บทที่ 2
“แต่พวกพี่เป็นหนักกว่านี้เพราะเมียหนี เมียเชิดใส่ น่ะสิ เลยไม่เข้าใจว่าการที่เมียเต็มใจจะแต่งงานงานด้วยเป็นแบบไหน อย่างว่าล่ะนะ เสน่ห์ของคนเรามันต่างกัน ผมน่ะแต่งงานกันด้วยความรักที่เปิดเผยจริงใจไม่ขี้เก๊ก ไม่เหมือนพี่ๆ หรอก ท่ามากเรื่องเยอะจนเมียพากันหอบลูกหนีเดือนร้อนงอนง้อกันอุตลุด”
“ไอ้โดม พูดแบบนี้หาเรื่องนี่หว่า ไอ้นี่มันปีนเกลียวพี่ แบบนี้ต้องโดนนน...” ว่าแล้วสามพี่น้องแห่งดีแลนด์ที่ความหล่อเหลาแข็งแกร่งไม่เป็นรองกันก็พากันวิ่งไล่จับเหมือนเด็กชายวัยเก้าขวบสิบขวบมากกว่าชายหนุ่มที่อายุอานามก็ต่างเลยเลขสามกันมาแล้วหลายปีทั้งนั้น...
“ดูเอาเถอะ เล่นกันเป็นเด็กๆ” ยอดรัก ภรรยาของอัคราซึ่งกำลังตั้งครรภ์ลูกคนแรกได้แปดเดือนแล้วกล่าวยิ้มๆ กับบารนีภรรยาของอัคนีซึ่งจูงลูกน้อยคนที่สอง น้องนาเดีย หรือ หนูเดีย วัยสามขวบออกมาเยี่ยมหน้ามองบรรดาสามีที่รัก
“ปล่อยเขาไปเถอะค่ะ พวกไม่รู้จักโต” สองสาวหัวเราะให้กัน หนูน้อยนาเดียนึกสนุกที่เห็นคุณพ่อ คุณลุงและคุณอาเล่นสนุกกันอยู่บนสนามหญ้าก็สะบัดมือเล็กๆ ออกจากอุ้งมือคุณแม่คนสวยแล้ววิ่งตื๋อไปร่วมวงด้วย นี่ถ้าหาก พี่บูม พี่ชายของเธออยู่ก็คงจะสนุกไม่น้อย หนูน้อยคิดพลางหัวเราะวิ่งตึงๆ เข้าไปหาคุณพ่อเดียวของตน...
“คุงพ่อเดียวขา หนูเดียเล่นด้วย...” แล้วในสนามหญ้าก็มีเด็กสี่คนวิ่งเล่นกันวุ่นวายทั้งบ้านหลังใหญ่ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ...
ทางด้านชลิตาเมื่อรับชุดเจ้าสาวและแยกกับบารนีซึ่งกลับไปถึงบ้านนานแล้วเธอก็แวะทำธุระส่วนตัวของตนที่ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้านด้วยความสุข หญิงสาวรับสายคนรักเมื่อเห็นว่าอัครวัฒน์โทร. มา
“ค่า.. ว่าที่สามีสุดหล่อ มีอะไรคะ”
“หนูเล็กอยู่ไหนแล้วทำไมยังไม่ถึงบ้านครับ นี่น้องบีก็มาถึงบ้านตั้งนานแล้วนะ ทำไมที่รักยังไม่เข้าบ้านครับ”
“หนูเล็กทำสปาอยู่ค่ะ อีกครึ่งชั่วโมงค่ะ แหม ใกล้ๆ บ้านแค่นี้เอง ขอหนูเล็กทำสวยก่อนสิคะ”
“แต่มันจะสี่ทุ่มแล้วนะครับหนูเล็กห้างจะปิดแล้ว รู้ไหมพี่เป็นห่วง เอาเป็นว่าพี่จะไปหาที่ร้าน โอเคไหม...” ชายหนุ่มถามอย่างรู้สึกกังวลชนิดที่ว่าไม่เคยเป็นมาก่อน...
“ไม่ต้องๆ ค่ะ หนูเล็กเสร็จแล้ว อีกนิดเดียว พี่โดมน่ะทำอย่างกับหนูเล็กเป็นเด็กๆ หนูเล็กรู้ค่ะว่าเป็นห่วง เดี๋ยวจะรีบกลับนะคะ ถึงบ้านแล้วหนูเล็กจะโทร. หานะคะที่รัก...” หญิงสาวรีบบอกเขายิ้มๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเธอเองก็กำลังจะเดินไปที่รถยนต์ของตนแต่อยากจะแกล้งให้เขาเป็นห่วงเล่นๆ เท่านั้น
“นี่แกล้งพี่ใช่ไหมครับ”
“เปล่าเสียหน่อยค่ะ หนูเล็กน่ะมาถึงรถแล้ว แค่นี้นะคะ หนูเล็กกำลังจะขับรถค่ะ...” หญิงสาวบอกคนรักพลางวางสายแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถยนต์ แต่วินาทีที่เธอกำลังจะปิดประตูรถยนต์นั้นเองก็มีมือปริศนานำผ้าสีขาวที่มีกลิ่นฉุนโป๊ะมาที่จมูกของเธออย่างรวดเร็ว ไม่ช้าทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายของเธอก็เริ่มดำมืดลงทีละน้อยๆ
... นี่เธอกำลังโดนลักพาตัวใช่ไหม... หญิงสาวถามตัวเองในขณะที่สติที่มีอยู่น้อยนิดกำลังจะดับหายไป พี่โดมขา ช่วยหนูเล็กด้วย...
อัครวัฒน์ผุดลุกผุดนั่งกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงกว้างเมื่อมองดูเวลาแล้วชลิตาก็ไม่โทร. กลับมาเสียที ซึ่งปกติแล้วพวกเขาจะต้องโทรศัพท์คุยกันก่อนนอนและชลิตาก็บอกเขาว่ากำลังจะกลับบ้าน ซึ่งหากว่าเธอทำธุระที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ บ้านของเธอนั้นจะใช้เวลาเพียงสิบนาทีเท่านั้นชลิตาก็จะถึงบ้านแล้ว แต่นี่ผ่านไปเป็นชั่วโมงแล้วเธอก็ยังไม่โทร. กลับมา อีกทั้งเมื่อเขาโทร. ไปโทรศัพท์ของชลิตาก็เป็นบริการฝากหมายเลขโทร. กลับเมื่อโทรศัพท์ไปสอบถามคุณลุงคุณป้าของเธอก็พบว่าชลิตาก็ยังมาไม่ถึงบ้านยิ่งทำให้เขากังวล...
“แดนนี่ ดาเนียล เข้ามาหาฉันที่ห้องด่วน...” ชายหนุ่มโทรศัพท์เรียกบอดีการ์ดคนสนิททั้งสองของตนมาพบทันทีเมื่อเรื่องราวส่อเค้าว่าไม่ดี
“ครับคุณโดม...” ไม่ถึงสามนาที ทั้งแดนนี่และดาเนียล สองบอดีการ์ดหนุ่มหน้าตายก็มาอยู่ตรงหน้าเขา
“แดนนี่นายไปตามดูสิว่าคุณหนูเล็กอยู่ที่ห้างรึเปล่า ส่วนดาเนียลไปสืบหาว่าตอนนี้คุณหนูเล็กไปที่ไหนกับใครต่อ ทำไมถึงยังไม่ถึงบ้านและฉันต้องรู้ทุกอย่างภายในสามสิบนาทีนี้... และคำตอบต้องเป็นคำตอบน่าฟังด้วย...” สิ้นคำสั่งทั้งสองหนุ่มก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
อัครวัฒน์ขบกรามแน่นเมื่อความรู้สึกของเขามันแปร่งปร่าไปจนอึดอัด เขาไม่ได้ระแวงว่าชลิตาจะแอบไปพบใครนอกจากเขา แต่เขาเป็นห่วงเธอเสียมากกว่า... มีบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกว่ามันอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีกับชลิตา ใบหน้าที่มักมีรอยยิ้มพรายอย่างเริงรื่นอยู่เสมอนั้นเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีพลางหยิบโทรศัพท์เพื่อโทร. สอบถามบารนีผู้เป็นพี่สะใภ้ของตนอีกครั้งและเพื่อนคนอื่นๆ ของชลิตาเพื่อสอบถามว่าเธออยู่กับเพื่อนคนไหนหรือไม่อย่างไร...
บทที่ 3 เปลือกตาบางค่อยๆ ขยับยุกยิกเมื่อฤทธิ์ยาที่เธอได้รับเริ่มหมดไปก่อนที่มันจะเบิกกว้างอย่างตกใจ หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่งทันทีด้วยความตื่นตระหนก แล้วก้มลงสำรวจตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อเธอยังไม่ได้รับอันตรายหรือถูกล่วงเกินใดๆ แต่ เธอก็ไม่ได้รู้สึกปลอดภัยสักนิด เมื่อรู้สึกถึงสายตาของใครสักคนมองมาที่ตน ขนอ่อนในกายของเธอลุกชันเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เธอรู้สึกว่าเขากำลังจ้องมองเธอด้วยแววตาหื่นกระหาย...“คุ คุณ เนวิน...” ชื่อที่หลุดออกมาจากริมฝีปากแห้งผากนั้นเบาราวกระซิบ...“ขอบคุณครับ แหม.. ดีใจจังที่คุณหนูเล็กอุตส่าห์จำกันได้...”เนวิน...ชายหนุ่มผู้มีรูปกายสูงโปร่ง ผิวขาวสะอาดใบหน้าหล่อเหลาแบบที่สาวๆ กำลังชื่นชมนิยมกันว่า หล่อแบบหนุ่มเกาหลีนั้นเขาเป็นหนึ่งในนักธุรกิจรุ่นเดียวกับอัครวัฒน์และมีชื่อเสียงพอสมควรทั้งในด้านดีและลบแต่จะออกไปด้านลบเสียมากกว่า และเธอก็รู้มาบ้างว่าเขากับอัครวัฒน์นั้นไม่ค่อยกินเส้นกันแต่เธอไม่นึกว่าเนวินจะต้องทำลายหรือเอาชนะกันด้วยวิธีการแบบนี้...ชลิตาหน้าซีดกวาดตามองหาทางหนีทีไล่เมื่อรับรู้ถึงกระแสความไม่ปลอดภัย แต่ก็จนปัญญาเมื่อเธอไม่รู้เลยว่าตนเองอ
บทที่ 4“โอเค เราจะขับรถไปตามถนนทุกสายในกรุงเทพฯ และรอบนอก เอาเป็นว่าเราแยกกันไปก็แล้วกัน...” อัคนีกล่าวซึ่งทั้งสองหนุ่มก็พยักหน้าเห็นด้วยในใจของอัครวัฒน์ก็นึกถึงแต่อดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ชื่อเนวิน ซึ่งคอยขัดแข้งขัดขาและหาเรื่องทำร้ายเขามาตลอดหลายปีที่ผ่านมาเรื่องของปมแค้นใจของเนวินมันเกิดจากความเข้าใจผิดล้วนๆ ซึ่งเขาเองก็จนปัญญาจะทำให้คนโง่เขลาอย่างเนวินเข้าใจ และเขามั่นใจว่าการหายตัวไปของชลิตามันเกิดจากการแก้แค้นของเนวินแน่ๆ แต่การที่เนวินเอาตัวชลิตาไปหรือทำร้ายผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างนี้ มันช่างไร้เหตุผลสิ้นดี...แต่ก่อนที่ทั้งสามหนุ่มจะเดินไปยังรถของตนเองเสียงโทรศัพท์ของอัครวัฒน์ก็ดังขึ้นและเบอร์ที่โชว์อยู่หน้าจอทำให้เขาตัวเย็นเฉียบไม่รู้ด้วยความยินดีหรือเพราะอะไร... แต่เขารู้สึกไม่ดีเลย อัครวัฒน์รีบรับสายทันที...“หนูเล็ก หนูเล็กอยู่ไหนครับ พี่โดมเป็นห่วงหนูเล็กมากนะ...”“ตอนนี้คุณหนูเล็กอยู่ที่ถนน... หากคุณรักเธอรีบมารับตัวเธอด่วน เธอเสียเลือดมาก... ผมขอโทษ...”เสียงผู้ชายที่พูดมาตามสายนั้นฟังดูร้อนรนทว่าแฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อย แต่สิ่งที่กระตุกหัวใจของเขาคือเขารู้ได้ทันทีว่าเธ
บทที่5 สาวน้อยวัยยี่สิบที่กำลังจะเข้าสู่ปีที่ยี่สิบเอ็ดอีกไม่กี่วันนี้เดินยิ้มมาหาผู้เป็นบิดาซึ่งกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้านหลังงามริมหาดทรายสวย ใบหน้าเรียวสะอาดไร้เครื่องสำอางนั้นเกลี้ยงเกลาละมุนละไมมากกว่าจะสวยผุดผาดจนคนมองต้องเหลียวหลัง หากแต่เมื่อมองพิจารณาอย่างแท้จริงแล้วคนมองจะพบว่าสาวน้อยนามว่า มนตรา นั้นงดงามเพียงใด...ใบหน้าเรียวได้รูปประดับด้วยคิ้วโก่งเรียวโดยไม่ต้องพึ่งพาดินสอหรือสิ่งเติมแต่ง ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายสดใส จมูกเรียวเล็กแม้ไม่โด่งเป็นสันแต่ก็งดงามได้รูปรับกับริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อด้วยวัยสาวยามยิ้มแย้มอวดไรฟันขาวสะอาดแล้ว รอยยิ้มของเธอยิ่งงดงามละลายใจคนมอง เพราะมันยิ้มทั้งปากและดวงตาจนคนมองแทบหลอมละลายเลยทีเดียว...“ไม่ไปทำงานหรือเย็นนี้” นายมิ่ง เอ่ยทักบุตรสาวคนเล็กเมื่อเห็นว่าเย็นแล้วแต่มนตราก็ยังไมได้ออกไปทำงาน “มนเพิ่งโดนไล่ออกค่ะพ่อ...”“เรื่องเดิมๆ อีกล่ะสิ พ่อว่าเราเปลี่ยนงานไปทำอย่างอื่นก็ได้นะลูก อีกแค่เทอมเดียวมนก็จะเรียนจบแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำงานหนักส่งเสียตัวเองเรียนหรอกน่า แค่นี้พ่อมีแรงมีเงินส่ง...”“แต่มนไม่อยากอยู่เฉยๆ นี่คะ อีกอ
บทที่ 6 อัครวัฒน์เดินเข้าห้องน้ำแล้วล้างหน้าด้วยน้ำเย็นๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อลบล้างภาพของคู่หมั้นที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดแดงฉาน สุดท้ายเขาก็ต้องหยุดเพราะมันไม่ได้ช่วยอะไร แต่สิ่งที่ชัดเจนอยู่ในสายตาของเขาขณะนี้อีกภาพคือภาพใบหน้าของชายหนุ่มที่ขอบตาลึกโหลหนวดเคราเฟิ้มรุงรังเรือนดกดำยาวยุ่งเหยิง... ไร้คราบคุณโดมผู้งามสง่าแสนสำอางเช่นหนุ่มเจ้าสำราญที่หญิงสาวครึ่งค่อนโลกใฝ่ฝันถึงเหมือนในวันวาน ดวงตาสีน้ำเงินเข้มนั้นหม่นมัวเต็มไปด้วยความหมองหม่น เมื่อนึกถึงจุดร้าวฉานที่นำไปสู่การสูญเสียที่ไม่ว่าเขาหรือเนวินก็ไม่มีวันได้มันกลับคืนมา...จุดร้าวฉานของเขากับเนวินนั้นมาจากการเสียชีวิตของ เนวิกา น้องสาวเนวินซึ่งต่างมารู้กันภายหลังว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ได้สามเดือนและอัครวัฒน์ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ ทำน้องสาวของเนวินท้องแล้วไม่ยอมรับทำให้ เนวิกาต้องฆ่าตัวตาย เพราะช่วงเวลานั้นเขากับเนวิกาไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ แต่ความจริงแล้วเขากับเนวิกาไม่เคยมีความสัมพันธ์กันเกินเลยมากกว่าคำว่าเพื่อนเลยสักน
บทที่ 7 อัคนีกับอัครามองน้องชายที่เดินเข้ามาในบ้านหลังงามด้วยความรู้สึกที่หดหู่ เมื่ออัครวัฒน์ดูเปลี่ยนไปมากจนแทบจะเป็นคนละคน น้องชายของพวกเขาพูดน้อยลง ทำงานหนักขึ้น อารมณ์เสียง่ายและค่อนข้างแปรปรวนจนพนักงานในบริษัทของเขาต่างพากันหวาดกลัวเจ้านายหนุ่มคนนี้ จากคุณโดมผู้ทรงเสน่ห์กลายเป็นคุณโดมจอมโหดและเผด็จการ หนึ่งปีผ่านไปหลังจากที่เขาได้สูญเสียคนรักทำให้อัครวัฒน์เปลี่ยนไปจนยากที่จะเรียกน้องชายคนเดิมของเขากลับคืนมา หรือพวกเขาต้องรอปาฏิหาริย์จากใครสักคนที่จะเข้ามาเปลี่ยนให้อัครวัฒน์เป็นคนเดิมกระนั้นหรือ...เกือบสองปีแล้วหรือนี่ ที่น้องชายของพวกเขาจมอยู่กับความทุกข์... พี่ใหญ่และพี่รองแห่งดีแลนด์หันมามองสบตากันแล้วถอนใจออกมาช้าๆ“ว่าไงไอ้เสือ สารรูปดูไม่ได้เลยนะเราน่ะ”อัคราซึ่งพาลูกสาวกับภรรยาที่รักซึ่งกำลังตั้งครรภ์ที่สองได้สามเดือนเศษมาเยี่ยมบิดามารดาทักน้องชายยิ้มๆ พยายามสร้างบรรยากาศให้สดชื่นเหมือนดังวันวาน...
บทที่ 8แต่เธอก็พูดไม่ได้และไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากทำตามที่บิดาต้องการนั่นคือ โอนเงินให้พี่ชายของเธอทุกๆ เดือนตามที่เขาต้องการในระยะเกือบสองปีที่ผ่านมา จนสองสามเดือนก่อนหน้านี้ที่เธอไม่ได้โอนเงินให้มิ่งเมืองเพราะเงินเก็บของบิดานั้นมันแทบไม่เหลือติดบัญชีเพราะต้องใช้ในการรักษาพยาบาลด้วย“แล้วเงินเก็บพ่อล่ะ มนไปถอนออกมาสิ...” มิ่งเมืองยังคงหาวิธีที่จะให้น้องสาวหาเงินมาให้ตนเองด้วยท่าทางร้อนรนจนมนตราเริ่มสงสัยพฤติกรรมของพี่ชาย...“พี่เมืองกำลังหนีอะไรคะ ทำไมต้องทำท่ารีบร้อนขนาดนั้นด้วย ไม่เจอกันเป็นปีๆ จะมาขอแค่เงินใช้นี่มันไม่น่าจะใช่ บอกมนมาตรงๆ ดีกว่า...”“แกไม่ใช่แม่ฉันนะยายมน... ฉันแค่มาขอเงินใช้ก็เท่านั้นแกจะถามเรื่องอื่นทำไมให้วุ่นวาย ไม่เอาก็ได้วะ มาขอความช่วยเหลือแค่นี้ก็ทำเป็นท่าโน้นท่านี้”มิ่งเมืองโวยวายหงุดหงิดใส่ มนตราพิจารณาพี่ชายอย่างจับสังเกต... มิ่งเมืองดูคล้ำลงร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดูซูบลงไปเยอะจนใบหน้าที่เคยคมคายเข้าขั้นหล่อเหลาในแบบชายไทยนั้นตอบลงดวงตาก็ลึกโหล ผมเผ้ายาวไม่มีรูปทรงไร้ซึ
บทที่ 9มนตรามาถึงร้านอาหารซึ่งได้นัดแนะกับมิ่งเมืองว่าจะมาเจอกันที่ร้านแห่งนี้เพราะเธอสัญญากับเขาว่าจะเอาเงินมาให้เขาตามจำนวนที่พอจะหาได้ ทำให้เธอจำต้องมาพบมิ่งเมืองหลังจากที่เยี่ยมบิดาแล้วแม้ว่าเวลามันจะค่อนข้างดึกแล้วก็ตาม มนตรากวาดตามองหาพี่ชายด้วยความรู้สึกระวนกระวายเล็กน้อยเมื่อเจอสายตาของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่ส่งสายตามาแทะโลมแม้เธอจะชินกับถนนเส้นนี้ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารและแหล่งบันเทิงล่อแหลมแต่ก็อดประหม่าและระแวงไม่ได้ เพราะร้านอาหารที่พี่ชายนัดมามันหรูหราและเธอรู้กิตติศัพท์ดีว่าที่นี่เป็นร้านอาหารกึ่งโรงแรมที่บรรดาลูกค้าที่มารับประทานอาหารจะสามารถเปิดห้องพักได้ทันทีพร้อมของกำนัลพิเศษจากทางร้าน หากว่าต่างฝ่ายต่างพอใจซึ่งกันและกัน แม้ว่าที่นี่จะไม่มีการบังคับขาย แต่สำหรับคนดีๆ เขาก็ไม่ได้อยากมานี่กันสักเท่าไหร่...“ไปไหนของเขานะ รอนานแล้วนะเนี่ย พี่เมืองนะพี่เมืองหลอกเรามารึเปล่าเนี่ย...” ว่าแล้วมนตราก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้รับรองแขกในร้านแต่เท้าบางก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีอันหยุดกึกเมื่อมีชายฉกรรจ์ท่าทางน่ากลัวสองคนมาขวาง
บทที่ 10 นายมิ่งรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆ วิ่งขึ้นมาจุกที่คอเมื่อได้เจอหน้าเจ้านายหนุ่มอีกครั้งพร้อมกับข่าวสารบางอย่างที่ได้ยินได้ฟัง แม้ไม่อยากเชื่อแต่เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังและอัครวัฒน์ก็คงไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหกตนในเรื่องนี้...“ผมต้องขอโทษแทนเจ้าเมืองมันด้วยครับ หวังว่าคุณโดมคงจะเมตตามัน...”“ฉันเลิกเมตตาคนเลวมานานแล้ว และพวกคุณจะต้องรับเคราะห์จากสิ่งที่ที่ไอ้เมืองมันทำ ส่วนนายมิ่งฉันเห็นแก่ว่าทำงานให้ฉันมานาน และเป็นคนดีซื่อสัตย์ฉันจะยังคงจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ตลอดจนเรื่องการผ่าตัด แต่มันก็ขึ้นอยู่กับตัวนายมิ่งเองว่าอยากจะมีชีวิตอยู่ดูลูกๆ ของนายมิ่งพบจุดจบในชีวิตหรือเปล่า...”กล่าวจบก็เดินออกจากห้องพักฟื้นของนายมิ่ง ปล่อยให้ชายชรานอนน้ำตาไหลพรากอยู่บนเตียงสีขาวอย่างเจ็บปวดและรู้ดีว่าตนเองก็คงจะช่วยเหลืออะไรลูกๆ ทั้งสองไม่ได้เลย“โธ่ มน...” ในวินาทีนี้นายมิ่งรู้สึกสงสารและคิดถึงชะตากรรม
บทที่ 61. อวสาน “ไม่อยากนอนค่ะอยากทำอย่างอื่น..” มนตราบอกสามีเสียงพร่าเล็กน้อยแล้วเผยอกายขึ้นผลักเขานอนลงแทนที่ตนก่อนจะก้มลงไล้เลียยอดอกของเขาอย่างที่เขาทำกับเธอเมื่อครู่อัครวัฒน์ถึงกับครางเสียงดังเลยทีเดียว..“โอ้ว มนจ๋ามนที่รัก... ดีเหลือเกินเมียจ๋า...” อัครวัฒน์ครางกระเส่าเร่าร้อน กายแกร่งปวดหนึบไปด้วยความต้องการอยากจะโจนจ้วงเข้าสู่โพรงร่างสาว อัครวัฒน์ร้อนจนไม่อาจจะรีรอให้หล่อนเล่นเกมเหนือเขาได้ ชายหนุ่มผลักร่างเล็กลงนอนแทนที่ตนเปลี่ยนจากเกมรับเป็นเกมรุก มนตราหัวเราะเบาๆ อย่างถูกใจเมื่อเห็นแววตาและความพรั่งพร้อมของสามี อัครวัฒน์ก้มลงไปยังกึ่งกายสาวแล้วแตะแต้มริมฝีปากเลียไล้ไปทั้งกลีบกายสาวสดฉ่ำชุ่มชื้น...“อ๊า โอ้ววว... พี่โดมขา...” มนตราครางกระเส่าแล้วแอ่นหยัดสะโพกเข้าหาปากร้ายของเขาเร่าๆ ด้วยความเสียว ก่อนที่สะโพกมนจะเกร็งค้างกับปากและลิ้นของเขาเมื่อพุ่งทะยานไปสู่ความสุขสมอัครวัฒน์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วจับร่างเล็กให้ก้มก้งโค้งในท่าคลา
บทที่ 60. มนตรามองสามีที่กำลังจูงมือลูกๆ มาหาตนในสวนผักปลอดสารพิษที่เธอกับลูกสาวฝาแฝดทั้งสองช่วยกันปลูก น้องมิ่งแก้ว กับ น้องมิ่งขวัญ ชอบกินผักซึ่งเธอพอใจมากที่เด็กๆ ชอบกินผัก ตอนนี้เด็กหญิงทั้งสองสี่ขวบแล้ว“คุณแม่ขา.. พวกเรามาแย้วววว..” เด็กหญิงหน้าตาน่ารักวิ่งมาหาผู้เป็นแม่จนผมเปียปลิวไสว มนตรากางแขนรอรับลูกสาวทั้งสองแล้วหอมแก้มแดงๆ ของสองสาวจอมซนหนักๆ อย่างรักใคร่และมันเขี้ยว“เหงื่อท่วมมาเชียวไปเล่นอะไรกันมาคะเนี่ย”“วิ่งจับผีเสื้อค่า แต่จับไม่ได้สักตัว” เด็กหญิงมิ่งขวัญตอบเจื้อยแจ้ว“ผีเสื้อบินเร็วๆๆ แบบนี้ค่า” เด็กหญิงมิ่งแก้วทำท่าบินๆ ให้ผู้เป็นแม่ดู“ผีเสื้อบินน่ารักจัง”“ช่ายค่า น่ารักเหมือนแก้วเหมือนขวัญ” เด็กหญิงทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกันแล้วกอดคอกันยิ้มแฉ่งให้บิดามารดาของตน“เซี้ยวจริงๆ เลยลูกพ่อ” อัครวัฒน์เดิน
บทที่ 59.“เมื่อคืนมนฝันถึงคุณชลิตาด้วยค่ะ” มนตราบอกสามีซึ่งซบหน้าหอบกระเส่าอยู่กับอกอวบใหญ่ของตนหลังจากที่เพลงรักเร่าร้อนที่ไม่รู้ว่าเป็นรอบที่เท่าไหร่จบลง...แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ความรักที่พวกเขามีให้กันก็ยังคงฉ่ำหวานอยู่ตลอดเวลา ยิ่งตอนนี้ลูกๆ ไม่อยู่ขัดความสำราญพวกเขาก็ยิ่งรักกันเหนียวแน่นมากขึ้น เพราะน้องมิ่งแก้วกับน้องมิ่งขวัญในวัยสองขวบนั้นไปเที่ยวพักผ่อนที่ไร่ของคุณลุงเด่นคุณป้ายอดรักกับคุณปู่คุณย่าที่ยังคงแข็งแรงสดใส ซึ่งยินดีจะเลี้ยงดูหลานๆ เพื่อให้โอกาสลูกชายลูกสะใภ้คนดีได้อยู่ด้วยกันลำพังบ้างมนตรากับอัครวัฒน์นั้นต่างช่วยกันเลี้ยงดูลูกๆ ฝาแฝดทั้งสองด้วยกันมาตลอด ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนพวกเขาก็จะยกกันไปทั้งครอบครัว มาดคุณโดมแฟมิลี่แมนจึงเป็นที่กล่าวขวัญและมนตราก็เป็นหญิงสาวที่ใครๆ ต่างก็อิจฉาในความโชคดีของเธอที่ได้สามีที่ดีแสนน่ารักอย่างคุณโดม อัครวัฒน์ ดีแลนด์ คนนี้...“จริงเหรอ เหมือนพี่เลย พี่ก็ฝันว่าหนูเล็กมาเยี่ยม เธอดูมีความสุขมากทั้งที่พี่ไม่ได้ฝันถึงเธอมานานมากตั้งแต่เราแต่งงานกัน...”
บทที่58.“แล้วแก้แค้นเธอสำเร็จไหมคะ...” มนตราถามล้อๆ พลางยิ้มพรายอย่างเจ้าเล่ห์...“ก็ไม่รู้สินะ รู้แต่ว่ามันทำให้พี่ได้ทั้งเมียและลูกมาพร้อมๆ กัน...”อัครวัฒน์ยิ้มกว้างพอๆ กับเธอที่ยิ้มไม่หุบ รอยยิ้มสดใสของมนตราดังมีมนต์ขลังที่ทำให้เขาถอนสายตาจากใบหน้านวลไม่ได้เลย ชายหนุ่มมองเธออย่างหลงใหลจนมนตรารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับแววตาที่เริ่มจะพราวพรายของเขา“เราทานข้าวกันดีกว่าค่ะ มนอยากจะไปเดินเล่นในไร่...” หญิงสาวตัดบทและหาทางเอาตัวรอดจากเปลวเสน่หาของเขาไปก่อนในเช้านี้อัครวัฒน์รู้ทันความคิดเธอจึงคีบจมูกเล็กๆ นั้นเบาๆ อย่างมันเขี้ยวแล้วนั่งลงเคียงข้างกัน... หนุ่มสาวนั่งรับประทานอาหารเช้าด้วยกันและคุยกันด้วยความรักและเข้าใจ ความบาดหมางความแค้นเคืองขึ้งโกรธมลายหายไปจากใจของพวกเขาจนหมดสิ้นมีเพียงความรักอ่อนหวาน ที่โอบล้อมพวกเขาไว้ด้วยรักแท้ที่ต่างอภัยให้กันและกัน...หลังจากที่ปรับความเข้าใจกันแล้วอัครวัฒน์ก็จดทะเบียนกับมนตราไว้ก่อนแล้วจัดงานแต่งงานใ
บทที่57.พระมิ่งเมืองกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนุ่มเต็มไปด้วยเมตตาธรรมซึ่งมนตราสัมผัสได้ น้ำตาแห่งความปลื้มปีติเอ่อล้นออกจากดวงตางามช้าๆ เธอไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือคนคนเดียวกันที่เคยทำร้ายเธออย่างเลือดเย็นมาก่อน...“ชีวิตคนเราไม่ได้ยืนยาวสักเท่าไหร่หรอกนะโยมน้องมน... อะไรที่ดีๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตก็ควรจะคว้าไว้ โดยเฉพาะความสุขเพราะมันอาจจะอยู่กับเราไม่นาน หรือ เราอาจจะไม่ได้อยู่จนพบเจอมัน หากให้มิจฉาทิฐิบดบังจิตใจ... หลวงพี่จะบอกกล่าวเพียงเท่านี้...” มนตรารู้สึกเหมือนมีใครเขี่ยผงเล็กๆ ออกจากตาทั้งที่รู้แต่เธอกลับเขี่ยมันออกเองไม่ได้“ไหนแบมือมาสิโยมน้องมน...” หญิงสาวยื่นมือออกไปตามที่หลวงพี่บอก แล้วพระมิ่งเมืองก็วางของสิ่งหนึ่งลงบนมือของเธอด้วยการปล่อยให้มันตกลงมาเบาๆ มนตรามองของตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ“ฝากไปให้โยมโดมด้วย บอกว่าเป็นของขวัญจากหลวงพี่ให้เป็นของขวัญแต่งงาน... เจริญพร...”“สาธุค่ะหลวงพี่...” มนตราสาธุการด้วยความซาบซึ้งมองตามหลังพระมิ่งเมืองไปด้วยดวงใจที่เปี่ยมล้นด้วยควา
บทที่ 56.“หากไม่ยุ่งกับเมียจะไปยุ่งกับใครล่ะครับ ไม่เอาไม่ทะเลาะกันนะ เดี๋ยวลูกเราจะหน้ายุ่ง...”“เมื่อไหร่คุณจะกลับไปคะ”“ทำไมน้องมนพูดแบบนี้ล่ะครับ เมียอยู่ที่ไหนผัวก็ต้องอยู่ที่นั่นสิครับ”“ฉันจำได้ว่าไม่เคยแต่งงานกับคุณนะคะ และเราก็ไม่ได้มีสถานะอะไรที่เกี่ยวข้องกันแล้ว แม้แต่แฟน หรือคนรัก เราก็ไม่เคยใช้มันร่วมกันมาก่อน...” คำพูดของเธอทำให้อัครวัฒน์สะอึกถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว...“พี่...”“พอเถอะค่ะ หากคุณจะทำทุกอย่างให้ฉันเพื่อไถ่โทษ หรือเพราะรู้สึกผิดที่หลอกใช้ฉันเพื่อนแก้แค้น เราจบสิ้นกันไปแล้ว ฉันยกโทษให้คุณ เราเป็นอิสระต่อกัน... ปล่อยฉันไปเถอะนะคะ ถือว่าเราให้โอกาสกันและกัน ให้อิสระกันและกัน ฉันอาจจะได้เจอผู้ชายสักคนที่รักฉันจริงและพร้อมจะดูแลฉันกับลูก คุณเองก็อาจจะเจอผู้หญิงดีๆ ที่เหมาะสมกับคุณทุกๆ ด้าน ผู้หญิงที่ไม่ใช่ลูกสาวพ่อบ้านกระจอกๆ อย่างฉัน...”มนตราตัดสินใจพูดออกมาเพื่อไม่ให้ตัวเองมีหวังอะไรลมๆ แล้ง
บทที่ 55.อัครวัฒน์สะดุ้งตื่นด้วยอาการของคนที่หัวใจจดจ่ออยู่กับการ ตามหาลูกเมีย ชายหนุ่มรีบก้าวลงจากเตียงเพื่ออาบน้ำแต่งตัวออกไปตามหามนตราเหมือนเช่นทุกวัน แต่เสียงเตือนข้อความที่ดังเข้ามาทำให้เขารีบเปิดดูอย่างรวดเร็วด้วยความหวังเพราะทุกๆ วินาทีที่มีข้อความหรือเสียงแจ้งเตือนใดๆ เข้ามาในโทรศัพท์นั้นเสมือนความหวังอันสูงสุดของเขา... ข้อความนี้ก็เช่นกันและทันทีที่อัครวัฒน์ปิดดูข้อความในครั้งนี้ มือใหญ่ของเขาก็สั่นระริกด้วยความยินดี น้ำตาลูกผู้ชายรื้นเต็มสองดวงตาคม เขาไม่คิดเลยว่าเพียงภาพภาพเดียวบนหน้าจอสมาร์ตโฟนเครื่องหรูนี้จะมีอานุภาพยิ่งใหญ่เพียงนี้...“มนตรา... โอ... คุณพระ... ไม่น่าเชื่อ ไม่อยากจะเชื่อเลย...” อัครวัฒน์รีบแต่งตัวแล้วลงไปยังรถยนต์คันหรูพร้อมทั้งโทรศัพท์สั่งการลูกน้องคนสนิททันที เมื่อเจอหน้าบิดามารดาเขาก็รีบเข้าไปรายงานพวกท่านด้วยความตื่นเต้น...“ผมเจอมนแล้วครับคุณพ่อ คุณแม่ พี่เด่นเพิ่งส่งข้อความมาให้ผมเมื่อกี้นี้เอง เธออยู่ที่ไร่เวียงดารา ไร่ของคุณแม่นี่เอง... แต่ เอ๊ะ... นี่ทุกคนรู้มาตลอดเลยใช่ไหมครับว่ามนอ
บทที่ 54.“อ้อ... เห็นเขาเป็นเมีย เป็นแม่ของลูกด้วยเหรอ...”“คุณแม่ครับ ผมสำนึกผิดแล้วนะครับ และพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้น้องมนรู้ว่าผมรู้สึกผิดจริงๆ”“แล้วยังไงอีกล่ะ”“ก็ผมรักเขา ผมรักน้องมน รักมาตั้งนานแล้วด้วย...”แล้วเขาก็บอกให้มารดาได้รับรู้ว่าเขารักมนตรามากแค่ไหน แต่มันจะมีประโยชน์อะไรในตอนนี้เมื่อเธอไม่อยู่แล้ว...“โดมจะมาบอกแม่ทำไม ในเมื่อแม่ไม่ใช่หนูมน แล้วตอนนี้แม่ก็คิดว่าหนูมนคงกลับบ้านนอกไปแล้วก็ได้”“แม่คิดว่าน้องมนเขาจะไปไหนครับ”“ก็อาจจะกลับไปบ้านเกิดของพ่อเขาก็ได้มั้งลูก...” คุณดาราทำท่าเศร้าแล้วพูดต่อ“เฮ้อ... ถึงว่าหนูมนมีท่าทางแปลกๆ เมื่อวาน แล้วก็ยังบอกแม่ว่าจะกลับไปบ้านเกิดของนายมิ่ง โดมคิดดูนะ ลูกสะใภ้ของแม่ไม่มีใครไปตกระกำลำบากหอบลูกหอบเต้าไปบ้านนอกที่กันดารขนาดนั้น นี่หากหนูมนไปที่บ้านเกิดนายมิ่งจริงๆ แม่ล่ะหวั่นใจว่าหนูมนอาจจะแท้งกลางทางได้... โธ่ หนูมนของแม่...” คุณดาราทำที
บทที่ 53.“นั่นสิคะ น้องล่ะทึ่งหนูมนจริงๆ เธอใจเด็ดมากที่กล้าทำขนาดนั้น ลูกชายคุณพี่นี่โดนน้อยไปไหมคะ”“โธ่... นี่ไม่มีใครสงสารโดมบ้างหรือคะ ถึงรักจะเข้าข้างน้องมนแต่รักก็สงสารโดมนะคะคุณแม่”“ไอ้สงสารก็สงสารจ้ะ แต่รักดูสิ จนป่านนี้แล้วโดมบอกหนูมนสักคำหรือยังว่ารู้สึกยังไงกับเขาน่ะ หืม... คนท่ามากปากหนักนี่มันต้องเอาให้เจ็บ ดูสิ... จนหนูมนป่องขนาดนี้แล้วจะพูดอะไรมากกว่านี้สักคำก็ไม่มีไม่รู้ท่าเยอะเหมือนใคร...”คุณดาราหันมาค้อนสามีอย่างหมั่นไส้จนคุณอีริคเองก็พลอยเสียวสันหลังไปด้วย จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ให้ภรรยาที่รัก“แหม น้องล่ะก็ มาลงที่พี่ทุกทีเลย”“ก็มันจริงนี่คะ สงสัยเราต้องงัดไม้ตายมาใช้แล้วล่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหลานเราแย่กันพอดี”“จริงค่ะคุณแม่ น้องมนเองก็ร้องไห้หนักมาก น่าสงสารออกค่ะ”“ที่แม่ทำไปก็เพื่อเราทุกคนนะจ๊ะหนูรัก แม่น่ะรักลูกๆ ทุกคนและอยากให้พวกเรามีความสุขกันเสียที” คุณดารากล่าวพลางลูบเรือนผมสลวยของส