใช้ฝ่ามือลูบไล้ไปตามเรือนกายนาง เร้าความรู้สึกวาบหวามให้เรือนร่างนางอ่อนระทวยลงอีกครา“ข้าต้องการทั้งสองสิ่ง... หากไม่มีเจ้า ข้าจะครองใต้หล้าให้สงบสุขได้อย่างไร และข้าต้องการนั่งบนบัลลังก์มังกรอีกครั้ง เพื่อจะได้ครอบครองเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”เสียงของเขาในท่อนสุดท้ายสั่นเครือ เขาทนไม่ได้จริง ๆ ที่ต้องเห็นนางเสพสุขกับบุรุษอื่นที่ไม่ใช่เขาวาจาเช่นนี้เมื่อครั้งที่เป็นฮองเฮานางไม่เคยได้ยินจากปากเขา ไม่ว่าวาจานี้จะจริงหรือเท็จแต่นางก็รู