“ค่ะ” หวงเจวียนรับคำด้วยท่าทีอ่อนน้อม เธอต้องรีบเอาเรื่องนี้ไปรายงานให้ท่านรองประธานได้ฟัง “ได้ งั้นรีบไปจัดการเถอะ จำไว้นะครับว่าสิบนาที ทุกคนในบริษัทจะต้องอยู่ที่นั่น ถ้าไม่อย่างนั้นเกิดอะไรขึ้นก็รับผิดชอบตัวเอง” เย่เทียนหยู่พูดเสียงเย็นชา “ค่ะ!” หวงเจวียนเองก็รีบไปจัดการ หลังจากที่ทั้งสองคนออกไปแล้ว หนิงเกอก็ได้สติกลับมา เธอมองไปทางเย่เทียนหยู่ ในสายตาเห็นได้ชัดเลยว่ามีความอึดอัดและอับอายปนอยู่ เธอคิดถึงตอนที่เธอไม่เคยเชื่อคำพูดของเขาแล้วยังจะดูถูกเขาตลอดเวลาอีก ที่แท้เขาก็คือคนของหงหม่ากรุ๊ปจริง ไม่ใช่พนักงานทั่วไป แต่เป็นประธานบริษัทคนใหม่ แต่เธอกลับเอาแต่ดูถูกอีกฝ่าย ตอนนี้จึงได้แต่แสดงสีหน้าสำนึกผิดก่อนจะพูดออกมาอย่างระวัง “ประธานเย่คะ คือฉัน…” “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ต่อจากนี้ตั้งใจทำงานก็พอ” หนิงเกอคนนี้ถึงจะไม่มีมารยาทกับตนเองอยู่บ่อยครั้ง หรือแม้แต่พูดจาดูถูกบ้างแต่ไม่มีปัญหาอะไรมากนัก แค่เป็นคนไม่ชอบยอมอ่อนข้อให้ใครก็เท่านั้น สำหรับเรื่องนี้แล้วเห็นแก่ความสามารถของเธอเย่เทียนหยู่พอทนได้ แต่ถ้าอยากจะเลื่อนตำแหน่งคงเป็นไปไม่ได้ ต้องรอดูเธอในอนาคตแล้วล
แม้กระทั่งจางฉีเองก็ยังโดนหนิงเกอดุด่าอยู่ไม่น้อย แต่จางฉีเป็นเพียงคนเดียวที่ถูกหนิงเกอคอยปกป้องเธอจึงรู้สึกขอบคุณอยู่ไม่น้อย และแน่นอน ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายออกแบบก็ไม่ได้มีแค่เพียงคนเดียว แค่มีความสามารถในการบริหารจัดการ มีความสามารถในการออกแบบ ก็สามารถได้รับโอกาสนี้ได้ ส่วนโจวม่าน เป็นเพราะเธอไปทำให้เฉินฮั่นไม่พอใจเข้า ก็เลยถูกกดไว้อย่างนั้น โจวม่านชะงักไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเธอเองก็ตื่นเต้นมากๆ “ฉันยินดีอยู่แล้วค่ะ สำหรับตำแหน่งนี้ฉันมั่นใจว่าฉันสามารถทำได้ดี” แต่เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็มีสีหน้าลังเล “แต่ว่า…” “แต่ว่าอะไรครับ?” เย่เทียนหยู่ถามอย่างสงสัย โจวม่านลังเลไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดีแต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะพูดออกมา “อาจจะมีการขัดขากันสักหน่อย ฉันกลัวว่าจะมีผลกระทบการบริหารของคุณในอนาคต” ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะถามต่อ แต่เย่เทียนหยู่เข้าใจในทันที เขาพูดออกมายิ้มๆ “ผมเข้าใจครับ แต่วางใจเถอะไม่มีใครสามารถมาห้ามผมได้” เมื่อพูดคำนี้จบ ทุกคนก็นิ่งงันไปแม้กระทั่งหนิงเกอเองก็เช่นกัน ประธานเย่หมายความว่าอะไร หรือว่าเขาจะจัดการคนพวกนั้นในทีเดียว แต่จะเป็นไปได้ยังไง มันทำ
เมื่อพูดจบ ฝ่ายออกแบบที่อยู่ด้านหลังก็พากันหน้าถอดสี เริ่มแล้วใช่ไหม? ใครๆก็รู้ดี ว่ารองประธานบริษัทรักศักดิ์ศรีของตัวเองมากๆ และยังเป็นจอมบงการด้วย เก่งกว่าเฉินฮั่นมาก แต่เย่เทียนหยู่กลับเผชิญหน้าตรงๆเลย หลิวชั่วฟังจบก็สีหน้าเปลี่ยนเคร่งขรึมลงเล็กน้อย ไอ่เด็กนี่คิดว่าตัวเองเก่งนักสินะ แค่เฉินฮั่นคนเดียวยังจัดการไม่ได้ และยังต้องทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้เพื่อไม่ให้เสียหน้า ถ้ากล้าจะมาหาเรื่องกัน เชื่อสิว่าฉันจะทำให้มันยุ่งยากกว่าเดิมเป็นสองเท่า แต่ว่าหลิวชั่วได้แต่กักเก็บอารมณ์ไม่พอใจนี้ไว้ก่อนจะยิ้มออกมา “ที่ผมมาช้าก็มีเหตุผล เมื่อกี้ผมเพิ่งจะคุยโทรศัพท์กับเพื่อนที่เป็นข้าราชการชั้นสูงในเมืองมา ก็เลยช้าไปหน่อย” “ถ้าหากว่าเป็นคนทั่วไปผมคงตัดสายไปแล้ว แต่คนนี้คงจะไม่ได้ ถ้าไปทำให้เขาไม่พอใจบริษัทของพวกเราคงโดนจัดการเรียบ” คำพูดนี้ก็ใช้เพื่อข่มขู่เย่เทียนหยู่เช่นกัน เย่เทียนหยู่หัวเราะเบาๆ “เหรอครับ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงคงไม่สะดวกเท่าไหร่” “ใช่สิครับ” หลิวชั่วเผยสีหน้าได้ใจ ไอ่เด็กนี่กลัวขึ้นมาแล้วล่ะสิ คนที่ไม่เข้าใจอะไรเลยอย่างแกคิดจะมาต่อกรกับฉัน ดูสิว่าฉันจะจัดการยังไง
เย่เทียนหยู่ฟังจบก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาอย่างตกใจ “ไอ่บ้านั่นยังไม่ไปจากเมืองเทียนไห่อีกเหรอ?” “นายว่าอะไรนะ?” หลินหว่านหรูชะงักไปเล็กน้อย “ไม่มีอะไร ไปทานข้าวกันตอนไหนล่ะ?” เย่เทียนหยู่ถาม “สิบเอ็ดโมงครึ่ง ที่ตึกสี่ฤดู” “ไปเร็วจัง โอเค ผมรู้แล้วคุณไปตามนัดก็พอ ทางนี้ผมมีเรื่องนิดหน่อยเดี๋ยวผมไปหา” เย่เทียนหยู่วางสายโทรศัพท์ หลินหว่านหรูงงเล็กน้อย เทียนหยู่หมายความว่ายังไง เขาคงไม่ได้คิดจะมาก่อเรื่องหรอกมั้ง แต่เขาบ้าไปเลยก็ดีอีกฝ่ายจะได้โมโห แต่ถ้าเกิดว่าเขาไม่มาเธอจะทำยังไงดีล่ะ จากที่ฟังคุณปู่และแม่พูด ถ้ารอบนี้เธอไม่ยอมเชื่อฟังก็คงจบเห่แน่ และเธอก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนที่ทำลายตระกูลหลินด้วย ช่างเถอะ ไม่สนใจแล้ว ยังไงมันก็ต้องมีหนทางอยู่แล้ว บางทีเย่เทียนหยู่อาจจะมีวิธีก็ได้ เขาอาจจะดูดุดันไปหน่อยแต่ก็ยังปลอดภัยดีทุกครั้งนี่นา เย่เทียนหยู่วางโทรศัพท์ก่อนจะมองนาฬิกาเล็กน้อย ตอนนี้สิบโมงเข้าไปแล้ว จากนี่ไปตึกสี่ฤดูก็ไกลพอสมควร ดูท่าคงต้องรีบหน่อยแล้ว เย่เทียนหยู่เดินไปหยิบเก้าอี้มาก่อนจะเอาเก้าอี้มาวางซ้อนกันไว้ เมื่อวงซ้อนกันสูงมากพอ เขาก็กระโดดขึ้นไป
เมื่อเอ่ยคำสั่งนี้จบ ทุกคนก็ต่างพากันงงงวย เพราะเสียงของเย่เทียนหยู่ดังมากๆ ต่อให้จะไม่ได้ยินชัดแต่คำพูดนี้มันก็ลอยเข้าหูของทุกคน และทุกคนก็ได้ยินอย่างชัดเจน หวังชิ่ง! ก็แค่พนักงานธรรมงานคนหนึ่งในฝ่ายการขาย แต่กลับได้เป็นรองประธานบริษัท และท่านประธานยังพูดเองด้วยว่าให้ช่วยดูแลเรื่องการบริหารของบริษัท แบบนี้ก็ไม่ต่างจากประธานบริษัทเลยนี่นา ทำไมฟังดูแปลกๆกันนะ หนิงเกอเองก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่เมื่อผ่านเรื่องที่แล้วมาเธอก็พอรู้ว่าเย่เทียนหยู่จะต้องจัดการอะไรบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะเลยจินตนาการไปขนาดนี้ นี่ก็ไม่ต่างจากการปั่นหัวผู้บริหารระดับสูงคนอื่นๆเลย โจวม่านยิ้มขื่น เธอนึกถึงสิ่งที่ประธานเย่พูดเมื่อสักครู่ ตอนแรกคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะมันดูจะยากเย็นซะเหลือเกิน แต่ได้ยินคำสั่งนี้ ประธานเย่เขาตั้งใจจะทำแบบนี้จริงๆ แต่ปัญหาคือคนอื่นๆจะฟังเขาไหม จางฉีเองก็งงๆ คนอื่นๆเองก็เช่นกัน แม้กระทั่งตัวหวังชิ่งเองก็ไม่เข้าใจ ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากรอบข้าง หวังชิ่งก็ได้แต่ทำหน้างงงวย นี่มันสถานการณ์อะไรกัน เมื่อกี้เขายังคิดอยู่เลยว่าจะเปลี่ยนบริษัทดีไหมทางที่ดีก็คงจะเล
“ดี พวกเราชอบความมั่นใจแบบนี้” “งั้นก็ตกลงตามนี้ ตั้งแต่วันนี้ไปคุณรับตำแหน่งรองประธานบริษัทไป” เย่เทียนหยู่พูด “เดี๋ยวก่อน!” ในตอนนี้เองที่หลิวชั่วรู้สึกเหมือนตกที่นั่งลำบาก เขาพูดขึ้น “ประธานเย่ คุณเพิ่งจะมาที่บริษัทไม่เข้าใจสถานการณ์ก็จะเปลี่ยนรองประธานคนใหม่เลยคุณไม่คิดว่ามันง่ายไปหน่อยเหรอ?” “เราควรจะโหวตกันไม่ใช่เหรอ?” “ไม่ต้องปรึกษา!” “เจ้านายของผมมีหุ้นอยู่ที่บริษัทนี้ทั้งหมด เขาอนุญาตให้ผมจัดการได้เต็มที่” เย่เทียนหยู่พูดต่อ หลิวชั่วได้ฟังก็โมโหก่อนจะพูดออกมาเสียงดัง “คุณบ้าอำนาจแบบนี้ไม่กลัวว่าจะทำให้บริษัทล้มละลายหรือไง แบบนี้ใครจะกล้าทำงานกับคุณ?” “งั้นแล้วใครไม่กล้าบ้าง?” “ได้นะ ถ้าใครไม่กล้าก็ลุกออกมาเลย” เย่เทียนหยู่พูดเสียงเนิบ หลังจากพูดคำนี้จบสีหน้าทุกคนก็เปลี่ยนไป ยิ่งเมื่อเห็นท่าทีของเย่เทียนหยู่ที่พร้อมจะจัดการทุกคนที่ขวางหน้าด้วยแล้ว “ผมไม่กล้า” ในตอนนี้เองเฉินฮั่นก็ลุกขึ้นแล้วก้าวออกมา เพราะเมื่อกี้ถือดีว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าอีกฝ่าย ตอนนี้ได้โอกาสเอาคืนแล้ว เมื่อกี้อยากจะไล่เขาออกไม่ใช่หรือไงสุดท้ายก็กลัว เพราะอย่างนั้นเขาจึงกล้า
“งั้นเหรอ?” เย่เทียนหยู่อดจะยิ้มออกมาไม่ได้ก่อนจะพูดออกมาเสียงเรียบ “เฉินฮั่น จากที่ผมรู้มาคุณเอาผลงานการออกแบบของบริษัทไปขายให้บริษัทคู่ต่อสู้เพื่อจะได้รับเงินจากตรงนั้น นี่มันเรื่องจริงหรือเปล่า?” “โกหก!” “นี่มันเรื่องโกหกชัดๆ!” “ใครมันพูด ฉันจะจัดการมันให้เละเลย!” เฉินฮั่นหน้าถอดสีก่อนจะตะโกนออกมาเสียงดังอย่างระแวง เสียงที่ดังขนาดนี้ทำเอาทุกคนในที่นั้นได้ยินกันจนหมด เห็นได้ชัดเลยว่าเฉินฮั่นกลัวมากจริงๆ “โกหกเหรอ?” “งั้นทำไมมันถึงได้ชัดเจนขนาดนี้ล่ะ” เย่เทียนหยู่หัวเราะเบาะๆ ก่อนจะพูดช้าๆ “ปีก่อนตอนวันที่แปดมิถุนายน ปีที่แล้ว แล้วก็ยังมีของปีนี้อีกด้วย” “วันที่หกของเดือนนี้เอง นายเอาแหวนที่โจวม่านออกแบบแล้วก็ของหนิงเกอและของคนอื่นๆในฝ่ายไปขายให้บริษัทคู่แข่ง ได้เงินมาหลายแสน” ทุกๆเรื่องและวันที่ที่ปรากฏและยังมียอดเงินที่ชัดเจนอีกด้วย เฉินฮั่นได้ฟังก็อดจะหน้าซีดไม่ได้ เขาปฏิเสธพร้อมกับท่าทีตื่นกลัว “โกหก มันเป็นเรื่องโกหก นี่มันเรื่องมั่วๆ ไม่ใช่ความจริง” เห็นได้ชัดว่าเขากลัวจนแทบบ้า เห็นได้ชัดเลยว่าช็อคไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเย่เทียนหยู่พูดถูกต้อง ถึงจะยังไม
แต่ไม่แน่ เขาอาจจะรู้แค่เรื่องของฝ่ายออกแบบก็ได้ เพราะวันนี้มาถึงเขาก็ไปฝ่ายออกแบบเลย ดูท่าแล้วฝ่ายออกแบบคงมีคนปล่อยความลับ ถูกต้อง มันต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ คิดได้แบบนี้เฉินฮั่นก็สบายใจมากขึ้น เห็นเฉินฮั่นคุกเข่าด้วยท่าทีน่าสงสารอยู่ตรงหน้า เย่เทียนหยู่มองไปอีกฝ่ายด้วยสายตาแน่นิ่งก่อนจะพูดออกมาเสียงเรียบ “ถ้าหากเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ผมก็คงจะปล่อยไปได้ แต่คุณยังทำเรื่องที่แย่จนผมรับไม่ได้อีก” “อะ…อะไรนะครับ ผม…ผมไม่เคยรู้จักคุณมาก่อน ไม่เคยทำผิดอะไรต่อคุณนี่?” เฉินฮั่นหวั่นใจ “ผู้หญิง!” เย่เทียนหยู่พูดเสียงเรียบ “นายใช้อำนาจในการเป็นหัวหน้าฝ่าย หลอกล่อผู้หญิงคนอื่นในฝ่าย ทำให้เกิดแผลในใจของพวกเธอ ถึงจะมีคนที่ออกจากบริษัทไปแล้วแต่ผลที่นายทำมันทำให้เกิดปัญหาระยะยาว” ได้ยินคำนี้เฉินฮั่นจึงหน้าถอดสีก่อนจะล้มลงไปนั่งกับพื้น เย่เทียนหยู่ไม่สนใจก่อนจะพูดต่อ “หลิวชั่ว นายเองก็ไม่พอใจนี่ ตอนนี้มีอะไรจะพูดไหม?” ได้ยินคำนี้สีหน้าของหลิวชั่วก็เปลี่ยนไป แต่เมื่อคิดดูอีกฝ่ายคงไม่มีหลักฐานอะไรสาวมาที่ตัวเขา ไม่อย่างนั้นก็คงจัดการเขาก่อน ถ้าจัดการเขาได้ก็เหมือนจัดการได้ทั้งหมด