โจเอลตกตะลึงชั่วครู่ ก่อนหันไปหาแฮร์รี่ขณะที่เขาพูดอย่างยิ้มแย้ม “เจ้าตำหนักแฮร์รี่ ขอผมดูมันใกล้ ๆ ได้ไหม? นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นสิ่งนี้!”ทว่าแฮร์รี่กลับยิ้มอย่างเย็นชา “ที่ผมมาที่นี่และถ่ายทอดข้อมูลบางอย่างก็มากพอแล้ว แต่คุณยังอยากให้ผมเอาให้คุณดูอีกหรือ ฮ่าฮ่า… ผมเสียสละคนของผมไปมากมายเพื่อให้ได้สิ่งนี้มา หลังจากตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ถ้าคุณไม่ส่งคืนให้แล้วผมจะทำอย่างไร? ตอนนี้ผู้อาวุโสของชนเผ่าเราตายไปมากแล้ว คุณต้องให้ผมสู้กับคุณไหม? ถ้าคุณไม่คืนมัน”“เอ่อ… คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เผ่าของเราโชคร้ายเพราะเราพบกับสัตว์อสูรที่น่าสะพรึงกลัว ทำให้นักสู้ในขั้นสูงสุดของระดับเทพที่แท้จริงเสียชีวิตไปหกคน” แฮร์รี่ทำให้โจเอลดูลนลาน เขาไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนเรื่องนี้ไว้เพราะชนเผ่าอื่นก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน“คนของคุณเสียชีวิตไปหกคนเหรอ?” แฮร์รี่มองดูผู้คนจากด้านข้างของตำหนักนภาอย่างระมัดระวัง และดูเหมือนว่าผู้อาวุโสที่มีอำนาจหลายคนจะหายไปอย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธคำขออย่างยิ้มแย้ม “นั่นไม่ได้ผลกับเราหรอก เราได้สิ่งนี้มาด้วยความยากลำบากแสนสาหัส และแม้ว่าจะศึกษามันตลอดทั้งคืนเมื
ผู้อาวุโสลำดับแรกของวิหารแห่งทวยเทพและราชาออกมาในขณะนั้นและกล่าวว่า “ผมแน่ใจว่าทุกคนที่นี่คงไม่เชื่อเรา ดังนั้นพวกคุณทุกคนจะลองดูด้วยตัวเองก็ย่อมได้ เราใจดีพอที่จะแจ้งให้คุณทราบ แต่หากคุณไม่เชื่อ และต้องการให้มีคนตายมากกว่านี้ เราก็จะไม่ห้ามคุณ”“ผมเชื่อในตัวคุณ ท่านผู้อาวุโส!” เฟนด์ทำความเคารพเขาอีกครั้งและยังคงโค้งคำนับเล็กน้อยก่อนถามว่า "ผมหวังว่าเจ้าวิหารแฮร์รี่ และท่านผู้ทรงเกียรติจะบอกเราได้ว่าจุดอันตรายทั้งสามแห่งที่คุณไปคือที่ใดบ้าง?"“ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนที่มีมารยาทดีจริง ๆ” ผู้อาวุโสลำดับแรกของวิหารแห่งทวยเทพและราชาพยักหน้า “เราไปยังจุดอันตรายสามแห่งซึ่งอยู่ใกล้วิหารแห่งทวยเทพและราชาที่สุด อีกสี่แห่งที่เรายังไม่เคยไป ได้แก่ ผืนป่ารัตติกาล เขาทมิฬเศียรมังกร เขาเหมันต์กระจ่าง และเกาะวายุมืด จัดการเอาเองได้เลย”“เอาล่ะ เราพูดทุกอย่างที่จำเป็นต้องพูดแล้ว ผมหวังว่าทุกคนจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเราหลังจากได้รับลูกบอลแปลก ๆ เช่นนี้ แล้วเกิดสังเกตเห็นอะไรเข้า เราจะลากันเดี๋ยวนี้” เจ้าวิหารแฮร์รี่แห่งวิหารแห่งทวยเทพและราชาเก็บลูกบอลหินในมือไว้ก่อนจะจากไปพร้อมกับผู้ติดตามหลังจากที่ผู้ค
ในขณะนั้นเอง หญิงชราอีกคนจากตำหนักอินทรีทะยานเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยัน “ตระกูลลึกลับของพวกคุณไม่มีคุณสมบัติพอที่จะต่อรองกับเรา ขอเพียงแค่เห็นด้วย พวกคุณก็ยังพอมีโอกาส แม้จะค่อนข้างเล็กน้อยก็ตาม เพราะเรามอบโอกาสให้พวกคุณทุกคน ปล่อยวางเสียเถอะ ตระกูลไหนในหมู่พวกคุณที่กล้าจะแข่งกับเราในเรื่องจำนวนของผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเทพที่แท้จริงได้?”เฟนด์ยิ้มอย่างเย็นชาหลังจากได้ยินสิ่งนี้ เขาเดินไปข้างหน้าและพูดกับหญิงชราว่า “ผู้อาวุโสที่เคารพ สิ่งที่คุณพูดฟังดูไม่ถูกต้องเลย หากเราเปรียบเทียบเป็นรายบุคคล จำนวนปรมาจารย์ของเราที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงย่อมไม่สามารถเทียบได้กับเผ่าโบราณของพวกคุณ แต่ถ้าเราเปรียบเทียบจำนวนทั้งหมดล่ะ? มีตระกูลมากมายอยู่ที่นี่ และตระกูลชั้นสองบางตระกูลของเราก็มีผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงด้วย ถ้าเรารวมทั้งหมดเข้าด้วยกันคุณว่าจะเป็นอย่างไร? เรายังน้อยไปอีกหรือ?”เฟนด์หยุดชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “นอกเหนือจากนั้น การที่คุณจะให้จุดอันตรายเพียงแห่งเดียวแก่เราในขณะที่เรามีหลายตระกูลนั้นมันไม่เหมาะสมมิใช่หรือ? หากคุณยืนกรานตาม
หมัดของเฟนด์ทำให้ผู้อาวุโสลำดับที่สามกระเด็นถอยหลังไปไกลเธอกระเด็นไปไกลประมาณ 100 เมตรก่อนที่เธอจะตั้งหลักได้อีกครั้ง"โอ๊ย!" ผู้อาวุโสลำดับที่สามจับแขนขวาของเธอด้วยแขนข้างซ้าย แขนขวาของเธอหักเนื่องจากแรงกระแทกทำให้กระดูกแตกออกเป็นชิ้นเล้กชิ้นน้อย“เป็นไปได้อย่างไร? ผู้อาวุโสลำดับที่สามบาดเจ็บ!”“ดูเหมือนว่าแขนของคุณจะหักใช่ไหม? จุ๊ จุ๊ จุ๊! แม้ว่าคุณจะกินยาเพื่อรักษาบาดแผล แต่กว่าคุณจะรักษาหายก็คงใช้เวลาราวแปดถึงสิบวันนั่นแหละ!”“โอ้… พลังการต่อสู้ของชายหนุ่มผู้นั้นมันยังไงกัน? ผู้อาวุโสลำดับที่สามเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีพลังการต่อสู้สูงในชนเผ่าโบราณของเรา แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับเอาชนะเธอได้อย่างง่ายดาย? พลังการต่อสู้ของเธอเป็นหนึ่งในผู้ฝึกยุทธสูงสุดในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริง!”เหล่าผู้ติดตามจากตำหนักอินทรีทะยานตกตะลึงจนตาแทบถลนออกมาจากเบ้า สิ่งที่เกิดขึ้นได้เปลี่ยนการรับรู้ของพวกเขาโดยสิ้นเชิงในความเห็นของพวกเขา เป็นไปไม่ได้ที่เหล่าอัจฉริยะรุ่นใหม่จะสู้กับปรมาจารย์มือฉมังได้ ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด ทว่าไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงเท่านั้น แต่พวก
เจ้าตำหนักอินทรีทะยานพยายามทรงตัวด้วยความยากลำบากอย่างมากก่อนที่จะโบกมือที่มึนงงเล็กน้อยอย่างแรง ท่าทางเขาดูมืดมน แข็งกระด้างแม้จะใช้พลังฉีตรงไปที่นั่น แต่เขากลับถูกผลักให้ลอยไปในอากาศ นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าพลังฉีของเฟนด์มีมากเพียงใด และพลังงานของเขาก็น่ากลัวมากเช่นกันในที่สุด กริฟฟินก็ยอมสงบลงชั่วคราว เขายิ้มให้เฟนด์อย่างไม่แยแสและพูดว่า “งั้นบอกเราหน่อยว่าวิธีไหนจะเหมาะสมกว่ากัน พ่อหนุ่ม ที่นี่มีกองกำลังจำนวนมาก การจะจัดแจงแบ่งสัดส่วนนั้นไม่ง่ายเลย เราเสนอแผนก่อนหน้าโดยคำนึงถึงตระกูลลึกลับของพวกคุณ ดังนั้นเมื่อเข้าสู่จุดอันตรายแล้วหากคุณสูญเสียคนไปมาก ก็อย่าหาว่าฉันไม่ได้เตือน เป็นพวกคุณเองที่ไม่เห็นถึงความหวังดีของเรา”สมาชิกหลายคนจากตระกูลลึกลับรู้สึกงงงวยที่ได้รู้ว่าเฟนด์แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ และมันก็ค่อนข้างน่ากลัวด้วย เจ้าตำหนักนภาและเจ้าตำหนักอินทรีทะยาน ทำได้เพียงแค่ยอมล่าถอยให้เท่านั้น เนื่องจากพวกเขาไม่ได้อะไรจากการต่อสู้ทุกคนหันไปหาเฟนด์โดยรู้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะแบ่งฝ่ายและจัดการเรื่องนี้ อีกทั้งมีกองกำลังมากเกินไปและเป็นการยากที่จะจัดการให้เท่าเทียมกันเฟนด์คิดเ
อีกสองคนก็พยักหน้าเช่นกันเฟนด์ และคนอื่น ๆ ทำได้เพียงแค่พยักหน้าหลังจากที่พวกเขามองหน้ากัน “เอาล่ะ เราจะไปที่เขาเหมันต์กระจ่างและเกาะวายุมืด”“แยกย้ายกันเถอะ” ผู้คนจากสามเผ่าโบราณออกจากพื้นที่ขณะที่พวกเขาโบกมือหลังจากที่พวกเขาจากไป เควนตินก็พูดด้วยความโกรธว่า “พวกจิ้งจอกพวกนั้นคิดจะเอาเปรียบเราทุกทาง!”"ใช่ ในบรรดาจุดอันตรายทั้งสี่นั้น ผืนป่ารัตติกาลและเขาทมิฬเศียรมังกร ไม่อันตรายเท่าเขาเหมันต์กระจ่างและเกาะวายุมืด คนหน้าด้านพวกนั้นทิ้งจุดอันตรายสองแห่งไว้ให้เรา!” ผู้อาวุโสอีกคนจากตระกูลฮันต์ดูไม่สบอารมณ์“ทำใจเสียเถอะ ถ้าไม่ใช่เพราะพลังการต่อสู้อันแข็งแกร่งของน้องชายเฟนด์ที่ต่อสู้เพื่อให้ได้จุดอันตรายสองแห่ง เราคงได้รับเพียงแห่งเดียว!” นายท่านซีเมเนสเอ่ยขัดด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ต่อไปเราจะแบ่งกันอย่างไรดี?”“เช่นนี้ดีไหม? ทุกคนได้เห็นพลังการต่อสู้ของอัจฉริยะในตระกูลวู๊ดแล้วในตอนนี้ และตระกูลวู๊ดกำลังพัฒนาในอัตราที่น่าประทับใจอีกด้วย ดังนั้นผมจึงคิดว่าจะเป็นการดีที่สุดหากตระกูลวู๊ดไปที่เกาะวายุมืด หากตระกูลไหนอยากไปที่นั่นก็ไปได้เลย” เควนตินแนะนำอย่างยิ้ม ๆ หลังจากครุ่นคิดเกี่ยว
“ไร้สาระ เราจะไม่ไปได้เหรอ? ดูเหมือนว่าวิญญาณของลูกจะตามติดเขาแจ! อย่าคิดว่าพ่อไม่รู้เรื่องนี้ว่าลูกตกหลุมรักเฟนด์หัวปักหัวปำ ในขณะที่พี่สาวของลูกแกล้งคบกับเขา!” อเล็กซานเดอร์บ่นในขณะที่เขาจ้องมองที่ดาเนียลล่าก่อนที่จะบินไปหาเฟนด์และพรรคพวกของเขา“เป็นไปได้ยังไง? ตระกูลคาเบลโลไม่เจ็บแค้นต่อตระกูลวู๊ดแล้วเหรอ? พวกเขากลายเป็นมิตรต่อกันเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?” คนตระกูลลึกลับบางคนพึมพำและซุบซิบกันเองเมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้“ฮ่าฮ่า… ความแค้นเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ผ่านไปหลายปีเช่นนี้แล้วจะยังถือโทษโกรธอะไรกันอีก? นอกเหนือจากนั้น คุณหนูลำดับที่หนึ่งของตระกูลคาเบลโลก็กำลังมีความสัมพันธ์กับเฟนด์พวกเขากำลังคบหาดูใจกันซึ่งหมายความว่าอาจมีการลั่นระฆังวิวาห์ในอนาคต ดูเหมือนว่าทั้งสองตระกูลจะจับมือคืนดีกันแล้ว!”หัวหน้าตระกูลอีกคนยิ้มและพูดว่า “ผู้ที่มาจากตระกูลวู๊ดและตระกูลคาเบลโลจะเป็นคนใจดีก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาอ่อนแอในการต่อสู้ หากเราติดตามตระกูลฮันท์ไป เราคงไม่ได้อะไร ดังนั้นเรามาติดตามตระกูลวู๊ดกันเถอะ!”หัวหน้าตระกูลไปยืนที่ด้านข้างของเฟนด์พร้อมกับคนของเขาแลงคาสเตอร์ออกติ
“นี่ไม่ได้หมายความว่าเฟนด์แข็งแกร่งกว่าพวกเขาเสียหน่อย อีกอย่างพวกเขาก็แค่แลกหมัดกันธรรมดา ๆ เท่านั้น ไม่ได้ใช้ทักษะการต่อสู้หรืออะไรทำนองนั้นเลย ถ้าพวกเขาทุ่มสุดตัวกันจริง ๆ ผมไม่คิดว่าเฟนด์จะชนะหรอก!” เทรนตันยังคงไม่มั่นใจ เขาต้องการพึ่งพาตำหนักนภาเพื่อกวาดล้างตระกูลวู๊ด และมันก็เป็นเรื่องน่ายินดีเมื่อโจเอลโจมตีเฟนด์ แต่เขาไม่คิดเลยว่าเฟนด์จะส่งโจเอลลอยไปในอากาศเช่นนั้นเพราะสมาชิกในตระกูลลึกลับจำนวนมากกำลังมองดูพวกเขาอยู่โจเอลจึงรู้สึกอายที่จะลงมือ อย่างน้อยเรื่องนั้นก็พอฟังขึ้นแต่ตระกูลฮันต์ก้ไม่ได้อ่อนแอ และหากฮันต์ต่อสู้กับตระกูลวู๊ดก็คงจะดีกว่านี้“ใช่ แต่ผมไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ชายหนุ่มจากตระกูลวู๊ดมีพลังเกินกว่าที่เราจะคาดคิด แต่เราก็อาจสามารถฆ่าเขาได้หากมีคนสี่หรือห้าคนเข้าโจมตีเขาพร้อมกัน” เควนตินอธิบายหลังจากที่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้“เป็นไปได้อย่างไร? แม้ว่าหมอนั่นจะมีระดับพลังยุทธอยู่ในสูงสุดของระดับเทพแท้จริง แต่เขาก็เพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับนั้นได้ไม่นาน ปรมาจารย์อย่างคุณเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะต่อกรกับพวกเขาหลายคน ถ้าเสริมคนของเราเข้าไปสักหนึ