ขอทานหนุ่มร้องเสียงหลงพลางหดขาคู้เข้าหาตัว เพื่อหลบหนีจากการสัมผัสของแม่เล้า
เจียวมี่ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็รีบปรับอารมณ์เป็นยิ้มแย้มทันที แล้วขุดเอามารยาพันเล่มเกวียนจากการเป็นแม่เล้ามานานขึ้นมาใช้ว่า
“ไม่ต้องตกใจ.... เมื่อคืนเจ้ามาสลบอยู่ที่หน้าหอไซ้ยเกอของข้า เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดรอยฟกซ้ำ ข้าเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนแล้งน้ำใจ จึงให้คนพาเจ้ามานอนพักที่นี่ เจ้าชื่ออะไรรึ”
บุรุษบนเตียงได้ฟังวาจานางแล้วยิ่งขมวดคิ้วแน่น เขารำพึงรำพันออกมาว่า
“เราชื่อเฉินเฉิง ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ เราควรจะอยู่ในวังมิใช่รึ”
ความทรงจำครั้งสุดท้ายในหัวของเขาไหลเวียนเรื่องราวในอดีต รู้สึกเหมือนว่าเพิ่งจะเกิดขึ้น เขาเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉิน มีพระนามว่า “เฉินเฉิง” เพราะเชื่อคำยุยงของฟางเหรินกุ้ยเฟย จึงสังหารเฟิ่งอี๋ฮองเฮา แล้วเรื่องที่เหลือเชื่อก็พลันเกิดขึ้นเมื่อวิญญาณของเฟิ่งอี๋กลับเข้ามาในร่างของฟางเหริน แก้แค้นเขาได้อย่างเลือดเย็น
ภาพบนแท่นบรรทมในตำหนักเมฆาสวรรค์ยังชัดเจนในห้วงความทรงจำ หวนนึกถึงครั้งใดหัวใจของเขาก็เจ็บราวกับถูกบีบให้แหลกลาญ เขายกมือขึ้นกุมหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจ รู้สึกเจ็บปวดจนยากจะบรรยายออกมา
เจียวมี่ได้ยินเขากล่าววาจาเช่นนั้น ก็เดาเอาว่าเด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะเป็นลูกขุนนางในวัง แล้วบังเอิญเกิดเหตุร้ายกับครอบครัวเป็นแน่จึงได้กลายมาเป็นขอทานข้างถนนเช่นนี้
“เจ้าคงจะเป็นลูกขุนนางในวังใช่หรือไม่”
นางถามออกไปอย่างใจคิด
คำพูดนั้นทำให้เฉินเฉิงตวัดสายตามองเจียวมี่อย่างขุ่นเคือง นางผู้นี้ไม่รู้จักที่สูงแผ่นดินต่ำ
“ข้าเป็นฮ่องเต้ !”
เฉินเฉิงคำรามออกมา
เจียวมี่และคนอื่น ๆ ชะงักไป จากนั้นก็พากันหัวเราะออกอย่างครื้นเครงราวกับว่ากำลังฟังเรื่องตลกอยู่ก็ไม่ปาน ทำให้อารมณ์เฉินเฉิงปะทุเป็นไฟยิ่งขึ้น เขาจึงตวาดออกมาว่า
“สามหาว พวกเจ้าบังอาจหัวเราะฮ่องเต้รึ ไม่อยากมีชีวิตอยู่กันรึยังไง”
“นี่ เจ้าหนุ่ม หากเจ้าเป็นฮ่องเต้ ข้าก็เป็นฮองเฮาแล้วสิ อิ อิ”
เจียวมี่ปิดปากหัวเราะ
“บังอาจ !”
เฉินเฉิงตวาดหน้าดำหน้าแดง ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นต่อให้โกรธขึ้งมากแค่ไหนก็ดูน่ารักมากกว่าน่ากลัว
“ฮ่องเต้สวรรคตไปนานแล้ว ผู้ที่นั่งอยู่บัลลังก์มังกรตอนนี้ก็เป็นจักรพรรดินี ไหนเลยจะมีฮ่องเต้ออกมาเดินเพ่นพ่านได้”
เจียวมี่นั่งลงข้างเขา แล้วพยายามพูดกับบุรุษหนุ่มดี ๆ เผื่อว่าเขาจะตั้งสติขึ้นมาได้
เฉินเฉิงสะท้านวูบ ผู้คนเหล่านั้นกล่าวหาว่าฮ่องเต้จะตายได้อย่างไร ในเมื่อเขาผู้เป็นฮ่องเต้ยังนั่งหายใจอยู่ตรงนี้ หรือว่านี่ไม่ใช่ตัวเขา เมื่อตระหนักได้ดังนั้น เขาก็กระโจนลงจากเตียง ผู้คนต่างแตกฮือหลีกทางให้เขา
ร่างนั้นมุ่งตรงไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง และเมื่อเห็นใบหน้าตนเองในคันฉ่องชัดเจน เขาถึงกับดึงทึ้งใบหน้างดงามนั้น ราวกับว่าเลือดเนื้อนี้เป็นเพียงหน้ากาก
“นี่คือผู้ใด.... คือผู้ใด....”
เขาร้องออกมาเสียงพร่าสั่น
“นายหญิง ข้าว่าเจ้านี่มันคงสติฟั่นเฟือนไปแล้ว ไล่มันออกไปจากหอไซ้ยเกอเถอะ”
ผู้คุมซ่องรีบเสนอ เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะเก็บคนบ้าเอาไว้
เจียวมี่ขมวดคิ้วอย่างใคร่ครวญ เมื่อคืนนางดีใจแทบตายที่คิดว่าตนเองเก็บได้แท่งทองคำที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับหอไซ้ยเกอได้อย่างมหาศาล แต่ความจริงแล้วกลับเป็นเพียงบุรุษเสียสติคนหนึ่ง
“อาจจะพอมีหนทาง”
นางตอบ เพราะยังตัดใจจากใบหน้าอันงดงามนั้นมิได้ จากนั้น เจียวมี่ก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปด้านหลังชายหนุ่มที่เอาแต่ร่ำไห้คร่ำครวญแล้วเอ่ยอย่างปลอบประโลมว่า
“เฉินเฉิง.... เจ้าคงถูกทำร้ายจนตื่นตระหนกตกใจมากเกินไป เช่นนี้ดีหรือไม่ ให้เจ้าพักอยู่ที่นี่รักษาตัวให้หาย แล้วจาก......”
“ไม่ ! ไสหัวออกไปให้หมด”
เจียวมี่ยังกล่าวไม่ทันจะจบประโยค เขาก็ตวาดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด แล้วอาละวาดเอากับสิ่งของตรงหน้าราวกับคนบ้าคลั่ง
“จับไว้เร็วเข้า !”
แม่เล้ารีบถอยออกห่างด้วยความตื่นตระหนก พลางร้องให้ผู้คุมซ่องควบคุมตัวเขาไว้ เมื่อเฉินเฉิงดิ้นรนขัดขืน ผู้คุมซ่องจึงใช้สันฝ่ามือฟันฉับลงที่ท้ายทอยของเขาเต็มแรง
ตุบ !
ร่างของเฉินเฉิงทรุดฮวบลงกับพื้นทันที
เจียวมี่ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วบอกผู้คุมซ่องให้หามร่างที่สลบไปนอนที่เตียงตามเดิม จากนั้นจึงสั่งความกับเด็กรับใช้ว่า
“ไปตามหมอมาดูอาการเฉินเฉิงที”
ณ ท้องพระโรง
ขุนนางน้อยใหญ่กำลังโต้เถียงการเรื่องจัดเก็บภาษี ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตนเอง แต่เสียงข้างมากไม่เห็นด้วยกับการเก็บภาษีเมืองซานซีเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าจากปีก่อน
“กราบทูลองค์จักรพรรดินี เมืองซานซีเป็นเมืองชายแดน เป็นเขตทุรกันดาร กระหม่อมเห็นว่าหากเก็บภาษีเพิ่มขึ้นสิบเท่าเกรงว่าประชาชนมากมายจะเดือดร้อนพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพหลี่กลั้นใจกราบทูล ยอมเสี่ยงตายเห็นแย้งกับเหล่าขุนนางที่คอยประจบสอพลอองค์จักรพรรดินีโดยไม่คำนึงถึงความสุขของไพร่ฟ้าประชาชน
“ถึงเมืองซานซีจะเป็นเมืองชายแดน แต่ก็เป็นเมืองหน้าด่านที่ทำการค้ากับชาวปอซือ จัดเก็บภาษีเล็กน้อยเท่านี้จะเป็นอะไรได้”
ใต้เท้าจื่อลู่ออกความคิดเห็นสนับสนุนพระดำริขององค์จักรพรรดินีอย่างเต็มที่ เพราะเขาเป็นเจ้ากรมการคลังคนใหม่ที่จักรพรรดินีแต่งตั้งแทนใต้เท้าชุนซึ่งถูกประหารในรัชกาลที่แล้ว
“แต่ข้าพระองค์เห็นด้วยกับแม่ทัพหลี่ ถึงแม้เมืองซานซีจะเป็นเมืองหน้าด่านติดต่อค้าขายกับชาวปอซือ แต่รายได้ก็ใช่ว่าจะมากมาย การเก็บภาษีเพิ่มขึ้นสิบเท่า เกรงว่าจะทำให้ประชาชนลำบากจริง ๆ”
ใต้เท้าจ้าน เจ้ากรมอาญาเสนอความเห็นขึ้นบ้าง ตั้งแต่เขาทำคดีลอบวางยาพิษพระสนมฟางเหรินกุ้ย และการตายอย่างไม่เป็นธรรมของเฟิ่งอี๋ฮองเฮาก็ทำให้เขาชราภาพลงมาก คดีที่หนักที่สุด คือ กบฏอ๋องเฉินฉู่ เป็นเหตุให้ต้องผลัดเปลี่ยนแผ่นดินทำเอาเขาผมขาวโพลนทั้งศีรษะ
“ใต้เท้าจ้าน แม่ทัพหลี่ เบี้ยประจำตำแหน่งที่ท่านได้รับทุกวันนี้ก็ล้วนมาจากภาษีประชาชน หากไม่เก็บภาษีเพิ่มขึ้น ไหนเลยจะมีเงินมาจ่ายเบี้ยให้ท่าน แลเหล่าขุนนางทั้งหลายได้”
ใต้เท้าหยวนรุ่ย อัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย กล่าวขึ้นอย่างไม่ไว้หน้าผู้ใด เพราะถือว่าตนเป็นถึงบิดาของ อี้หลวนถง (ชายบำเรออันดับ 1) ในจักรพรรดินี
จักรพรรดินีทรงประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ทอดสายตาคมกริบมองเบื้องล่าง แม้พระวรกายจะสงบนิ่งงามสง่า แต่ในใจนั้นทั้งวุ่นวาย ทั้งร้อนรุ่มดั่งไฟสุ่ม เมื่อคืนท้องฟ้าปั่นป่วนวิปลาสทำให้นางนอนไม่ทั้งคืน รุ่งเช้าขึ้นมายังต้องมานั่งหลังแข็งรับฟังเหล่าขุนนางถกเถียงกัน ชวนให้ปวดหัวยิ่งนัก
ดังนั้น เมื่อเห็นขุนนางอีกคนกำลังจะเอ่ยวาจาขึ้นบ้าง พระนางจึงทรงยกพระหัตถ์ขึ้นเป็นสัญลักษณ์ให้เหล่าขุนนางเลิกโต้เถียงกัน เมื่อขุนนางน้อยใหญ่สงบวาจา พระนางจึงตรัสเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่นชัดเจนว่า
“เรารู้ว่าทุกท่านต่างเห็นแก่ความสงบสุขของประชาชนในใต้หล้า แต่หากจะโต้เถียงกันเช่นนี้ต่อไปก็คงจะไม่ได้ข้อยุติเป็นแน่ ดังนั้น เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย เราเห็นว่าควรแต่งตั้งผู้แทนพระองค์ไปตรวจสอบความจริงที่เมืองซานซีดีหรือไม่ เราทุกคนจะได้รู้ว่า ความจริงแล้วควรเก็บภาษีเท่าไหร่กันแน่”“องค์จักรพรรดินีทรงพระปรีชา เกล้ากระหม่อมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”ใต้เท้าหยวนรุ่ย อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบเสนอตัวประจบขึ้นก่อนใคร หากเทียบกับสมัยก่อนนั้น ในภาษาชาวบ้านบุตรชายของเขาก็เท่ากับเป็นสามีเอกของนาง ส่วนเขาก็มีศักดิ์เป็นถึงพ่อสามี สายสัมพันธ์เช่นนี้ มีหรือที่เขาจะไม่รีบสนับสนุนอีกฝ่าย“เช่นนั้น ฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งผู้ใดเป็นผู้แทนพระองค์”ใต้เท้าจื่อลู่ เจ้ากรมการคลังรีบถามขึ้น เพราะหน้าที่นี้เหมือนของร้อนที่ไม่มีผู้ใดอยากจะรับ เนื่องจากฉากบังหน้ามีตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงผู้แทนพระองค์ แต่กลับแบกภาระไว้มากนัก เพราะหากตรวจสอบว่าไม่ควรเก็บภาษีเมืองซานซีสูงถึงสิบเท่าก็เท่ากับขัดพระประสงค์ แต่ถ้ามีหลักฐานยืนยันว่าต้องเก็บ ก็จะเป็นศัตรูกับเหล่าขุนนางส่วนใหญ่จักรพรรดินีทรงยิ้มน้อย ๆ แล้วตรัสออกมาว่า“ผู้ท
ภาคต่อ ของเรื่อง “ฮองเฮา ขย่มบัลลังก์”บทนำ “...เพราะความโง่เขลา ลุ่มหลงความงามของสตรี ฝ่าบาทถึงกับฆ่าลูกของเราด้วยมือของพระองค์เอง ! ”เขามองใบหน้าสวยที่เต็มไปด้วยสายธารแห่งน้ำตา น้ำตาสายนั้นไหลหยดลงบนใบหน้าเขาให้ความรู้สึกปวดร้าวจนแทบจะหายใจไม่ออก“....เฟิ่งอี๋... ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษ...”เขาขยับปากอย่างยากลำบากร่ำร้องขอโทษอย่างรู้สึกผิด เสียงร่ำไห้ของนางช่างบีบรัดหัวใจเขาจนเจ็บปวด“ฝ่าบาทฆ่าลูก ฆ่าหม่อมฉัน สังหารครอบครัวหม่อมฉันทั้งตระกูล ! แค้นนี้ต้องชำระด้วยชีวิต.....”ฉับพลันนั้นนางก็หยิบเข็มเงินวาววับขึ้นมา เขาเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ละล่ำละลักเปล่งวาจาว่า“ไม่ ๆ ไม่นะ อย่าฆ่าข้า ฮองเฮาข้าผิดไปแล้ว อย่าฆ่าข้าเลย”“หนี้ชีวิต ต้องชดใช้ด้วยชีวิต !”สิ้นคำนาง เข็มเงินแหลมคมวาววับก็พุ่งเข้าหาเขาเต็มแรง“อ๊ากกกกกก”ฉึบ !ตอนที่1. ณ นครฉางซี เมืองหลวงของแคว้นเฉิน ค่ำคืนในต้นฤดูหนาวนั้น ท้องฟ้ายามค่ำคืนไร้เมฆหมอก ดาวและเดือนสุกสกาวดาษดื่นเต็มท้องฟ้าทอแสงแข่งกับโคมไฟบนถนนสายโลกีย์เบื้องล่างเสียงตุบตับผสานกับเสียงขู่กรรโชกอย่างหยาบคายดังขึ้นที่ถนนอีกสายอันมืดม
อีกด้านหนึ่งของเมืองหลวง สายฟ้าแปลบปลาบจากท้องฟ้าพุ่งวาบลงยังร่างของขอทานหนุ่มร่างที่เดิมทีสิ้นลมหายใจไปแล้วกลับเกร็งกระตุกท่ามกลางสายฝนกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ชำระคราบสกปรกบนใบหน้าเผยความผุดผ่องให้เห็น ขนตายาวเรียงกันเป็นแพราวอิสตรีกระพือไหว ในขณะที่ร่างผอมเริ่มขยับกายพลิกตัวลุกขึ้น ฉับพลันนั้นสายฝนก็หยุดลง พร้อมกับท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งขึ้นมาอีกครั้งณ แท่นพิธี บนยอดเขาสูงเมื่อพายุสงบลง ผู้ที่ยืนดูพิธีกรรมอยู่ห่าง ๆ ก็รวบรวมความกล้าก้าวเท้าเข้าไปถามนักบวชว่า“พิธีหวนคืนวิญญาณได้ผลหรือไม่”เสียงของชายชราผู้นั้นแปร่งเล็กคล้ายอิสตรีอยู่หลายส่วน“ท่านก็เห็นกับตาแล้วมิใช่หรือ หุ่นฟางตนนี้ถูกอสนีบาตสวรรค์แผดเผามอดไหม้ ทรัพย์เก่าเพรียกหา วิญญาณหวนคืน”นักบวชนอกรีตผู้นั้นเอ่ยอย่างลำพองใจที่พิธีกรรมเสร็จสิ้นด้วยดี เท่ากับว่าฝีมือเขาสูงขึ้นไปอีกขั้น“เช่นนั้นก็ดี.... เช่นนั้นก็ดี...”ชายชราผู้จ้างวานให้นักบวชทำพิธีให้ผงกศีรษะพลางเช็ดน้ำตา น้ำเสียงแปร่งเล็กสั่นเครือ แล้วเขาก็ล้วงเอาถุงบรรจุแท่งทองนับสิบแท่งยื่นให้นักบวชพลางกล่าวว่า“ขอบคุณท่านมาก ที่ช่วยฟื้นคืนมังกรสู่แผ่นดิน”นักบวชนอกรีตรับถุงแ
“คืนนี้คงจะลำบากท่านมิใช่น้อย ข้าจึงสั่งให้นางกำนัลตุ๋นน้ำแกงไก่ไว้รอท่าน” เมื่อองค์หญิงฟางหรงเอ่ยถึงตรงนี้ นางกำนัลผู้หนึ่งก็ยกถ้วยบรรจุน้ำแกงไก่ร้อน ๆ เข้ามา แล้ววางบนโต๊ะให้กับเฉินกงตอนที่3.“เชิญเฉินกงดื่มสักหน่อยเถิดจะได้บำรุงร่างกาย”“ขอบพระทัยองค์หญิง ที่ใส่ใจผู้เฒ่าอย่างกระหม่อม”เฉินกงยกน้ำแกงขึ้นดื่มจนหมดถ้วยเพื่อแสดงการรับน้ำใจ คล้ายกับเมื่อยามที่เขาเคยถวายงานรับใช้ไทเฮา เมื่อทำงานสำเร็จ ไทเฮาก็มักจะถวายสิ่งของเป็นการตอบแทนความดีความชอบ“เมื่อดื่มหมดถ้วยแล้ว หวังว่าท่านคงจะหลับสบาย”เมื่อตรัสเสร็จองค์หญิงก็ลุกขึ้นให้นางกำนัลประคองเดินออกไปยังประตูเฉินกงรีบลุกขึ้นแล้วประสานมือค่อมศีรษะลง“น้อมส่งองค์หญิง”เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เขากลับพบว่าดวงตาพร่าเลือน โลหิตสด ๆ ไหลทะลักออกจากช่องทวารทั้งเก้า ร่างของชายชราทรุดฮวบลงกับพื้นทันทีตุบ !เสียงนั้นทำให้องค์หญิงฟางหรงชะงักฝีเท้า ยาพิษที่ผสมอยู่ในน้ำแกงไก่คงออกฤทธิ์แล้ว นางไอออกมาสองสามครั้งก่อนสั่งกับทหารที่หน้าประตูห้องว่า“จัดการปัดกวาดให้เรียบร้อยด้วย”“รับพระบัญชา”ขันทีชรานอนจมกองเลือด ดวงตาเบิกกว้างมองไปที่หน้าประตู แม้ตายแล้
“เรารู้ว่าทุกท่านต่างเห็นแก่ความสงบสุขของประชาชนในใต้หล้า แต่หากจะโต้เถียงกันเช่นนี้ต่อไปก็คงจะไม่ได้ข้อยุติเป็นแน่ ดังนั้น เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย เราเห็นว่าควรแต่งตั้งผู้แทนพระองค์ไปตรวจสอบความจริงที่เมืองซานซีดีหรือไม่ เราทุกคนจะได้รู้ว่า ความจริงแล้วควรเก็บภาษีเท่าไหร่กันแน่”“องค์จักรพรรดินีทรงพระปรีชา เกล้ากระหม่อมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”ใต้เท้าหยวนรุ่ย อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบเสนอตัวประจบขึ้นก่อนใคร หากเทียบกับสมัยก่อนนั้น ในภาษาชาวบ้านบุตรชายของเขาก็เท่ากับเป็นสามีเอกของนาง ส่วนเขาก็มีศักดิ์เป็นถึงพ่อสามี สายสัมพันธ์เช่นนี้ มีหรือที่เขาจะไม่รีบสนับสนุนอีกฝ่าย“เช่นนั้น ฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งผู้ใดเป็นผู้แทนพระองค์”ใต้เท้าจื่อลู่ เจ้ากรมการคลังรีบถามขึ้น เพราะหน้าที่นี้เหมือนของร้อนที่ไม่มีผู้ใดอยากจะรับ เนื่องจากฉากบังหน้ามีตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงผู้แทนพระองค์ แต่กลับแบกภาระไว้มากนัก เพราะหากตรวจสอบว่าไม่ควรเก็บภาษีเมืองซานซีสูงถึงสิบเท่าก็เท่ากับขัดพระประสงค์ แต่ถ้ามีหลักฐานยืนยันว่าต้องเก็บ ก็จะเป็นศัตรูกับเหล่าขุนนางส่วนใหญ่จักรพรรดินีทรงยิ้มน้อย ๆ แล้วตรัสออกมาว่า“ผู้ท
ขอทานหนุ่มร้องเสียงหลงพลางหดขาคู้เข้าหาตัว เพื่อหลบหนีจากการสัมผัสของแม่เล้าเจียวมี่ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็รีบปรับอารมณ์เป็นยิ้มแย้มทันที แล้วขุดเอามารยาพันเล่มเกวียนจากการเป็นแม่เล้ามานานขึ้นมาใช้ว่า“ไม่ต้องตกใจ.... เมื่อคืนเจ้ามาสลบอยู่ที่หน้าหอไซ้ยเกอของข้า เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดรอยฟกซ้ำ ข้าเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนแล้งน้ำใจ จึงให้คนพาเจ้ามานอนพักที่นี่ เจ้าชื่ออะไรรึ”บุรุษบนเตียงได้ฟังวาจานางแล้วยิ่งขมวดคิ้วแน่น เขารำพึงรำพันออกมาว่า“เราชื่อเฉินเฉิง ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ เราควรจะอยู่ในวังมิใช่รึ”ความทรงจำครั้งสุดท้ายในหัวของเขาไหลเวียนเรื่องราวในอดีต รู้สึกเหมือนว่าเพิ่งจะเกิดขึ้น เขาเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉิน มีพระนามว่า “เฉินเฉิง” เพราะเชื่อคำยุยงของฟางเหรินกุ้ยเฟย จึงสังหารเฟิ่งอี๋ฮองเฮา แล้วเรื่องที่เหลือเชื่อก็พลันเกิดขึ้นเมื่อวิญญาณของเฟิ่งอี๋กลับเข้ามาในร่างของฟางเหริน แก้แค้นเขาได้อย่างเลือดเย็นภาพบนแท่นบรรทมในตำหนักเมฆาสวรรค์ยังชัดเจนในห้วงความทรงจำ หวนนึกถึงครั้งใดหัวใจของเขาก็เจ็บราวกับถูกบีบให้แหลกลาญ เขายกมือขึ้นกุมหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจ รู้สึกเจ็บปวดจนยากจะบรรยายออกมาเจ
“คืนนี้คงจะลำบากท่านมิใช่น้อย ข้าจึงสั่งให้นางกำนัลตุ๋นน้ำแกงไก่ไว้รอท่าน” เมื่อองค์หญิงฟางหรงเอ่ยถึงตรงนี้ นางกำนัลผู้หนึ่งก็ยกถ้วยบรรจุน้ำแกงไก่ร้อน ๆ เข้ามา แล้ววางบนโต๊ะให้กับเฉินกงตอนที่3.“เชิญเฉินกงดื่มสักหน่อยเถิดจะได้บำรุงร่างกาย”“ขอบพระทัยองค์หญิง ที่ใส่ใจผู้เฒ่าอย่างกระหม่อม”เฉินกงยกน้ำแกงขึ้นดื่มจนหมดถ้วยเพื่อแสดงการรับน้ำใจ คล้ายกับเมื่อยามที่เขาเคยถวายงานรับใช้ไทเฮา เมื่อทำงานสำเร็จ ไทเฮาก็มักจะถวายสิ่งของเป็นการตอบแทนความดีความชอบ“เมื่อดื่มหมดถ้วยแล้ว หวังว่าท่านคงจะหลับสบาย”เมื่อตรัสเสร็จองค์หญิงก็ลุกขึ้นให้นางกำนัลประคองเดินออกไปยังประตูเฉินกงรีบลุกขึ้นแล้วประสานมือค่อมศีรษะลง“น้อมส่งองค์หญิง”เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เขากลับพบว่าดวงตาพร่าเลือน โลหิตสด ๆ ไหลทะลักออกจากช่องทวารทั้งเก้า ร่างของชายชราทรุดฮวบลงกับพื้นทันทีตุบ !เสียงนั้นทำให้องค์หญิงฟางหรงชะงักฝีเท้า ยาพิษที่ผสมอยู่ในน้ำแกงไก่คงออกฤทธิ์แล้ว นางไอออกมาสองสามครั้งก่อนสั่งกับทหารที่หน้าประตูห้องว่า“จัดการปัดกวาดให้เรียบร้อยด้วย”“รับพระบัญชา”ขันทีชรานอนจมกองเลือด ดวงตาเบิกกว้างมองไปที่หน้าประตู แม้ตายแล้
อีกด้านหนึ่งของเมืองหลวง สายฟ้าแปลบปลาบจากท้องฟ้าพุ่งวาบลงยังร่างของขอทานหนุ่มร่างที่เดิมทีสิ้นลมหายใจไปแล้วกลับเกร็งกระตุกท่ามกลางสายฝนกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ชำระคราบสกปรกบนใบหน้าเผยความผุดผ่องให้เห็น ขนตายาวเรียงกันเป็นแพราวอิสตรีกระพือไหว ในขณะที่ร่างผอมเริ่มขยับกายพลิกตัวลุกขึ้น ฉับพลันนั้นสายฝนก็หยุดลง พร้อมกับท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งขึ้นมาอีกครั้งณ แท่นพิธี บนยอดเขาสูงเมื่อพายุสงบลง ผู้ที่ยืนดูพิธีกรรมอยู่ห่าง ๆ ก็รวบรวมความกล้าก้าวเท้าเข้าไปถามนักบวชว่า“พิธีหวนคืนวิญญาณได้ผลหรือไม่”เสียงของชายชราผู้นั้นแปร่งเล็กคล้ายอิสตรีอยู่หลายส่วน“ท่านก็เห็นกับตาแล้วมิใช่หรือ หุ่นฟางตนนี้ถูกอสนีบาตสวรรค์แผดเผามอดไหม้ ทรัพย์เก่าเพรียกหา วิญญาณหวนคืน”นักบวชนอกรีตผู้นั้นเอ่ยอย่างลำพองใจที่พิธีกรรมเสร็จสิ้นด้วยดี เท่ากับว่าฝีมือเขาสูงขึ้นไปอีกขั้น“เช่นนั้นก็ดี.... เช่นนั้นก็ดี...”ชายชราผู้จ้างวานให้นักบวชทำพิธีให้ผงกศีรษะพลางเช็ดน้ำตา น้ำเสียงแปร่งเล็กสั่นเครือ แล้วเขาก็ล้วงเอาถุงบรรจุแท่งทองนับสิบแท่งยื่นให้นักบวชพลางกล่าวว่า“ขอบคุณท่านมาก ที่ช่วยฟื้นคืนมังกรสู่แผ่นดิน”นักบวชนอกรีตรับถุงแ
ภาคต่อ ของเรื่อง “ฮองเฮา ขย่มบัลลังก์”บทนำ “...เพราะความโง่เขลา ลุ่มหลงความงามของสตรี ฝ่าบาทถึงกับฆ่าลูกของเราด้วยมือของพระองค์เอง ! ”เขามองใบหน้าสวยที่เต็มไปด้วยสายธารแห่งน้ำตา น้ำตาสายนั้นไหลหยดลงบนใบหน้าเขาให้ความรู้สึกปวดร้าวจนแทบจะหายใจไม่ออก“....เฟิ่งอี๋... ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษ...”เขาขยับปากอย่างยากลำบากร่ำร้องขอโทษอย่างรู้สึกผิด เสียงร่ำไห้ของนางช่างบีบรัดหัวใจเขาจนเจ็บปวด“ฝ่าบาทฆ่าลูก ฆ่าหม่อมฉัน สังหารครอบครัวหม่อมฉันทั้งตระกูล ! แค้นนี้ต้องชำระด้วยชีวิต.....”ฉับพลันนั้นนางก็หยิบเข็มเงินวาววับขึ้นมา เขาเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ละล่ำละลักเปล่งวาจาว่า“ไม่ ๆ ไม่นะ อย่าฆ่าข้า ฮองเฮาข้าผิดไปแล้ว อย่าฆ่าข้าเลย”“หนี้ชีวิต ต้องชดใช้ด้วยชีวิต !”สิ้นคำนาง เข็มเงินแหลมคมวาววับก็พุ่งเข้าหาเขาเต็มแรง“อ๊ากกกกกก”ฉึบ !ตอนที่1. ณ นครฉางซี เมืองหลวงของแคว้นเฉิน ค่ำคืนในต้นฤดูหนาวนั้น ท้องฟ้ายามค่ำคืนไร้เมฆหมอก ดาวและเดือนสุกสกาวดาษดื่นเต็มท้องฟ้าทอแสงแข่งกับโคมไฟบนถนนสายโลกีย์เบื้องล่างเสียงตุบตับผสานกับเสียงขู่กรรโชกอย่างหยาบคายดังขึ้นที่ถนนอีกสายอันมืดม