สิ่งเดียวในสายตาของพวกเขาคืออักขระที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เฟนด์ กิลเบิร์ต และแอนดรูว์ไม่มองสิ่งอื่นและไม่สนใจอะไรเลยเฟนด์ถอนหายใจเล็กน้อย เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองปฏิกิริยาของคนอื่น ๆ เลยแต่จริง ๆ เฟนด์ก็ไม่จำเป็นต้องมองด้วยซ้ำ เขาสามารถจินตนาการถึงความตกใจบนใบหน้าของทุกคนที่เกิดขึ้นขณะเขาแสดงความสามารถของตัวเองได้อย่างง่ายดาย เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น เฟนด์ก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจว่า 'หรือว่าฉันจะช้าเกินไปหรือเปล่า…'ด้วยความตั้งใจว่าจะไม่เปิดเผยความสามารถที่แท้จริง เฟนด์จึงจงใจชะลอความเร็วในการบ่มเพาะโอสถลง ถ้าเขาทำความเร็วตามปกติ ป่านนี้คงจะสร้างอักขระทางยาได้แปดร้อยอักษรไปแล้วแต่เขารู้ดีว่าหากทำเช่นนั้น รองเหรัญญิกก็จะเกิดความสงสัยในตัวเขา แล้วเขาอาจถูกกักขังไว้ราวกับหนูทดลองตัวหนึ่งเขาไม่อยากจะอยู่ในวิมานโอสถ เพราะเป้าหมายของเขามีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือการเข้าสู่พันธมิตรนักเล่นแร่แปรธาตุของรัฐตอนกลางและพัฒนาตัวเองอยู่ที่นั่น ด้วยสถานะเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ เขาจะสามารถสะสมผลึกวิญญาณได้มากขึ้นเพื่อจะได้นำมันไปซื้อผลึกวิญญาณระดับเก้าหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในที่สุดเฟนด์ก็วา
อย่างไรก็ตาม คำอธิบายของเฟนด์ไม่ได้ทำให้รองเหรัญญิกพอใจมากนัก นั่นเพราะการตอบสนองของเฟนด์ไม่ใช่สิ่งที่รองเหรัญญิกหมายจะรู้ รองเหรัญญิกขมวดคิ้วและอ้าปากตั้งท่าจะถามเฟนด์ให้มากกว่านี้แต่เฟนด์ไม่เปิดโอกาสให้เขาทำเช่นนั้น กลับตอบคำถามเร่งด่วนที่สุดแทน"ผมได้ศึกษามรรคาแห่งโอสถจากอาจารย์ของผม ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมรู้ก็ตกทอดมาให้ผมโดยอาจารย์ของผม“ทำไมผมถึงมาที่นี่ทั้ง ๆ ที่มีปรมาจารย์คอยสั่งสอนอยู่แล้วน่ะหรือ ก็ง่ายมาก อาจารย์ของผมไม่ว่าไปที่ไหนก็ถูกคนริษยาเพราะเขามีความรู้เรื่องมรรคาแห่งโอสถ เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเขาถูกฆ่าตาย ผมจึงมาที่นี่เพื่อตามหาฆาตกรคนนั้น และแก้แค้นให้อาจารย์ของตัวเอง”ดวงตาของเฟนด์มืดลงด้วยความเจ็บปวดและความเกลียดชังในขณะที่พูด ราวกับว่ามีคนฆ่าล้างตระกูลของเขาไปแล้วจริง ๆเฟนด์ได้พบกับผู้คนหลายประเภทในช่วงที่ผ่านมา เขาประทับใจกับคนที่เก่งด้านการแสดง นับตั้งแต่เขาถูกส่งไปยังรัฐตอนกลาง เฟนด์ก็ใช้ทักษะการแสดงของเขาอย่างหนักเขารู้สึกว่าท้ายที่สุดเขาก็ต้องการมันนั่นเพราะในรัฐตอนกลางแห่งนี้มีอัจฉริยะมากพรสวรรค์ซ่อนตัวอยู่มากมาย และเขาก็ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง
เฟนด์มั่นใจได้ถึงเพียงนั้น จึงไม่แปลกที่เขาจะไม่ต้องการอยู่กับวิมานโอสถอีกต่อไป “ผมรู้ว่าคุณพูดอย่างจริงใจ แต่ผมตั้งเป้าหมายไว้นานแล้ว และผมจะไม่เปลี่ยนใจง่าย ๆ แน่”“ผมต้องไปยังพันธมิตรนักเล่นแร่แปรธาตุแห่งรัฐตอนกลาง ที่นั่นอาจมีอัจฉริยะมากมายที่จะพยายามเบียดบังผม แต่ผมเชื่อว่าความกดดันที่เพิ่มเข้ามาจะทำให้ผมยิ่งมีแรงจูงใจมากขึ้นและสามารถกระตุ้นให้ผมก้าวไปข้างหน้าได้ด้วย”คำพูดที่เด็ดเดี่ยวของเฟนด์ทำให้รองเหรัญญิกผงะ และทำให้ชายคนนั้นงุนงง เขาไม่อยากเห็นเฟนด์จากไป ความสามารถและพรสวรรค์ที่เฟนด์แสดงออกมาเมื่อครู่นี้ทำให้เขาเห็นว่าเฟนด์เป็นอัจฉริยะที่ไม่ควรปล่อยให้หลุดมือไปหากเฟนด์อยู่กับวิมานโอสถ เฟนด์จะต้องนำผลประโยชน์มหาศาลมาให้พวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย จากนั้น ส่วนได้ส่วนเสียของเขาจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก และอาจทำให้เขาได้กลายเป็นผู้อาวุโสในตระกูลก็เป็นได้หลังจากเหลือบมองรองเหรัญญิก เฟนด์เข้าใจทันทีว่าชายผู้นี้จะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หลังจากหายใจเข้าลึก ๆ เฟนด์กล่าวต่อว่า "วิมานโอสถช่วยผมไว้มากมาย และผมจะไม่ลืมสิ่งที่พวกคุณทำเพื่อผมอย่างแน่นอน ถ้าผมสร้างชื่อให้ตัวเองในพันธมิตรนักเล่นแร่แ
กิลเบิร์ตแทบจะร้องลั่นขณะประกาศความสำเร็จของเขา และเห็นได้ชัดว่าเขาตื่นเต้นมากแค่ไหน มากจนเขาไม่รู้จะพูดอะไรเลยด้วยซ้ำแต่ทว่ารองเหรัญญิกกลับทำเพียงขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาค่อนข้างไร้อารมณ์กิลเบิร์ตมองรองเหรัญญิกด้วยสีหน้าแปลก ๆ และสงสัยว่าเหตุใดรองเหรัญญิกจึงจ้องมองเขาอย่างแปลกประหลาด ราวกับว่าผลลัพธ์ที่เขาได้ไม่คุ้มค่าให้รองเหรัญญิกชายตามองด้วยซ้ำสถานการณ์ทั้งหมดทำให้กิลเบิร์ตประหลาดใจ ปรากฏการณ์ที่เขาสร้างนับว่ายอดเยี่ยมมากจริง ๆ และเหตุใดคนอื่นถึงได้ทำสายตาแปลก ๆ เช่นนั้น? เขาเพิ่งได้ศึกษามรรคาแห่งโอสถเมื่อไม่นานมานี้และประสบความสำเร็จได้ค่อนข้างเร็ว ในวิมานโอสถแห่งนี้ทุก ๆ ห้าหรือหกปีถึงจะพบได้สักคน!แล้วทำไมรองเหรัญญิกถึงมองมาที่เขาอย่างไม่ยินดีปรีดา? ริมฝีปากของกิลเบิร์ตกระตุกขณะที่เขามองเดเมี่ยนสหายรู้ใจของตัวเองทันทีกิลเบิร์ตสังเกตเห็นว่าเดเมี่ยนเองก็มองเขาด้วยสายตาประหลาดเช่นกัน เขาเห็นทั้งความเสียใจและความสงสารในสายตาของเดเมี่ยนด้วยซ้ำกิลเบิร์ตมีสีหน้าบูดบึ้งทันที เขามองดูทุกคนรอบตัวเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ขณะที่มือของเขาสั่น “นี่… ทำไมไม่มีใครพูดอะไรเลยล่ะ? ผมผ่านเกณฑ์
ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก มีหลายสิ่งที่เขาไม่อยากใส่ใจที่จะพูด แต่เขาถูกบังคับให้ต้องพูดรองเหรัญญิกชี้ไปยังจุดที่เฟนด์เคยอยู่ก่อนหน้านี้“เฟนด์ทำการควบแน่นอักขระทางยาสามร้อยอักษรเสร็จสิ้นมาระยะหนึ่งแล้ว และคุณภาพของอักขระทางยาที่เขาควบแน่นได้นั้นดีกว่าที่พวกนายสองคนสร้างขึ้นมาก”“อักขระทางยาที่เขาสร้างขึ้นจะผสานเข้ากับโอสถได้อย่างแน่นอนและอีกทั้งมันยังประณีตกว่าห้าในสิบส่วนเสียด้วย”หลังจากที่เขาพูดออกมาเพียงเท่านั้น กิลเบิร์ตและแอนดรูว์ก็กลับมาตั้งสติได้ เฟนด์ทำภารกิจเสร็จสิ้นมาระยะหนึ่งแล้ว และคุณภาพของอักขระทางยาของเขาก็สูงกว่าของพวกเขาเองด้วยหลังจากได้ยินคำอธิบายนั้น แอนดรูว์และกิลเบิร์ตก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้“รองเหรัญญิก คุณคิดว่าผมโง่งั้นเหรอ?” กิลเบิร์ตเยาะเย้ย “เด็กสารเลวนี่จะควบแน่นอักขระทางยาได้จริงหรือ? เขาเพิ่งมาอยู่ในวิมานโอสถได้ไม่เท่าไหร่เองไม่ใช่หรือไง?“เขาไม่เคยเห็นโอสถเพลิงสีชาดมาก่อนด้วยซ้ำ แล้วเขาจะควบแน่นอักขระทางยาได้อย่างไร?! เขาหลอกลวงคุณหรือเปล่า?”รองเหรัญญิกเลิกคิ้วแล้วพูดว่า "ฉันรู้ว่ามันยากสำหรับพวกนายทั้งคู่ที่จะยอมรับสิ่งในสิ่งที่ฉันพูดออกไปได้
กิลเบิร์ตไม่เก็บงำอารมณ์อะไรอีกต่อไปแล้วในขณะนั้น จากนั้นเขาถึงได้ตระหนักว่าเหตุใดทุกคนถึงมองเขาแปลก ๆสายตาที่เขาได้รับและการแสดงออกของเหล่าบัณฑิตดูคล้ายกำลังเห็นใจเขากิลเบิร์ตได้สร้างอักขระทางยาขึ้นมาเป็นจำนวนสามร้อยอักษร และทุกคนได้เห็นสิ่งนั้นอย่างชัดเจน เขาจำได้ดีว่าเขาตื่นเต้นเพียงใดหลังจากที่สามารถพิชิตภารกิจที่รองเหรัญญิกมอบให้สำเร็จ แต่ความตื่นเต้นทั้งหมดนั้นกลับได้รับเพียงความผิดหวังราวกับถูกถังน้ำเย็นสาดใส่เป็นการตอบแทน กิลเบิร์ตตัวสั่นเล็กน้อย “ฉันไม่มีทางเชื่อหรอก! ฉันไม่เห็นอะไรเลยสักอย่าง! ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องจริง ทุกอย่างเป็นของปลอมทั้งนั้น! เฟนด์จะควบแน่นอักขระทางยาได้ถึงสามร้อยอักษรได้ยังไง เขาไม่เคยเห็นมรรคาแห่งโอสถเลยด้วยซ้ำ นี่ต้องเป็นภาพลวงตาทั้งหมดแน่ และทุกคนกำลังโกหกฉัน!” กิลเบิร์ตคำรามมือของเขาโบกไปซ้ายทีขวาที ใช้มือตะปบไปรอบ ๆ ในขณะที่เขาตะโกนออกมา ดูเหมือนเขาจะเชื่อจนสุดหัวใจว่าทุกอย่างคือภาพลวงตา และเขาพยายามที่จะพาตัวเองให้หลุดพ้นจากภาพลวงตาเหล่านี้ไปเขาปฏิเสธที่จะเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริงและไม่เต็มใจที่จะเชื่อเลยแม้แต่น้อย ด้วยทักษะที่
กิลเบิร์ตและแอนดรูว์ไม่มีโอกาสเอาชนะเฟนด์ได้ ซึ่งนั่นทำให้แอนดรูว์กลายเป็นคนที่ต่อต้านอย่างหนักเขาหายใจเข้าลึก ๆ ขณะหันหลังกลับ มองตรงไปที่ดวงตาของเฟนด์ จ้องมองเขาอยู่อย่างนั้นเฟนด์เลิกคิ้วขณะที่เขามองแอนดรูว์และกิลเบิร์ตอย่างเย็นชากิลเบิร์ตชี้ไปที่เขาแล้วพูดกัดฟันว่า "สร้างมันขึ้นมาใหม่! ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่มีทางเชื่อนาย!"เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกของกิลเบิร์ตหนักหน่วงและซับซ้อนเพียงใดในขณะนั้น แต่เฟนด์เพียงแต่หัวเราะขณะที่เขาจ้องมองกิลเบิร์ตอย่างเยือกเย็น“นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร? แค่เพราะนายบอกให้ฉันทำแปลว่าฉันต้องทำงั้นเหรอ?“ทำไมฉันต้องสนด้วยว่านายจะเชื่อหรือเปล่า รองเหรัญญิกเห็นสิ่งที่ฉันทำแล้ว ทำไมฉันต้องสนด้วยว่าพวกนายสองคนจะเห็นหรือไม่เห็น?!”คำพูดเหล่านั้นหล่นทับกิลเบิร์ตราวกับอุกกาบาตที่ลงมาจากท้องฟ้า และการแสดงออกของกิลเบิร์ตก็มืดมนลงทุกนาที เขารู้สึกเหมือนว่าเขาไม่มีวันเอาชนะเฟนด์ได้หากต้องดวลกันด้วยคำพูดแม้แต่กับการตอบสนองของเฟนด์ก็ยังนับว่าถูกต้อง“ฉันไม่สน! ถ้านายไม่พิสูจน์ตัวเองให้ฉันดู ฉันก็ไม่มีทางยอมรับผลการแข่งขันนี้ แล้วคนที่จะถูกเสนอชื่อก็ยังต้องเป็นฉัน
พวกเขายังคงอยู่ในวิมานโอสถ แม้ว่าเฟนด์จะเอือมระอา แต่เขาไม่อาจฆ่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์ได้ ดังนั้นเขาควรออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด มันจะช่วยให้ปัญหาน้อยลงได้มากเมื่อเขาได้สร้างชื่อให้กับตัวเองและบรรลุเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว เขาจะตามหาสองคนนี้อีกครั้ง และพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่าตัวเขานั้นไม่ใช่คนที่ใครจะดูแคลนได้รองเหรัญญิกรีบพยักหน้า ราวกับเขาเข้าใจว่าทำไมเฟนด์ถึงอยากรีบออกไปจากที่นี่นัก “เราจะออกเดินทางภายในสี่ชั่วโมง เราชักช้าไม่ได้อยู่แล้ว”เมื่อได้ยินคำพูดของรองเหรัญญิก เฟนด์ก็ยิ้มอย่างจริงใจ จะเป็นการดีที่สุดถ้าเขาได้จากไปโดยเร็วที่สุดเขาไม่อยากอยู่ต่อแม้อีกสักวินาที เฟนด์อยากจะบอกรองเหรัญญิกว่าเขาสามารถออกไปได้ทันทีโดยไม่ต้องจัดการอะไรเลยด้วยซ้ำทันใดนั้นประตูห้องรังสีแห่งโอสถก็ถูกกระแทกออก และรองเหรัญญิกก็ขมวดคิ้ว "เข้ามา!"บัณฑิตลำดับที่เก้านั่นเองที่เข้ามา เมื่อเฟนด์เห็นหน้าเขาก็เลิกคิ้วขึ้น เขายังคงจำได้ชัดเจนว่าก่อนหน้านี้บัณฑิตลำดับที่เก้ายังยืนอยู่ด้านหลังรองเหรัญญิกตลอดเวลาด้วยซ้ำแต่เมื่อรองเหรัญญิกได้เห็นอักขระทางยาของเฟนด์เขาจึงได้ส่งบัณฑิตลำดับที่เก้าออกไป ก่อนที่
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ