หลังจากปราบผู้ลอบโจมตีหมด รองแม่ทัพเจ้าจิน ก็นำคนที่เหลือ รวมถึงองค์ชายเป่ยอี้ฟู่เฉิง กลับมาที่ค่ายด้วย พวกเขาปรึกษากัน และคิดว่าจะย้อนกลับไปเมืองเซียงหยาง ในวันพรุ่งนี้ เพื่อพาซีเหนียนกลับเมืองหลวงด้วย เพื่อให้ฝ่าบาทพิจารณาโทษนางด้วยตัวเอง แม้จินเย่วจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ยอมฟัง การทิ้งองค์หญิงไว้ เป็นเรื่องที่อาจจะเกิดผลร้ายตามมาทีหลังองค์ชายเป่าหลงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากการปะทะกัน เขาตกจากหลังม้า อาจจะทำให้เดินทางกลับทางม้าไม่สะดวก พวกเขาเลยคิดว่าจะเดินทางโดยทางเรือ ซึ่งฟางซินเอง แม้จะไม่ชอบ แต่ก็เห็นด้วย หากเดินทาง ทางบก มีโอกาสที่จะถูกลอบโจมตีง่ายกว่าทางน้ำ“ฟางซิน ข้าขอแนะนำให้เจ้ารู้จักนะ นี่จีซู องครักษ์ของข้าอีกคน” เฉิงอ๋องแนะนำให้รู้จัก“จีซูเป็นทั้งองครักษ์ข้า และเป็นคนที่ข้า สั่งให้คอยคุ้มครองเจ้า นางถือเป็นองครักษ์เงาของเจ้าด้วย เรื่องคราวนี้ ก็เป็นนางที่ตามเจ้าไปถึงห้องใต้ดิน จนสืบรู้ว่าฟู่เฉิงพาเจ้าออกเรือมา”เขาอธิบายให้นางฟัง นางตกใจเล็กน้อย“ท่านสั่งให้จีซู เฝ้าข้าตลอดเลยหรือ”นางถาม และมองหน้าจีซูไปด้วย“ใช่ ตั้งแต่เกิดเรื่องคืนนั้น นางก็เฝ้าเจ้าอยู่ทุกวัน” เฉิงอ๋
อี้หลิงเข้ามาซุ่มที่ห้องเก็บของ เขาฟังเสียงด้านบนเงียบแล้ว จึงแอบเดินเข้ามา เขาสืบรู้ห้องที่ขังฟู่เฉิงอยู่ โถงชั้น 2 ไม่มียามเฝ้าเลย น่าจะเฝ้าอยู่ด้านใน เขาคิด เขาตรงไปยังห้องที่เขาเห็นฟู่เฉิงถูกนำตัวเข้าไป และ“อย่าขยับ เดินไปเงียบๆ” จินเยว่ ซึ่งรอเขาอยู่แล้วตามแผนที่ท่านอ๋องวางไว้ เขาไม่ได้ต้องการชีวิตคนเหล่านี้“ท่านอ๋องคาดการณ์ถูกว่าจะมีคนมาช่วยท่าน ยังมีคนที่ภักดีต่อท่านอยู่นะ องค์ชาย” จินเยว่พูด ระหว่างที่ต้าหรงมัดอี้หลิงไว้กับเสา“องค์ชาย โปรดอภัย”เขาบอกฟู่เฉิง“ไม่เป็นไร ข้าปลอดภัยดี พวกเขาไม่ทำร้ายพวกเราหรอก” ฟู่เฉิงบอกกับอี้หลิง“ขออภัยด้วย ข้าต้องมัดท่านไว้ก่อน แต่หากถึงเมืองหลวงแล้ว ข้ารับรองว่า พวกท่านจะถูกปล่อยตัวอย่างปลอดภัย หลังจากที่เข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว” “ฟังพวกเขาเถอะ กลับเมืองหลวงแล้วค่อยว่ากัน” ฟู่เฉิงบอก ตอนนี้เขาคิดอะไรไม่ออก หลังจากฟางซินยิงเขาแล้ว ส่งแค่คนมาทำแผลให้เขา และมัดเขาไว้ จากนั้นเขาไม่เคยพบหน้านางอีกเลย นางคงตัดขาดจากเขาจริงๆ คิดแล้วก็น่าขำ เขาต้องการครอบครองนาง แต่ลืมคิดถึงจิตใจนาง หากเขาได้นางมาครอบครองจริง จะมีความสุขจริงๆ หรือไม่ ในเมื่อหัวใจ
ตอนนี้ เรือของคณะเดินทาง กลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว และกำลังเข้าไปจอดที่ท่าเรือในวังหลวง เฉิงอ๋องเดินไปที่ดาดฟ้าเรือ ชูกระบี่อาญาสิทธิ์ เพื่อเป็นใบผ่านทางขอเข้าไปยังวังหลวง ก่อนหน้านี้เขาส่งข่าวมาบอกแม่ทัพลู่แล้ว ว่าจะมาถึงเมืองหลวงวันนี้ ก่อนเที่ยง เมื่อเรือจอดเทียบท่าแล้ว ทุกคนทยอยลงมา ที่ฝั่ง มีแม่ทัพลู่ รออยู่“ท่านอ๋อง การเดินทางเรียบร้อยดีใช่ไหม”เขาเอ่ยถามเฉิงอ๋อง“ทุกคนปลอดภัยดีขอรับ ท่านลุงไม่ต้องเป็นห่วง” เฉิงอ๋องตอบกลับไป“ท่านพ่อ ข้ามาแล้วขอรับ” จินเยว่ตะโกนมาแต่ไกล เขาคุมตัวเป่ยอี้ฟู่เฉิงลงเรือมา พร้อมกับต้าหรงที่นำตัวอี้หลิงมา“ดีๆ ฝ่าบาทรอพวกเจ้าอยู่ รีบไปเถอะ” แม่ทัพลู่บอกกับเฉิงอ๋อง“ท่านลุง องค์หญิงซีเหนียนก็เด็จกลับมาด้วยขอรับ” เขาบอกแม่ทัพลู่“คนของฮองเฮาจะมารับตัวนาง ท่านอ๋องไม่ต้องห่วง นางไม่เป็นไรหรอก”เขาบอกเฉิงอ๋อง เขาพยักหน้าให้ฟางซินเดินลงมาหาแม่ทัพลู่ นางไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร ที่บัดนี้ นางได้รับรู้ความจริงที่ว่า เขา ผู้เป็นบิดาของนาง เลี้ยงดูนางมา 17 ปี ไม่ใช่บิดาผู้ให้กำเนิดนาง“ฟางซิน เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม พ่อกับแม่ของเจ้าเป็นห่วงเจ้ามากนะ มีบาดแผล
ทุกคนในห้อง ตกใจกับคำพูดของแม่ทัพลู่ แม้แต่ฟางซิน และ เฉิงอ๋องเอง ก็ตกใจ ตกลง นางเป็นลูกของผู้ใดกัน หรือที่องค์ชายรู้ จะผิดทั้งหมด ฟางซินคิดอะไรไม่ออกแล้ว เฉิงอ๋องมองหน้านาง ตอนนี้รู้สึกเป็นห่วงสภาพจิตใจของสาวน้อยในอ้อมกอดเขายิ่งนัก เขาควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี“องค์ชาย ใครเป็นคนเล่าเรื่องนี้ ให้พระองค์ฟังพ่ะย่ะค่ะ” เขาถามฟู่เฉิง“เสด็จลุงของข้า เป็นคนเล่าให้ข้าฟัง” เขาตอบแม่ทัพลู่ไป เขาเองก็เริ่มทำตัวไม่ถูก“หึ เขาเองก็ไม่รู้เรื่องจริงเหมือนกัน จริงๆ แล้ว ทุกคนก็ไม่มีใครรู้มาก่อน ตัวข้าเอง ก็มารู้เอาวันที่ข้ารับเลี้ยงฟางซินเช่นกัน”เขาค่อยๆ พูด“ท่านพ่อ ท่านหมายความว่าอย่างไร ซินเอ๋อ เป็นลูกของท่านกับสาวใช้มิใช่เหรอ ตามที่ท่านเคยบอก แล้วตกลง เรื่องราวมันเป็นยังไงกันแน่” จินเยว่เริ่มสับสน" 17 ปีก่อน หลังจากที่สงครามสงบลง หลังจากที่แม่ทัพเฉิงอี้ สิ้นชีพในสนามรบนั้น หมอตู้ หมอประจำจวนสกุลเฉิง อุ้มเด็กมาหาข้า 1 คน เป็นทารกเพศหญิง และบอกข้าว่าทั้งจวนเฉิงตอนนี้ไม่มีผู้ดูแล คุณชายยังเล็ก และกำลังอยู่ในวัยศึกษา เจ้าและลี่หมิงตอนนั้น กำลังศึกษาอยู่ที่แคว้นจ้าว ที่นั่น สงครามไปไม่ถึง“หม
“เป็นยังไงบ้าง มีอะไรรุนแรงมั้ย”ฝ่าบาทตรัสถามหมอหลวง“ทูลฝ่าบาท ไม่มีอะไรให้ทรงกังวลพระทัยพ่ะย่ะค่ะ นางแค่อ่อนเพลียจากอาการเมาเรือมา และพักผ่อนน้อย เลยทำให้เป็นลมไปพ่ะย่ะค่ะ ช่วงนี้ดื่มอาหารบำรุงมากหน่อย งดการเดินทางไกล กระหม่อมจะจัดยาไว้ให้เพื่อบำรุงเพิ่มก็ไม่มีอะไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงกราบทูลฝ่าบาท ซึ่งดูกังวลพระทัยกับหญิงสาวที่นอนอยู่อย่างไม่ได้สติ“แล้วทำไมนางยังไม่ฟื้นอีกล่ะ หน้านาง ก็ดูซีดเซียว ท่านแน่ใจนะ ว่านางไม่ได้เป็นอะไร”“กระหม่อมแน่ใจพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท อย่าทรงเป็นกังวลไป เนื่องด้วยนางเดินทางมาต่อเนื่อง และขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ ยังไงก็ปล่อยให้นาง นอนพักผ่อนให้เพียงพอ จะเป็นการดีที่สุดสำหรับนางพ่ะย่ะค่ะ อีกสักไม่เกิน 2 -3 ชั่วยาม นางก็จะฟื้นเองพ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงกราบทูลย้ำอีกครั้ง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมฝ่าบาทถึงได้เป็นกังวลกับอาการป่วยของลูกสาวท่านแม่ทัพลู่ขนาดนี้“ท่าน กลับไปได้แล้ว ขอบใจท่านมาก” ฝ่าบาทตรัสกับท่านหมอ“หากมีอะไรด่วน เรียกกระหม่อมได้ตลอดเวลาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”หมอหลวงออกไปแล้ว แม่ทัพลู่ และเฉิงอ๋องจึงเดินเข้ามาในห้อง เพื่อดูอาการของฟางซินแม่ทัพลู่ “นาง
"ประการแรก หากกระหม่อมนำองค์หญิงมาถวายตั้งแต่แรก นั่นจะทำให้บัลลังก์ของฝ่าบาทสั่นคลอนทันที เนื่องด้วยพระญาติฝั่งฮองเฮาเองก็เป็นแม่ทัพใหญ่ ซึ่งมีอำนาจในการบัญชาการทหารทัพหลวง ซึ่งไม่เป็นการดีแน่ประการที่ 2 เนื่องจากองค์หญิง ซึ่งมาตัวคนเดียว ยังเป็นทารก หากข้าให้เข้าวัง เกรงว่า นางอาจจะมีอันตรายมากกว่าอยู่ข้างนอก และด้วยคำสั่งเสียของพระสนมไป๋ กระหม่อมจึงเลือกที่จะเลี้ยงนางเป็นเพียงบุตรีกระหม่อม ตามคำสั่งเสียของนางพ่ะย่ะค่ะ"“กระหม่อมเลี้ยงนางมา แบบเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง ยกให้ฮูหยินรองของกระหม่อมดูแล แต่นางมีองครักษ์เงาของกระหม่อม ติดตามดูแลนางมาตลอดพ่ะย่ะค่ะ และประการสุดท้าย การที่นางได้สมรสกับอ๋องเฉิงนั้น จะทำให้นาง ได้รับความปลอดภัย มากยิ่งขึ้น เมื่อถึงเวลานั้น จะเปิดเผยฐานะของนาง ก็ไม่ใช่เรื่องยากพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่….”“เพียงแต่ท่านเองก็ไม่คิด ว่าหยางลั่วจะเป็นกบฏที่แท้จริง แล้ววางแผนเพื่อลักพาตัวนางไป ถ้าหากเฉิงอ๋องไม่ตามไปช่วย เรื่องราวคงไม่จบแบบนี้เป็นแน่”ฝ่าบาทต่อประโยคของแม่ทัพลู่“เราต้องส่งข่าวแจ้งให้ฮ่องเต้ผิงจวิ้นทราบก่อน เขาจะได้เตรียมการทัน” ฝ่าบาทตรัสกับแม่ทัพลู่“เรื่องน
เมื่อแม่ทัพลู่เดินออกไปแล้ว ฟางซินค่อยๆ เปิดจดหมายฉบับนั้น หน้าซองเขียนว่า ถึงลูกของแม่ นางน้ำตาปริ่ม "ลูกของแม่" แค่เพียงคำนี้ นางก็รู้สึกถึงความอบอุ่นใจยิ่งนัก"ถึงลูกสาวที่รักของแม่ถ้าวันหนึ่ง เจ้าได้เปิดอ่านจดหมายฉบับนี้ นั่นแสดงว่าเกิดเหตุการณ์แห่งปาฏิหาริย์ที่แม่ตั้งจิตอธิษฐานขอไว้ก่อนตายว่าให้เกิดขึ้น นั่นคือ เจ้าอยู่รอดปลอดภัยจนได้อ่านจดหมายนี้ แสดงว่าแผ่นดินสงบ ไร้ซึ่งสงคราม และเจ้ามีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย ที่สำคัญคือ เจ้าได้พบพ่อที่แท้จริงของเจ้าเจ้าคงตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อย แต่แม่หวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าเจ้าจะสามารถให้อภัยกับทุกสิ่ง ที่แม่เลือกทำ อย่าได้เคืองโกรธผู้ใด เพราะแม่เป็นคนขอให้พวกเขาเหล่านั้น ช่วยทำแบบนี้ เพื่อความปลอดภัยของเจ้า แม่จึงต้องทำ พ่อของเจ้า แม่โกหกเขาว่าลูกสาวของเขาได้ตายไปแล้ว วันนั้นพ่อของเจ้า เดินจากแม่ไปด้วยหัวใจที่แตกสลาย เพราะเขาเห็นลูกสาวที่สิ้นใจแล้วต่อหน้า แม่ตัดขาดสัมพันธ์กับพ่อเจ้า เพียงเพื่อรักษาแผ่นดินเกิด และชีวิตของเจ้าไว้ พี่สาวฝาแฝดเจ้าบุญน้อยนัก เกิดมาก็เสียชีวิตทันที ยังไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้กินนมจากอกแม่ด้วยซ้ำ ตอนนี้เหลือเพียงเจ
“โชคดีที่เจ้าปลอดภัย เจ้าอย่าพึ่งคิดอะไรมาก ช่วงนี้ดูแลตัวเองให้ดีๆ ตกลงไหม”เขาปลอบนาง เขารู้ว่านางอาจจะคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย หลังจากเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้นพร้อมๆ กันหลายอย่าง หากเป็นเขาเอง เขาก็คงจะเป็นเหมือนนางเช่นกัน“ท่านอ๋อง หม่อมฉันอยากกลับจวนเพคะ” นางบอกเฉิงอ๋อง“เจ้าควรจะอยู่พบฝ่าบาทก่อน พระองค์คงอยากจะคุยกับเจ้านะ ตอนนี้ท่านลุงอยู่กับฝ่าบาท อีกสักพักคงมาหาเจ้า” เขาบอกนาง เขารู้ว่าฟางซินเองคงไม่รู้จะทำตัวอย่างไร แต่ในเมื่อความจริงอยู่ตรงหน้า จะช้าหรือเร็ว ก็ต้องยอมรับอยู่ดี“แต่ข้า ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับพระองค์อย่างไร”“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะอยู่ข้างๆ เจ้า เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน เจ้าได้รู้ประวัติของแม่เจ้า และยังพบพ่อที่แท้จริง เรื่องนี้ ไม่น่าดีใจหรอกหรือ ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ เจ้าก็หนีความจริงว่าพระองค์คือพระบิดาของเจ้าไม่ได้หรอก จริงไหม” เขาพูดปลอบนาง“นั่นก็จริงเพคะ หม่อมฉันไม่ได้กลัว หม่อมฉันแค่รู้สึกว่าทุกอย่าง มันกะทันหันเกินไป จนเหมือนไม่ใช่ความจริง”ฟางซินพูด พร้อมมองหน้าเฉิงอ๋อง เขาเดินมานั่งใกล้ๆนาง นางโน้มตัวเข้ามาให้เขากอด“ไม่ใช่เจ้าคนเดียวที่รู้สึกแบบน
“กรุบกรับๆๆๆ”เสียงม้าที่โดนเฆี่ยนเพื่อให้วิ่งเร็วที่สุดของอ๋องเฉิงและจินเยว่ วิ่งออกนอกเมืองมาอย่างสายลม“เร็วเข้าสิ เร็วอีก”“ท่านอ๋อง ท่านอย่าพึ่งรีบร้อน น้องสามไม่เป็นอะไรหรอก นางอยู่กับแม่นมเถา นางจะปลอดภัย ย่าส์....”จินเยว่รีบควบม้าให้ทันว่าที่ท่านพ่อหมาดๆที่ขี่ม้านำเขาไปอีกแล้ว ม้าของท่านอ๋องกลับไปต้องดูแลกันอย่างหนักเลยทีเดียวเหตุการณ์เริ่มจากเมื่อตอนสาย หลังจากที่เฉิงอ๋องออกมาจากจวนเพื่อจะมารับคำสั่งเพื่อจัดส่งเสบียงที่จะไปชายแดนฝั่งตะวันออก เมื่อเขามาถึงไม่นาน และรับจดหมายคำสั่ง จินเยว่ก็ขี่ม้ามาหาเขา เพื่อแจ้งข่าวด้วยหน้าตาที่ตื่นตระหนก“ท่านอ๋อง เร็วเข้า ซินเอ๋อนางปวดท้อง จะคลอดแล้ว แม่นมเถาให้ข้ามาส่งข่าว”“ตุบ”หนังสือราชการในมือของเฉิงลี่หมิงตกจากมือ“ท่านอ๋องขอรับ ท่านอ๋อง รีบไปสิขอรับ”“ต้าหรง เจ้า ได้ยินเหมือนข้าใช่หรือไม่ พระชายา จะคลอดแล้ว ข้าจะเป็นพ่อคนแล้ว เร็วเข้า ไปเอาม้ามาให้ข้า เร็วๆ เข้า”จินเยว่ส่งข่าวให้เฉิงอ๋องทราบแล้ว เขากำลังจะวิ่งไปส่งข่าวที่จวนสกุลลู่ต่อ แต่วันนี้ แม่ทัพลู่ก็เข้าวังด้วย เขาเลยส่งข่าวที่ท่านพ่อแทน“เจ้าว่าไงนะเยว่เอ๋อ ซินเอ๋อจะคลอดแล
เรือนตากอากาศสกุลเฉิง“พระชายาเพคะ กลับเข้าไปข้างในจวนเถอะเพคะ เวลานี้ลมแรง เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะเพคะ”“รออีกสักครู่เถอะแม่นมเถา ข้าอยากรอท่านอ๋องกลับมาก่อน นี่ก็จวนจะได้เวลาแล้ว”“ก็ได้เพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันเอาผ้าคลุมมาให้เพคะ พระชายาต้องเสวยยาบำรุงครรภ์แล้วนะเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันให้เด็กยกมาให้พร้อมกันเลย”“ขอบคุณแม่นมเถา”แม่นมเถา เป็นหมอตำแย และแม่นมให้กับท่านอ๋องเฉิง นางอยู่จวนอ๋องเฉิงมาพร้อมๆกับหมอตู้ ตอนนี้ นางมาประจำการอยู่ที่จวนตากอากาศ เนื่องจากพระชายาใกล้ถึงกำหนดคลอดเต็มที เฉิงอ๋องอยากให้พระชายาได้อยู่ในจวนนี้ เนื่องจากอากาศดี และนางก็ชื่นชอบที่นี่มาก ก่อนหน้านั้น เฉิงอ๋องได้ให้คนจัดเตรียมทุกอย่างที่นี่เอาไว้พร้อมสรรพ ทั้งเครื่องมือเครื่องใช้สำหรับการคลอด ของใช้สำหรับเด็ก ยารักษาโรคต่างๆ จวนตากอากาศตอนนี้เหมือนยกทั้งจวนอ๋องเฉิงในเมืองหลวง มาอยู่ที่นี่กันหมด เพราะแต่ละคนก็อยากมาดูแลพระชายาของพวกเขาทุกคนตื่นเต้นกับทายาทที่กำลังจะคลอดออกมา ท้องของฟางซินก็โตมาก หากไม่มีคนคอยพยุงเดิน นางแทบจะไปไหนไม่ได้เลยทีเดียว ชุนเอ๋อเองก็ไม่เคยห่างนางไปไหนเลย เพราะต้องคอยพยุงนางเวลาเดินไปไหน ช่วง
จวนสกุลลู่ฮูหยินใหญ่ และฮูหยินรอง ต่างเข้มงวดกับการเตรียมตัว ฝึกซ้อมเจ้าสาวในพิธีสมรสพระราชทานครั้งนี้มาก ทั้งขั้นตอนการยกน้ำชา ทั้งมารยาทในพิธีการ ฮองเฮาทรงจัดให้นางข้าหลวงใหญ่ มาช่วยฝึกซ้อมให้องค์หญิงทั้งสองถึงที่จวน พวกนางแทบจะไม่มีเวลาได้พัก จนฟางซินบ่นกับหนิงเซียน“พี่รอง หากรู้ว่าแต่งงานในวังจะพิธีมากขนาดนี้ ข้าเริ่มไม่อยากแต่งแล้วเจ้าค่ะ เหนื่อยจังเลย”“เจ้าอย่าได้บ่นให้ท่านแม่ได้ยินเชียว ข้าขี้เกียจฟังนางบ่นเพิ่มอีก แค่นี้ก็ปวดหัวจะแย่แล้ว ไปเถอะ เรามาหลบดื่มชาอยู่ที่นี่ เดี๋ยวพวกนางตามมาเจอ เราจะโดนดุกันอีก”“โอยย พี่รอง ข้าเหนื่อยแล้ว อยากนั่งพักอีกหน่อย ฮือออ”“เจ้านะ มาเลย ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ฝึกอีกรอบเดียวก็จะได้พักแล้ว มาเถอะน่า ข้าก็อยากพักแล้ว เร็วๆ น้องสาม ลุกเลย”หนิงเซียนพยายามทั้งดัน ทั้งลากน้องสาวนางไปฝึกซ้อมพิธีการในวัง ฟางซินรู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากแม้แต่จะลุกจากเก้าอี้ จินเยว่เดินมาหาพวกนางที่ทั้งลาก ทั้งดึงกันอยู่“นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อน พี่คงนึกว่าพวกเจ้าทะเลาะกันนะเนี่ย”“”พี่ใหญ่””ทั้งคู่หันมาหาจินเยว่“พวกเจ้าแอบหนีมาอยู่ที่นี่เอง ท่านแม่ทั้งสองให้สาวใช้หาพวกเจ้
จวนสกุลลู่“เร็วเข้าๆ ขบวนเจ้าบ่าวจะมาอยู่แล้ว คุณหนูแต่งตัวกันเสร็จหรือยัง ของมงคล 9 อย่างล่ะ แม่นมอู๋ ท่านเตรียมอั่งเปาหรือยัง หน้าประตูล่ะ”“ถังซิน ถังซิน เจ้ามาดูผ้าคลุมให้ซินเอ๋อที ข้าจะไปเอาต่างหูให้เซียนเอ๋อ เร็วเข้า”“เจ้าค่ะๆ ท่านพี่ มาแล้วๆ เจ้าค่ะ นี่ๆ แอปเปิลของเซียนเอ๋อ ให้ลูกถือเอาไว้”“ได้ๆ ตายแล้ว พี่ลืมรองเท้า รองเท้าพวกนางอยู่ไหน”“”ท่านแม่””ฟางซินและหนิงเซียน ร้องเรียกฮูหยินใหญ่พร้อมกัน“พวกเจ้าเรียกข้าทำไม ลืมเลยเนี่ยว่าจะทำอะไร”“ท่านแม่ รองเท้าน่ะ พวกข้าใส่แล้วเจ้าค่ะ ท่านดูสิ”หนิงเซียนบอกฮูหยินใหญ่ นางดูจะตื่นเต้นลนลานมากที่สุด กลัวว่าจะขาดอะไร กังวลว่าจะจัดของไม่ครบหนิงเซียนกับฟางซินมองหน้ากันและหัวเราะความรีบของฮูหยินใหญ่“ท่านพี่ ท่านพักก่อนนะเจ้าคะ เด็กๆพร้อมแล้ว ไม่มีอะไรขาดแล้วเจ้าค่ะ ข้ากับแม่นมอู๋ตรวจให้ท่านอีกที ดีหรือไม่”“ถังซิน ฝากเจ้าดูอีกทีนะ อย่าให้ขาดเชียวนะ เสียหน้าจวนแม่ทัพเราหมด”“เจ้าค่ะๆ ท่านนั่งพักก่อน เดี๋ยวเป็นลมก่อนส่งตัวเจ้าสาวนะ นี่ เจ้าน่ะ มาเติมหน้าให้ฮูหยินใหญ่ทีสิ ทำไมปากท่านพี่ข้าซีดแบบนี้ล่ะ เร็วเข้าๆ”“ฮูหยินรองร้องสั่งช่างแต
ฟางซินกะพริบตาถี่ๆรับแสงในตอนเช้า นางรู้สึกว่ามีมือหนักๆพาดอยู่ที่เอวนาง นางค่อยๆหันไป ใบหน้าที่คุ้นเคย คิ้วเข้มดั่งหมึก ขนตายาว จมูกเป็นสันเข้ากับรูปหน้า ฟางซินอดไม่ได้ที่จะใช้มือเขี่ยขนตาเขาเล่นเบาๆ“หากเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะลงโทษเจ้าเดี๋ยวนี้เลยนะพระชายา”ฟางซินตกใจเล็กน้อย“ท่านตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”“ข้าตื่นได้สักพักแล้ว ทำไม พระชายาอยากจะปลุกข้างั้นหรือ ไม่ต้องหรอก เพราะตอนนี้ ข้าตื่นเต็มที่แล้ว ไม่เชื่อ เจ้าลองจับดูสิ”เขาจับมือนางลงไปใต้ผ้าห่ม ฟางซินสะดุ้งเมื่อจับโดนบางอย่างด้านล่างนั่น“พระองค์ ทะลึ่งเกินไปแล้ว นี่มันเช้าอยู่นะเพคะ”“นี่มันเป็นเรื่องปกติของบุรุษ เจ้าทำใจให้ชินเสียเถอะ”ฟางซินหันหลังหนีเขา แต่ไม่ทันแล้ว เขาพลิกตัวนางนิดเดียว นางก็หันมาหาเขา“การตื่นนอนมา แล้วเห็นหน้าเจ้าเป็นคนแรกแบบนี้ ช่างเหมือนฝันจริงๆ ข้ารู้สึกว่า ตัวเองโชคดีที่สุดในโลกเลย”ฟางซินยิ้มให้เขา นางจุมพิตเขาเบาๆ เฉิงอ๋อง ที่ตื่นตัวอยู่แล้ว เจอแบบนี้เข้า เขาจะทนไหวได้อย่างไร“พระชายา โทษข้าไม่ได้นะ เจ้าเริ่มก่อนเอง”ฟางซินยิ้มให้เขา นางพลิกตัวขึ้นบนตัวเขา เฉิงอ๋องมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของนางที่
“เจ้าค่อยๆ กิน เลอะปากแล้ว”เฉิงอ๋องเช็ดปากให้นาง และมองนางกินผัดหมูเปรี้ยวหวานอย่างเอร็ดอร่อย“เพราะใครล่ะเพคะ หม่อมฉันหิวจนจะกินแพะได้ทั้งตัวแล้วเพคะ”ฟางซินมองเขาอย่างงอนๆ นางหิวมากจริงๆ นางกินข้าว ชามนี้เป็นชามที่ 2 แล้ว“ข้ารู้แล้วว่าเจ้าหิวมากจริงๆ เป็นความผิดข้าเอง ข้าขอโทษเจ้าด้วย”เขามองนางแล้วเผลอยิ้มออกมา ทั้งสองทานข้าวเย็นด้วยกัน เฉิงอ๋องสั่งคนครัวทำอาหารที่ฟางซินชอบไม่ว่าจะเป็นขาหมูน้ำแดง ผัดหมูเปรี้ยวหวาน หรือแม้แต่ปลานึ่งแชบ๊วย เขาสั่งให้คน ยกอาหารมาไว้ให้ในศาลากลางสวน บรรยากาศยามค่ำคืนเย็นสบาย ทำให้ทานอาหารได้อร่อยมากยิ่งขึ้น กว่าฟางซินจะลุกจากเตียงได้ ใช้เวลานาน เขาเลยอุ้มนางมาที่นี่“อ้อ ข้าลืมบอกเจ้าไปว่า ฝ่าบาททรงมีรับสั่ง ให้องค์หญิงซีเหนียนไปเฝ้าศาลบรรพชน 2 ปี เป็นการทำโทษนาง ที่ร่วมก่อเหตุครั้งนี้ขึ้นมา นางจะเดินทางพรุ่งนี้แล้วล่ะ ครั้งนี้ ฝ่าบาทโกรธนางมากจริงๆ” เขาบอกฟางซิน ระหว่างที่นางกำลังจิบชาหลังมื้ออาหารเย็นเสร็จ“ซีเหนียนเองก็ถูกหลอกใช้เหมือนกัน เสด็จพ่อไม่น่าจะลงโทษนางรุนแรงขนาดนั้น” ฟางซินพูด เพราะเรื่องคราวนี้ และเหตุการณ์ที่ซีเหนียนเข้ามาเกี่ยวข้อง
“ท่านอ๋องเพคะ ท่านจะรีบไปไหนเพคะ” ฟางซินถามขณะที่ท่านอ๋องพานางมาที่จวนอ๋องเขาไม่ตอบนาง เขาแค่พานางเดินมาที่ห้อง และปิดประตูห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะช้อนร่างของสาวน้อย และพาเดินไปที่เตียง นางตกใจ“เดี๋ยวก่อนเพคะ ท่านอ๋อง นี่มันกลางวันแสกๆ พระองค์ไม่ควร...”ฟางซินห้ามเขา ไม่ทันที่นางจะพูดต่อ ท่านอ๋องของนางก็ใช้ปาก ปิดปากนางทันควัน เขาค่อยๆ พาร่างนางวางลงบนเตียงนุ่มและตัวเขาเองก็ค่อยๆ โน้มตัวลงมาตาม รสจูบของนางช่างหวานเหลือเกิน นานเท่าไหร่แล้วที่เขาโหยหาความหวานนี้ ตั้งแต่เกิดเรื่องลักพาตัวขึ้น เขาก็แทบจะไม่ได้ใกล้ชิดกับนางเลย ไม่นับรวมตอนที่ดูแลนางอยู่บนเรือตอนนั้นเขาข่มใจทั้งคืนเนื่องจากนางป่วยเพราะเมาเรือ แต่วันนี้ เขาคงไม่รออีกแล้ว ไหนจะนับที่นางพึ่งจะไปพบกับองค์ชายฟู่เฉิงนั่นมาอีก เขาไม่ยอม และหลังจากนี้ เขาจะไม่ยอมให้ชายใด มาใกล้ชิดกับนางอีก เขาบดขยี้นางแรงขึ้น พร้อมกับกำจัดสิ่งที่กีดขวางเขา เขาดูรีบร้อนนัก เสื้อผ้าแทบจะกระจัดกระจายออกโดยเร็ว“ท่านอ๋อง อย่าสิเพคะ นี่มันรุนแรงเกินไป เดี๋ยวเสื้อขาด ท่านอ๋อง” นางขัดขืน นางไม่เคยเห็นเขาดูร้อนรนขนาดนี้มาก่อน“เจ้าอย่าห้ามข้าเลย เจ้า
ฟางซินส่ายหัวให้เขา ท่านอ๋องของนางเกินเยียวยาแล้ว นางรู้ว่าเขาเป็นห่วง แต่เกินกว่านั้นคือเขาเป็นโรคขี้หึงแบบรุนแรง นางคงแก้นิสัยแบบนี้ของเขาไม่ได้ ทำได้เพียงปล่อยเขาไป“ก็ได้ ตามใจพระองค์เลยเพคะ”“องค์ชายฟู่เฉิง”ฟางซินเรียกฟู่เฉิง ที่รออยู่ในห้องรับรอง ก่อนที่จะถูกส่งตัวกลับไป“องค์หญิง ข้า มีเรื่องที่ต้องพูดกับเจ้า ข้าอยากจะขอโทษเจ้า และขออภัยที่ล่วงเกินเจ้า ด้วยความเข้าใจผิด เรื่องนี้ ไม่ว่าจะทำอย่างไร ข้าคงไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ชั่วชีวิต”ฟู่เฉิงบอกนาง“ท่านทำไปเพราะโดนหลอก สิ่งที่ท่านทำไป ข้าอภัยท่านหมดแล้ว พี่ฟู่เฉิง ท่านอย่าได้คิดมากเลย พวกเราก็กลับมาอย่างปลอดภัยกันทุกคนนี้ แล้วนี่ ท่านคิดจะทำอย่างไรต่อ”“ข้าคงกลับไปที่แคว้นเว่ยก่อน คงต้องกลับไปอธิบายให้เสด็จพ่อทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ฟางซิน แผนของท่านลุง เป็นเรื่องที่เขาหลอกให้ข้าทำ แต่ความรู้สึกของข้า ที่มีให้กับเจ้า เป็นเรื่องจริง ข้า จริงใจกับเจ้ามาตลอด ข้าไม่เคยมีความคิดที่จะทำร้ายเจ้าเลยแม้แต่น้อย”ฟู่เฉิงพูดกับฟางซิน เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ตอนแรกที่เขามา เขามาตามแผนการก็จริง แต่พอรู้จักนาง ยิ่งได้คุยกัน และคบหาเป็นสหาย เ
“โชคดีที่เจ้าปลอดภัย เจ้าอย่าพึ่งคิดอะไรมาก ช่วงนี้ดูแลตัวเองให้ดีๆ ตกลงไหม”เขาปลอบนาง เขารู้ว่านางอาจจะคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย หลังจากเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้นพร้อมๆ กันหลายอย่าง หากเป็นเขาเอง เขาก็คงจะเป็นเหมือนนางเช่นกัน“ท่านอ๋อง หม่อมฉันอยากกลับจวนเพคะ” นางบอกเฉิงอ๋อง“เจ้าควรจะอยู่พบฝ่าบาทก่อน พระองค์คงอยากจะคุยกับเจ้านะ ตอนนี้ท่านลุงอยู่กับฝ่าบาท อีกสักพักคงมาหาเจ้า” เขาบอกนาง เขารู้ว่าฟางซินเองคงไม่รู้จะทำตัวอย่างไร แต่ในเมื่อความจริงอยู่ตรงหน้า จะช้าหรือเร็ว ก็ต้องยอมรับอยู่ดี“แต่ข้า ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับพระองค์อย่างไร”“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะอยู่ข้างๆ เจ้า เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน เจ้าได้รู้ประวัติของแม่เจ้า และยังพบพ่อที่แท้จริง เรื่องนี้ ไม่น่าดีใจหรอกหรือ ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ เจ้าก็หนีความจริงว่าพระองค์คือพระบิดาของเจ้าไม่ได้หรอก จริงไหม” เขาพูดปลอบนาง“นั่นก็จริงเพคะ หม่อมฉันไม่ได้กลัว หม่อมฉันแค่รู้สึกว่าทุกอย่าง มันกะทันหันเกินไป จนเหมือนไม่ใช่ความจริง”ฟางซินพูด พร้อมมองหน้าเฉิงอ๋อง เขาเดินมานั่งใกล้ๆนาง นางโน้มตัวเข้ามาให้เขากอด“ไม่ใช่เจ้าคนเดียวที่รู้สึกแบบน