ได้เห็นภาพนี้จางฉีก็หน้าซีด ไม่มีที่ไหนให้เธอหลบได้เธอจึงหลับตาแน่น โชคดีที่เย่เทียนหยู่ยืนอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายพ่นลมหายใจเล็กน้อยก่อนจะเดินไปข้างหน้า แค่ไม่กี่ท่าทางก็จัดการหักแขนของรปภ.ไปแล้วสองคน เจ็บจนอีกฝ่ายต้องส่งเสียงร้องออกมา ก่อนจะพากันล้มลงไปกองอยู่ที่พื้น ถึงแม้จะไม่ได้ขาหัก แต่ก็เจ็บจนลุกไม่ไหว ทุกคนตรงนั้นต่างพากันตกใจไม่คิดว่าเย่เทียนหยู่จะฝีมือดีขนาดนี้ จางฉีเบิกตากว้างมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง ถึงได้เห็นว่าตัวเองไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด ในตอนนี้เธอไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์สักเท่าไหร่ เฉินฮั่นเองก็หน้าถอดสีแต่ก็ยังคงตะโกนออกมาอย่างโมโห “ว่าแล้วเชียวทำไมแกถึงได้กร่างขนาดนี้ที่แท้ก็เป็นมวยนี่เอง แต่แกคิดว่าที่นี่คือที่ไหนกัน รอดูเถอะฉันจะแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้แหละ” เย่เทียนหยู่ไม่ได้พูดอะไร แต่หวงเจวียนอดไม่ได้ที่จะพูด “หัวหน้าเฉินอีกเดี๋ยวท่านประธานก็มาแล้ว…” “มาแล้วแล้วยังไง ต่อให้จะมาหรือไม่มาผมก็จะจัดการมัน” เฉินฮั่นไม่สนใจคำเตือนของหวงเจวียน ก่อนจะรีบกดโทรศัพท์ หวงเจวียนเองก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะหัวหน้าเฉินกับรองประธานหลิวสนิทสนมกัน เธอจึงไม่กล้าไปหาเรื่องมากนัก ไม
เมื่อพูดคำนี้ออกไป คนอื่นๆต่างก็พากันตกตะลึง สายตาของทุกคนรวมถึงหนิงเกอต่างก็บ่งบอกว่าไม่อยากจะเชื่อ ส่วนจางฉี โจวม่านและคนในฝ่ายออกแบบอื่นๆต่างก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาเช่นกัน ใครจะไปคิดว่าเด็กหนุ่มที่ดูหล่อเหลาคนนี้จะเป็นประธานบริษัทคนใหม่ เพราะปกติแล้วคนที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานบริษัทถ้าไม่ใช่คนที่มีอายุสักหน่อยก็ควรจะดูโตกว่านี้ มีคนที่เด็กขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะ โดยเฉพาะเฉินฮั่น เมื่อได้เห็นท่าทีของหวงเจวียนก็ตกใจ และยิ่งได้ฟังคำพูดของหวงเจวียนก็หน้าถอดสี สองขาอ่อนแรงจนแทบจะกองลงไปอยู่ที่พื้น สีหน้าของเขาเหมือนคนอมทุกข์มานานแสนนาน ยิ่งเมื่อนึกถึงท่าทีของตัวเองเมื่อสักครู่ที่เขาเอาแต่ดูถูกและพูดจาประชดประชันอีกฝ่าย แย่แล้ว! ตอนนี้แย่แน่ๆแล้ว “ประ…ประธานเย่ ผม…” “ว่าไงครับ ยังจะให้ผมไสหัวออกไปอีกเหรอ?” เย่เทียนหยู่พูดอย่างเย็นชา “ไม่ …ไม่ใช่นะครับ ประธานเย่เข้าใจผิดแล้ว ผมไม่รู้ว่าคุณคือท่านประธานคนใหม่ ให้โอกาสผมสักครั้งนะครับ ผมจะปรับปรุงตัวแน่นอน” “ไม่รู้ว่าผมเป็นประธานบริษัทเหรอ หรือว่าถ้าผมไม่ใช่ประธานบริษัทคุณจะทำยังไงก็ได้เหรอ?” “ไม่ใช่ครับ คือผม…”
“ค่ะ” หวงเจวียนรับคำด้วยท่าทีอ่อนน้อม เธอต้องรีบเอาเรื่องนี้ไปรายงานให้ท่านรองประธานได้ฟัง “ได้ งั้นรีบไปจัดการเถอะ จำไว้นะครับว่าสิบนาที ทุกคนในบริษัทจะต้องอยู่ที่นั่น ถ้าไม่อย่างนั้นเกิดอะไรขึ้นก็รับผิดชอบตัวเอง” เย่เทียนหยู่พูดเสียงเย็นชา “ค่ะ!” หวงเจวียนเองก็รีบไปจัดการ หลังจากที่ทั้งสองคนออกไปแล้ว หนิงเกอก็ได้สติกลับมา เธอมองไปทางเย่เทียนหยู่ ในสายตาเห็นได้ชัดเลยว่ามีความอึดอัดและอับอายปนอยู่ เธอคิดถึงตอนที่เธอไม่เคยเชื่อคำพูดของเขาแล้วยังจะดูถูกเขาตลอดเวลาอีก ที่แท้เขาก็คือคนของหงหม่ากรุ๊ปจริง ไม่ใช่พนักงานทั่วไป แต่เป็นประธานบริษัทคนใหม่ แต่เธอกลับเอาแต่ดูถูกอีกฝ่าย ตอนนี้จึงได้แต่แสดงสีหน้าสำนึกผิดก่อนจะพูดออกมาอย่างระวัง “ประธานเย่คะ คือฉัน…” “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ต่อจากนี้ตั้งใจทำงานก็พอ” หนิงเกอคนนี้ถึงจะไม่มีมารยาทกับตนเองอยู่บ่อยครั้ง หรือแม้แต่พูดจาดูถูกบ้างแต่ไม่มีปัญหาอะไรมากนัก แค่เป็นคนไม่ชอบยอมอ่อนข้อให้ใครก็เท่านั้น สำหรับเรื่องนี้แล้วเห็นแก่ความสามารถของเธอเย่เทียนหยู่พอทนได้ แต่ถ้าอยากจะเลื่อนตำแหน่งคงเป็นไปไม่ได้ ต้องรอดูเธอในอนาคตแล้วล
แม้กระทั่งจางฉีเองก็ยังโดนหนิงเกอดุด่าอยู่ไม่น้อย แต่จางฉีเป็นเพียงคนเดียวที่ถูกหนิงเกอคอยปกป้องเธอจึงรู้สึกขอบคุณอยู่ไม่น้อย และแน่นอน ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายออกแบบก็ไม่ได้มีแค่เพียงคนเดียว แค่มีความสามารถในการบริหารจัดการ มีความสามารถในการออกแบบ ก็สามารถได้รับโอกาสนี้ได้ ส่วนโจวม่าน เป็นเพราะเธอไปทำให้เฉินฮั่นไม่พอใจเข้า ก็เลยถูกกดไว้อย่างนั้น โจวม่านชะงักไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเธอเองก็ตื่นเต้นมากๆ “ฉันยินดีอยู่แล้วค่ะ สำหรับตำแหน่งนี้ฉันมั่นใจว่าฉันสามารถทำได้ดี” แต่เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็มีสีหน้าลังเล “แต่ว่า…” “แต่ว่าอะไรครับ?” เย่เทียนหยู่ถามอย่างสงสัย โจวม่านลังเลไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดีแต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะพูดออกมา “อาจจะมีการขัดขากันสักหน่อย ฉันกลัวว่าจะมีผลกระทบการบริหารของคุณในอนาคต” ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะถามต่อ แต่เย่เทียนหยู่เข้าใจในทันที เขาพูดออกมายิ้มๆ “ผมเข้าใจครับ แต่วางใจเถอะไม่มีใครสามารถมาห้ามผมได้” เมื่อพูดคำนี้จบ ทุกคนก็นิ่งงันไปแม้กระทั่งหนิงเกอเองก็เช่นกัน ประธานเย่หมายความว่าอะไร หรือว่าเขาจะจัดการคนพวกนั้นในทีเดียว แต่จะเป็นไปได้ยังไง มันทำ
เมื่อพูดจบ ฝ่ายออกแบบที่อยู่ด้านหลังก็พากันหน้าถอดสี เริ่มแล้วใช่ไหม? ใครๆก็รู้ดี ว่ารองประธานบริษัทรักศักดิ์ศรีของตัวเองมากๆ และยังเป็นจอมบงการด้วย เก่งกว่าเฉินฮั่นมาก แต่เย่เทียนหยู่กลับเผชิญหน้าตรงๆเลย หลิวชั่วฟังจบก็สีหน้าเปลี่ยนเคร่งขรึมลงเล็กน้อย ไอ่เด็กนี่คิดว่าตัวเองเก่งนักสินะ แค่เฉินฮั่นคนเดียวยังจัดการไม่ได้ และยังต้องทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้เพื่อไม่ให้เสียหน้า ถ้ากล้าจะมาหาเรื่องกัน เชื่อสิว่าฉันจะทำให้มันยุ่งยากกว่าเดิมเป็นสองเท่า แต่ว่าหลิวชั่วได้แต่กักเก็บอารมณ์ไม่พอใจนี้ไว้ก่อนจะยิ้มออกมา “ที่ผมมาช้าก็มีเหตุผล เมื่อกี้ผมเพิ่งจะคุยโทรศัพท์กับเพื่อนที่เป็นข้าราชการชั้นสูงในเมืองมา ก็เลยช้าไปหน่อย” “ถ้าหากว่าเป็นคนทั่วไปผมคงตัดสายไปแล้ว แต่คนนี้คงจะไม่ได้ ถ้าไปทำให้เขาไม่พอใจบริษัทของพวกเราคงโดนจัดการเรียบ” คำพูดนี้ก็ใช้เพื่อข่มขู่เย่เทียนหยู่เช่นกัน เย่เทียนหยู่หัวเราะเบาๆ “เหรอครับ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงคงไม่สะดวกเท่าไหร่” “ใช่สิครับ” หลิวชั่วเผยสีหน้าได้ใจ ไอ่เด็กนี่กลัวขึ้นมาแล้วล่ะสิ คนที่ไม่เข้าใจอะไรเลยอย่างแกคิดจะมาต่อกรกับฉัน ดูสิว่าฉันจะจัดการยังไง
เย่เทียนหยู่ฟังจบก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาอย่างตกใจ “ไอ่บ้านั่นยังไม่ไปจากเมืองเทียนไห่อีกเหรอ?” “นายว่าอะไรนะ?” หลินหว่านหรูชะงักไปเล็กน้อย “ไม่มีอะไร ไปทานข้าวกันตอนไหนล่ะ?” เย่เทียนหยู่ถาม “สิบเอ็ดโมงครึ่ง ที่ตึกสี่ฤดู” “ไปเร็วจัง โอเค ผมรู้แล้วคุณไปตามนัดก็พอ ทางนี้ผมมีเรื่องนิดหน่อยเดี๋ยวผมไปหา” เย่เทียนหยู่วางสายโทรศัพท์ หลินหว่านหรูงงเล็กน้อย เทียนหยู่หมายความว่ายังไง เขาคงไม่ได้คิดจะมาก่อเรื่องหรอกมั้ง แต่เขาบ้าไปเลยก็ดีอีกฝ่ายจะได้โมโห แต่ถ้าเกิดว่าเขาไม่มาเธอจะทำยังไงดีล่ะ จากที่ฟังคุณปู่และแม่พูด ถ้ารอบนี้เธอไม่ยอมเชื่อฟังก็คงจบเห่แน่ และเธอก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนที่ทำลายตระกูลหลินด้วย ช่างเถอะ ไม่สนใจแล้ว ยังไงมันก็ต้องมีหนทางอยู่แล้ว บางทีเย่เทียนหยู่อาจจะมีวิธีก็ได้ เขาอาจจะดูดุดันไปหน่อยแต่ก็ยังปลอดภัยดีทุกครั้งนี่นา เย่เทียนหยู่วางโทรศัพท์ก่อนจะมองนาฬิกาเล็กน้อย ตอนนี้สิบโมงเข้าไปแล้ว จากนี่ไปตึกสี่ฤดูก็ไกลพอสมควร ดูท่าคงต้องรีบหน่อยแล้ว เย่เทียนหยู่เดินไปหยิบเก้าอี้มาก่อนจะเอาเก้าอี้มาวางซ้อนกันไว้ เมื่อวงซ้อนกันสูงมากพอ เขาก็กระโดดขึ้นไป
เมื่อเอ่ยคำสั่งนี้จบ ทุกคนก็ต่างพากันงงงวย เพราะเสียงของเย่เทียนหยู่ดังมากๆ ต่อให้จะไม่ได้ยินชัดแต่คำพูดนี้มันก็ลอยเข้าหูของทุกคน และทุกคนก็ได้ยินอย่างชัดเจน หวังชิ่ง! ก็แค่พนักงานธรรมงานคนหนึ่งในฝ่ายการขาย แต่กลับได้เป็นรองประธานบริษัท และท่านประธานยังพูดเองด้วยว่าให้ช่วยดูแลเรื่องการบริหารของบริษัท แบบนี้ก็ไม่ต่างจากประธานบริษัทเลยนี่นา ทำไมฟังดูแปลกๆกันนะ หนิงเกอเองก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่เมื่อผ่านเรื่องที่แล้วมาเธอก็พอรู้ว่าเย่เทียนหยู่จะต้องจัดการอะไรบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะเลยจินตนาการไปขนาดนี้ นี่ก็ไม่ต่างจากการปั่นหัวผู้บริหารระดับสูงคนอื่นๆเลย โจวม่านยิ้มขื่น เธอนึกถึงสิ่งที่ประธานเย่พูดเมื่อสักครู่ ตอนแรกคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะมันดูจะยากเย็นซะเหลือเกิน แต่ได้ยินคำสั่งนี้ ประธานเย่เขาตั้งใจจะทำแบบนี้จริงๆ แต่ปัญหาคือคนอื่นๆจะฟังเขาไหม จางฉีเองก็งงๆ คนอื่นๆเองก็เช่นกัน แม้กระทั่งตัวหวังชิ่งเองก็ไม่เข้าใจ ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากรอบข้าง หวังชิ่งก็ได้แต่ทำหน้างงงวย นี่มันสถานการณ์อะไรกัน เมื่อกี้เขายังคิดอยู่เลยว่าจะเปลี่ยนบริษัทดีไหมทางที่ดีก็คงจะเล
“ดี พวกเราชอบความมั่นใจแบบนี้” “งั้นก็ตกลงตามนี้ ตั้งแต่วันนี้ไปคุณรับตำแหน่งรองประธานบริษัทไป” เย่เทียนหยู่พูด “เดี๋ยวก่อน!” ในตอนนี้เองที่หลิวชั่วรู้สึกเหมือนตกที่นั่งลำบาก เขาพูดขึ้น “ประธานเย่ คุณเพิ่งจะมาที่บริษัทไม่เข้าใจสถานการณ์ก็จะเปลี่ยนรองประธานคนใหม่เลยคุณไม่คิดว่ามันง่ายไปหน่อยเหรอ?” “เราควรจะโหวตกันไม่ใช่เหรอ?” “ไม่ต้องปรึกษา!” “เจ้านายของผมมีหุ้นอยู่ที่บริษัทนี้ทั้งหมด เขาอนุญาตให้ผมจัดการได้เต็มที่” เย่เทียนหยู่พูดต่อ หลิวชั่วได้ฟังก็โมโหก่อนจะพูดออกมาเสียงดัง “คุณบ้าอำนาจแบบนี้ไม่กลัวว่าจะทำให้บริษัทล้มละลายหรือไง แบบนี้ใครจะกล้าทำงานกับคุณ?” “งั้นแล้วใครไม่กล้าบ้าง?” “ได้นะ ถ้าใครไม่กล้าก็ลุกออกมาเลย” เย่เทียนหยู่พูดเสียงเนิบ หลังจากพูดคำนี้จบสีหน้าทุกคนก็เปลี่ยนไป ยิ่งเมื่อเห็นท่าทีของเย่เทียนหยู่ที่พร้อมจะจัดการทุกคนที่ขวางหน้าด้วยแล้ว “ผมไม่กล้า” ในตอนนี้เองเฉินฮั่นก็ลุกขึ้นแล้วก้าวออกมา เพราะเมื่อกี้ถือดีว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าอีกฝ่าย ตอนนี้ได้โอกาสเอาคืนแล้ว เมื่อกี้อยากจะไล่เขาออกไม่ใช่หรือไงสุดท้ายก็กลัว เพราะอย่างนั้นเขาจึงกล้า
เย่เทียนหยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ถ้ารู้แบบนี้ ก็คงไม่ให้พวกเธอสองคนดื่มตั้งแต่แรกในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิวซือซือที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ยกแก้วในมือขึ้น แล้วพูดออกมาว่า “พี่เย่คะ ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกับพี่มาโดยตลอด แต่ก็กลับไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมาเลย”“งั้นก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า” เย่เทียนหยู่นึกถึงเรื่องในอดีตของเขากับหลิวซือซือขึ้นมา ก่อนจะคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่าเธอกำลังจะพูดอะไร“ไม่ได้ค่ะ วันนี้ฉันต้องพูดให้ได้!”“ฉันกลัวว่าถ้าผ่านวันนี้ไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้พูดมันอีก”หลิวซือซือพูดด้วยความตื่นเต้นออกไปว่า “พี่เย่คะ ฉันชอบพี่ค่ะ ชอบพี่มาตลอด ฉันชอบพี่มากจริง ๆ!”“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันต้องไปทวงหนี้กับพี่ ฉันก็ถูกความสง่างามและความมั่นคงอันแข็งแกร่งของพี่ดึงดูดไปแล้วค่ะ ต่อมาพี่ก็คอยช่วยฉันเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรงมากกว่าเดิม ทำให้ฉันชอบพี่มากขึ้นเรื่อย ๆ”“แต่ก็เหมือนว่าพี่จะไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของฉันเลย หลายครั้งที่ฉันอยากจะรุกเข้าหาพี่แต่ก็ไม่กล้า จนกระทั่งพบว่าพี่กับประธานหลินคบกันอยู่ ฉันถึงได้เข้าใจว่าฉันไม่ใช่อะไรสำหรับพี่เล
แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ แต่ทั้งสองคนก็ได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับไป๋เฉิงกรุ๊ป และความน่ากลัวของแก๊งพยัคฆ์ทมิฬมาไม่น้อย ดังนั้นความหวาดกลัวและความรู้สึกหวั่นเกรงที่มีต่อตระกูลไป๋จึงมาจากใจของพวกเธออย่างแท้จริงสองสาวพูดสลับกันไปมา จนเกิดเป็นเสียงที่ดังอึกทึกขึ้น เย่เทียนหยู่แทบไม่มีโอกาสได้พูดเลยด้วยซ้ำ ในที่สุดเขาก็มีโอกาส เขาจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ พูดจบรึยัง?”สองสาวพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้“พวกเธอฟังฉันนะ พวกเธอวางใจเถอะ แค่ตระกูลไป๋ พวกมันทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” เย่เทียนหยู่พูดออกมาตรง ๆ เดิมทีก็คิดจะบอกว่าไป๋เฉิงกรุ๊ปเป็นของตนอยู่หรอก แต่จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนความคิดถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ข้างนอก แถมแก๊งพยัคฆ์ทมิฬและไป๋เฉิงกรุ๊ปเองก็มีชื่อเสียงที่ไม่ดีสักเท่าไหร่คำพูดนี้ แทบจะไม่เห็นตระกูลไป๋อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นถึงหนึ่งในตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในเมืองตะวันออกเชียวนะ ในใจของสองสาวจึงรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่พวกเธอมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็คิดว่าที่พี่เย่จงใจพูดแบบนี้ก็เพื่อทำให้พวกเธอสบายใจก็เท่านั้น“เอาล่ะ ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่มเถอะ” ที
สีหน้าหลี่ซินเยว่และหลิวซือซือเต็มไปด้วยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เมื่อกี้ตอนที่พวกเธอนึกถึงความน่ากลัวของตระกูลไป๋ อันที่จริง พวกเธอก็คิดที่จะเตือนเย่เทียนหยู่ไม่ให้ทำร้ายตงซู่อยู่เหมือนกัยแต่เมื่อลองนึกดูอีกที ในสถานการณ์แบบนี้ ด้วยนิสัยของตงซู่ ต่อให้จะหยุดเอาไว้ได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดีเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเธอก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้วเป็นอย่างที่คิด เห็นเพียงตงซู่ที่กำลังร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกันเขาก็หันไปจ้องเย่เทียนหยู่ด้วยความเกลียดชัง แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่สามารถพูดอะไรได้ ยิ่งไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่ามด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม รอจนกว่าตนจะออกไปจากที่นี่ได้เสียก่อน จากนั้นก็จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ไช่เตา คุณชายเตาได้ทราบ พอถึงตอนนั้น ตนจะต้องทำให้ไอ้เด็กนี่อยู่ไม่สู้ตายให้ได้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เงียบกริบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้ตัวเองเข้าไปเอี่ยวด้วยใครจะไปคิดล่ะว่า ชายหนุ่มที่ดูสุภาพไม่มีพิษมีภัยข้าง ๆ สาวสวยสองคนนี้จะลงมือได้โหดเหี้ยมมากขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็สมควรโดนแล้วแค่เห็นก็รู้เลยว่าไ
เมื่อได้ยินคำสั่ง ลูกน้องทั้งสองคนของเขาก็รีบตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นทันที ก่อนจะเดินตรงไปหาเย่เทียนหยู่ด้วยท่าทางดุดัน งานที่ต้องจัดการกับคนแบบนี้ มันได้กลายเป็นการเสพติดของพวกเขาไปแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ชอบความรู้สึกแบบนี้เย่เทียนหยู่ส่ายหัว ก่อนจะลุกขึ้นยืน หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นตกใจ ป่านนี้เขาคงจะโบกมือซัดเจ้าพวกนั้นให้กระเด็นไปนานแล้วจากนั้นก็เอาชีวิตของพวกมันมา ณ เดียวนั้นเลย!เมื่อเห็นว่าเย่เทียนหยู่ยังกล้าลุกขึ้นมาพูดท้าทายตนอยู่ ทั้งสองจึงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของพวกเขากำลังถูกดูหมิ่น นั่นจึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธอย่างมาก ก่อนที่ต่อมาทั้งสองจะเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกันในทันทีผั๊วะ ผั๊วะ!เกิดเสียงผั๊วะดังขึ้นสองครั้งติด ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงของผู้คน เย่เทียนหยู่ใช้ฝ่ามือฟาดพวกเขาจนกระเด็นออกไปก่อนที่ร่างของพวกเขาจะร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง ร่างกายราวกับกำลังแหลกสลาย รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวสีหน้าตงซู่ดูตกใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะรู้วิชากังฟูด้วย เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปว่า “ไม่แปลกใจเลยที่แกกล้าทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ ที่แท้แ
หลี่ซินเยว่และหลิวซือซือที่กำลังด่ากันอย่างเมามัน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ เสียงของตงซู่จะดังขึ้นมาข้างหู นั่นจึงทำให้พวกเธอรู้สึกตกใจจนต้องหันมองไปตามเสียงในทันทีเป็นตงซู่จริง ๆ ด้วย!นอกจากนี้ ด้านหลังของเขายังมีเหล่าชายฉกรรจ์ที่ดูดุร้ายอยู่อีกด้วย แค่มองก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไรสีหน้าของพวกเธอซีดเผือดในทันที!ต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเธอเตรียมตัววางแผนจะหนีในวันนี้กัน แต่ตอนนี้ตงซู่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เป้าหมายของเขาไม่ต้องพูดก็รู้ หรือต่อให้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่หากได้ยินสิ่งที่พวกเธอเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยพวกเธอไปง่าย ๆ แน่เมื่อตงซู่เห็นสีหน้าตกใจของทั้งสอง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า “ด่าสิ ทำไมไม่ด่าต่อแล้วล่ะ นี่พวกเธอคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม?”หลี่ซินเยว่ตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้น และพูดออกไปว่า “รุ่นพี่เองเหรอคะ พอดีเมื่อกี้ฉันดื่มมากไปน่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่าเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะคะ”“หลี่ซินเยว่ จริงอยู่ที่ฉันชอบเธอมาก แต่ฉันก็ไม่โง่ขนาดนั้น เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าพวกเธอเตรียมตัวที่จะหนีในคืนน
หลิวซือซือไม่อยากให้เย่เทียนหยู่รู้เกี่ยวกับปัญหาใหญ่ที่ตนต้องเจอยังไงซะ ตระกูลไป๋ก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองตะวันออก จะล่วงเกินตระกูลไป๋เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยของตนไม่ได้“ไม่มีจริง ๆ น่ะเหรอ?”เย่เทียนหยู่สังเกตเห็นว่าเธอมีท่าทีแปลก ๆ เขาจึงพูดขึ้นว่า “หลี่ซิน พวกเธออยู่ด้วยกัน ไหนเธอพูดมาซิ”“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ พี่เย่ ไหนเมื่อกี้พี่บอกว่ามีเรื่องอยากจะถามไงคะ เรื่องอะไรเหรอ?”จู่ ๆ หลี่ซินเยว่ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัวเย่เทียนหยู่จึงเข้าใจได้ในทันที ว่าทั้งสองจะต้องมีเรื่องปิดบังตนอยู่แน่นอน แต่ในเมื่อไม่ยอมพูด เขาเองก็ไม่อยากถามให้มากความ แต่ต้องบอกเลยว่า หลี่ซินเยว่คนนี้ค่อนข้างมีทักษะในการเข้าสังคมมากกว่าหลิวซือซือเสียอีกบวกกับที่เธอเคยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลางของหลินซื่อกรุ๊ปมาก่อน ตอนนั้นเธอเองก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวไม่แน่ว่าอาจจะพิจารณาให้เธอขึ้นมารับตำแหน่งผู้บริหารเลยก็ได้ หรือถ้าเธอไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้รับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปก็ฟังดูไม่แย่เหมือนกัน แล้วตนก็รับบทบาทท่านประธานไปก็พอ ยังไงซะ บริษัทจะทำกำไรได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญอยู่
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน พวกหลี่ซินเยว่ก็พากันเดินทางออกจากบริษัท พวกเธอรู้สึกกังวลอยู่ตลอด เธอกลัวว่าตงซู่จะเล่นตุกติกเพื่อรั้งไม่ให้พวกเธอไปแต่ก็กลับคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นมากขนาดนี้ในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้รับสายจากเย่เทียนหยู่ หลังจากที่วางสาย หลี่ซินเยว่ก็ถามขึ้นว่า “ซือซือ พวกเราจะกลับไปเก็บของแล้วหนีไปเลย หรือพวกเราจะไปพบกับพี่เย่กันก่อนดี?”หลิวซือซือรู้สึกลังเล หากเป็นคนอื่นเชิญก็คงไม่เป็นไร แต่การที่จะได้ทานข้าวกับพี่เย่สักครั้ง สำหรับเธอนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากเธอจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่งั้นเราก็ไปตามนัดกันก่อนดีไหม ถึงยังไงคืนนี้เราก็สามารถไปได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”“ได้ เอาตามที่เธอว่าเลย”“แต่ว่านะ เรื่องของพวกเรา อย่าได้บอกกับพี่เย่เด็ดขาด”“เข้าใจแล้ว ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง พี่เย่เองก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง พวกเราจะสร้างปัญหาให้เขาไม่ได้” หลี่ซินเยว่เองก็เห็นด้วยอย่างมากทั้งสองตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ ไม่นานพวกเธอก็มองเห็นรถของเย่เทียนหยู่เย่เทียนหยู่เองก็สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเธอ ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกระโปรงรัดรูปทรงเอ เผ
เขาถึงขั้นกล้าลงมือกับคุณท่านเย่ ที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง!อย่าไรก็ตาม ปัจจุบันตระกูลเย่นับว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และอาจจะล้มได้ทุกเมื่อในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็รออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน รอจนกว่าพวกงู แมลง มด หนูโผล่หัวออกมาให้หมดเสียก่อน พอถึงตอนนั้นก็ค่อยจัดการรวดเดียว แล้วค่อยมอบความสดใสให้กับตระกูลเย่อีกครั้งนอกจากนี้ ก็เพื่อที่จะรอดูว่าท่านอาจารย์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า มาถึงตอนนี้ อันที่จริงในใจเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกันหลังจากว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เย่เทียนหยู่ก็นึกถึงหม่าต้านขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าหม่าต้านคนนี้จะไม่ใช่คนดีอะไร เขาจึงได้สั่งการให้คนไปตรวจสอบคนผู้นี้ดูสักหน่อยจริงด้วย หลี่ซินเยว่กับหลิวซือซือเองก็ทำงานที่ไป๋เฉิงกรุ๊ปไม่ใช่รึไง เช่นนั้นก็เชิญพวกเธอมาก็ได้นี่ จะได้ให้พวกเธอช่วยอธิบายสถานการณ์ในไปเฉิงกรุ๊ปให้ฟังด้วยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่เทียนหยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหลี่ซินเยว่ทันที เดิมทีตั้งใจจะโทรหาหลิวซือซือ แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของหลิวซือซือที่มีต่อตน
ในใจโจวฉิงรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ต้นจนจบหม่าต้านก็เผยความรู้สึกหวาดกลัวออกมาไม่หยุด นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกตกใจไปชั่วขณะการแสดงออกของหม่าต้านหลังจากนั้น ราวกับคนใกล้ตายที่กำลังร้องขอชีวิตไม่หยุดไม่มีผิด ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงความกลัวของเขาที่มีต่อคุณเย่ได้เป็นอย่างดีคนคนหนึ่ง เหตุใดถึงทำให้คนอีกคนกลัวได้มากขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้เห็นถึงสถานะและจุดยืนของเขาได้อย่างชัดเจนหลังจากที่โจวฉิงได้สติ ในใจก็กลับรู้สึกเหมือนมีม้ากำลังวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้เธอรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างมากในเวลานี้ เธอก็นึกถึงสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นเธอก็กลับไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการกดโทรออกเพียงครั้งเดียวเท่าที่เห็นแทบไม่จำเป็นต้องโทรเลยด้วยซ้ำ อารมณ์เหมือนแค่เขาไอออกมาก็สามารถทำให้หม่าต้านวิ่งมาคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตได้เลยอย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดหลินหว่านหรูเองก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน แม้เธอจะรู้ดีว่าเย่เทียนหยู่เก่งกาจมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนหยู่จะเก่งกาจได้มากถึงเพียงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า โจวฉินเองก็เพิ่งจะพูดไป ว่าตระกูลไป๋เป