อีกด้านหนึ่งของเมืองหลวง สายฟ้าแปลบปลาบจากท้องฟ้าพุ่งวาบลงยังร่างของขอทานหนุ่ม
ร่างที่เดิมทีสิ้นลมหายใจไปแล้วกลับเกร็งกระตุกท่ามกลางสายฝนกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ชำระคราบสกปรกบนใบหน้าเผยความผุดผ่องให้เห็น ขนตายาวเรียงกันเป็นแพราวอิสตรีกระพือไหว ในขณะที่ร่างผอมเริ่มขยับกายพลิกตัวลุกขึ้น ฉับพลันนั้นสายฝนก็หยุดลง พร้อมกับท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งขึ้นมาอีกครั้ง
ณ แท่นพิธี บนยอดเขาสูง
เมื่อพายุสงบลง ผู้ที่ยืนดูพิธีกรรมอยู่ห่าง ๆ ก็รวบรวมความกล้าก้าวเท้าเข้าไปถามนักบวชว่า
“พิธีหวนคืนวิญญาณได้ผลหรือไม่”
เสียงของชายชราผู้นั้นแปร่งเล็กคล้ายอิสตรีอยู่หลายส่วน
“ท่านก็เห็นกับตาแล้วมิใช่หรือ หุ่นฟางตนนี้ถูกอสนีบาตสวรรค์แผดเผามอดไหม้ ทรัพย์เก่าเพรียกหา วิญญาณหวนคืน”
นักบวชนอกรีตผู้นั้นเอ่ยอย่างลำพองใจที่พิธีกรรมเสร็จสิ้นด้วยดี เท่ากับว่าฝีมือเขาสูงขึ้นไปอีกขั้น
“เช่นนั้นก็ดี.... เช่นนั้นก็ดี...”
ชายชราผู้จ้างวานให้นักบวชทำพิธีให้ผงกศีรษะพลางเช็ดน้ำตา น้ำเสียงแปร่งเล็กสั่นเครือ แล้วเขาก็ล้วงเอาถุงบรรจุแท่งทองนับสิบแท่งยื่นให้นักบวชพลางกล่าวว่า
“ขอบคุณท่านมาก ที่ช่วยฟื้นคืนมังกรสู่แผ่นดิน”
นักบวชนอกรีตรับถุงแท่งทองนั่นมา แล้วรีบเปิดดูด้วยความดีใจ ทันทีที่เห็นแท่งทองทอประกายวาววับยามต้องแสงไฟ สติเขาก็ดับวูบลงพร้อมกับความเจ็บแปลบที่ช่องท้อง
ฉึก !
ชายชราผู้จ้างวานกระชากมีดออก เลือดของนักบวชก็พุ่งกระฉูดออกมาเปรอะเปื้อนเต็มตัวเขา แววตาสงบเยือกเย็นมองดูร่างนักบวชสิ้นใจล้มลงแทบเท้า
“ขอท่านอย่าได้โทษข้า ความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพราย !”
ณ ตำหนักหย่งซาน เมืองซานซี
รถม้าคันหนึ่งวิ่งฝ่าความมืดมาอย่างรวดเร็ว แล้วจอดลงที่หน้าตำหนักหย่งซาน จากนั้นชายชราผู้หนึ่งก็รีบร้อนลงจากรถม้า ทหารเฝ้าประตูตำหนักสองนายรีบเปิดประตูให้ทันทีที่เห็นใบหน้าชายชราผู้นั้น
เฉินกง มุ่งหน้าเข้าไปที่เรือนรับรองด้านหน้า แม้จะล่วงเข้าสู่ยามโฉ่วแล้ว แต่ทั่วทั้งห้องยังจุดโคมไฟสว่างไสว เมื่อพบดรุณีในอาภรณ์ชาววังเขาก็รีบคุกเข่าลง
“ถวายบังคมองค์หญิง”
องค์หญิงฟางหรงลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วรีบเข้าไปประคองขันทีชราให้ลุกขึ้น พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า
“เฉินกง ท่านลุกขึ้นเถอะ ข้าบอกท่านกี่ครั้งแล้วที่นี่มิใช่วังหลวงไม่ต้องมากพิธี พื้นเย็นออกปานนั้นจะทำลายสุขภาพท่านเอาได้”
ชายชราลุกขึ้นใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยนั้นปรากฏความซาบซึ้งในน้ำใจขององค์หญิงฟางหรง เชื้อพระวงศ์เพียงหนึ่งเดียวที่หนีรอดมาได้จากการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
แค่ก..... แค่ก......
องค์หญิงฟางหรงไอออกมาขณะที่เดินกลับไปยังที่นั่งของตน นางกำนัลข้างกายรีบนำเสื้อคลุมมาถวาย พร้อมกับถ้วยโอสถ
นางเป็นธิดาที่เกิดจากกุ้ยเฟยในฮ่องเต้พระองค์ก่อน แต่เพราะกุ้ยเฟยสุขภาพอ่อนแอจึงเสียชีวิตทันทีที่คลอดธิดา ฮองเฮาซึ่งเป็นพี่สาวต่างมารดาของกุ้ยเฟยจึงเป็นผู้เลี้ยงดูนางเสมือนธิดาในอุทรร่วมกันกับโอรสทั้งสองของพระองค์
เมื่อโอรสองค์โตของฮองเฮาขึ้นครองราชย์แทนบิดา ฐานะของนางจึงกลายเป็นน้องสาวของฮ่องเต้ แต่เพราะว่านางยังเยาว์วัย อีกทั้งสุขภาพอ่อนแอ องค์หญิงฟางหรงจึงยังคงอยู่ในความดูแลไทเฮาจนกระทั่งนางอายุได้ 14 ปี ก็เกิดเหตุการณ์ผลัดเปลี่ยนรัชกาลนางกับข้าทาสบริวารที่เหลือจึงถูกเนรเทศให้ไปอยู่ชายแดน
“องค์หญิงลำบากท่านแล้ว ที่ต้องมานั่งคอยชายชราอย่างเช่นกระหม่อม”
เฉินกงเสียงสั่นพร่าด้วยความห่วงใย เขาเป็นขันทีคนสนิทของไทเฮา ดังนั้นจึงเห็นองค์หญิงมาตั้งแต่ยังเป็นทารก
ในดวงตาฝ้าฟางคล้ายมีหมอกปกคลุมนั้นหวนนึกถึงวันที่ฮ่องเต้ตายอย่างอนาถ ส่วนพระอนุชาของฮ่องเต้ก็ถูกสังหารข้อหากบฏ ภายในวันเดียวกันนั้นส่งผลให้ไทเฮาถึงกับกระอักโลหิตสด ๆ ออกมา หลังจากนั้นไทเฮาก็ล้มป่วยหนัก ก่อนสิ้นใจไทเฮาได้เรียกเขา และองค์หญิงฟางหรงเข้าไปสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย
“... ข้า... ข้าไม่เชื่อว่าเฉินฉู่เป็นกบฏ... ฮ่องเต้... ฮ่องเต้ตายอย่างอนาถนัก..”
ไทเฮาตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแผ่วเบา ดวงตาแดงก่ำแทบจะเป็นสายเลือด
“ไทเฮาอย่าเพิ่งตรัสอะไรตอนนี้เพคะ ถนอมพระวรกายให้ดีเพื่อทวงความยุติธรรมให้กับท่านพี่ทั้งสอง”
องค์หญิงน้อยสะอึกสะอื้นข้าง ๆ เตียง สองมือเกาะกุมพระหัตถ์ไทเฮาเอาไว้แน่น
“...ข้า.. ต้องพูด ข้ารู้ตัวว่าเวลาของข้าเหลือน้อยเต็มทน.. เฉินกง... เฉินกง...”
“กระหม่อมอยู่นี่แล้ว”
เฉินกงรีบขยับเข้ามาใกล้พระวรกายของไทเฮาอีกนิด เพื่อให้พระนางทรงทอดพระเนตรเห็นตนได้ชัดเจน
“เจ้าฟังข้า... เปิดกล่องที่อยู่ใต้แท่นบรรทมข้า แล้วจงกระทำทุกวิธีทาง... ให้... ให้มังกรหวนคืนบัลลังก์..”
สิ้นคำ ไทเฮาก็หลับพระเนตรลง พระพักตร์หันเอียงไปด้านหนึ่ง แล้วสิ้นพระชนม์
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีศพของไทเฮา เขาและองค์หญิงฟางหรงจึงได้เปิดกล่องที่อยู่ใต้แท่นบรรทมของไทเฮาแล้วพบว่าในนั้นบรรจุม้วนผ้าไหมที่มีลายพระหัตถ์ของไทเฮาเขียนถึงแผนการเอาไว้อย่างละเอียดว่า เมื่อบัลลังก์มังกรตกเป็นของผู้อื่นที่ไม่ใช่สายเลือดมังกรให้เขาพาองค์หญิงน้อย และข้าทาสบบริวารที่เหลือออกจากเมืองหลวงให้เร็วที่สุด แล้วเสาะแสวงหานักบวชนอกรีตเพื่อทำพิธีฟื้นคืนชีพให้กับฮ่องเต้
แค่ก..... แค่ก......
เสียงไอขององค์หญิงฟางหรงดึงสติของขันทีชราให้กลับสู่ปัจจุบัน เขากะพริบตาเพื่อไล่น้ำตาที่รื้นขึ้นมา
“หากพูดถึงความลำบาก หลายปีมานี้เป็นท่านที่ลำบากยิ่งกว่าข้า”
องค์หญิงฟางหรงทอดเสียงซาบซึ้งให้กับขุนนางผู้ภักดี จากนั้นจึงเอ่ยถามถึงเรื่องสำคัญว่า
“คืนนี้... บนยอดเขา... สำเร็จหรือไม่”
วาจาที่เปล่งออกมานั้นระมัดระวังยิ่ง
เฉินกงหันมาสบพระเนตรองค์หญิง แล้วเปล่งวาจาคล้ายกับจะระงับความดีใจเอาไว้ไม่ได้ว่า
“สำเร็จ... สำเร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงฟางหรงยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดพระพักตร์ไอสองสามครั้ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า
“เป็นเรื่องดียิ่งนัก เช่นนี้ก็เท่ากับว่าพวกเราทำตามพระราชเสาวนีย์ขององค์ไทเฮาให้สำเร็จลุล่วงได้ห้าส่วนแล้ว”
ขันทีชราได้แต่พยักหน้ารับ ก้อนแข็ง ๆ ก้อนหนึ่งได้แล่นพล่านขึ้นมาจุกที่ลำคอ น้ำตาก็พาลจะไหลออกมา ตลอด 4 ปีมานี้ เขาเฝ้าเสาะแสวงหานักบวชที่สามารถทำพิธีเรียกวิญญาณให้ฟื้นคืนชีพอย่างอยากลำบาก ยิ่งนานวันความหวังยิ่งริบหรี่ แล้วก็เหมือนกับเป็นลิขิตสวรรค์ทำให้เขาได้กับนักบวชนอกรีตผู้นั้น
“คืนนี้คงจะลำบากท่านมิใช่น้อย ข้าจึงสั่งให้นางกำนัลตุ๋นน้ำแกงไก่ไว้รอท่าน” เมื่อองค์หญิงฟางหรงเอ่ยถึงตรงนี้ นางกำนัลผู้หนึ่งก็ยกถ้วยบรรจุน้ำแกงไก่ร้อน ๆ เข้ามา แล้ววางบนโต๊ะให้กับเฉินกงตอนที่3.“เชิญเฉินกงดื่มสักหน่อยเถิดจะได้บำรุงร่างกาย”“ขอบพระทัยองค์หญิง ที่ใส่ใจผู้เฒ่าอย่างกระหม่อม”เฉินกงยกน้ำแกงขึ้นดื่มจนหมดถ้วยเพื่อแสดงการรับน้ำใจ คล้ายกับเมื่อยามที่เขาเคยถวายงานรับใช้ไทเฮา เมื่อทำงานสำเร็จ ไทเฮาก็มักจะถวายสิ่งของเป็นการตอบแทนความดีความชอบ“เมื่อดื่มหมดถ้วยแล้ว หวังว่าท่านคงจะหลับสบาย”เมื่อตรัสเสร็จองค์หญิงก็ลุกขึ้นให้นางกำนัลประคองเดินออกไปยังประตูเฉินกงรีบลุกขึ้นแล้วประสานมือค่อมศีรษะลง“น้อมส่งองค์หญิง”เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เขากลับพบว่าดวงตาพร่าเลือน โลหิตสด ๆ ไหลทะลักออกจากช่องทวารทั้งเก้า ร่างของชายชราทรุดฮวบลงกับพื้นทันทีตุบ !เสียงนั้นทำให้องค์หญิงฟางหรงชะงักฝีเท้า ยาพิษที่ผสมอยู่ในน้ำแกงไก่คงออกฤทธิ์แล้ว นางไอออกมาสองสามครั้งก่อนสั่งกับทหารที่หน้าประตูห้องว่า“จัดการปัดกวาดให้เรียบร้อยด้วย”“รับพระบัญชา”ขันทีชรานอนจมกองเลือด ดวงตาเบิกกว้างมองไปที่หน้าประตู แม้ตายแล้
ขอทานหนุ่มร้องเสียงหลงพลางหดขาคู้เข้าหาตัว เพื่อหลบหนีจากการสัมผัสของแม่เล้าเจียวมี่ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็รีบปรับอารมณ์เป็นยิ้มแย้มทันที แล้วขุดเอามารยาพันเล่มเกวียนจากการเป็นแม่เล้ามานานขึ้นมาใช้ว่า“ไม่ต้องตกใจ.... เมื่อคืนเจ้ามาสลบอยู่ที่หน้าหอไซ้ยเกอของข้า เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดรอยฟกซ้ำ ข้าเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนแล้งน้ำใจ จึงให้คนพาเจ้ามานอนพักที่นี่ เจ้าชื่ออะไรรึ”บุรุษบนเตียงได้ฟังวาจานางแล้วยิ่งขมวดคิ้วแน่น เขารำพึงรำพันออกมาว่า“เราชื่อเฉินเฉิง ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ เราควรจะอยู่ในวังมิใช่รึ”ความทรงจำครั้งสุดท้ายในหัวของเขาไหลเวียนเรื่องราวในอดีต รู้สึกเหมือนว่าเพิ่งจะเกิดขึ้น เขาเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉิน มีพระนามว่า “เฉินเฉิง” เพราะเชื่อคำยุยงของฟางเหรินกุ้ยเฟย จึงสังหารเฟิ่งอี๋ฮองเฮา แล้วเรื่องที่เหลือเชื่อก็พลันเกิดขึ้นเมื่อวิญญาณของเฟิ่งอี๋กลับเข้ามาในร่างของฟางเหริน แก้แค้นเขาได้อย่างเลือดเย็นภาพบนแท่นบรรทมในตำหนักเมฆาสวรรค์ยังชัดเจนในห้วงความทรงจำ หวนนึกถึงครั้งใดหัวใจของเขาก็เจ็บราวกับถูกบีบให้แหลกลาญ เขายกมือขึ้นกุมหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจ รู้สึกเจ็บปวดจนยากจะบรรยายออกมาเจ
“เรารู้ว่าทุกท่านต่างเห็นแก่ความสงบสุขของประชาชนในใต้หล้า แต่หากจะโต้เถียงกันเช่นนี้ต่อไปก็คงจะไม่ได้ข้อยุติเป็นแน่ ดังนั้น เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย เราเห็นว่าควรแต่งตั้งผู้แทนพระองค์ไปตรวจสอบความจริงที่เมืองซานซีดีหรือไม่ เราทุกคนจะได้รู้ว่า ความจริงแล้วควรเก็บภาษีเท่าไหร่กันแน่”“องค์จักรพรรดินีทรงพระปรีชา เกล้ากระหม่อมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”ใต้เท้าหยวนรุ่ย อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบเสนอตัวประจบขึ้นก่อนใคร หากเทียบกับสมัยก่อนนั้น ในภาษาชาวบ้านบุตรชายของเขาก็เท่ากับเป็นสามีเอกของนาง ส่วนเขาก็มีศักดิ์เป็นถึงพ่อสามี สายสัมพันธ์เช่นนี้ มีหรือที่เขาจะไม่รีบสนับสนุนอีกฝ่าย“เช่นนั้น ฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งผู้ใดเป็นผู้แทนพระองค์”ใต้เท้าจื่อลู่ เจ้ากรมการคลังรีบถามขึ้น เพราะหน้าที่นี้เหมือนของร้อนที่ไม่มีผู้ใดอยากจะรับ เนื่องจากฉากบังหน้ามีตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงผู้แทนพระองค์ แต่กลับแบกภาระไว้มากนัก เพราะหากตรวจสอบว่าไม่ควรเก็บภาษีเมืองซานซีสูงถึงสิบเท่าก็เท่ากับขัดพระประสงค์ แต่ถ้ามีหลักฐานยืนยันว่าต้องเก็บ ก็จะเป็นศัตรูกับเหล่าขุนนางส่วนใหญ่จักรพรรดินีทรงยิ้มน้อย ๆ แล้วตรัสออกมาว่า“ผู้ท
ภาคต่อ ของเรื่อง “ฮองเฮา ขย่มบัลลังก์”บทนำ “...เพราะความโง่เขลา ลุ่มหลงความงามของสตรี ฝ่าบาทถึงกับฆ่าลูกของเราด้วยมือของพระองค์เอง ! ”เขามองใบหน้าสวยที่เต็มไปด้วยสายธารแห่งน้ำตา น้ำตาสายนั้นไหลหยดลงบนใบหน้าเขาให้ความรู้สึกปวดร้าวจนแทบจะหายใจไม่ออก“....เฟิ่งอี๋... ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษ...”เขาขยับปากอย่างยากลำบากร่ำร้องขอโทษอย่างรู้สึกผิด เสียงร่ำไห้ของนางช่างบีบรัดหัวใจเขาจนเจ็บปวด“ฝ่าบาทฆ่าลูก ฆ่าหม่อมฉัน สังหารครอบครัวหม่อมฉันทั้งตระกูล ! แค้นนี้ต้องชำระด้วยชีวิต.....”ฉับพลันนั้นนางก็หยิบเข็มเงินวาววับขึ้นมา เขาเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ละล่ำละลักเปล่งวาจาว่า“ไม่ ๆ ไม่นะ อย่าฆ่าข้า ฮองเฮาข้าผิดไปแล้ว อย่าฆ่าข้าเลย”“หนี้ชีวิต ต้องชดใช้ด้วยชีวิต !”สิ้นคำนาง เข็มเงินแหลมคมวาววับก็พุ่งเข้าหาเขาเต็มแรง“อ๊ากกกกกก”ฉึบ !ตอนที่1. ณ นครฉางซี เมืองหลวงของแคว้นเฉิน ค่ำคืนในต้นฤดูหนาวนั้น ท้องฟ้ายามค่ำคืนไร้เมฆหมอก ดาวและเดือนสุกสกาวดาษดื่นเต็มท้องฟ้าทอแสงแข่งกับโคมไฟบนถนนสายโลกีย์เบื้องล่างเสียงตุบตับผสานกับเสียงขู่กรรโชกอย่างหยาบคายดังขึ้นที่ถนนอีกสายอันมืดม
“เรารู้ว่าทุกท่านต่างเห็นแก่ความสงบสุขของประชาชนในใต้หล้า แต่หากจะโต้เถียงกันเช่นนี้ต่อไปก็คงจะไม่ได้ข้อยุติเป็นแน่ ดังนั้น เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย เราเห็นว่าควรแต่งตั้งผู้แทนพระองค์ไปตรวจสอบความจริงที่เมืองซานซีดีหรือไม่ เราทุกคนจะได้รู้ว่า ความจริงแล้วควรเก็บภาษีเท่าไหร่กันแน่”“องค์จักรพรรดินีทรงพระปรีชา เกล้ากระหม่อมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”ใต้เท้าหยวนรุ่ย อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบเสนอตัวประจบขึ้นก่อนใคร หากเทียบกับสมัยก่อนนั้น ในภาษาชาวบ้านบุตรชายของเขาก็เท่ากับเป็นสามีเอกของนาง ส่วนเขาก็มีศักดิ์เป็นถึงพ่อสามี สายสัมพันธ์เช่นนี้ มีหรือที่เขาจะไม่รีบสนับสนุนอีกฝ่าย“เช่นนั้น ฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งผู้ใดเป็นผู้แทนพระองค์”ใต้เท้าจื่อลู่ เจ้ากรมการคลังรีบถามขึ้น เพราะหน้าที่นี้เหมือนของร้อนที่ไม่มีผู้ใดอยากจะรับ เนื่องจากฉากบังหน้ามีตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงผู้แทนพระองค์ แต่กลับแบกภาระไว้มากนัก เพราะหากตรวจสอบว่าไม่ควรเก็บภาษีเมืองซานซีสูงถึงสิบเท่าก็เท่ากับขัดพระประสงค์ แต่ถ้ามีหลักฐานยืนยันว่าต้องเก็บ ก็จะเป็นศัตรูกับเหล่าขุนนางส่วนใหญ่จักรพรรดินีทรงยิ้มน้อย ๆ แล้วตรัสออกมาว่า“ผู้ท
ขอทานหนุ่มร้องเสียงหลงพลางหดขาคู้เข้าหาตัว เพื่อหลบหนีจากการสัมผัสของแม่เล้าเจียวมี่ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็รีบปรับอารมณ์เป็นยิ้มแย้มทันที แล้วขุดเอามารยาพันเล่มเกวียนจากการเป็นแม่เล้ามานานขึ้นมาใช้ว่า“ไม่ต้องตกใจ.... เมื่อคืนเจ้ามาสลบอยู่ที่หน้าหอไซ้ยเกอของข้า เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดรอยฟกซ้ำ ข้าเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนแล้งน้ำใจ จึงให้คนพาเจ้ามานอนพักที่นี่ เจ้าชื่ออะไรรึ”บุรุษบนเตียงได้ฟังวาจานางแล้วยิ่งขมวดคิ้วแน่น เขารำพึงรำพันออกมาว่า“เราชื่อเฉินเฉิง ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ เราควรจะอยู่ในวังมิใช่รึ”ความทรงจำครั้งสุดท้ายในหัวของเขาไหลเวียนเรื่องราวในอดีต รู้สึกเหมือนว่าเพิ่งจะเกิดขึ้น เขาเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉิน มีพระนามว่า “เฉินเฉิง” เพราะเชื่อคำยุยงของฟางเหรินกุ้ยเฟย จึงสังหารเฟิ่งอี๋ฮองเฮา แล้วเรื่องที่เหลือเชื่อก็พลันเกิดขึ้นเมื่อวิญญาณของเฟิ่งอี๋กลับเข้ามาในร่างของฟางเหริน แก้แค้นเขาได้อย่างเลือดเย็นภาพบนแท่นบรรทมในตำหนักเมฆาสวรรค์ยังชัดเจนในห้วงความทรงจำ หวนนึกถึงครั้งใดหัวใจของเขาก็เจ็บราวกับถูกบีบให้แหลกลาญ เขายกมือขึ้นกุมหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจ รู้สึกเจ็บปวดจนยากจะบรรยายออกมาเจ
“คืนนี้คงจะลำบากท่านมิใช่น้อย ข้าจึงสั่งให้นางกำนัลตุ๋นน้ำแกงไก่ไว้รอท่าน” เมื่อองค์หญิงฟางหรงเอ่ยถึงตรงนี้ นางกำนัลผู้หนึ่งก็ยกถ้วยบรรจุน้ำแกงไก่ร้อน ๆ เข้ามา แล้ววางบนโต๊ะให้กับเฉินกงตอนที่3.“เชิญเฉินกงดื่มสักหน่อยเถิดจะได้บำรุงร่างกาย”“ขอบพระทัยองค์หญิง ที่ใส่ใจผู้เฒ่าอย่างกระหม่อม”เฉินกงยกน้ำแกงขึ้นดื่มจนหมดถ้วยเพื่อแสดงการรับน้ำใจ คล้ายกับเมื่อยามที่เขาเคยถวายงานรับใช้ไทเฮา เมื่อทำงานสำเร็จ ไทเฮาก็มักจะถวายสิ่งของเป็นการตอบแทนความดีความชอบ“เมื่อดื่มหมดถ้วยแล้ว หวังว่าท่านคงจะหลับสบาย”เมื่อตรัสเสร็จองค์หญิงก็ลุกขึ้นให้นางกำนัลประคองเดินออกไปยังประตูเฉินกงรีบลุกขึ้นแล้วประสานมือค่อมศีรษะลง“น้อมส่งองค์หญิง”เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เขากลับพบว่าดวงตาพร่าเลือน โลหิตสด ๆ ไหลทะลักออกจากช่องทวารทั้งเก้า ร่างของชายชราทรุดฮวบลงกับพื้นทันทีตุบ !เสียงนั้นทำให้องค์หญิงฟางหรงชะงักฝีเท้า ยาพิษที่ผสมอยู่ในน้ำแกงไก่คงออกฤทธิ์แล้ว นางไอออกมาสองสามครั้งก่อนสั่งกับทหารที่หน้าประตูห้องว่า“จัดการปัดกวาดให้เรียบร้อยด้วย”“รับพระบัญชา”ขันทีชรานอนจมกองเลือด ดวงตาเบิกกว้างมองไปที่หน้าประตู แม้ตายแล้
อีกด้านหนึ่งของเมืองหลวง สายฟ้าแปลบปลาบจากท้องฟ้าพุ่งวาบลงยังร่างของขอทานหนุ่มร่างที่เดิมทีสิ้นลมหายใจไปแล้วกลับเกร็งกระตุกท่ามกลางสายฝนกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ชำระคราบสกปรกบนใบหน้าเผยความผุดผ่องให้เห็น ขนตายาวเรียงกันเป็นแพราวอิสตรีกระพือไหว ในขณะที่ร่างผอมเริ่มขยับกายพลิกตัวลุกขึ้น ฉับพลันนั้นสายฝนก็หยุดลง พร้อมกับท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งขึ้นมาอีกครั้งณ แท่นพิธี บนยอดเขาสูงเมื่อพายุสงบลง ผู้ที่ยืนดูพิธีกรรมอยู่ห่าง ๆ ก็รวบรวมความกล้าก้าวเท้าเข้าไปถามนักบวชว่า“พิธีหวนคืนวิญญาณได้ผลหรือไม่”เสียงของชายชราผู้นั้นแปร่งเล็กคล้ายอิสตรีอยู่หลายส่วน“ท่านก็เห็นกับตาแล้วมิใช่หรือ หุ่นฟางตนนี้ถูกอสนีบาตสวรรค์แผดเผามอดไหม้ ทรัพย์เก่าเพรียกหา วิญญาณหวนคืน”นักบวชนอกรีตผู้นั้นเอ่ยอย่างลำพองใจที่พิธีกรรมเสร็จสิ้นด้วยดี เท่ากับว่าฝีมือเขาสูงขึ้นไปอีกขั้น“เช่นนั้นก็ดี.... เช่นนั้นก็ดี...”ชายชราผู้จ้างวานให้นักบวชทำพิธีให้ผงกศีรษะพลางเช็ดน้ำตา น้ำเสียงแปร่งเล็กสั่นเครือ แล้วเขาก็ล้วงเอาถุงบรรจุแท่งทองนับสิบแท่งยื่นให้นักบวชพลางกล่าวว่า“ขอบคุณท่านมาก ที่ช่วยฟื้นคืนมังกรสู่แผ่นดิน”นักบวชนอกรีตรับถุงแ
ภาคต่อ ของเรื่อง “ฮองเฮา ขย่มบัลลังก์”บทนำ “...เพราะความโง่เขลา ลุ่มหลงความงามของสตรี ฝ่าบาทถึงกับฆ่าลูกของเราด้วยมือของพระองค์เอง ! ”เขามองใบหน้าสวยที่เต็มไปด้วยสายธารแห่งน้ำตา น้ำตาสายนั้นไหลหยดลงบนใบหน้าเขาให้ความรู้สึกปวดร้าวจนแทบจะหายใจไม่ออก“....เฟิ่งอี๋... ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษ...”เขาขยับปากอย่างยากลำบากร่ำร้องขอโทษอย่างรู้สึกผิด เสียงร่ำไห้ของนางช่างบีบรัดหัวใจเขาจนเจ็บปวด“ฝ่าบาทฆ่าลูก ฆ่าหม่อมฉัน สังหารครอบครัวหม่อมฉันทั้งตระกูล ! แค้นนี้ต้องชำระด้วยชีวิต.....”ฉับพลันนั้นนางก็หยิบเข็มเงินวาววับขึ้นมา เขาเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ละล่ำละลักเปล่งวาจาว่า“ไม่ ๆ ไม่นะ อย่าฆ่าข้า ฮองเฮาข้าผิดไปแล้ว อย่าฆ่าข้าเลย”“หนี้ชีวิต ต้องชดใช้ด้วยชีวิต !”สิ้นคำนาง เข็มเงินแหลมคมวาววับก็พุ่งเข้าหาเขาเต็มแรง“อ๊ากกกกกก”ฉึบ !ตอนที่1. ณ นครฉางซี เมืองหลวงของแคว้นเฉิน ค่ำคืนในต้นฤดูหนาวนั้น ท้องฟ้ายามค่ำคืนไร้เมฆหมอก ดาวและเดือนสุกสกาวดาษดื่นเต็มท้องฟ้าทอแสงแข่งกับโคมไฟบนถนนสายโลกีย์เบื้องล่างเสียงตุบตับผสานกับเสียงขู่กรรโชกอย่างหยาบคายดังขึ้นที่ถนนอีกสายอันมืดม