ฝ่าบาทเองก็ทรงทราบดีว่า ซีเหนียนไม่เหมาะจะอยู่ที่นี่ นางดื้อด้าน เอาแต่ใจตัวเองเกินไป เขามองหน้าฮองเฮา ซึ่งนางเองก็พยักหน้าให้ ฮองเฮาเองเป็นแม่ของแผ่นดิน นางให้ความยุติธรรมกับทุกคน ซีเหนียนแม้ไม่ใช่ธิดาของนาง แต่นางก็เอ็นดูซีเหนียน เนื่องด้วยป่วยตั้งแต่เด็ก แต่การกระทำของนางในวันนี้ ต่อไปก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่า จะมีเรื่องปวดหัวอะไรมาให้อีกเท่าใด นางเองก็รับผิดชอบไม่ไหว“ซีเหนียน เจ้าไปเก็บของ อีก 2 วัน กลับแคว้นจ้าวทันที ไม่มีคำสั่ง ห้ามเข้ามาในเมืองหลวงอีกเป็นอันขาด” ฝ่าบาทตรัส“ไม่นะเพคะ เสด็จพ่อ ลูกไม่อยากกลับนะเพคะ ลูกจะอยู่กับเสด็จพ่อที่นี่เพคะ ไม่นะ เสด็จแม่ ช่วยทูลเสด็จพ่อทีเพคะ เสด็จแม่ ลูกรู้ผิดแล้ว ไม่ทำอีกแล้วเพคะ”“เจ้าจะกลับแคว้นจ้าวดีๆ หรือเจ้าอยากจะโกนหัวบวชชี แล้วไปเฝ้าสุสานบรรพชน เจ้าเลือกเอาเองก็แล้วกัน”พระองค์ยื่นคำขาด ตอนนี้ซีเหนียนช็อกจนล้มลงกับพื้น มองหน้าฝ่าบาท และไม่มีคำพูดหลุดออกมาอีกผลของแผนการนี้ เลวร้ายเกินไปที่นางจะรับได้ นางไม่มีแม้แต่ข้อแก้ตัวให้ตัวเอง ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ ทั้งๆ ที่เรื่องราวดูเหมือนจะเป็นไปตามแผนทั้งหมด แต่ทำไม แค่คำพูดของนางจิ้งจอกนี
หลังจากที่ถูกนำตัวมาส่งที่ห้อง องค์หญิงซีเหนียนได้แต่นั่งเงียบอยู่ในห้อง คิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น นางแทบจะปรับตัวตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ทัน จุดเปลี่ยนคือตรงไหนกันแน่ ทำไมนางถึงพลาด นางนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวในห้องมืดๆ จนมีเสียงหนึ่งทักมา“องค์หญิง ถ้าจะให้ข้าเดา ข้าว่าแผนวันนี้ ล้มเหลวสินะ” เสียงนั้นคุยกับนางในความมืด ซีเหนียนเงยหน้าขึ้น สายตานางมีแต่ความแค้นและเกลียดชัง ใช่ คนผู้นี้คือต้นเหตุที่ทำให้นางอับอาย จนเสด็จพ่อไม่สามารถทนให้นางอยู่ในวังหลวงได้“เจ้า เป็นเพราะเจ้า ตอนนี้ข้าหมดสิ้นหนทางทุกอย่างแล้ว เจ้าเป็นคนทำลายชีวิตข้า เจ้า เพราะแผนชั่วของเจ้า ทำให้ข้าไม่เหลืออะไรเลย ตอนนี้ข้าต้องย้ายกลับไปที่แคว้นจ้าว ไปอยู่กับอาจารย์ ห้ามกลับเมืองหลวง เจ้าต้องรับผิดชอบ”นางขู่กลับอย่างอาฆาต นางไม่ยอม“หากเจ้ายังทำเฉย ข้าจะเปิดโปงเจ้า ข้าจะบอกทุกคนว่าเจ้าเป็นคนให้ข้าทำ”“องค์หญิง ท่านคิดว่า คำพูดท่านตอนนี้ พูดไป จะมีใครเชื่อถือเจ้า อย่างนั้นเหรอ ฮ่า ๆๆๆๆ”เขาขำกับความคิดไร้เดียงสาของนาง“ซีเหนียน นะ ซีเหนียน เจ้ายังไร้เดียงสาเกินไป แผนการนี้ เป็นแค่ขั้นแรกเท่านั้น หากเจ้ายังปล่อยวางไม่
วันนี้เป็นวันที่องค์หญิงซีเหนียน จะถูกส่งกลับไปแคว้นจ้าว ตามพระบัญชาของฮ่องเต้ อย่างน้อย ฝ่าบาทก็จะได้วางพระทัย การส่งองค์หญิงกลับไป อย่างแรกทำให้เหตุการณ์วันก่อนนี้สงบลงโดยเร็ว อีกอย่างคือนางจะได้สงบสติอารมณ์ และกลับไปรักษาสุขภาพของนางให้ดี พระองค์คิดว่าสิ่งที่ทำไป เป็นผลที่ดีสำหรับตัวองค์หญิงที่สุดแล้ว วันนี้นางขอให้ฝ่าบาท พระราชทานอนุญาตให้เฉิงอ๋อง มาส่งนางด้วยตนเอง ถือเป็นคำขอร้องก่อนที่นางจะจากไป ฝ่าบาทเลยอนุญาตเป็นกรณีพิเศษขบวนเสด็จขององค์หญิงเคลื่อนตัวออกจากวังหลวง เพื่อเดินทางกลับ ทางเรือ ซึ่งจะใช้เวลาสั้นกว่า และปลอดภัยกว่าทางบกมากนัก เพราะไม่ต้องระแวงเรื่องโจรภูเขาระหว่างเดินทางวันนี้เป็นวันที่เจียฟู่เฉิงเปิดร้านใหม่ ร้านผ้าไหม หงอี้ ฟางซินได้รับคำเชิญจากฟู่เฉิงแล้ว นางให้เด็กๆ ยกของขวัญตามนางมา ตอนนี้ถึงหน้าร้านแล้ว เจียฟู่เฉิงคอยอยู่หน้าร้าน“ฟางซิน ทางนี้ๆ เชิญเลย ๆ” เขาเดินมาหานาง พร้อมกับกล่าวทักทาย“ยินดีกับพี่ฟู่เฉิงด้วย ขอให้กิจการท่านรุ่งเรือง ค้าขายกำไรดี ตลอดไปนะเจ้าคะ นี่ของขวัญวันเปิดร้านจากข้าเจ้าค่ะ”นางสั่งเด็กยกไปส่งในร้าน“เกรงใจไปแล้ว คนกันเองทั้งนั้น
เขาเดินเข้าไปคุยกับชายผู้หนึ่ง ที่รออยู่ระเบียง ดาดฟ้าเรือ“ทางฝั่งโน้น ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่มั้ย อี้หลิง”เขาถามชายคนนั้น“เรียบร้อยดีพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายรองไม่ต้องเป็นห่วง พอถึงท่าเรือเซียงหยางที่นัดไว้ ก็สามารถเปลี่ยนคนได้เลย” อี้หลิง องครักษ์ของเขา รายงานต่อ“เตรียมคนดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ขาดแต่รอเวลาที่เราไปถึงเท่านั้นเอง พ่ะย่ะค่ะ”“ใช้เวลาอีกเท่าใด กว่าจะถึงที่นัดหมาย” ฟู่เฉิงถาม“หากไม่มีอะไรผิดพลาด พรุ่งนี้ช่วงบ่าย เราจะถึงเมืองเซียงหยาง พ่ะย่ะค่ะ”อี้หลิงตอบกลับ“องค์ชาย รอบนี้ ท่านจะมุ่งตรงไปแคว้นเว่ยเลย ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”“ใช่ ข้าจะไปพบเสด็จแม่ก่อน รอให้ไปถึงแคว้นเว่ยก่อน แล้วค่อยวางแผนทีหลัง”เขาบอกอี้หลิง เรือแล่นออกไปเรื่อยๆ เขามองกระแสน้ำที่อยู่ด้านล่าง หากฟางซิน เข้าใจเขาก็คงดี เขาพร้อมจะมอบอนาคตที่ดีให้นาง และยกตำแหน่งพระชายาให้นาง จะรักและดูแลนางเพียงผู้เดียว ขอแค่ข้ามแม่น้ำเว่ยไปได้ จนถึงแคว้นเว่ย เจ้าก็จะเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียวร้านผ้าไหม หงอี้จีซูตามฟางซินไปจนถึงทางเข้าห้องใต้ดิน หลังจากนั้น นางไม่อาจจะตามต่อได้ นางรออยู่นาน จนได้ยินเสียงชุนเอ๋อวิ่งหาคุณหนูของน
พวกเขาเตรียมสัมภาระ และอาวุธที่พอติดตัวได้ไปเท่าที่จำเป็น เมื่อทั้งหมดพร้อมแล้ว ทุกคนพร้อมออกเดินทาง ต้าหรงเห็นม้าวิ่งมา เขารีบแจ้งเฉิงอ๋องต้าหรง “ท่านอ๋อง รองแม่ทัพลู่มาพ่ะย่ะค่ะ”“พวกท่านจะแอบหนีข้าไป โดยไม่บอกข้าเลยหรือ” จินเยว่หยุดม้า“ขอโทษทีจินเยว่ พวกข้ารีบร้อนน่ะ เจ้าจะไปกับพวกเราด้วยหรือ” เฉิงอ๋องถามเขา“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ นั่นน้องกระหม่อมทั้งคนนะ แล้วกระหม่อม ยังได้รับนี่มาด้วย”เขาถือสิ่งของมา 2 อย่าง อย่างแรกคือจดหมายฉบับหนึ่ง อีกอย่างคือ“กระบี่อาญาสิทธิ์ของฮ่องเต้”เฉิงอ๋องกับต้าหรงพูดพร้อมกัน“ใช่แล้ว รายละเอียดค่อยพูดกันวันหลัง ตอนนี้ รีบไปก่อนดีกว่า โจรชั่วนั่น ข้าอยากจะจับมาฆ่านัก”ถึงแม้เฉิงอ๋องเองจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มีเวลาฟัง เขาเป็นห่วงฟางซินมากกว่าสิ่งใด ความปลอดภัยของนาง หากไอ้เลวเจียฟู่เฉิงนั่น คิดไม่ดีกับนาง เขาคง เขาจะฆ่ามันให้ตายคามือเขาเลยทีเดียว ว่าแล้วเข้าก็รีบควบม้าอย่างไว จนทุกคนเกือบจะตามไม่ทัน เขาลืมไปแล้วว่าใครเป็นคนนำทาง แต่ทุกคนก็เข้าใจความร้อนใจนี้ได้ ทุกคนเลยเร่งฝีเท้าม้าไปด้วยเช่นกันบนเรือเป่ยอี้ฟางซินขยี้ตาขึ้น และรู้สึกเวียนหัวนิดห
ม้าวิ่งเกือบทั้งวัน แทบจะไม่ได้หยุดพักเลย ตอนนี้พลบค่ำแล้ว อีกไม่ถึง 50 ลี้ ก็จะถึงเมืองเซียงหยาง เขาแวะพักค้างคืนก่อนที่จะเข้าเมืองเซียงหยางเช้าตรู่พรุ่งนี้ เขาแทบอยากจะวิ่งเข้าเมืองตอนนี้เลยด้วยซ้ำ หากแต่ว่าทางอันตรายเกินไป ทุกคนเลยหยุดพัก เพราะเช้าตรู่ ก็สามารถวิ่งตรงเข้าเมืองได้เลย พวกเขาคุ้นชินกับการพักแรมในป่า จึงไม่ต้องกังวลอะไรมากมาย ระหว่างที่นั่งรอ เฉิงอ๋องเลยถามจินเยว่“จินเยว่ เจ้าตามพวกเรามาได้เช่นไรงั้นหรือ”“พอชุนเอ๋อมาถึงจวน แจ้งข่าวให้ทราบ ท่านพ่อก็รีบเขาวังไปพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็ไม่เข้าใจ แต่ท่านพ่อบอกว่าให้กระหม่อมรออยู่ก่อน แล้วท่านจะรีบกลับมา” เขาเริ่มเล่า“พออีกพักใหญ่ ท่านพ่อยังไม่มา พี่เป่าหลงก็ออกมาตามหาพวกท่านที่ร้านผ้าไหมนั่น ท่านพ่อก็เข้ามาพอดี ท่านมอบของ 2 อย่างนี้ให้ข้า จดหมายฉบับนี้ กับกระบี่อาญาสิทธิ์นี้มาให้ท่าน”เขายื่นกระบี่และจดหมายให้เฉิงอ๋อง เขาเริ่มอ่านข้อความในจดหมายทันที“เจียฟู่เฉิง นามจริง องค์ชายเป่ยอี้ฟู่หลง รัชทายาทอันดับ 2 แห่งแคว้นเว่ย โอรสของฮ่องเต้เป่ยอี้ฟู่เจียงกับองค์หญิงเฟยหรูเหมยอิง (องค์หญิงแคว้นจ้าว) ”“แค่นี้หรือ ท่านอ๋อง หมดแ
“จริงๆเรื่องนี้ หากให้เล่า ต้องย้อนไปเมื่อ 17 ปีก่อน ก่อนสงครามสร้างแคว้น ที่แคว้นจ้าว มีนักเรียนต่างแคว้นมาเรียน และนักเรียนที่โดดเด่น และน่าเกรงขาม เขามักจะอยู่กัน 4 คน ผู้คนมักเรียกพวกเขาว่า 4 เทพแห่งสงคราม 2 ใน 4 คนนั้น เกิดชอบพอผู้หญิงคนเดียวกัน นั่นคือ แม่ของเจ้า แต่สุดท้าย นางต้องแต่งเข้าไปเป็นสนมของฮ่องเต้แคว้นจ้าว ตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ไม่อาจขัดได้”“จนถึงวันที่แคว้นเว่ยมีกบฏเกิดขึ้น พ่อข้าขอความช่วยเหลือจากท่านลุง และฮ่องเต้ เพราะเป็นสหายร่วมเรียนกันมา สงครามยืดเยื้อกันมาเกือบ 1 ปี กว่าสงครามจะจบลง 1 ใน 4 เทพ ตายในสนามรบ” “ตอนนั้นลุงข้า ตำแหน่งมหาอุปราชแคว้นจ้าว ช่วยฮ่องเต้หยางผิงจวิ้น ร่วมรบกับแคว้นฉินและพ่อข้า จากกบฏแคว้นเว่ย แม่เจ้า ไป๋ซู่เฟิง เป็นต้นเหตุแห่งเพลิงสงครามครั้งนั้น พวกกบฏแคว้นเว่ย ต้องการให้ส่งแม่เจ้า ไปเป็นสนมพวกมัน หรือไม่ ก็ต้องส่งมอบดินแดนให้มัน พ่อเจ้าไม่ยอม เลยทำสงครามกับพวกกบฏ” “แม่เจ้ารู้ดีว่าไม่อาจยั้งชีวิตเอาไว้ได้ นางคลอดเจ้าออกมาได้เพียง 7 วัน นางเลยไปพบท่านหมอตู้ หมอประจำกองทัพเฉิงตอนนั้น เพื่อขอร้องให้พาเจ้ากลับไปด้วย ยิ่งอยู่ไกลสงครามเท่าไหร
คณะเดินทางของพวกเฉิงอ๋องเข้ามาถึงเมืองเซียงหยางแล้ว พวกเขาแต่งกายเป็นคนพื้นเมืองที่นี่ เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต เขาเลือกพักโรงเตี๊ยมใกล้ๆ กับท่าเรือ และไม่นาน สายขององค์ชายเป่าหมิงก็มารายงาน“เข้ามาได้” องค์ชายเป่าหมิงบอก“ทูลองค์ชาย ที่นี่มีเรือมาถึงก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ ถึงตั้งแต่เมื่อวาน เรือนั่นมาจากเมืองหลวง เป็นเรือขององค์หญิงซีเหนียนแห่งแคว้นฉิน”“อะไรนะ”พวกเขาพูดพร้อมกัน ซีเหนียนเหรอ นางมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไร“ทูลองค์ชาย สายที่ลอบขึ้นเรือไปดักฟังอยู่ เขาบอกว่า รอให้อีกลำมา เอาคนมาเปลี่ยน พอเห็นหน้า ก็จะทำเครื่องมือหนังมนุษย์ เพื่อเปลี่ยนรูปหน้านาง เป็นอีกคนบนเรือ แล้วส่งคืนเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”“แผนสกปรก ท่านอ๋อง นี่นางกะจะให้ท่านเป็นสามีของนางให้ได้เลยนะ”จินเยว่พูด พร้อมกับรู้สึกรังเกียจผู้หญิงคนนี้มากขึ้น“คนบนเรือยังคุยกันอีกว่า นางน่าจะปลอมตัวยาก เพราะบุคลิกต่างจากคนที่นางจะปลอมตัวอยู่พ่ะย่ะค่ะ”ทุกคนพากันขำ มันก็เป็นเรื่องจริง นางจะมาเลียนแบบฟางซิน คงยาก ถึงแม้หน้าตาจะเหมือนกัน ไม่ต้องถึงตาท่านอ๋องหรอก แค่พวกเขาก็ดูออกง่ายๆ แล้ว“งั้น ตอนนี้ พวกเราเอาไงต่อดี”จินเยว่ถ
“กรุบกรับๆๆๆ”เสียงม้าที่โดนเฆี่ยนเพื่อให้วิ่งเร็วที่สุดของอ๋องเฉิงและจินเยว่ วิ่งออกนอกเมืองมาอย่างสายลม“เร็วเข้าสิ เร็วอีก”“ท่านอ๋อง ท่านอย่าพึ่งรีบร้อน น้องสามไม่เป็นอะไรหรอก นางอยู่กับแม่นมเถา นางจะปลอดภัย ย่าส์....”จินเยว่รีบควบม้าให้ทันว่าที่ท่านพ่อหมาดๆที่ขี่ม้านำเขาไปอีกแล้ว ม้าของท่านอ๋องกลับไปต้องดูแลกันอย่างหนักเลยทีเดียวเหตุการณ์เริ่มจากเมื่อตอนสาย หลังจากที่เฉิงอ๋องออกมาจากจวนเพื่อจะมารับคำสั่งเพื่อจัดส่งเสบียงที่จะไปชายแดนฝั่งตะวันออก เมื่อเขามาถึงไม่นาน และรับจดหมายคำสั่ง จินเยว่ก็ขี่ม้ามาหาเขา เพื่อแจ้งข่าวด้วยหน้าตาที่ตื่นตระหนก“ท่านอ๋อง เร็วเข้า ซินเอ๋อนางปวดท้อง จะคลอดแล้ว แม่นมเถาให้ข้ามาส่งข่าว”“ตุบ”หนังสือราชการในมือของเฉิงลี่หมิงตกจากมือ“ท่านอ๋องขอรับ ท่านอ๋อง รีบไปสิขอรับ”“ต้าหรง เจ้า ได้ยินเหมือนข้าใช่หรือไม่ พระชายา จะคลอดแล้ว ข้าจะเป็นพ่อคนแล้ว เร็วเข้า ไปเอาม้ามาให้ข้า เร็วๆ เข้า”จินเยว่ส่งข่าวให้เฉิงอ๋องทราบแล้ว เขากำลังจะวิ่งไปส่งข่าวที่จวนสกุลลู่ต่อ แต่วันนี้ แม่ทัพลู่ก็เข้าวังด้วย เขาเลยส่งข่าวที่ท่านพ่อแทน“เจ้าว่าไงนะเยว่เอ๋อ ซินเอ๋อจะคลอดแล
เรือนตากอากาศสกุลเฉิง“พระชายาเพคะ กลับเข้าไปข้างในจวนเถอะเพคะ เวลานี้ลมแรง เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะเพคะ”“รออีกสักครู่เถอะแม่นมเถา ข้าอยากรอท่านอ๋องกลับมาก่อน นี่ก็จวนจะได้เวลาแล้ว”“ก็ได้เพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันเอาผ้าคลุมมาให้เพคะ พระชายาต้องเสวยยาบำรุงครรภ์แล้วนะเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันให้เด็กยกมาให้พร้อมกันเลย”“ขอบคุณแม่นมเถา”แม่นมเถา เป็นหมอตำแย และแม่นมให้กับท่านอ๋องเฉิง นางอยู่จวนอ๋องเฉิงมาพร้อมๆกับหมอตู้ ตอนนี้ นางมาประจำการอยู่ที่จวนตากอากาศ เนื่องจากพระชายาใกล้ถึงกำหนดคลอดเต็มที เฉิงอ๋องอยากให้พระชายาได้อยู่ในจวนนี้ เนื่องจากอากาศดี และนางก็ชื่นชอบที่นี่มาก ก่อนหน้านั้น เฉิงอ๋องได้ให้คนจัดเตรียมทุกอย่างที่นี่เอาไว้พร้อมสรรพ ทั้งเครื่องมือเครื่องใช้สำหรับการคลอด ของใช้สำหรับเด็ก ยารักษาโรคต่างๆ จวนตากอากาศตอนนี้เหมือนยกทั้งจวนอ๋องเฉิงในเมืองหลวง มาอยู่ที่นี่กันหมด เพราะแต่ละคนก็อยากมาดูแลพระชายาของพวกเขาทุกคนตื่นเต้นกับทายาทที่กำลังจะคลอดออกมา ท้องของฟางซินก็โตมาก หากไม่มีคนคอยพยุงเดิน นางแทบจะไปไหนไม่ได้เลยทีเดียว ชุนเอ๋อเองก็ไม่เคยห่างนางไปไหนเลย เพราะต้องคอยพยุงนางเวลาเดินไปไหน ช่วง
จวนสกุลลู่ฮูหยินใหญ่ และฮูหยินรอง ต่างเข้มงวดกับการเตรียมตัว ฝึกซ้อมเจ้าสาวในพิธีสมรสพระราชทานครั้งนี้มาก ทั้งขั้นตอนการยกน้ำชา ทั้งมารยาทในพิธีการ ฮองเฮาทรงจัดให้นางข้าหลวงใหญ่ มาช่วยฝึกซ้อมให้องค์หญิงทั้งสองถึงที่จวน พวกนางแทบจะไม่มีเวลาได้พัก จนฟางซินบ่นกับหนิงเซียน“พี่รอง หากรู้ว่าแต่งงานในวังจะพิธีมากขนาดนี้ ข้าเริ่มไม่อยากแต่งแล้วเจ้าค่ะ เหนื่อยจังเลย”“เจ้าอย่าได้บ่นให้ท่านแม่ได้ยินเชียว ข้าขี้เกียจฟังนางบ่นเพิ่มอีก แค่นี้ก็ปวดหัวจะแย่แล้ว ไปเถอะ เรามาหลบดื่มชาอยู่ที่นี่ เดี๋ยวพวกนางตามมาเจอ เราจะโดนดุกันอีก”“โอยย พี่รอง ข้าเหนื่อยแล้ว อยากนั่งพักอีกหน่อย ฮือออ”“เจ้านะ มาเลย ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ฝึกอีกรอบเดียวก็จะได้พักแล้ว มาเถอะน่า ข้าก็อยากพักแล้ว เร็วๆ น้องสาม ลุกเลย”หนิงเซียนพยายามทั้งดัน ทั้งลากน้องสาวนางไปฝึกซ้อมพิธีการในวัง ฟางซินรู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากแม้แต่จะลุกจากเก้าอี้ จินเยว่เดินมาหาพวกนางที่ทั้งลาก ทั้งดึงกันอยู่“นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อน พี่คงนึกว่าพวกเจ้าทะเลาะกันนะเนี่ย”“”พี่ใหญ่””ทั้งคู่หันมาหาจินเยว่“พวกเจ้าแอบหนีมาอยู่ที่นี่เอง ท่านแม่ทั้งสองให้สาวใช้หาพวกเจ้
จวนสกุลลู่“เร็วเข้าๆ ขบวนเจ้าบ่าวจะมาอยู่แล้ว คุณหนูแต่งตัวกันเสร็จหรือยัง ของมงคล 9 อย่างล่ะ แม่นมอู๋ ท่านเตรียมอั่งเปาหรือยัง หน้าประตูล่ะ”“ถังซิน ถังซิน เจ้ามาดูผ้าคลุมให้ซินเอ๋อที ข้าจะไปเอาต่างหูให้เซียนเอ๋อ เร็วเข้า”“เจ้าค่ะๆ ท่านพี่ มาแล้วๆ เจ้าค่ะ นี่ๆ แอปเปิลของเซียนเอ๋อ ให้ลูกถือเอาไว้”“ได้ๆ ตายแล้ว พี่ลืมรองเท้า รองเท้าพวกนางอยู่ไหน”“”ท่านแม่””ฟางซินและหนิงเซียน ร้องเรียกฮูหยินใหญ่พร้อมกัน“พวกเจ้าเรียกข้าทำไม ลืมเลยเนี่ยว่าจะทำอะไร”“ท่านแม่ รองเท้าน่ะ พวกข้าใส่แล้วเจ้าค่ะ ท่านดูสิ”หนิงเซียนบอกฮูหยินใหญ่ นางดูจะตื่นเต้นลนลานมากที่สุด กลัวว่าจะขาดอะไร กังวลว่าจะจัดของไม่ครบหนิงเซียนกับฟางซินมองหน้ากันและหัวเราะความรีบของฮูหยินใหญ่“ท่านพี่ ท่านพักก่อนนะเจ้าคะ เด็กๆพร้อมแล้ว ไม่มีอะไรขาดแล้วเจ้าค่ะ ข้ากับแม่นมอู๋ตรวจให้ท่านอีกที ดีหรือไม่”“ถังซิน ฝากเจ้าดูอีกทีนะ อย่าให้ขาดเชียวนะ เสียหน้าจวนแม่ทัพเราหมด”“เจ้าค่ะๆ ท่านนั่งพักก่อน เดี๋ยวเป็นลมก่อนส่งตัวเจ้าสาวนะ นี่ เจ้าน่ะ มาเติมหน้าให้ฮูหยินใหญ่ทีสิ ทำไมปากท่านพี่ข้าซีดแบบนี้ล่ะ เร็วเข้าๆ”“ฮูหยินรองร้องสั่งช่างแต
ฟางซินกะพริบตาถี่ๆรับแสงในตอนเช้า นางรู้สึกว่ามีมือหนักๆพาดอยู่ที่เอวนาง นางค่อยๆหันไป ใบหน้าที่คุ้นเคย คิ้วเข้มดั่งหมึก ขนตายาว จมูกเป็นสันเข้ากับรูปหน้า ฟางซินอดไม่ได้ที่จะใช้มือเขี่ยขนตาเขาเล่นเบาๆ“หากเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะลงโทษเจ้าเดี๋ยวนี้เลยนะพระชายา”ฟางซินตกใจเล็กน้อย“ท่านตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”“ข้าตื่นได้สักพักแล้ว ทำไม พระชายาอยากจะปลุกข้างั้นหรือ ไม่ต้องหรอก เพราะตอนนี้ ข้าตื่นเต็มที่แล้ว ไม่เชื่อ เจ้าลองจับดูสิ”เขาจับมือนางลงไปใต้ผ้าห่ม ฟางซินสะดุ้งเมื่อจับโดนบางอย่างด้านล่างนั่น“พระองค์ ทะลึ่งเกินไปแล้ว นี่มันเช้าอยู่นะเพคะ”“นี่มันเป็นเรื่องปกติของบุรุษ เจ้าทำใจให้ชินเสียเถอะ”ฟางซินหันหลังหนีเขา แต่ไม่ทันแล้ว เขาพลิกตัวนางนิดเดียว นางก็หันมาหาเขา“การตื่นนอนมา แล้วเห็นหน้าเจ้าเป็นคนแรกแบบนี้ ช่างเหมือนฝันจริงๆ ข้ารู้สึกว่า ตัวเองโชคดีที่สุดในโลกเลย”ฟางซินยิ้มให้เขา นางจุมพิตเขาเบาๆ เฉิงอ๋อง ที่ตื่นตัวอยู่แล้ว เจอแบบนี้เข้า เขาจะทนไหวได้อย่างไร“พระชายา โทษข้าไม่ได้นะ เจ้าเริ่มก่อนเอง”ฟางซินยิ้มให้เขา นางพลิกตัวขึ้นบนตัวเขา เฉิงอ๋องมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของนางที่
“เจ้าค่อยๆ กิน เลอะปากแล้ว”เฉิงอ๋องเช็ดปากให้นาง และมองนางกินผัดหมูเปรี้ยวหวานอย่างเอร็ดอร่อย“เพราะใครล่ะเพคะ หม่อมฉันหิวจนจะกินแพะได้ทั้งตัวแล้วเพคะ”ฟางซินมองเขาอย่างงอนๆ นางหิวมากจริงๆ นางกินข้าว ชามนี้เป็นชามที่ 2 แล้ว“ข้ารู้แล้วว่าเจ้าหิวมากจริงๆ เป็นความผิดข้าเอง ข้าขอโทษเจ้าด้วย”เขามองนางแล้วเผลอยิ้มออกมา ทั้งสองทานข้าวเย็นด้วยกัน เฉิงอ๋องสั่งคนครัวทำอาหารที่ฟางซินชอบไม่ว่าจะเป็นขาหมูน้ำแดง ผัดหมูเปรี้ยวหวาน หรือแม้แต่ปลานึ่งแชบ๊วย เขาสั่งให้คน ยกอาหารมาไว้ให้ในศาลากลางสวน บรรยากาศยามค่ำคืนเย็นสบาย ทำให้ทานอาหารได้อร่อยมากยิ่งขึ้น กว่าฟางซินจะลุกจากเตียงได้ ใช้เวลานาน เขาเลยอุ้มนางมาที่นี่“อ้อ ข้าลืมบอกเจ้าไปว่า ฝ่าบาททรงมีรับสั่ง ให้องค์หญิงซีเหนียนไปเฝ้าศาลบรรพชน 2 ปี เป็นการทำโทษนาง ที่ร่วมก่อเหตุครั้งนี้ขึ้นมา นางจะเดินทางพรุ่งนี้แล้วล่ะ ครั้งนี้ ฝ่าบาทโกรธนางมากจริงๆ” เขาบอกฟางซิน ระหว่างที่นางกำลังจิบชาหลังมื้ออาหารเย็นเสร็จ“ซีเหนียนเองก็ถูกหลอกใช้เหมือนกัน เสด็จพ่อไม่น่าจะลงโทษนางรุนแรงขนาดนั้น” ฟางซินพูด เพราะเรื่องคราวนี้ และเหตุการณ์ที่ซีเหนียนเข้ามาเกี่ยวข้อง
“ท่านอ๋องเพคะ ท่านจะรีบไปไหนเพคะ” ฟางซินถามขณะที่ท่านอ๋องพานางมาที่จวนอ๋องเขาไม่ตอบนาง เขาแค่พานางเดินมาที่ห้อง และปิดประตูห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะช้อนร่างของสาวน้อย และพาเดินไปที่เตียง นางตกใจ“เดี๋ยวก่อนเพคะ ท่านอ๋อง นี่มันกลางวันแสกๆ พระองค์ไม่ควร...”ฟางซินห้ามเขา ไม่ทันที่นางจะพูดต่อ ท่านอ๋องของนางก็ใช้ปาก ปิดปากนางทันควัน เขาค่อยๆ พาร่างนางวางลงบนเตียงนุ่มและตัวเขาเองก็ค่อยๆ โน้มตัวลงมาตาม รสจูบของนางช่างหวานเหลือเกิน นานเท่าไหร่แล้วที่เขาโหยหาความหวานนี้ ตั้งแต่เกิดเรื่องลักพาตัวขึ้น เขาก็แทบจะไม่ได้ใกล้ชิดกับนางเลย ไม่นับรวมตอนที่ดูแลนางอยู่บนเรือตอนนั้นเขาข่มใจทั้งคืนเนื่องจากนางป่วยเพราะเมาเรือ แต่วันนี้ เขาคงไม่รออีกแล้ว ไหนจะนับที่นางพึ่งจะไปพบกับองค์ชายฟู่เฉิงนั่นมาอีก เขาไม่ยอม และหลังจากนี้ เขาจะไม่ยอมให้ชายใด มาใกล้ชิดกับนางอีก เขาบดขยี้นางแรงขึ้น พร้อมกับกำจัดสิ่งที่กีดขวางเขา เขาดูรีบร้อนนัก เสื้อผ้าแทบจะกระจัดกระจายออกโดยเร็ว“ท่านอ๋อง อย่าสิเพคะ นี่มันรุนแรงเกินไป เดี๋ยวเสื้อขาด ท่านอ๋อง” นางขัดขืน นางไม่เคยเห็นเขาดูร้อนรนขนาดนี้มาก่อน“เจ้าอย่าห้ามข้าเลย เจ้า
ฟางซินส่ายหัวให้เขา ท่านอ๋องของนางเกินเยียวยาแล้ว นางรู้ว่าเขาเป็นห่วง แต่เกินกว่านั้นคือเขาเป็นโรคขี้หึงแบบรุนแรง นางคงแก้นิสัยแบบนี้ของเขาไม่ได้ ทำได้เพียงปล่อยเขาไป“ก็ได้ ตามใจพระองค์เลยเพคะ”“องค์ชายฟู่เฉิง”ฟางซินเรียกฟู่เฉิง ที่รออยู่ในห้องรับรอง ก่อนที่จะถูกส่งตัวกลับไป“องค์หญิง ข้า มีเรื่องที่ต้องพูดกับเจ้า ข้าอยากจะขอโทษเจ้า และขออภัยที่ล่วงเกินเจ้า ด้วยความเข้าใจผิด เรื่องนี้ ไม่ว่าจะทำอย่างไร ข้าคงไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ชั่วชีวิต”ฟู่เฉิงบอกนาง“ท่านทำไปเพราะโดนหลอก สิ่งที่ท่านทำไป ข้าอภัยท่านหมดแล้ว พี่ฟู่เฉิง ท่านอย่าได้คิดมากเลย พวกเราก็กลับมาอย่างปลอดภัยกันทุกคนนี้ แล้วนี่ ท่านคิดจะทำอย่างไรต่อ”“ข้าคงกลับไปที่แคว้นเว่ยก่อน คงต้องกลับไปอธิบายให้เสด็จพ่อทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ฟางซิน แผนของท่านลุง เป็นเรื่องที่เขาหลอกให้ข้าทำ แต่ความรู้สึกของข้า ที่มีให้กับเจ้า เป็นเรื่องจริง ข้า จริงใจกับเจ้ามาตลอด ข้าไม่เคยมีความคิดที่จะทำร้ายเจ้าเลยแม้แต่น้อย”ฟู่เฉิงพูดกับฟางซิน เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ตอนแรกที่เขามา เขามาตามแผนการก็จริง แต่พอรู้จักนาง ยิ่งได้คุยกัน และคบหาเป็นสหาย เ
“โชคดีที่เจ้าปลอดภัย เจ้าอย่าพึ่งคิดอะไรมาก ช่วงนี้ดูแลตัวเองให้ดีๆ ตกลงไหม”เขาปลอบนาง เขารู้ว่านางอาจจะคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย หลังจากเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้นพร้อมๆ กันหลายอย่าง หากเป็นเขาเอง เขาก็คงจะเป็นเหมือนนางเช่นกัน“ท่านอ๋อง หม่อมฉันอยากกลับจวนเพคะ” นางบอกเฉิงอ๋อง“เจ้าควรจะอยู่พบฝ่าบาทก่อน พระองค์คงอยากจะคุยกับเจ้านะ ตอนนี้ท่านลุงอยู่กับฝ่าบาท อีกสักพักคงมาหาเจ้า” เขาบอกนาง เขารู้ว่าฟางซินเองคงไม่รู้จะทำตัวอย่างไร แต่ในเมื่อความจริงอยู่ตรงหน้า จะช้าหรือเร็ว ก็ต้องยอมรับอยู่ดี“แต่ข้า ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับพระองค์อย่างไร”“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะอยู่ข้างๆ เจ้า เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน เจ้าได้รู้ประวัติของแม่เจ้า และยังพบพ่อที่แท้จริง เรื่องนี้ ไม่น่าดีใจหรอกหรือ ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ เจ้าก็หนีความจริงว่าพระองค์คือพระบิดาของเจ้าไม่ได้หรอก จริงไหม” เขาพูดปลอบนาง“นั่นก็จริงเพคะ หม่อมฉันไม่ได้กลัว หม่อมฉันแค่รู้สึกว่าทุกอย่าง มันกะทันหันเกินไป จนเหมือนไม่ใช่ความจริง”ฟางซินพูด พร้อมมองหน้าเฉิงอ๋อง เขาเดินมานั่งใกล้ๆนาง นางโน้มตัวเข้ามาให้เขากอด“ไม่ใช่เจ้าคนเดียวที่รู้สึกแบบน