“แม่*งเอ๊ย! เขาอยากตายนักหรือไง?”อเล็กซานเดอร์พุ่งเข้ามา และก่นด่าเมื่อเห็นศิษย์ขั้นที่สองของระดับเทพสูงสุดสังหารผู้พิทักษ์ตระกูลคาเบลโลของเขา เขาออกหมัดที่ส่งศิษย์ขั้นที่สองของระดับเทพสูงสุดจากเผ่ากระหายเลือดกระเด็นไปไกลก่อนที่เขาจะทรงตัวได้“ขั้นที่สามระดับเทพสูงสุด! พ่อของฉันอยู่ในขั้นที่สามระดับเทพสูงสุด!”เมื่อเห็นพ่อของเธอส่งนักสู้มือฉมังในขั้นที่สองระดับเทพสูงสุดบินไปได้ด้วยหมัดเดียว เธอก็รู้สึกตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออก“อย่ากังวลไปเลย ปล่อยให้พวกพ่อจัดการคนอื่น ๆ ไปเถอะ ผมจะจัดการกับคนที่อยู่ในขั้นที่เจ็ดของระดับเทพสูงสุดคนนี้เอง!”เฟนด์ยิ้มอย่างสงบและพลิกฝ่ามือของเขา เขาหยิบดาบล้ำค่าออกมาและจ้องตรงไปที่ลูเชี่ยน"ตาย!"ในเวลาเดียวกัน เคนเนธก็ชกเข้าที่ศิษย์ขั้นที่หนึ่งระดับเทพสูงสุดอีกคนหนึ่งของเผ่ากระหายเลือดทำให้คู่ต่อสู้ของเขากระอักเลือดออกมาทันที"ไม่มีทาง! พวกเขามีคนที่อยู่ในขั้นที่สามของระดับเทพสูงสุดหลายคน! แถมยังมีนักสู้ในขั้นที่หนึ่งระดับเทพสูงสุดอีกสองสามคนอีกด้วย!”เมื่อเห็นแนช เคนเนธ และคนอื่น ๆ ลงมือ ลูเชี่ยนก็แทบจะหัวเสีย เดิมทีเขาคิดว่ามีเพียงเฟนด์เท่านั้น
ดวงตาของลูเชี่ยนเป็นประกายเมื่อได้เห็นอย่างนั้น "ไม่เลว! จากรูปลักษณ์ของมัน ดาบของคุณเป็นอุปกรณ์วิญญาณระดับสูงสุดสินะ? จุ๊ จุ๊ จุ๊...ในไม่ช้าดาบนี้จะตกเป็นของฉัน เมื่อถึงตอนนั้น แกจะช่วยให้ฉันยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอีกมาก!”เมื่อพูดไปแล้ว ลูเชี่ยนก็ถ่ายพลังฉีของเขาไปยังดาบในมือเช่นเดียวกัน ก่อนจะพุ่งออกไปที่เฟนด์“หมาป่าโหยหวน!”ทันทีที่ฟาดดาบ หมาป่ายักษ์ที่ก่อตัวขึ้นจากพลังฉีที่ควบแน่นก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขา หลังจากที่หมาป่ายักษ์ปรากฏตัว มันก็เปล่งออร่าที่ดุดันและชั่วร้ายออกมา มันส่งเสียงร้องโหยหวนจนทำให้สั่นไปถึงกระดูก จากนั้นก็พุ่งตรงเข้าหาเฟนด์ในทันที“ดาบอัคนี!”เมื่อเผชิญกับการโจมตีที่ดุร้ายเฟนด์ก็ไม่กล้าลดการป้องกันลงและใช้ทักษะดาบอัคนีของเขาทันที การโจมตีที่เหมือนลูกไฟของเขาพุ่งออกไปพร้อมกับหางยาวที่ลากตามหลังไปราวกับดาวตก“คนที่อยู่ในขั้นที่สี่ของระดับเทพสูงสุดจะทำการโจมตีที่ทรงพลังเช่นนี้ได้อย่างไร?”ลูเชี่ยนตกใจเมื่อได้เห็นการโจมตีของเฟนด์เพราะแรงสั่นสะเทือนจากการโจมตีของเฟนด์เทียบได้กับแรงสั่นสะเทือนของเขาเองตู้ม!เสียงระเบิดสนั่นออกมา ในชั่วพริบตาเดียว การโจมตีของเฟนด์ก็ส
“นักเล่นแร่แปรธาตุขั้นกลางระดับสาม? ฉันได้ยินผิดไปรึเปล่า นี่…นี่…นี่เป็นเรื่องจริงเหรอ? มันเร็วเกินไปแล้วนะ!”หลังจากได้ยินเช่นนั้น ปากของเฮเลน่าก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ เธอรู้สึกงุนงงกับพรสวรรค์ในการเล่นแร่แปรธาตุของเฟนด์เป็นอย่างมาก“ฮิฮิ แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องจริง ไม่อย่างนั้นระดับพลังยุทธของพวกเขาจะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วได้อย่างไร?!”ดาเนียลล่าหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว “ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งอยู่ที่ไหน? ทักษะการเล่นแร่แปรธาตุของเขาพัฒนาขึ้นหรือยัง? ฉันสงสัยว่าเขาได้ทะลวงเข้าสู้ระดับเทพสูงสุดแล้วหรือยัง?”"ใช่ ฉันก็สงสัยว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง เราไม่ได้เจอเขาเลย!”ดาเนียลล่าถอนหายใจก่อนจะมองไปข้างหน้า เมื่อถึงตอนนั้น การต่อสู้ของเฟนด์กับศัตรูของเขาก็เข้มข้นขึ้น ทั้งสองผลัดกันโจมตีกันไปมาหลายรอบแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเฟนด์จะได้เปรียบกว่า“แ*งเอ๊ย เด็กคนนี้ดูเหมือนจะมีพลังฉีเหลือล้นเลย!”ลูเชี่ยนมองไปข้างหน้าด้วยสีหน้าจริงจังขณะที่เม็ดเหงื่อที่ผุดพรายไหลลงมาจากหน้าผากของเขาก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเขาสามารถฆ่าเฟนด์ได้อย่างง่ายดาย แต่ในขณะที่การต่อสู้ดำเนินต่อไป เขาก็ตร
ทว่าเฟนด์ก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าทำไมทักษะยุทธนี้ถึงยากผิดปกติสำหรับคนอื่น เพราะเขาได้เรียนรู้ทักษะกรงเล็บมังกรแท้จริงในอดีตและทำให้มีความสามารถในการแปลงร่างเป็นมังกรที่แท้จริง มันทำให้เขามีร่างเป็นมังกรบางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไม หมัดมังกรคู่จึงง่ายกับเขาอย่างน่าประหลาดใจ เนื่องจากเขาสามารถเปลี่ยนมือของเขาให้กลายเป็นกรงเล็บมังกรได้เมื่อเห็นความสับสนของเฟนด์ ลูเชี่ยนก็แทบจะกระอักเลือดออกมาเพราะความปั่นป่วน เด็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นสัตว์อสูรชนิดไหนกันนะ? คนคนนี้ที่อยู่ในขั้นที่สี่ระดับเทพสูงสุดจะแข็งแกร่งกว่าเขาได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นเฟนด์ยังสามารถเรียนรู้ทักษพหมัดมังกรคู่ได้ภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน? เขาเข้าใจทักษะนี้ได้อย่างไร?“วายุสลาตัน!”ลูเชี่ยนไม่มีความมั่นใจ แต่เพราะเพื่อนของเขาที่ตายไปแล้ว เขาจึงกัดฟันและฟาดฟันเข้าหาเฟนด์วืด!คลื่นของรัศมีดาบอันน่าสยดสยองพุ่งไปข้างหน้า มันกวาดไปทั่วทั้งป่าราวกับลมพายุ มันมีรัศมีที่น่าสะพรึงกลัวและกวาดออกไปกินพื้นที่บริเวณกว้าง“หมัดมังกรคู่!”เฟนด์ตอบโต้ด้วยการส่งกำปั้นไปข้างหน้า“โฮก!”ด้วยหมัดของเขา กรงเล็บมังกรขนาดมหึมาสอง
เฟนด์สามารถฆ่าผู้ฝึกยุทธในขั้นที่เจ็ดระดับเทพสูงสุดได้ พวกเขาต่างมีความสุขมากในขณะเดียวกัน เฮเลน่าก็เข้าไปหาเฟนและเอ่ยปากอย่างเขินอายว่า “เฟนด์ ขอบคุณนะ ถ้าไม่ได้คุณช่วย ฉันคงตายไปแล้ว ไหนคุณยังจะช่วยชีวิตผู้คนจากตระกูลคาเบลโลของเราอย่างมากมายอีก!”เฟนด์ยิ้มอย่างเฉยเมยและพูดว่า "คุณเกรงใจกันเกินไปแล้ว เราเป็นครอบครัวใหญ่ เราควรร่วมกันต่อต้านศัตรูของเรา”"ถูกต้อง นี่เป็นเวลาที่เราควรรวมใจให้เป็นหนึ่ง!” แฮร์รี่หัวเราะเบา ๆ ขณะที่เขาบินไปเขารู้สึกว่าการตัดสินใจเข้าร่วมเฟนด์และพรรคพวกถือเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยทำมา หากเขาไม่ติดตามคนเหล่านี้และได้พบกับสมาชิกของเผ่านองเลือดเพียงลำพัง เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน“อ้อ ฉันเกือบลืมไปเลย ฉันมีเรื่องจะบอกทุกคน!” เฮเลน่าประกาศกับกลุ่มขณะที่เธอนึกถึงบางอย่างในทันใด"เรื่องอะไรล่ะ?"เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเฮเลน่า อเล็กซานเดอร์และคนอื่น ๆ ก็บินมาหาเธอเช่นกัน“ฉัน...ฉันได้เจอกับผู้คนจากกองทัพทั้งเก้า ฉันไม่แน่ใจว่าพวกคุณเคยได้ยินไหม แต่ฉันเห็นพวกเขามามากกว่าหนึ่งโหลแล้ว!”เฮเลน่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดกับกลุ่มของเฟนด
อเล็กซานเดอร์พยักหน้า ยังมีสมาชิกตระกูลคาเบลโลอีกมากมายที่ยังหาไม่พบ แม้ว่าพวกเขาจะเสียชีวิตกันไปมากมาย แต่ก็น่าจะยังมีคนเหลืออยู่อย่างน้อยหนึ่งหมื่นคน“เยี่ยมไปเลย นายท่าน พวกคุณอยู่ที่นี่กันนี่เอง พระเจ้าช่วย นี่ไม่ใช่ภาพลวงตาจริง ๆ ฮ่าฮ่า!”ทันใดนั้นเอง เควินและผู้อาวุโสจากตระกูลคาเบลโลบินอีกสองสามคนก็ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่คาดคิด พวกเขานำสมาชิกตระกูลคาเบลโลกว่าสามพันคนและสมาชิกตระกูลวู๊ดกว่าสองพันคนมาด้วย“เยี่ยมไปเลย เยี่ยมไปเลย! นายท่านของเราและคนอื่น ๆ ต่างอยู่ที่นี่ และนายน้อยเฟนด์ก็อยู่ที่นี่ด้วย นี่มันยอดเยี่ยมมาก เราได้กลับเข้ากลุ่มใหญ่แล้ว!”เมื่อได้เห็นเฟนด์และคนอื่น ๆ สมาชิกในตระกูลวู๊ดหลายคนดวงตาแดงก่ำ ในช่วงหลายวันมานี้ พวกเขาค้นพบหญ้าวิญญาณและสิ่งของล้ำค่ามากมายในพื้นที่นี้ มีหลายคนที่อยู่ในระดับการบ่มเพาะที่สูงขึ้นซึ่งได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับเทพสูงสุดแล้วแต่ในช่วงเวลานั้นของพวกเขาก็เต็มไปด้วยอันตรายเช่นกัน พวกเขาสำรวจพื้นที่อย่างระมัดระวัง และระหว่างทางก็ได้พบกับศพของสมาชิกในตระกูลโดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิกจากตระกูลสาขาของตระกูลวู๊ด พวกเขาพยายามค้นหาเฟนด์ แนชแ
"อะไรนะ! มีคนเข้ามาหลายหมื่นคน?”เนื่องจากป้อมปราการวิตต์มอร์อยู่ใกล้กับผืนป่ามากที่สุด ทุกคนจึงมุ่งหน้าไปที่นั่นก่อน เมื่อปู่ของอาเธอร์รู้เรื่องดังกล่าว เขาก็ผุดตัวขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความตกใจ จนตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า"ใช่ครับปู่ ให้เราปรึกษากับหัวหน้าป้อมปราการก่อนว่าเราควรทำอย่างไร อ่า เรื่องที่คนพวกนั้นเข้ามาที่นี่นั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญหรอก ที่สำคัญกว่านั้นก็คือมีสมาชิกจากเผ่ากระหายเลือดหลายคนได้เข้าไปค้นหาสมบัติตามภารกิจของเผ่าอยู่หลายคน ตอนนี้พวกนั้นได้พบกับคนจากโลกข้างนอกเหล่านั้นแล้ว คุณหนูเฮเลน่าและคนอื่น ๆ คงตายไปแล้ว!”เมื่อพูดถึงเฮเลน่า อาเธอร์ก็รู้สึกสงสารเธอจับขั้วหัวใจ เขาเกลียดตัวเองที่อ่อนแอเกินไป ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่เลือกที่จะละทิ้งเธอที่อยู่ในสถานการณ์คาบลูกคาบดอกเช่นนั้นผู้อาวุโสอ่านใจอาเธอร์ออกได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนกลอกตาอย่างไม่แยแส “เจ้าหลานงี่เง่า คุณหนูเฮเลน่าอะไรของแก อย่าลืมว่าแกเป็นหลานชายของผู้อาวุโสแห่งป้อมปราการวิตต์มอร์เชียวนะ แกจะติดใจผู้หญิงจากโลกข้างนอกนั่นไม่ได้ เข้าใจไหม? คนพวกนั้นจะเทียบกับเราได้อย่างไร?”ตอนที่ผู้อาวุโสพูด เขาก็เหลือ
“คุณปู่ นี่มันเกี่ยวกับความเป็นความตายของมนุษย์เลยนะ! ยิ่งเราช้าคนจะยิ่งตายเยอะขึ้น! ถ้าเรายังชักช้าร่ำไร กว่าเราจะลงมือ ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะต้องตายอีกสักกี่คน!”อาเธอร์ตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิมหลังจากที่ได้ยินสิ่งนี้ แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรถึงกระนั้น คูเปอร์ก็พูดต่อว่า “ต่อให้มีคนตายแล้วจะยังไงล่ะ? ฉันไม่อาจทำอะไรข้ามขั้นได้ ฉันต้องแจ้งเรื่องนี้ให้หัวหน้าป้อมปราการรู้ก่อนและจัดการกับเรื่องนี้ตามขั้นตอนที่เหมาะสม เข้าใจไหม? ถ้าเราไปแจ้งหัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งโดยตรงโดยไม่แจ้งหัวหน้าป้อมปราการของเราก่อน ถ้าหัวหน้าป้อมปราการขุ่นเคืองใจจะทำยังไง? อีกอย่างพวกเขาเข้ากันไม่ใช่น้อย ๆ พวกเขาคงไม่ถูกกำจัดในเร็ว ๆ นี้หรอก! อีกทั้งผืนป่าก็กว้างใหญ่มาก พวกเขาต่างกระจัดกระจายไปทั่ว การจะพบพวกเขาก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย สมาชิกจากเผ่ากระหายเลือดที่เข้าไปในป่านั้นก็มีไม่มากนัก พวกเขาจะฆ่าพวกนั้นได้สักกี่คน!”อาเธอร์และเฮนดริกพูดไม่ออก พวกเขาไม่คิดว่าคูเปอร์จะพูดแบบนี้ แต่อย่างไรตอนนี้พวกเขาก็ไม่มีทางทำอะไรได้อีก พวกเขาไม่มีพละกำลังมากพอ และไม่มีอำนาจในเรื่องที่ใหญ่เช่นนี้ พวกเขาทำได้เพียงรายง
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ