“ค่ะ” หวงเจวียนรับคำด้วยท่าทีอ่อนน้อม เธอต้องรีบเอาเรื่องนี้ไปรายงานให้ท่านรองประธานได้ฟัง “ได้ งั้นรีบไปจัดการเถอะ จำไว้นะครับว่าสิบนาที ทุกคนในบริษัทจะต้องอยู่ที่นั่น ถ้าไม่อย่างนั้นเกิดอะไรขึ้นก็รับผิดชอบตัวเอง” เย่เทียนหยู่พูดเสียงเย็นชา “ค่ะ!” หวงเจวียนเองก็รีบไปจัดการ หลังจากที่ทั้งสองคนออกไปแล้ว หนิงเกอก็ได้สติกลับมา เธอมองไปทางเย่เทียนหยู่ ในสายตาเห็นได้ชัดเลยว่ามีความอึดอัดและอับอายปนอยู่ เธอคิดถึงตอนที่เธอไม่เคยเชื่อคำพูดของเขาแล้วยังจะดูถูกเขาตลอดเวลาอีก ที่แท้เขาก็คือคนของหงหม่ากรุ๊ปจริง ไม่ใช่พนักงานทั่วไป แต่เป็นประธานบริษัทคนใหม่ แต่เธอกลับเอาแต่ดูถูกอีกฝ่าย ตอนนี้จึงได้แต่แสดงสีหน้าสำนึกผิดก่อนจะพูดออกมาอย่างระวัง “ประธานเย่คะ คือฉัน…” “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ต่อจากนี้ตั้งใจทำงานก็พอ” หนิงเกอคนนี้ถึงจะไม่มีมารยาทกับตนเองอยู่บ่อยครั้ง หรือแม้แต่พูดจาดูถูกบ้างแต่ไม่มีปัญหาอะไรมากนัก แค่เป็นคนไม่ชอบยอมอ่อนข้อให้ใครก็เท่านั้น สำหรับเรื่องนี้แล้วเห็นแก่ความสามารถของเธอเย่เทียนหยู่พอทนได้ แต่ถ้าอยากจะเลื่อนตำแหน่งคงเป็นไปไม่ได้ ต้องรอดูเธอในอนาคตแล้วล
แม้กระทั่งจางฉีเองก็ยังโดนหนิงเกอดุด่าอยู่ไม่น้อย แต่จางฉีเป็นเพียงคนเดียวที่ถูกหนิงเกอคอยปกป้องเธอจึงรู้สึกขอบคุณอยู่ไม่น้อย และแน่นอน ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายออกแบบก็ไม่ได้มีแค่เพียงคนเดียว แค่มีความสามารถในการบริหารจัดการ มีความสามารถในการออกแบบ ก็สามารถได้รับโอกาสนี้ได้ ส่วนโจวม่าน เป็นเพราะเธอไปทำให้เฉินฮั่นไม่พอใจเข้า ก็เลยถูกกดไว้อย่างนั้น โจวม่านชะงักไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเธอเองก็ตื่นเต้นมากๆ “ฉันยินดีอยู่แล้วค่ะ สำหรับตำแหน่งนี้ฉันมั่นใจว่าฉันสามารถทำได้ดี” แต่เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็มีสีหน้าลังเล “แต่ว่า…” “แต่ว่าอะไรครับ?” เย่เทียนหยู่ถามอย่างสงสัย โจวม่านลังเลไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดีแต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะพูดออกมา “อาจจะมีการขัดขากันสักหน่อย ฉันกลัวว่าจะมีผลกระทบการบริหารของคุณในอนาคต” ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะถามต่อ แต่เย่เทียนหยู่เข้าใจในทันที เขาพูดออกมายิ้มๆ “ผมเข้าใจครับ แต่วางใจเถอะไม่มีใครสามารถมาห้ามผมได้” เมื่อพูดคำนี้จบ ทุกคนก็นิ่งงันไปแม้กระทั่งหนิงเกอเองก็เช่นกัน ประธานเย่หมายความว่าอะไร หรือว่าเขาจะจัดการคนพวกนั้นในทีเดียว แต่จะเป็นไปได้ยังไง มันทำ
เมื่อพูดจบ ฝ่ายออกแบบที่อยู่ด้านหลังก็พากันหน้าถอดสี เริ่มแล้วใช่ไหม? ใครๆก็รู้ดี ว่ารองประธานบริษัทรักศักดิ์ศรีของตัวเองมากๆ และยังเป็นจอมบงการด้วย เก่งกว่าเฉินฮั่นมาก แต่เย่เทียนหยู่กลับเผชิญหน้าตรงๆเลย หลิวชั่วฟังจบก็สีหน้าเปลี่ยนเคร่งขรึมลงเล็กน้อย ไอ่เด็กนี่คิดว่าตัวเองเก่งนักสินะ แค่เฉินฮั่นคนเดียวยังจัดการไม่ได้ และยังต้องทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้เพื่อไม่ให้เสียหน้า ถ้ากล้าจะมาหาเรื่องกัน เชื่อสิว่าฉันจะทำให้มันยุ่งยากกว่าเดิมเป็นสองเท่า แต่ว่าหลิวชั่วได้แต่กักเก็บอารมณ์ไม่พอใจนี้ไว้ก่อนจะยิ้มออกมา “ที่ผมมาช้าก็มีเหตุผล เมื่อกี้ผมเพิ่งจะคุยโทรศัพท์กับเพื่อนที่เป็นข้าราชการชั้นสูงในเมืองมา ก็เลยช้าไปหน่อย” “ถ้าหากว่าเป็นคนทั่วไปผมคงตัดสายไปแล้ว แต่คนนี้คงจะไม่ได้ ถ้าไปทำให้เขาไม่พอใจบริษัทของพวกเราคงโดนจัดการเรียบ” คำพูดนี้ก็ใช้เพื่อข่มขู่เย่เทียนหยู่เช่นกัน เย่เทียนหยู่หัวเราะเบาๆ “เหรอครับ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงคงไม่สะดวกเท่าไหร่” “ใช่สิครับ” หลิวชั่วเผยสีหน้าได้ใจ ไอ่เด็กนี่กลัวขึ้นมาแล้วล่ะสิ คนที่ไม่เข้าใจอะไรเลยอย่างแกคิดจะมาต่อกรกับฉัน ดูสิว่าฉันจะจัดการยังไง
เย่เทียนหยู่ฟังจบก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาอย่างตกใจ “ไอ่บ้านั่นยังไม่ไปจากเมืองเทียนไห่อีกเหรอ?” “นายว่าอะไรนะ?” หลินหว่านหรูชะงักไปเล็กน้อย “ไม่มีอะไร ไปทานข้าวกันตอนไหนล่ะ?” เย่เทียนหยู่ถาม “สิบเอ็ดโมงครึ่ง ที่ตึกสี่ฤดู” “ไปเร็วจัง โอเค ผมรู้แล้วคุณไปตามนัดก็พอ ทางนี้ผมมีเรื่องนิดหน่อยเดี๋ยวผมไปหา” เย่เทียนหยู่วางสายโทรศัพท์ หลินหว่านหรูงงเล็กน้อย เทียนหยู่หมายความว่ายังไง เขาคงไม่ได้คิดจะมาก่อเรื่องหรอกมั้ง แต่เขาบ้าไปเลยก็ดีอีกฝ่ายจะได้โมโห แต่ถ้าเกิดว่าเขาไม่มาเธอจะทำยังไงดีล่ะ จากที่ฟังคุณปู่และแม่พูด ถ้ารอบนี้เธอไม่ยอมเชื่อฟังก็คงจบเห่แน่ และเธอก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนที่ทำลายตระกูลหลินด้วย ช่างเถอะ ไม่สนใจแล้ว ยังไงมันก็ต้องมีหนทางอยู่แล้ว บางทีเย่เทียนหยู่อาจจะมีวิธีก็ได้ เขาอาจจะดูดุดันไปหน่อยแต่ก็ยังปลอดภัยดีทุกครั้งนี่นา เย่เทียนหยู่วางโทรศัพท์ก่อนจะมองนาฬิกาเล็กน้อย ตอนนี้สิบโมงเข้าไปแล้ว จากนี่ไปตึกสี่ฤดูก็ไกลพอสมควร ดูท่าคงต้องรีบหน่อยแล้ว เย่เทียนหยู่เดินไปหยิบเก้าอี้มาก่อนจะเอาเก้าอี้มาวางซ้อนกันไว้ เมื่อวงซ้อนกันสูงมากพอ เขาก็กระโดดขึ้นไป
เมื่อเอ่ยคำสั่งนี้จบ ทุกคนก็ต่างพากันงงงวย เพราะเสียงของเย่เทียนหยู่ดังมากๆ ต่อให้จะไม่ได้ยินชัดแต่คำพูดนี้มันก็ลอยเข้าหูของทุกคน และทุกคนก็ได้ยินอย่างชัดเจน หวังชิ่ง! ก็แค่พนักงานธรรมงานคนหนึ่งในฝ่ายการขาย แต่กลับได้เป็นรองประธานบริษัท และท่านประธานยังพูดเองด้วยว่าให้ช่วยดูแลเรื่องการบริหารของบริษัท แบบนี้ก็ไม่ต่างจากประธานบริษัทเลยนี่นา ทำไมฟังดูแปลกๆกันนะ หนิงเกอเองก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่เมื่อผ่านเรื่องที่แล้วมาเธอก็พอรู้ว่าเย่เทียนหยู่จะต้องจัดการอะไรบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะเลยจินตนาการไปขนาดนี้ นี่ก็ไม่ต่างจากการปั่นหัวผู้บริหารระดับสูงคนอื่นๆเลย โจวม่านยิ้มขื่น เธอนึกถึงสิ่งที่ประธานเย่พูดเมื่อสักครู่ ตอนแรกคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะมันดูจะยากเย็นซะเหลือเกิน แต่ได้ยินคำสั่งนี้ ประธานเย่เขาตั้งใจจะทำแบบนี้จริงๆ แต่ปัญหาคือคนอื่นๆจะฟังเขาไหม จางฉีเองก็งงๆ คนอื่นๆเองก็เช่นกัน แม้กระทั่งตัวหวังชิ่งเองก็ไม่เข้าใจ ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากรอบข้าง หวังชิ่งก็ได้แต่ทำหน้างงงวย นี่มันสถานการณ์อะไรกัน เมื่อกี้เขายังคิดอยู่เลยว่าจะเปลี่ยนบริษัทดีไหมทางที่ดีก็คงจะเล
“ดี พวกเราชอบความมั่นใจแบบนี้” “งั้นก็ตกลงตามนี้ ตั้งแต่วันนี้ไปคุณรับตำแหน่งรองประธานบริษัทไป” เย่เทียนหยู่พูด “เดี๋ยวก่อน!” ในตอนนี้เองที่หลิวชั่วรู้สึกเหมือนตกที่นั่งลำบาก เขาพูดขึ้น “ประธานเย่ คุณเพิ่งจะมาที่บริษัทไม่เข้าใจสถานการณ์ก็จะเปลี่ยนรองประธานคนใหม่เลยคุณไม่คิดว่ามันง่ายไปหน่อยเหรอ?” “เราควรจะโหวตกันไม่ใช่เหรอ?” “ไม่ต้องปรึกษา!” “เจ้านายของผมมีหุ้นอยู่ที่บริษัทนี้ทั้งหมด เขาอนุญาตให้ผมจัดการได้เต็มที่” เย่เทียนหยู่พูดต่อ หลิวชั่วได้ฟังก็โมโหก่อนจะพูดออกมาเสียงดัง “คุณบ้าอำนาจแบบนี้ไม่กลัวว่าจะทำให้บริษัทล้มละลายหรือไง แบบนี้ใครจะกล้าทำงานกับคุณ?” “งั้นแล้วใครไม่กล้าบ้าง?” “ได้นะ ถ้าใครไม่กล้าก็ลุกออกมาเลย” เย่เทียนหยู่พูดเสียงเนิบ หลังจากพูดคำนี้จบสีหน้าทุกคนก็เปลี่ยนไป ยิ่งเมื่อเห็นท่าทีของเย่เทียนหยู่ที่พร้อมจะจัดการทุกคนที่ขวางหน้าด้วยแล้ว “ผมไม่กล้า” ในตอนนี้เองเฉินฮั่นก็ลุกขึ้นแล้วก้าวออกมา เพราะเมื่อกี้ถือดีว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าอีกฝ่าย ตอนนี้ได้โอกาสเอาคืนแล้ว เมื่อกี้อยากจะไล่เขาออกไม่ใช่หรือไงสุดท้ายก็กลัว เพราะอย่างนั้นเขาจึงกล้า
“งั้นเหรอ?” เย่เทียนหยู่อดจะยิ้มออกมาไม่ได้ก่อนจะพูดออกมาเสียงเรียบ “เฉินฮั่น จากที่ผมรู้มาคุณเอาผลงานการออกแบบของบริษัทไปขายให้บริษัทคู่ต่อสู้เพื่อจะได้รับเงินจากตรงนั้น นี่มันเรื่องจริงหรือเปล่า?” “โกหก!” “นี่มันเรื่องโกหกชัดๆ!” “ใครมันพูด ฉันจะจัดการมันให้เละเลย!” เฉินฮั่นหน้าถอดสีก่อนจะตะโกนออกมาเสียงดังอย่างระแวง เสียงที่ดังขนาดนี้ทำเอาทุกคนในที่นั้นได้ยินกันจนหมด เห็นได้ชัดเลยว่าเฉินฮั่นกลัวมากจริงๆ “โกหกเหรอ?” “งั้นทำไมมันถึงได้ชัดเจนขนาดนี้ล่ะ” เย่เทียนหยู่หัวเราะเบาะๆ ก่อนจะพูดช้าๆ “ปีก่อนตอนวันที่แปดมิถุนายน ปีที่แล้ว แล้วก็ยังมีของปีนี้อีกด้วย” “วันที่หกของเดือนนี้เอง นายเอาแหวนที่โจวม่านออกแบบแล้วก็ของหนิงเกอและของคนอื่นๆในฝ่ายไปขายให้บริษัทคู่แข่ง ได้เงินมาหลายแสน” ทุกๆเรื่องและวันที่ที่ปรากฏและยังมียอดเงินที่ชัดเจนอีกด้วย เฉินฮั่นได้ฟังก็อดจะหน้าซีดไม่ได้ เขาปฏิเสธพร้อมกับท่าทีตื่นกลัว “โกหก มันเป็นเรื่องโกหก นี่มันเรื่องมั่วๆ ไม่ใช่ความจริง” เห็นได้ชัดว่าเขากลัวจนแทบบ้า เห็นได้ชัดเลยว่าช็อคไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเย่เทียนหยู่พูดถูกต้อง ถึงจะยังไม
แต่ไม่แน่ เขาอาจจะรู้แค่เรื่องของฝ่ายออกแบบก็ได้ เพราะวันนี้มาถึงเขาก็ไปฝ่ายออกแบบเลย ดูท่าแล้วฝ่ายออกแบบคงมีคนปล่อยความลับ ถูกต้อง มันต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ คิดได้แบบนี้เฉินฮั่นก็สบายใจมากขึ้น เห็นเฉินฮั่นคุกเข่าด้วยท่าทีน่าสงสารอยู่ตรงหน้า เย่เทียนหยู่มองไปอีกฝ่ายด้วยสายตาแน่นิ่งก่อนจะพูดออกมาเสียงเรียบ “ถ้าหากเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ผมก็คงจะปล่อยไปได้ แต่คุณยังทำเรื่องที่แย่จนผมรับไม่ได้อีก” “อะ…อะไรนะครับ ผม…ผมไม่เคยรู้จักคุณมาก่อน ไม่เคยทำผิดอะไรต่อคุณนี่?” เฉินฮั่นหวั่นใจ “ผู้หญิง!” เย่เทียนหยู่พูดเสียงเรียบ “นายใช้อำนาจในการเป็นหัวหน้าฝ่าย หลอกล่อผู้หญิงคนอื่นในฝ่าย ทำให้เกิดแผลในใจของพวกเธอ ถึงจะมีคนที่ออกจากบริษัทไปแล้วแต่ผลที่นายทำมันทำให้เกิดปัญหาระยะยาว” ได้ยินคำนี้เฉินฮั่นจึงหน้าถอดสีก่อนจะล้มลงไปนั่งกับพื้น เย่เทียนหยู่ไม่สนใจก่อนจะพูดต่อ “หลิวชั่ว นายเองก็ไม่พอใจนี่ ตอนนี้มีอะไรจะพูดไหม?” ได้ยินคำนี้สีหน้าของหลิวชั่วก็เปลี่ยนไป แต่เมื่อคิดดูอีกฝ่ายคงไม่มีหลักฐานอะไรสาวมาที่ตัวเขา ไม่อย่างนั้นก็คงจัดการเขาก่อน ถ้าจัดการเขาได้ก็เหมือนจัดการได้ทั้งหมด
หลังจากที่คำพูดนั้นถูกพูดออกมา คนจากสำนักเจวี๋ยฉิงต่างก็พากันตกตะลึงเจ้าตำหนักหยู่คนนี้ กล้ายอมรับคำท้าจริง ๆ อย่างนั้นน่ะเหรอ?หรือพวกเขามองผิดกันไปเองจริง ๆ?เยว่เหลียนหานและคนในสำนักดอกไม้ต่างก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อสายตามากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงเวลานี้ พวกเธอเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ไพ่ตายของมู่หรงอินไม่ใช่เย่เทียนหยู่แห่งพรรคมังการตั้งแต่แรกแล้ว แต่คือเจ้าตำหนักหยู่ผู้ลึกลับคนนี้ต่างหากอย่าว่าแต่พลังที่แท้จริงเป็นอย่างไรเลย แค่มีคนที่น่ากลัวอย่างหยางผั่วจวินเป็นลูกน้องก็เพียงพอแล้วยิ่งไปกว่านั้น เขายังกล้าตอบรับคำท้าจากประมุกสำนักเจวี๋ยฉิงอย่างเด็ดเดี่ยวอีกต่างหากในเวลานี้ เธอรู้สึกคาดหวังมากจริง ๆ คาดหวังว่าความสามารถของเจ้าตำหนักหยู่จะอยู่ในระดับไหนกันแน่แววตามู่หรงอินและจูเก่อหลิวหลีต่างก็ส่องประกายออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเธอคาดหวังให้เย่เทียนหยู่แสดงฝีมือมาโดยตลอดมีเพียงหยางผั่วจวินเท่านั้นที่สีหน้าดูหม่นหมอง เดิมทีนี่คือโอกาสที่เขาจะได้ต่อสู้ แต่ตอนนี้กลับไม่มีอีกแล้ว เขาได้สูญเสียโอกาสประลองฝีมือไปแล้วอีกครั้งหนึ่งยังมีหลินเจวี๋ยอีกคนที่สีหน้าดูซีดเซียว แต่พอเห็
พวกเขาต่างเข้าใจตรงกันว่าคนผู้นี้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเย่เทียนหยู่ แต่กลับไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะน่ากลัวขนาดนี้ ดูจากความน่าเกรงขามแล้ว เกรงว่าคงไม่ได้ด้อยไปกว่าเจวี๋ยเทียนเลยด้วยซ้ำซึ่งนี่มันก็ทำให้ความหวังของทูตใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเยว่เหลียนหานเองก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นหยางผั่วจวินแสดงพลังอันยิ่งใหญ่ของเขาออกมา เพราะนั่นหมายความว่า พวกเธอยังไม่ได้หมดหวังไปเลยเสียทีเดียวสีหน้าของเจวี๋ยเทียนดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ พลังความแข็งแกร่งของหยางผั่วจวินคนนี้เกินกว่าที่ตนคาดการเอาไว้มาก เมื่อเทียบกับตนแล้ว เกรงว่าคงทำไม่ได้มากขนาดนี้แน่หยางผั่วจวินยังคงยืนอยู่กับที่ ราวกับว่าเขาคือเทพสงคราม ออร่าบนตัวเขาพุ่งพล่านออกมาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเย็นชาออกไปว่า “วันนี้ ใครกล้าแตะต้องเจ้านายของฉัน ฉันก็จะเอาชีวิตคนผู้นั้นซะ!”สีหน้าเจวี๋ยเทียนและคนอื่น ๆ ดูแย่มาก จากนั้นเขาจึงพูดออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ประมุกหยาง ทั้งที่คุณแข็งแกร่งมากขนาดนี้ เหตุใดต้องยกสวะคนอย่างเขาเป็นนายด้วย คุณช่วยบอกผมหน่อยสิ ว่าเขาใช้กลอุบายข่มขู่คุณอย่างไร ผมจะช่วยคุณจัดการเอง”“ไร้สมอง!”
ปฏิกิริยาของทุกคนตอบสนองขึ้นพร้อมกัน และอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเย่เทียนหยู่เจ้าตำหนักหยู่คนนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเจ้านายของประมุกหยาง ทำไมถึงรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผลกันเลยล่ะ ดูปลอมเกินไปรึเปล่าเยว่เหลียนหานตกตะลึงไปชั่วขณะ เธอเคยตรวจสอบความแข็งแกร่งของหยางผั่วจวินมาแล้ว เกรงว่าคงไม่ได้ด้วยไปกว่าตนเลย ส่วนเรื่องที่ว่าเขาแข็งแกร่งมากแค่ไหนนั้น เธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน อย่างน้อยก็คงแข็งแกร่งกว่าเจ้าตำหนักหยู่แน่นอนแต่ที่คาดไม่ถึงเลยก็คือ เขาจะเป็นลูกน้องของเจ้าตำหนักหยู่ได้ ทั้งยังเคารพเจ้าตำหนักหยู่มากอีกด้วย นี่กำลังเข้าใจอะไรผิดไปอยู่รึเปล่านะ?ยิ่งไปกว่านั้น ประมุกมู่หรงเองก็เป็นคนพูดเอง ว่าพวกเธอและประมุกราชาปีศาจได้ทำการร่วมมือกับตำหนักซิวหลัวเรียบร้อยแล้ว หรือพวกเขาต้องการที่จะช่วยให้เจ้าตำหนักหยู่ขึ้นรับตำแหน่งผู้นำจริง ๆ?อย่าว่าแต่พวกเขาเลย หลินเจวี๋ยเองก็สับสนเช่นกัน เขาเคยตรวจสอบความแข็งแกร่งมาแล้ว เขาไม่สามารถคาดเดาหยางผั่วจวินคนนี้ได้เลยจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายจะต้องแข็งแกร่งกว่าตนแน่นอนหลังจากที่เจวี๋ยเทียนถูกด่า สีหน้าก็ดูน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่ใ
“ใช่!”ครั้งนี้ มู่หรงอินพยักหน้าโดยที่ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยเยว่เหลียนหานตกตะลึงไปชั่วขณะ เรื่องเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง เดี๋ยวนะ หรือว่ามู่หรงอินไม่คิดที่จะให้เย่เทียนหยู่มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตอนนี้เธอเลือกคนใหม่แล้วงั้นเหรอและคนที่เธอเลือกก็คือเจ้าตำหนักหยู่!แต่คำถามก็คือ เจ้าตำหนักหยู่เป็นแค่ปรมาจารย์ขั้นสุดท้าย เขาจะทำอะไรได้ ใช้เขาเป็นโล่กำบังให้ตัวเองอย่างนั้นเหรอ?“ประมุกเยว่ คุณล่ะ คุณเองก็สนับสนุนเจ้าตำหนักหยู่ด้วยอย่างนั้นเหรอ?” เจวี๋ยเทียนค่อย ๆ ไล่ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาไปเรื่อย ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร ราวกับว่าถ้าเธอยอมรับ อนาคตเธอก็จะต้องเผชิญหน้ากับการแก้แค้นของสำนักเจวี๋ยฉิงยังไงอย่างงั้นสีหน้าของเยว่เหลียนหานเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอรู้สึกลังเล ก่อนจะเหลือบมองไปที่มู่หรงอินมู่หรงอินไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงแค่พยักหน้าให้เท่านั้นนี่เป็นการส่งสัญญาณว่า เยว่เหลียนหานควรเลือกสนับสนุนเจ้าตำหนักซิวหลัวเจวี๋ยเทียนเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน จิตสังหารฉายแววออกมาจากดวงตาของเขา ก่อนจะพูดอย่างเย็นชาออกมาว่า “ประมุกเยว่ ทางที่ดีคุณก็ลองพิจารณาดูให้ดีก่อนเถอะ โดยเฉพาะ ตัวของคุณตอน
หลังจากที่พูดจจบ ทุกคนต่างก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนที่สายตาของทุกคนจะจ้องมองไปทางเขาเจ้าตำหนักคนนี้พูดพล่ามอะไรอยู่ เขามาเพื่อเป็นผู้นำสำนักงั้นเหรอ?นี่มันไร้สาระสิ้นดี!หลินเจวี๋ยรู้สึกวิตกกังวลอย่างมาก เมื่อเขาได้ยินคำพูดที่เจ้าตำหนักพูดกับเจวี๋ยเทียน เขาก็คิดแล้วว่า ทุกอย่างคงจบสิ้นแล้วจริง ๆ จบเห่แล้วแน่ ๆ เจ้าตำหนักอย่าได้พูดเหลวไหลอีกเลยนะกลับคิดไม่ถึงเลยว่า คำพูดต่อมาของเจ้าตำหนักจะบ้าบิ่นมากขึ้นกว่าเดิม เขากล้าพูดว่าตนจะขึ้นรับตำแหน่งผู้นำสำนักจริง ๆ นี่เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่เห็นทุกคนอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อยรวมถึงสำนักเจวี๋ยงฉิงเองก็ด้วยราชาสวรรค์ทั้งสองที่มากับหลินเจวี๋ยเองก็สับสนด้วยเช่นกัน นี่ใช่เจ้าตำหนักของพวกเขาจริง ๆ น่ะเหรอ นี่เขากำลังรนหาที่ตายชัด ๆเมื่อเห็นสายตาอันน่าสะพรึงกลัวของทุกคนที่มองมา ซึ่งเต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านออกมาพวกเขาต่างก็รู้สึกกลัวจนตัวสั่น!วันนี้ เกรงว่าคงได้ตายจริง ๆ แน่!เยว่เหลียนหานและคนอื่น ๆ จากสำนักดอกไม้เองก็รู้สึกตกตะลึงไปชั่วขณะเช่นกัน บุตรแห่งสวรรค์ผู้ที่มู่หรงอินภาคภูมิใจยังไม่ทันได้ปรากฏตัว ก็กลับมีเจ้าตำหนักที่ไม่
“เพราะเหตุนี้ ผมจึงได้เชิญทุกท่านมาที่นี่ในวันนี้ เพื่อจัดการประชุมศักดิ์สิทธิ์นี้ขึ้น!”คำพูดง่าย ๆ เหล่านี้ นับว่าเป็นการอธิบายเรื่องทั้งหมดได้อย่างคร่าว ๆ เจวี๋ยเทียนยิ้มเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “นอกจากนี้ ทุกท่านสบายใจได้ ที่ผมเชิญทุกท่านมา ไม่ใช่เพื่อให้ทุกท่านมาก้มหัวเคารพผมโดยตรง”“แต่เราจะเลือกผู้ที่มีความสามารถสูงสุดในหมู่พวกเรา เพื่อขึ้นเป็นผู้ชี้นำทุกคนให้ก้าวไปข้างหน้าต่างหาก นั่นหมายความว่า ทุกคนจะได้รับความยุติธรรมและโอกาสที่เท่าเทียมกัน”หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ เยว่เหลียนหานกลับแอบส่ายหัวเบา ๆ การแข่งขันที่ยุติธรรมอะไรกัน ทุกคนต่างก็มีโอกาสเท่ากันงั้นเหรอ พวกเขามีโอกาสที่ไหนกันถ้าจะให้พูดตรง ๆ ก็คือเจวี๋ยเทียนเชื่อมั่นในพลังของตัวเองอย่างมาก ว่าจะไม่มีใครที่สามารถหยุดเขาจากการขึ้นเป็นผู้นำของสำนักศักดิ์สิทธิ์ได้สิ่งที่เรียกว่าความยุติธรรม ก็แค่การที่ปล่อยให้พวกเขาตกเป็นเหยื่อให้ถูกโจมตีเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้นทุก ๆ คนต่างก็มีความคิดที่คล้าย ๆ กัน แต่อีกฝ่ายก็มีความแข็งแกร่งมากจริง ๆ พวกเขาแทบไม่มีทางเลือกเลยด้วยซ้ำการประชุมในวันนี้ หากพวกเขาไม่มาก็ต้องตายสถานเดียว แ
“ฮ่า ๆ ต้องขออภัยทุกท่านด้วยนะ พอดีเมื่อกี้มีธุระนิดหน่อย เลยทำให้มาช้า”ทั้งสองคนแต่งตัวค่อนข้างเรียบร้อย ทั้งดูดีและมีเกียรติมากโดยเฉพาะเจวี๋ยเทียน เขาสวมชุดสีม่วง ท่าเดินก็ดูองอาจ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยรัศมีแห่งความยิ่งใหญ่และความสง่างามเครื่องแต่งกายของเขาค่อนข้างคล้ายคลึงกับชุดที่มู่หรงชิงเคยสวมใส่ในตอนนั้น ซึ่งทำให้สีหน้าของมู่หรงอินดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่เมื่อเห็นทั้งสองคนปรากฏตัวขึ้น ดวงตาของหยางผั่วจวินก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังพวกเขาในทันที และพร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อร่องรอยที่เจวี๋ยเทียนเคยทิ้งเอาไว้ในตอนที่เขาไปเยือนสำนักราชาผี ซึ่งนั่นก็ทำให้หยางผั่วจวินตกตะลึงอย่างมากหยางผั่วจวินเองก็สัมผัสได้ ไม่ว่ายังไงตนในตอนนั้นก็ไม่มีทางสู้อีกฝ่ายได้แต่ก่อนที่จะมาที่นี่ หลังจากที่เย่เทียนหยู่ใช้ของวิเศษของพรรคมารช่วยให้เขาพัฒนาตนเอง เขาก็สามารถทะลุจนเลื่อนขั้นสู่ปรมาจารย์ขั้นสูงสุดได้แล้ว แถมยังทะลุไปถึงคอขวด จนเกือบจะถึงจุดที่สามารถเลื่อนขั้นได้แล้วด้วยซ้ำตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขา นับว่าอยู่ในจุดที่ไม่ธรรมดาแล้วดังนั้น เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากที่จะได้เห็นคู่ต่อสู้ที
เขาไม่อาจเรียกเธอว่านายน้อยได้ แต่ให้เรียกว่าคุณหนูก็ถือยังทำได้อยู่อีกสองคนยังคงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็กลับยืนนิ่ว และกว่าวทักทายออกมาว่า “คารวะคุณหนู!”มู่หรงอินขมวดคิ้วอย่างเย็นชา ก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีที่ดูเมินเฉยว่า “เหอะ ในสายตาของพวกท่านยังเห็นข้าเป็นคุณหนูอยู่ด้วยงั้นเหรอ?”เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็มืดมนลงเล็กน้อย โดยเฉพาะตู๋เปียนฝู เขาพูดอย่างเย็นชาออกไปว่า “มู่หรงอิน การที่พวกเรายอมเรียกเธอว่าคุณหนู ก็เพื่อเป็นการไว้หน้าผู้นำคนเก่า อย่าได้เหลิงไปหน่อยเลย!”หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ มู่หรงอินก็กลับไม่ได้โกรธอะไร กลับกัน สีหน้าของเย่เทียนหยู่กลับดูเย็นชาขึ้นมา จิตสังหารที่เย็นยะเยือกก็เกือบจะเผลอทะลักออกมา หากยังต้องทนฟังคำพูดของตู๋เปียนฝูต่อไป มู่หรงอินเกรงว่าเย่เทียนหยู่อาจจะเผลอทำอะไรที่หุนหันพันแล่นออกไปได้ เธอจึงรีบส่งสัญญาณด้วยสายตาเพื่อหยุดเขาในทันที เพราะตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาเปิดเผยความแข็งแกร่งออกมาเมื่อเห็นสายตาแจ้งเตือนให้ยั้งมือของแม่ เย่เทียนหยู่ก็รีบระงับพลังเอาไว้ทันที ทันใดนั้นจิตสังหารก็หายไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากพลังที่เขาใช้ปกปิดนั้นค่อ
“ก็ไม่ใช่ซะทีเดียวหรอก หากตอนนั้นพวกเราทั้งสี่คนร่วมมือกัน พวกเราคงครอบครองโลกใบนี้ไปแล้ว ใครกันจะกล้าขวาง!”ในขณะเดียวกันนี้เอง ชายชรารูปร่างผอมบางคนหนึ่ง ใบหน้าดูเศร้าหมอง ริมฝีปากเรียวเล็กก็ปรากฏตัวขึ้น“ตู๋เปียนฝู?”ในใจทูตใหญ่รู้สึกตกตะลึง“ยังมีข้าอีกคน บรรพจารย์หวงเฉวียน!”หลังจากที่ทั้งสี่ก้าวออกมาพูด สีหน้าของทูตใหญ่ก็ดูไม่ค่อนสู้ดีมากนัก สมญานามของพวกเขาในปีนั้นคือสี่ทูตใหญ่แห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์ แต่ละคนต่างก็มีความแข็งแกร่งที่ทรงพลังมากการดำรงอยู่ของอำนาจพวกเขาเป็นรองก็แค่ผู้นำสำนักศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้นำสำนักเลยแม้แต่น้อย กระทั่งอาจจะแข็งแกร่งกว่าเสียด้วยซ้ำคิดไม่ถึงเลยว่าอีกสามคนที่เหลือจะอยู่ที่นี่กันหมด และดูจากท่าทีของพวกเขาแล้ว เหมือนว่าพลังจะมีการพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ละคนต่างก็อยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุดกันทั้งนั้นในกรณีนี้ แทบจะเท่ากับว่าผู้นำของนิกายจืดจางคือผู้นำที่แท้จริงของนิกายศักดิ์สิทธิ์แล้วในสถานการณ์เช่นนี้ แทบจะเท่ากับว่าตำแหน่งผู้นำสำนักศักดิ์สิทธิ์จะต้องตกเป็นของผู้นำสำนักเจวี๋ยฉิงยังไงอย่างงั้นเมื่อสองพี่น้อง