“ค่ะ” หวงเจวียนรับคำด้วยท่าทีอ่อนน้อม เธอต้องรีบเอาเรื่องนี้ไปรายงานให้ท่านรองประธานได้ฟัง “ได้ งั้นรีบไปจัดการเถอะ จำไว้นะครับว่าสิบนาที ทุกคนในบริษัทจะต้องอยู่ที่นั่น ถ้าไม่อย่างนั้นเกิดอะไรขึ้นก็รับผิดชอบตัวเอง” เย่เทียนหยู่พูดเสียงเย็นชา “ค่ะ!” หวงเจวียนเองก็รีบไปจัดการ หลังจากที่ทั้งสองคนออกไปแล้ว หนิงเกอก็ได้สติกลับมา เธอมองไปทางเย่เทียนหยู่ ในสายตาเห็นได้ชัดเลยว่ามีความอึดอัดและอับอายปนอยู่ เธอคิดถึงตอนที่เธอไม่เคยเชื่อคำพูดของเขาแล้วยังจะดูถูกเขาตลอดเวลาอีก ที่แท้เขาก็คือคนของหงหม่ากรุ๊ปจริง ไม่ใช่พนักงานทั่วไป แต่เป็นประธานบริษัทคนใหม่ แต่เธอกลับเอาแต่ดูถูกอีกฝ่าย ตอนนี้จึงได้แต่แสดงสีหน้าสำนึกผิดก่อนจะพูดออกมาอย่างระวัง “ประธานเย่คะ คือฉัน…” “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ต่อจากนี้ตั้งใจทำงานก็พอ” หนิงเกอคนนี้ถึงจะไม่มีมารยาทกับตนเองอยู่บ่อยครั้ง หรือแม้แต่พูดจาดูถูกบ้างแต่ไม่มีปัญหาอะไรมากนัก แค่เป็นคนไม่ชอบยอมอ่อนข้อให้ใครก็เท่านั้น สำหรับเรื่องนี้แล้วเห็นแก่ความสามารถของเธอเย่เทียนหยู่พอทนได้ แต่ถ้าอยากจะเลื่อนตำแหน่งคงเป็นไปไม่ได้ ต้องรอดูเธอในอนาคตแล้วล
แม้กระทั่งจางฉีเองก็ยังโดนหนิงเกอดุด่าอยู่ไม่น้อย แต่จางฉีเป็นเพียงคนเดียวที่ถูกหนิงเกอคอยปกป้องเธอจึงรู้สึกขอบคุณอยู่ไม่น้อย และแน่นอน ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายออกแบบก็ไม่ได้มีแค่เพียงคนเดียว แค่มีความสามารถในการบริหารจัดการ มีความสามารถในการออกแบบ ก็สามารถได้รับโอกาสนี้ได้ ส่วนโจวม่าน เป็นเพราะเธอไปทำให้เฉินฮั่นไม่พอใจเข้า ก็เลยถูกกดไว้อย่างนั้น โจวม่านชะงักไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเธอเองก็ตื่นเต้นมากๆ “ฉันยินดีอยู่แล้วค่ะ สำหรับตำแหน่งนี้ฉันมั่นใจว่าฉันสามารถทำได้ดี” แต่เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็มีสีหน้าลังเล “แต่ว่า…” “แต่ว่าอะไรครับ?” เย่เทียนหยู่ถามอย่างสงสัย โจวม่านลังเลไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดีแต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะพูดออกมา “อาจจะมีการขัดขากันสักหน่อย ฉันกลัวว่าจะมีผลกระทบการบริหารของคุณในอนาคต” ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะถามต่อ แต่เย่เทียนหยู่เข้าใจในทันที เขาพูดออกมายิ้มๆ “ผมเข้าใจครับ แต่วางใจเถอะไม่มีใครสามารถมาห้ามผมได้” เมื่อพูดคำนี้จบ ทุกคนก็นิ่งงันไปแม้กระทั่งหนิงเกอเองก็เช่นกัน ประธานเย่หมายความว่าอะไร หรือว่าเขาจะจัดการคนพวกนั้นในทีเดียว แต่จะเป็นไปได้ยังไง มันทำ
เมื่อพูดจบ ฝ่ายออกแบบที่อยู่ด้านหลังก็พากันหน้าถอดสี เริ่มแล้วใช่ไหม? ใครๆก็รู้ดี ว่ารองประธานบริษัทรักศักดิ์ศรีของตัวเองมากๆ และยังเป็นจอมบงการด้วย เก่งกว่าเฉินฮั่นมาก แต่เย่เทียนหยู่กลับเผชิญหน้าตรงๆเลย หลิวชั่วฟังจบก็สีหน้าเปลี่ยนเคร่งขรึมลงเล็กน้อย ไอ่เด็กนี่คิดว่าตัวเองเก่งนักสินะ แค่เฉินฮั่นคนเดียวยังจัดการไม่ได้ และยังต้องทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้เพื่อไม่ให้เสียหน้า ถ้ากล้าจะมาหาเรื่องกัน เชื่อสิว่าฉันจะทำให้มันยุ่งยากกว่าเดิมเป็นสองเท่า แต่ว่าหลิวชั่วได้แต่กักเก็บอารมณ์ไม่พอใจนี้ไว้ก่อนจะยิ้มออกมา “ที่ผมมาช้าก็มีเหตุผล เมื่อกี้ผมเพิ่งจะคุยโทรศัพท์กับเพื่อนที่เป็นข้าราชการชั้นสูงในเมืองมา ก็เลยช้าไปหน่อย” “ถ้าหากว่าเป็นคนทั่วไปผมคงตัดสายไปแล้ว แต่คนนี้คงจะไม่ได้ ถ้าไปทำให้เขาไม่พอใจบริษัทของพวกเราคงโดนจัดการเรียบ” คำพูดนี้ก็ใช้เพื่อข่มขู่เย่เทียนหยู่เช่นกัน เย่เทียนหยู่หัวเราะเบาๆ “เหรอครับ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงคงไม่สะดวกเท่าไหร่” “ใช่สิครับ” หลิวชั่วเผยสีหน้าได้ใจ ไอ่เด็กนี่กลัวขึ้นมาแล้วล่ะสิ คนที่ไม่เข้าใจอะไรเลยอย่างแกคิดจะมาต่อกรกับฉัน ดูสิว่าฉันจะจัดการยังไง
เย่เทียนหยู่ฟังจบก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาอย่างตกใจ “ไอ่บ้านั่นยังไม่ไปจากเมืองเทียนไห่อีกเหรอ?” “นายว่าอะไรนะ?” หลินหว่านหรูชะงักไปเล็กน้อย “ไม่มีอะไร ไปทานข้าวกันตอนไหนล่ะ?” เย่เทียนหยู่ถาม “สิบเอ็ดโมงครึ่ง ที่ตึกสี่ฤดู” “ไปเร็วจัง โอเค ผมรู้แล้วคุณไปตามนัดก็พอ ทางนี้ผมมีเรื่องนิดหน่อยเดี๋ยวผมไปหา” เย่เทียนหยู่วางสายโทรศัพท์ หลินหว่านหรูงงเล็กน้อย เทียนหยู่หมายความว่ายังไง เขาคงไม่ได้คิดจะมาก่อเรื่องหรอกมั้ง แต่เขาบ้าไปเลยก็ดีอีกฝ่ายจะได้โมโห แต่ถ้าเกิดว่าเขาไม่มาเธอจะทำยังไงดีล่ะ จากที่ฟังคุณปู่และแม่พูด ถ้ารอบนี้เธอไม่ยอมเชื่อฟังก็คงจบเห่แน่ และเธอก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนที่ทำลายตระกูลหลินด้วย ช่างเถอะ ไม่สนใจแล้ว ยังไงมันก็ต้องมีหนทางอยู่แล้ว บางทีเย่เทียนหยู่อาจจะมีวิธีก็ได้ เขาอาจจะดูดุดันไปหน่อยแต่ก็ยังปลอดภัยดีทุกครั้งนี่นา เย่เทียนหยู่วางโทรศัพท์ก่อนจะมองนาฬิกาเล็กน้อย ตอนนี้สิบโมงเข้าไปแล้ว จากนี่ไปตึกสี่ฤดูก็ไกลพอสมควร ดูท่าคงต้องรีบหน่อยแล้ว เย่เทียนหยู่เดินไปหยิบเก้าอี้มาก่อนจะเอาเก้าอี้มาวางซ้อนกันไว้ เมื่อวงซ้อนกันสูงมากพอ เขาก็กระโดดขึ้นไป
เมื่อเอ่ยคำสั่งนี้จบ ทุกคนก็ต่างพากันงงงวย เพราะเสียงของเย่เทียนหยู่ดังมากๆ ต่อให้จะไม่ได้ยินชัดแต่คำพูดนี้มันก็ลอยเข้าหูของทุกคน และทุกคนก็ได้ยินอย่างชัดเจน หวังชิ่ง! ก็แค่พนักงานธรรมงานคนหนึ่งในฝ่ายการขาย แต่กลับได้เป็นรองประธานบริษัท และท่านประธานยังพูดเองด้วยว่าให้ช่วยดูแลเรื่องการบริหารของบริษัท แบบนี้ก็ไม่ต่างจากประธานบริษัทเลยนี่นา ทำไมฟังดูแปลกๆกันนะ หนิงเกอเองก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่เมื่อผ่านเรื่องที่แล้วมาเธอก็พอรู้ว่าเย่เทียนหยู่จะต้องจัดการอะไรบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะเลยจินตนาการไปขนาดนี้ นี่ก็ไม่ต่างจากการปั่นหัวผู้บริหารระดับสูงคนอื่นๆเลย โจวม่านยิ้มขื่น เธอนึกถึงสิ่งที่ประธานเย่พูดเมื่อสักครู่ ตอนแรกคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะมันดูจะยากเย็นซะเหลือเกิน แต่ได้ยินคำสั่งนี้ ประธานเย่เขาตั้งใจจะทำแบบนี้จริงๆ แต่ปัญหาคือคนอื่นๆจะฟังเขาไหม จางฉีเองก็งงๆ คนอื่นๆเองก็เช่นกัน แม้กระทั่งตัวหวังชิ่งเองก็ไม่เข้าใจ ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากรอบข้าง หวังชิ่งก็ได้แต่ทำหน้างงงวย นี่มันสถานการณ์อะไรกัน เมื่อกี้เขายังคิดอยู่เลยว่าจะเปลี่ยนบริษัทดีไหมทางที่ดีก็คงจะเล
“ดี พวกเราชอบความมั่นใจแบบนี้” “งั้นก็ตกลงตามนี้ ตั้งแต่วันนี้ไปคุณรับตำแหน่งรองประธานบริษัทไป” เย่เทียนหยู่พูด “เดี๋ยวก่อน!” ในตอนนี้เองที่หลิวชั่วรู้สึกเหมือนตกที่นั่งลำบาก เขาพูดขึ้น “ประธานเย่ คุณเพิ่งจะมาที่บริษัทไม่เข้าใจสถานการณ์ก็จะเปลี่ยนรองประธานคนใหม่เลยคุณไม่คิดว่ามันง่ายไปหน่อยเหรอ?” “เราควรจะโหวตกันไม่ใช่เหรอ?” “ไม่ต้องปรึกษา!” “เจ้านายของผมมีหุ้นอยู่ที่บริษัทนี้ทั้งหมด เขาอนุญาตให้ผมจัดการได้เต็มที่” เย่เทียนหยู่พูดต่อ หลิวชั่วได้ฟังก็โมโหก่อนจะพูดออกมาเสียงดัง “คุณบ้าอำนาจแบบนี้ไม่กลัวว่าจะทำให้บริษัทล้มละลายหรือไง แบบนี้ใครจะกล้าทำงานกับคุณ?” “งั้นแล้วใครไม่กล้าบ้าง?” “ได้นะ ถ้าใครไม่กล้าก็ลุกออกมาเลย” เย่เทียนหยู่พูดเสียงเนิบ หลังจากพูดคำนี้จบสีหน้าทุกคนก็เปลี่ยนไป ยิ่งเมื่อเห็นท่าทีของเย่เทียนหยู่ที่พร้อมจะจัดการทุกคนที่ขวางหน้าด้วยแล้ว “ผมไม่กล้า” ในตอนนี้เองเฉินฮั่นก็ลุกขึ้นแล้วก้าวออกมา เพราะเมื่อกี้ถือดีว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าอีกฝ่าย ตอนนี้ได้โอกาสเอาคืนแล้ว เมื่อกี้อยากจะไล่เขาออกไม่ใช่หรือไงสุดท้ายก็กลัว เพราะอย่างนั้นเขาจึงกล้า
“งั้นเหรอ?” เย่เทียนหยู่อดจะยิ้มออกมาไม่ได้ก่อนจะพูดออกมาเสียงเรียบ “เฉินฮั่น จากที่ผมรู้มาคุณเอาผลงานการออกแบบของบริษัทไปขายให้บริษัทคู่ต่อสู้เพื่อจะได้รับเงินจากตรงนั้น นี่มันเรื่องจริงหรือเปล่า?” “โกหก!” “นี่มันเรื่องโกหกชัดๆ!” “ใครมันพูด ฉันจะจัดการมันให้เละเลย!” เฉินฮั่นหน้าถอดสีก่อนจะตะโกนออกมาเสียงดังอย่างระแวง เสียงที่ดังขนาดนี้ทำเอาทุกคนในที่นั้นได้ยินกันจนหมด เห็นได้ชัดเลยว่าเฉินฮั่นกลัวมากจริงๆ “โกหกเหรอ?” “งั้นทำไมมันถึงได้ชัดเจนขนาดนี้ล่ะ” เย่เทียนหยู่หัวเราะเบาะๆ ก่อนจะพูดช้าๆ “ปีก่อนตอนวันที่แปดมิถุนายน ปีที่แล้ว แล้วก็ยังมีของปีนี้อีกด้วย” “วันที่หกของเดือนนี้เอง นายเอาแหวนที่โจวม่านออกแบบแล้วก็ของหนิงเกอและของคนอื่นๆในฝ่ายไปขายให้บริษัทคู่แข่ง ได้เงินมาหลายแสน” ทุกๆเรื่องและวันที่ที่ปรากฏและยังมียอดเงินที่ชัดเจนอีกด้วย เฉินฮั่นได้ฟังก็อดจะหน้าซีดไม่ได้ เขาปฏิเสธพร้อมกับท่าทีตื่นกลัว “โกหก มันเป็นเรื่องโกหก นี่มันเรื่องมั่วๆ ไม่ใช่ความจริง” เห็นได้ชัดว่าเขากลัวจนแทบบ้า เห็นได้ชัดเลยว่าช็อคไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเย่เทียนหยู่พูดถูกต้อง ถึงจะยังไม
แต่ไม่แน่ เขาอาจจะรู้แค่เรื่องของฝ่ายออกแบบก็ได้ เพราะวันนี้มาถึงเขาก็ไปฝ่ายออกแบบเลย ดูท่าแล้วฝ่ายออกแบบคงมีคนปล่อยความลับ ถูกต้อง มันต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ คิดได้แบบนี้เฉินฮั่นก็สบายใจมากขึ้น เห็นเฉินฮั่นคุกเข่าด้วยท่าทีน่าสงสารอยู่ตรงหน้า เย่เทียนหยู่มองไปอีกฝ่ายด้วยสายตาแน่นิ่งก่อนจะพูดออกมาเสียงเรียบ “ถ้าหากเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ผมก็คงจะปล่อยไปได้ แต่คุณยังทำเรื่องที่แย่จนผมรับไม่ได้อีก” “อะ…อะไรนะครับ ผม…ผมไม่เคยรู้จักคุณมาก่อน ไม่เคยทำผิดอะไรต่อคุณนี่?” เฉินฮั่นหวั่นใจ “ผู้หญิง!” เย่เทียนหยู่พูดเสียงเรียบ “นายใช้อำนาจในการเป็นหัวหน้าฝ่าย หลอกล่อผู้หญิงคนอื่นในฝ่าย ทำให้เกิดแผลในใจของพวกเธอ ถึงจะมีคนที่ออกจากบริษัทไปแล้วแต่ผลที่นายทำมันทำให้เกิดปัญหาระยะยาว” ได้ยินคำนี้เฉินฮั่นจึงหน้าถอดสีก่อนจะล้มลงไปนั่งกับพื้น เย่เทียนหยู่ไม่สนใจก่อนจะพูดต่อ “หลิวชั่ว นายเองก็ไม่พอใจนี่ ตอนนี้มีอะไรจะพูดไหม?” ได้ยินคำนี้สีหน้าของหลิวชั่วก็เปลี่ยนไป แต่เมื่อคิดดูอีกฝ่ายคงไม่มีหลักฐานอะไรสาวมาที่ตัวเขา ไม่อย่างนั้นก็คงจัดการเขาก่อน ถ้าจัดการเขาได้ก็เหมือนจัดการได้ทั้งหมด
ซุนซวี่หัวเราะเยาะอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยท่าทางดุดัน “ไอ้หนู แกรอก่อนเถอะ แกจะต้องเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปในวันนี้อย่างแน่นอน”“พอถึงตอนนั้น ก็อย่ามาอ้อนวอนขอความเมตตาก็แล้วกัน ฮ่า ๆ......”ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของซุนซวี่ บวกกับคำพูดเหล่านั้น หลินจื่อตงยังไม่ทันจะพูดอะไร สวี่เจียเจียก็เริ่มได้สติ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “พ่อคะ นี่พ่อ......”“เจียเจีย เรื่องถัดจากนี้ ไม่ใช่สิ่งที่พ่อจะสามารถจัดการได้ เขาเพิ่งบอกว่าเขาสามารถปกป้องตัวเองได้ใช่ไหม เช่นนั้นต่อไปก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเขาแล้ว” พ่อตระกูลสวี่พูดขัดขึ้นมา“จะดูความสามารถอะไรกัน เขาเป็นแค่คนที่มาจากครอบครัวธรรมดา จะเอาอะไรไปสู้กับตระกูลซุนได้” สวี่เจียเจียพูดด้วยความร้อนใจ“เจียเจีย ไม่ต้องพูดอีกแล้ว ตระกูลซุนมีการดำรงอยู่แบบไหน ลูกก็เข้าใจดี พ่อของลูกสามารถทำได้ถึงขนาดนี้ ก็ถือว่าทุ่มความสามารถทั้งหมดที่มีของตระกูลสวี่แล้ว”คุณแม่ตระกูลสวี่พูดขึ้น พร้อมส่ายหัวว่า “หลังจากนี้ ก็ต้องดูที่ตัวเขาแล้วล่ะ หากเขาสามารถมีชีวิตรอดได้ แม่ก็จะสนับสนุนให้พวกลูกคบกัน”“ยิ่งไปกว่านั้น ทันทีที่พวกลูกสองค
“ยินดีครับ!”“ต่อให้จะต้องตาย ผมก็จะอยู่กับเธอ ขอให้คุณลุงสบายใจได้ ถึงไม่มีตระกูลสวี่ พวกเราก็สามารถปกป้องเจียเจียได้เช่นกัน”หลินจื่อตงนึกถึงพี่เขยของตน พี่เขยของเขาเป็นถึงราชามังกร“พูดจาใหญ่โตไม่อายปาก คนอย่างแกที่แค่มากจากครอบครัวขยะในเมืองเทียนไห่ จะเอาอะไรมาเผชิญหน้ากับตระกูลซุนของฉัน” ซุนซวี่อดไม่ได้ที่จะพูดจาเย็นชาออกมาเพราะเขารู้สึกว่าท่าทีของคุณพ่อตระกูลสวี่เริ่มมีบางอย่างแปลกไปหลินจื่อตงที่กำลังจะตอบ แต่พ่อตระกูลสวี่กลับพูดออกมาทันทีว่า “ดีมาก หลินจื่อตง แค่เธอมีจิตใจที่มั่นคงแบบนี้ ฉันก็จะสนับสนุนเอง!”เมื่อคำนี้ถูกพูดออกมา ทุกคนต่างก็อึ้งไปชั่วขณะไม่มีใครคาดคิดว่า พ่อตระกูลสวี่จะตัดสินใจในทางที่คิดไม่ถึงอย่างกะทันหันแบบนี้ แม้แต่สมาชิกในตระกูลสวี่เองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน อาจเป็นเพราะวิดีโอเมื่อสักครู่นี้หรือเปล่า?สวี่เจียเจียก็รู้สึกงงงวยไปชั่วขณะ เพราะแม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลย“พี่ใหญ่!”สวี่อี้อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “พี่กำลังทำอะไรอยู่ ทำแบบนี้ พี่คิดจะให้ตระกูลสวี่ไม่เหลือจุดยืนเลยรึไง?”สวี่กวงเองก็อยากจะเชื่อหูตัวเองเช่นกัน และรีบพูดออกไปว่
ทุกคนต่างตกใจเล็กน้อย พ่อตระกูลสวี่เองก็เช่นกัน แต่เขาก็ยังคงรับมันมาอยู่ดี เพียงแต่ทันทีที่เขาเห็นเนื้อหาข้างในวิดีโอ สีหน้าก็เปลี่ยนไปจนดูน่าเกลียดมากประเด็นสำคัญคือไม่ได้มีผู้หญิงเพียงคนเดียว ซุนซวี่แทบจะเปลี่ยนเป็นคนวิปริตไปโดยสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้ได้ยินแค่ว่าในช่วงวัยหนุ่มของซุนซวี่นั้น เขาเป็นคนที่เจ้าชู้มาก จึงคิดว่าเขาอาจจะพอแก้ไขได้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเลวร้ายได้ถึงขนาดนี้ในขณะเดียวกันแม่ตระกูลสวี่เองก็ลุกขึ้นเช่นกัน ทันทีที่เห็นฉากเหล่านั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไป แม้ว่าพ่อตระกูลสวี่จะรีบปิดวิดีโอเร็วแค่ไหน แต่สายตาของเธอก็กลับมั่นคงอย่างเห็นได้ชัดไม่ว่าอย่างไร ก็ห้ามให้ลูกสาวแต่งงานกับคนอย่างซุนซวี่เด็ดขาดเพราะไม่เช่นนั้น ลูกสาวก็ต้องจะถูกย่ำยีเป็นแน่พ่อตระกูลสวี่รีบลบวิดีโอทันที ก่อนที่จะส่งคืนให้กับเย่เทียนหยู่ พร้อมกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “ขอบคุณสำหรับวิดีโอ แต่ฉันได้ลบวิดีโอพวกนั้นไปแล้ว และหวังว่าจะไม่มีการสำรองข้อมูลเอาไว้นะ”พูดถึงตรงนี้ เขาก็มองไปที่ซุนซวี่ และกล่าวเตือนขึ้นว่า “เพราะไม่อย่างนั้น แม้แต่พระเจ้าก็ช่วยไม่ได้!”เย่เทียนหยู่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ทุกคนต่างก็นิ่งไปชั่วขณะ เจ้าหนุ่มนี่มาจากไหนกัน เขารู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่แม้แต่สวี่เจียเจียเองก็ยังตกใจ นี่ใครกัน เธออดไม่ได้ที่จะมองไปทางหลินจื่อตงด้วยความสงสัย หลินจื่อตงจึงรีบอธิบายออกไปว่า “เขาคือพี่เขยของฉันเอง”ทันทีที่สวี่เจียเจียได้ยิน เธอก็ชะงักไปครู่หนึ่ง นี่คือพี่เขยที่คนในตระกูลหลินพูดถึงงั้นเหรอ ท่าทีก็เหมือนจะไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้น ดูเหมือนคนธรรมดาที่เข้าถึงได้ง่ายมากกว่าสวี่กวงทนไม่ได้อีกต่อไป เขาหัวเราะเยาะ และพูดขึ้นว่า “ไอ้หนู แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร ที่นี่มีพื้นที่ให้แกออกความเห็นรึไง?”“แน่นอนว่าต้องมีสิ!”“ฉันขอแนะนำตัวหน่อยก็แล้วกัน ฉันชื่อเย่เทียนหยู่ เป็นพี่เขยของหลินจื่อตง ที่มาในวันนี้ ก็ไม่ได้ต้องการที่จะมาพาตัวสวี่เจียเจียไป”เย่เทียนหยู่ไม่สนใจท่าทีดูถูกและความไม่พอใจของคนอื่น ๆ เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า “แต่เพื่อเป็นการทดสอบดูว่า สวี่เจียเจีย เหมาะสมกับจื่อตงหรือไม่ต่างหาก”ทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้น ต่างก็พูดไม่ออกกันหมดแกรู้ไหมว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร?ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองยังเด็กอยู่ แถมยังพูดออก
“พ่อคะ หรือว่าพ่อไม่เคยสนใจอนาคตของหนูเลยอย่างนั้นเหรอคะ ถึงได้บังคับหนูแบบนี้?” สวี่เจียเจียกล่าวทั้งน้ำตา พร้อมกับจ้องไปทางพ่อด้วยความโกรธสีหน้าพ่อตระกูลสวี่ดูไม่พอใจมากนัก แต่นี่คือความหมายของครอบครัว เขาทำไปก็เพื่อครอบครัว เพราะไม่อย่างนั้น ผลที่จะตามมาจากการรุกรานของตระกูลซุนคงจะน่ากลัวมาก ๆ เขาจึงพูดอย่างจำใจว่า “พ่อไม่ได้บังคับลูก แต่คุณชายซุนเป็นคนที่ดีที่สุดสำหรับลูก”“ใช่แล้ว เจียเจีย คุณชายซุนทั้งหล่อเหลาและมีความสามารถ สาว ๆ จากตระกูลใหญ่ในเมืองตะวันออกมากมายอยากแต่งงานกับเขา แต่ก็ไม่มีโอกาส เธออย่าไปหลงเชื่อคนไร้ค่าแบบนั้นเอาได้ล่ะ” สวี่อี้พูดเสริมขึ้นทันที“นั่นสิ เจียเจีย ตระกูลหลินเป็นเพียงตระกูลเล็ก ๆ หลินจื่อตงก็ยิ่งเป็นแค่ขยะ หากเธอต้องไปอยู่กับมัน ชาตินี้คงไม่มีวันได้เห็นแสงสว่างแน่”สวี่กวงเองก็รีบพูดขึ้นมาด้วยเช่นกันแต่สวี่เจียเจียกลับส่ายหัว แล้วพูดออกไปว่า “ฉันไม่สน ฉันแค่ชอบพี่ตง ฉันต้องการแต่งงานกับเขา!”เย่เทียนหยู่เองก็แอบรู้สึกประหลาดใจ คิดไม่ถึงเลยว่า หลินจื่อตง จะโชคดีขนาดนี้ สามารถทำให้หญิงสาวที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้หลงใหลในตัวเองได้หลินหว่า
หูของเย่เทียนหยู่ค่อนข้างไวต่อเสียง เพิ่งจะเดินเข้ามาที่ประตูห้องโถง ก็ได้ยินคำพูดของคุณแม่ตระกูลซุนพูดขึ้นทันที ดังนั้นเขาจึงพูดออกมาดัง ๆ จากประตูว่าพวกเขามีความเห็นต่างทันทีที่พวกเขาพูดจบ ไม่นานก็เดินตรงเข้ามาทุกคนต่างก็ตกใจเล็กน้อย ในช่วงเวลาแบบนี้ใครกันจะกล้าพูดจาไร้สาระ หรือกล้าคัดค้านบ้าง เพราะเหตุนี้จึงทำให้ทุกคนต่างก็หันไปมองพร้อมกัน และเห็นว่ามีคนสามคนยืนอยู่ตรงประตูโดยเฉพาะสวี่เจียเจีย ทันทีที่เธอเห็น เธอก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป เธอลุกขึ้นยืนในทันที และตะโกนด้วยความตื่นเต้นออกไปว่า “พี่ตง!”ทันทีที่สวี่กวนเห็นคนที่เดินเข้ามา เขาก็รู้สึกโกรธขึ้น สีหน้าดูซีดเซียว เขาคิดไม่ถึงเลยว่า หลินจื่อตงจะกล้าบุกเข้ามาในบ้านตระกูลสวี่เพื่อแย่งคนจริง ๆนี่เท่ากับว่าเขาไม่สนใจคำขู่ของตนโดยสิ้นเชิง ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยสักนิด จนแทบจะทำให้เขาหมดความอดทนแต่ในขณะเดียวกัน น้องชายของพ่อตระกูลสวี่ สวี่อี้ก็รู้สึกโกรธมาก แล้วพูดอย่างเย็นชา“พวกแกเป็นใครกัน ถึงกล้าบุกเข้ามาพูดจาไร้สาระในบ้านตระกูลสวี่ของฉันแบบนี้?”“อารองครับ มันก็คือคางคกที่เพ้อฝันอยากกินเนื้อหงส์ หลินจ
ตระกูลสวี่ก็ถือว่าพอมีอิทธิพลอยู่จริง ๆ แต่ถ้าหากเทียบกับสี่ตระกูลใหญ่แล้ว ความแตกต่างนั้นก็ค่อนข้างจะห่างชั้นอยู่พอสมควรหลายคนในตระกูลสวี่ โดยเฉพาะน้องชายของพ่อตระกูลสวี่ สวี่อี้ และลูกชายของเขา สวี่กวง ต่างก็มีความปรารถนาที่จะเข้าใกล้ตระกูลซุน เพียงเท่านี้ ก็จะทำให้อิทธิพลของตระกูลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และพวกเขาเองก็จะได้รับประโยชน์อย่างมากเช่นกันเพียงแต่สีหน้าของคุณแม่ตระกูลสวี่ดูไม่ค่อยดีนัก เพราะเธอรู้ว่าลูกสาวตนชอบหลินจื่อตง ครั้งที่แล้วก็เป็นเธอที่แอบปล่อยสวี่เจียเจียไปอย่างลับ ๆ เพื่อให้เธอได้ไปหาหลินจื่อตงที่เมืองเทียนไห่แม้ว่าพ่อตระกูลสวี่จะไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่เพื่อครอบครัวแล้ว เขาจำเป็นต้องยอมรับสิ่งเหล่านี้สวี่เจียเจียก้มหน้า และกดตัวอักษรบนหน้าจอโทรศัพท์อย่างไม่หยุดหย่อน เธอกำลังส่งข้อความหาหลินจื่อตงแต่หลังจากที่ส่งข้อความไปหลายข้อความ หลินจื่อตงก็ยังไม่ตอบเธอเลยสักข้อความ อีกทั้ง ตอนนี้การสนทนาระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ใกล้จะจบลงแล้ว เขากลับยังไม่ปรากฏตัวสิ่งนี่ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจมากนักแม้เธอจะรู้ว่าครอบครัวของหลินจื่อตงไม่ได้มีความสามารถ แทบจะไม่มีวิธีเลยด
เมื่อคุณแม่ตระกูลหลินได้ยินเสียง ก็ตกใจขึ้นมาทันทีพอหันไปมองก็เห็นว่าเย่เทียนหยู่กำลังเดินมา สีหน้าดูตื่นตระหนกเล็กน้อย และพูดติดอ่างขึ้นว่า “เทียนหยู่ เธอมาแล้วเหรอ ฉะ ฉันก็พูดมั่ว ๆ ไปอย่างั้นแหละ เธออย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ”“ฮึ ๆ!”เย่เทียนหยู่หัวเราะฮึ ๆ ออกมา ครั้งนี้เขาเปลี่ยนเป็นรถอีกคัน บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้ คุณแม่ตระกูลหลินจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นล่ะมั้งแต่เขาก็ขี้เกียจที่จะสนใจ และพูดอย่างเฉยเมยไปว่า “หว่านหรู จื่อตง รีบขึ้นรถเถอะ”เมื่อหลินจื่อตงและหลินหว่านหรูได้ยินแบบนั้น ก็รีบเดินไปที่รถเพื่อเตรียมขึ้นรถในทันที“จื่อตง นายมาขับรถ” เย่เทียนหยู่หยิบกุญแจรถโยนให้กับหลินจื่อตงทันทีหลินจื่อตงพยักหน้า แล้วถือกุญแจเดินขึ้นรถไปเขาหวังเอาไว้อยู่แล้วว่าจะได้เป็นคนขับ แบบนั้นเขาก็จะสามารถเพิ่มความเร็วได้ดั่งใจ เพราะเขาเป็นคนที่ชื่นชอบการแข่งรถมาก และทักษะการขับขี่ของเขาก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับเขาแล้ว พี่เขยจะต้องขับรถได้แย่มากแน่นอนคุณแม่ตระกูลหลินเดินตรงเข้าไป พร้อมกับเปิดประตูรถ เพื่อที่จะขึ้นไปด้วย เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ในฐานะผู้อาวุโส เธอรู้สึกว่า ยังไ
หม่าจวิ้นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและรีบพูดทันทีว่า “สภาพร่างกายของผมยอดเยี่ยมมาแต่เด็ก ผมไม่จำเป็นต้องฝึกหรอกครับ”“ผมบอกว่าต้องก็ต้อง จะไปมั้ย” เย่เทียนหยู่ถาม“ไปครับ!”หม่าจวิ้นจะไม่คว้าโอกาสแบบนี้เอาไว้ได้ยังไง เขาจึงตอบกลับทันทีเย่เทียนหยู่แจ้งหมายเลขโทรศัพท์และชื่อของหยางผั่วจวินให้เขาทันที จากนั้นเขาก็โทรหาหยางผั่วจวินและเล่าความเป็นมาให้เขาฟังแม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถติดตามราชามังกร แต่เขาก็เป็นได้เป็นลูกกระจ๊อกคนหนึ่งแล้ว ต่อไปในอนาคตเขายังมีโอกาสอีกมากใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มกับความตื่นเต้นอันไม่อาจควบคุมเมื่อหลิวเมิ่งเห็นว่าเย่เทียนหยู่คุยกำลังว่าง่าย เธอก็พูดทันที “พี่เขย เรื่องพี่สาว...”“ผมพูดไปแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรอีก”เย่เทียนหยู่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ดึกแล้ว ผมจะไปพักผ่อน ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็รีบกลับไปเถอะ” หลิวเมิ่งทำอะไรไม่ถูก หมายความว่าไงถ้าไม่มีอะไรแล้ว เธอก็พูดอยู่ตลอดว่ามีเรื่องนี่ แต่เขาเองที่ไม่ยอมฟังดูเหมือนคราวนี้พี่เขยตั้งใจจะออกจากตระกูลหลินอย่างแน่วแน่ แล้วลูกพี่ลูกน้องของเธอจะทำยังไงดีภายใต้ความสิ้นหวัง หลิวเมิ่งจากไปพร้อมกับหม่าจวิ้น หลังจากก