แม่ตระกูลหลิวร้อนใจจนใช้ความตายเข้าขู่หลิวซือซือทำอะไรไม่ถูกจริงๆ แต่ในขณะนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นคุณแม่ตระกูลหลิวก้าวไปข้างหน้าและเปิดประตูทันที ผู้มาเยือนคือซ่งหยางตามดังที่คาดไว้ เธอต้อนรับซ่งหยางเข้ามาด้วยในด้วยความตื่นเต้นดีอกดีใจทันที เพราะเธอรู้เหตุการณ์ต่อจากนี้เป็นอย่างดีมาถึงตอนนี้ หลิวซือซือก็ไม่ได้ห้ามอีกต่อไป เธอคิดว่าถึงยังไงพี่เย่ก็พูดแล้ว รวมกับคำขู่ของแม่เมื่อครู่นี้ เธอหมดหนทางจริงๆสิ่งที่สำคัญที่สุดคือหลังจากได้ฟังคำพูดของแม่แล้ว หลิวซือซือก็รู้สึกว่าพี่เย่ชอบเธอเหมือนกันในเมื่อพี่เย่ชอบเธอ ถ้าอย่างนั้นเธอก็จะยอมรับไว้ อย่างมากถ้าพี่เย่ต้องการตัวเธอเมื่อไร เธอก็แค่ยอมอุทิศร่างกายให้เขาไปก็พอเป็นที่แน่ชัดว่าเย่เทียนหยู่ไม่รู้ว่าคำพูดสบายๆ ของเขาจะทำให้สองแม่และลูกทะเลาะกันอยู่นาน หลังจากที่เขาขึ้นรถ เขาก็โทรออกสองสามสาย ให้พวกเขาบอกสถานที่ที่กงซุนจื้อซ่อนตัวอยู่มาเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตามหาตำแหน่งของพวกกงซุนจื้อเจอคนพวกนี้ซ่อนเก่งจริงๆ ทำเรื่องสวนทางกับที่ชาวบ้านเขาทำกันหมด ถึงกับกล้าซ่อนในโรงแรมสุดหรู แถมยังจองเป็นห้องเพรสซิเดน แล้วยังอยู่รว
หลังจากที่เสียงนั้นดังขึ้น สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป เพราะพวกเขาฟังออก นี่มันเสียงของเย่เทียนหยู่คนเมื่อกลางวันไม่ใช่เหรอกลุ่มคนหันกลับไปมองทันที ประตูถูกเปิดออกเบาๆ ก่อนจะเผยเป็นร่างของเย่เทียนหยู่เย่เทียนหยู่มาที่นี่ได้ยังไงกัน!แน่นอนว่าพวกเขาไม่กลัวเย่เทียนหยู่ สิ่งที่พวกเขากลัวก็คือถ้าเย่เทียนหยู่พบสถานที่แห่งนี้ เย่เซวียนและคนอื่นๆ ก็อาจจะตามเจอเหมือนกันกงซุนมิ่วจ้องเย่เทียนหยู่ตาไม่กะพริบ ต้องบอกว่าเด็กนี่เก่งจริงๆ แต่เขาระแวดระวังเบื้องหลังของเย่เทียนหยู่เสียมากกว่าเพื่อจะดูว่ามีใครมาปรากฏตัวกับเขาเพิ่มอีกหรือไม่ดวงตาของกงซุนจื้อน่ากลัวอย่างยิ่ง เขาอยากจะฉีกเย่เทียนหยู่เป็นชิ้นๆ ราวกับว่าเย่เทียนหยู่ทำเรื่องผิดต่อเขาเอาไว้มากมายเมื่อเผชิญหน้ากับสายตาทิ่มแทงดุร้ายของกลุ่มคนที่กำลังจ้องเขม็ง เย่เทียนหยู่กลับสงบไม่เผยท่าที แล้วยังค่อยๆ ปิดประตูด้วยถึงแม้ตัวล็อกจะถูกพังไปแล้วระหว่างที่เขายังไม่ทันได้ขยับ แต่เขาก็ยังรวมมันเข้าด้วยกันได้อย่างง่ายดาย หรืออย่างน้อยมองจากภายนอกก็มองไม่ออกกงซุนจื้อจ้องมองเย่เทียนหยู่ด้วยสายตาโหดเหี้ยม ก่อนจะพูดด้วยความโมโห “เย่เทียนหยู่ มึ
“แกมันรนหาที่ตาย!”กงซุนมิ่วโกรธจัด เขารวมพลังไปที่ฝ่ามือขวา ร่างกายของเขาระเบิดพลังออกมาในทันที จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่เย่เทียนหยู่ หมัดนี้เขายังไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดเพราะยังไงเขาก็มีพลังมากเกินไปหากเขาโจมตีด้วยพละกำลังทั้งหมด เย่เทียนหยู่อาจถูกสังหารภายในหนึ่งกระบวนท่าแต่เขาสิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ เย่เทียนหยู่เผยรอยยิ้มบนใบหน้าและโบกมือขวาของเขา จากนั้นพลังอำนาจก็ถูกซัดออกมาตึง!ทันทีที่เกิดเสียงปะทะ สีหน้าของกงซุนมิ่วเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะกระเด็นไปทันที และเพราะกระบวนท่าเมื่อครู่ อีกฝ่ายส่งพลังอันน่ากลัวออกมาจากฝ่ามือคิดไม่ถึงว่าจะเทียบได้กับพลังสามในสิบของเขาเลยทีเดียวหลังจากที่กงซุนมิ่วตกลงบนพื้น สายตาของเขาก็เผยความตกใจออกมา “แกเจ้าหนู คิดไม่ถึงเลยว่าคนอายุน้อยแบบแกจะมีพลังมหาศาลขนาดนี้ เกรงว่าแกคงมีระดับพลังผลัดเปลี่ยนขั้นปลายแล้วใช่ไหม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา“พลังผลัดเปลี่ยนขั้นปลาย?”เย่เทียนหยู่อดไม่ได้ที่จะห้วเราะ“ไม่ใช่เหรอ ทำไม หรือแกอยากจะบอกว่าแกมีพลังระดับผลัดเปลี่ยนขั้นสูงสุด แกคิดว่าฉันจะเชื่อแกรึไง” กงซุนมิ่วเยาะเย้ย“แน่นอนว่าไม่ ผม...” เย่เทียน
อะไรนะ!ผู้มากฝีมือระดับปรมาจารย์!ทันทีที่คำนี้ดังออกมา ตระกูลกงซุนทุดคนต่างก็ตกตะลึงถึงขีดสุด แต่ละคนใบหน้าซีดเผือด ต่อให้พวกเขาแข็งแกร่งขนาดไหน ถ้าเจอผู้มากฝีมือระดับปรมาจารย์ก็มีแต่ต้องตายเท่านั้นปรมาจารย์?เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เกงซุนมิ่วส่ายหัวไม่หยุดเขาเชื่อไม่ลงจริงๆ ว่าคนที่ตัวเองดูถูกดูแคลนมาตลอด เย่เทียนหยู่ผู้ไร้ซึ่งพลังอำนาจจะเป็นถึงปรมาจารย์ผู้มากฝีมือถ้าเขาเป็นปรมาจารย์ผู้มากฝีมือจริง ทำไมเขาทำเรื่องเลลวร้ายไปมากขนาดนั้นเขาถึงไม่เคยลงมือกับเขาเลยสำหรับเขา เขาคิดว่าเย่เทียนหยู่ไม่ทำอะไรเขาเพราะกลัวผู้นำตระกูลของเขาก็เลยกลัวการลงมือ“เสี่ยวจื้อ!”กงซุนมิ่วตะโกนเรียกกงซุนจื้อที่กำลังสติหลุด สายตาจ้องไปที่เย่เทียนหยู่เขม็ง และหวังว่าจะได้รับคำตอบที่แน่ชัดจากปากของอีกฝ่ายเย่เทียนหยู่สีหน้าสงบนิ่ง การมาเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่กำลังจะตายทำให้เขาไม่มีอะไรต้องปิดบัง เขาพูดอย่างใจเย็นว่า “คุณพูดถูก ผมมีพลังระดับปรมาจารย์จริงๆ”เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด ปรมาจารย์ที่อายุยังน้อยขนาดนี้กงซุนมิ่วรู้สึกว่าทุกอย่างมันช่างเหลวไหลสิ้นดีหลานชายผู้ล้ำค่าของเขายั่ว
นี่สวรรค์ตั้งใจทำลายตระกูลกงซุนของเขาชัดๆ ทำไมกัน ทำไมตระกูลกงซุนถึงได้ไปล่วงเกินคนที่เป็นอย่างเทพขุนพลคนนี้ด้วยเห็นได้ชัดว่า พวกเขาไม่รู้เลยว่าเย่เทียนหยู่ได้ทะลวงถึงระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุดแล้ว แต่นี่เป็นไพ่ใบไม้ตายของเขา เขาไม่อยากจะเปิดเผยมันง่ายดายขนาดนั้นเขาคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเป็นใครกันแน่ที่คิดจะทำลายตระกูลกงซุนจนย่อยยับ และเป็นใครกันที่ทำเรื่องทั้งหมดนี้ได้แรกเริ่มเดิมทีพวกเขาไม่เห็นเย่เทียนหยู่อยู่ในสายตาเลย คิดเพียงว่าเขาไม่มีความสามารถแบบนั้นหรอก แต่นในวินาทีนี้ ในที่สุดเขาก็คิดออกแล้ว“ที่กงซุนจื้อถูกผู้อารักขาเฟยหลงตามจับเป็นเพราะเจ้าเหรอ?” กงซุนมิ่วถามด้วยอาการสั่นเทาเย่เทียนหยู่ชะงักไปเล็กน้อย แต่เขาก็ตอบอย่างไม่ปิดบัง “ใช่! โทษที่หลานชายคุณทำเรื่องเกินควรก็แล้วกันนะ กล้ามาหลอกลวงและพยายามลวงเกินภรรยาผมตั้งหลายครั้ง”“อย่างที่คิดไม่ผิด ไม่ผิดจริงๆ!”“เสี่ยวจื้อ แกนี่มันหลานตัวดีจริงๆ”กงซุนมิ่วสิ้นหวัง อาจเพราะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงผันผวนมากเกินไป เขาจึงกระอักเลือดออกมาเต็มปากและหมดลมหายใจไปในทันทีพอจะมองออกว่าเขาโกรธและเจ็บปวดอยู่ภายในมากเพียงใด หลานชายคนส
กงซุนจื้อหวาดกลัวจริงๆ โดยเฉพาะการถูกผู้อารักขาเฟยหลงหมายหัวแบบนี้ คุณปู่ของเขาก็ตายไปแล้ว และคนตรงหน้าก็ไม่ได้เพียงน่ากลัว แต่เขายังดันไปยั่วยุอีกฝ่ายเอาไว้มากเขาเสียใจจริงๆ ถ้ารู้ว่าเย่เทียนหยู่น่ากลัวขนาดนี้ ให้เขามีความกล้าอีกนับหมื่นนับพันเท่าเขาก็คงไม่กล้าไปล่วงเกินหลินหว่านหรู ไม่กล้ายั่วยุเย่เทียนหยู่แต่โลกใบนี้ไม่มียาแก้ความเสียใจในยามนี้ นอกจากการคุกเข่าลงขอร้อง เขาคิดวิธีอื่นไม่ออกแล้วจริงๆ“แค่นี้ก็ยอมคุกเข่าแล้วเหรอ ตอนเริ่มแรกคุณพูดเอาไว้ว่ายังไง?”“คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าให้ผมคุกเข่าขอร้องคุณ?” เย่เทียนหยู่พูดเยาะเย้ยเขา“ไม่หรอกครับ ไม่หรอก คุณมีฐานะสูงส่ง ควรจะเป็นผมที่ก้มหัวให้คุณสิครับ!”“โอ้ ตอนนี้ผมเป็นคนมีฐานะสูงส่ง ไม่ใช่คนที่มาจากภูเขาแล้วเหรอ?”“ขอโทษครับ ขอโทษครับ ก่อนหน้านี้ผมมันโง่เอง ผมมันสมองพิการไม่รู้เรื่องอะไร คุณเป็นผู้มีเมตตากับคนตัวเล็กๆ แบบผม ปล่อยผมไปเถอะนะครับ”“ขอแค่คุณยอมปล่อยผมไป ผมจะยอมทุกอย่างเลยครับ”กงซุนจื้อรู้สึกหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด เขาคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่าในขณะที่พูด อีกทั้งยังทำโดยไม่คิดจะหลอกลวง เขาพูดจริงทำจริง จนในไม่ช้า
หลินหว่านหรูได้ยินเสียงขอร้องอย่างน่าสงสาร ทำเองเธอตกตะลึงไปทันทีคิดไม่ถึงว่ากงซุนจื้อจะก้มหัวคุกเข่าอย่างไร้ยางอายเช่นนี้นี่มันเหนือคาดสุดๆ!แต่ปัญหาก็คือ นี่มันเป็นเสียงของกงซุนจื้อจริงๆ เธออดไม่ได้ที่จะถาม “กงซุนจื้อจริงๆ เหรอ คงไม่ได้ใช้เสียงที่อัดไว้แล้วมาหลอกฉันใช่ไหม”เย่เทียนหยู่ยิ้มแห้ง ภรรยาเขาคนนี้พลังจินตนาการเปี่ยมล้นดีจริงๆก่อนเขาจะทันได้พูด กงซุนจื้อก็รีบตอบอย่างแทบรอไม่ไหว “ไม่ใช่บันทึกเสียง ถ้าเป็นบันทึกเสียง ผมคงตอบโต้คุณไม่ได้”“คุณชายเย่แข็งแกร่งเกินไป เราไม่คู่ควรเป็นคู่ต่อสู้ของเขาเลย ประธานหลิน ผมรู้ว่าผมผิดไปแล้ว ได้โปรดช่วยผมด้วย ช่วยผมด้วยนะครับ”ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ในที่สุดหลินหว่านหรูก็แน่ใจว่าเย่เทียนหยู่จับกงซุนจื้อได้ ไม่อย่างนั้นกงซุนจื้อคงไม่กลัวขนาดนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ตระกูลหลินถูกฆ่า เทียนหยู่จึงเลยไปหาคนของตระกูลกงซุนจริงๆ เขาทุ่มเททุกอย่างเพื่อตระกูลหลิน แต่ปู่ของเขาและคนอื่นๆ กลับไม่เคยเข้าใจเขาเลย“นาย นี่นายจัดการพวกเขาได้จริงเหรอ?”“ครับ แต่เรื่องนี้ไม่เหมาะให้คนรู้กันเยอะเท่าไร ให้ดีคุณอย่าบอกใครดีกว่า” เย่เทียนหยู่คิดถึงเรื่
เย่เทียนหยู่ไม่รู้ความคิดของหลินหว่านหรู เขาเก็บโทรศัพท์ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปาก “กงซุนจื้อ ผมได้ให้โอกาสคุณไปแล้ว แต่ขนาดคนที่มีเมตตาอย่างหลินหว่านหรูยังไม่ยอมคุยกับนายเลย”“อย่าโทษผมก็แล้วกัน เกิดชาติหน้าทำตัวเป็นคนดีเถอะ”“ไม่นะ อย่า...”“ขอร้องละ ขอร้อง จะอะไรผมก็ให้ได้หมดทุกอย่าง”“ขอแค่คุณยอมปล่อยผมไป ผมจะยกทุกอย่างที่เป็นของตระกูลกงซุนให้คุณ”ทันทีที่กงซุนจื้อได้ยินคำพูดของเย่เทียนหยู่เขาก็กลัวสุดขีดแต่แล้ววินาทีต่อมา มือขวาของเย่เทียนหยู่ก็กดลงเล็กน้อย “ตั้งแต่ตอนที่ผู้อารักขาเฟยหลงปรากฏตัว ตระกูลกงซุนก็ถูกชี้ชัดให้ต้องย่อยยับอยู่แล้ว คุณจะไปมีของอะไรให้ผมได้ยังไง”“ไม่นะ อ้ากกก!”กงซุนจื้อโหยหวน เขาเพียงรู้สึกได้ว่ามีพลังกระแทรกเข้ามาในอวัยวะทั้งห้าและเส้นชีพจรทั้งหกภายในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหัวใจ จากนั้นเขาก็อ้าปากกว้างแล้วล้มลงกระแทกพื้น!จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายก่อนชีวิตจะปลิดปลิว เขาก็ยังคุกเข่าขอร้อง เห็นได้ชัดว่าเขาหวังจะได้มีชีวิตต่อไปเพียงใดผู้มากฝีมือรอบด้านมองดูฉากเบื้องหน้าก่อนที่ต่างคนต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไป แต่กลับไร้ซึ่งหนทาง เพราะความกลัวกำลังแล่นไปถึงพวกเ
“ฮ่า ๆ ต้องขออภัยทุกท่านด้วยนะ พอดีเมื่อกี้มีธุระนิดหน่อย เลยทำให้มาช้า”ทั้งสองคนแต่งตัวค่อนข้างเรียบร้อย ทั้งดูดีและมีเกียรติมากโดยเฉพาะเจวี๋ยเทียน เขาสวมชุดสีม่วง ท่าเดินก็ดูองอาจ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยรัศมีแห่งความยิ่งใหญ่และความสง่างามเครื่องแต่งกายของเขาค่อนข้างคล้ายคลึงกับชุดที่มู่หรงชิงเคยสวมใส่ในตอนนั้น ซึ่งทำให้สีหน้าของมู่หรงอินดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่เมื่อเห็นทั้งสองคนปรากฏตัวขึ้น ดวงตาของหยางผั่วจวินก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังพวกเขาในทันที และพร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อร่องรอยที่เจวี๋ยเทียนเคยทิ้งเอาไว้ในตอนที่เขาไปเยือนสำนักราชาผี ซึ่งนั่นก็ทำให้หยางผั่วจวินตกตะลึงอย่างมากหยางผั่วจวินเองก็สัมผัสได้ ไม่ว่ายังไงตนในตอนนั้นก็ไม่มีทางสู้อีกฝ่ายได้แต่ก่อนที่จะมาที่นี่ หลังจากที่เย่เทียนหยู่ใช้ของวิเศษของพรรคมารช่วยให้เขาพัฒนาตนเอง เขาก็สามารถทะลุจนเลื่อนขั้นสู่ปรมาจารย์ขั้นสูงสุดได้แล้ว แถมยังทะลุไปถึงคอขวด จนเกือบจะถึงจุดที่สามารถเลื่อนขั้นได้แล้วด้วยซ้ำตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขา นับว่าอยู่ในจุดที่ไม่ธรรมดาแล้วดังนั้น เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากที่จะได้เห็นคู่ต่อสู้ที
เขาไม่อาจเรียกเธอว่านายน้อยได้ แต่ให้เรียกว่าคุณหนูก็ถือยังทำได้อยู่อีกสองคนยังคงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็กลับยืนนิ่ว และกว่าวทักทายออกมาว่า “คารวะคุณหนู!”มู่หรงอินขมวดคิ้วอย่างเย็นชา ก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีที่ดูเมินเฉยว่า “เหอะ ในสายตาของพวกท่านยังเห็นข้าเป็นคุณหนูอยู่ด้วยงั้นเหรอ?”เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็มืดมนลงเล็กน้อย โดยเฉพาะตู๋เปียนฝู เขาพูดอย่างเย็นชาออกไปว่า “มู่หรงอิน การที่พวกเรายอมเรียกเธอว่าคุณหนู ก็เพื่อเป็นการไว้หน้าผู้นำคนเก่า อย่าได้เหลิงไปหน่อยเลย!”หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ มู่หรงอินก็กลับไม่ได้โกรธอะไร กลับกัน สีหน้าของเย่เทียนหยู่กลับดูเย็นชาขึ้นมา จิตสังหารที่เย็นยะเยือกก็เกือบจะเผลอทะลักออกมา หากยังต้องทนฟังคำพูดของตู๋เปียนฝูต่อไป มู่หรงอินเกรงว่าเย่เทียนหยู่อาจจะเผลอทำอะไรที่หุนหันพันแล่นออกไปได้ เธอจึงรีบส่งสัญญาณด้วยสายตาเพื่อหยุดเขาในทันที เพราะตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาเปิดเผยความแข็งแกร่งออกมาเมื่อเห็นสายตาแจ้งเตือนให้ยั้งมือของแม่ เย่เทียนหยู่ก็รีบระงับพลังเอาไว้ทันที ทันใดนั้นจิตสังหารก็หายไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากพลังที่เขาใช้ปกปิดนั้นค่อ
“ก็ไม่ใช่ซะทีเดียวหรอก หากตอนนั้นพวกเราทั้งสี่คนร่วมมือกัน พวกเราคงครอบครองโลกใบนี้ไปแล้ว ใครกันจะกล้าขวาง!”ในขณะเดียวกันนี้เอง ชายชรารูปร่างผอมบางคนหนึ่ง ใบหน้าดูเศร้าหมอง ริมฝีปากเรียวเล็กก็ปรากฏตัวขึ้น“ตู๋เปียนฝู?”ในใจทูตใหญ่รู้สึกตกตะลึง“ยังมีข้าอีกคน บรรพจารย์หวงเฉวียน!”หลังจากที่ทั้งสี่ก้าวออกมาพูด สีหน้าของทูตใหญ่ก็ดูไม่ค่อนสู้ดีมากนัก สมญานามของพวกเขาในปีนั้นคือสี่ทูตใหญ่แห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์ แต่ละคนต่างก็มีความแข็งแกร่งที่ทรงพลังมากการดำรงอยู่ของอำนาจพวกเขาเป็นรองก็แค่ผู้นำสำนักศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้นำสำนักเลยแม้แต่น้อย กระทั่งอาจจะแข็งแกร่งกว่าเสียด้วยซ้ำคิดไม่ถึงเลยว่าอีกสามคนที่เหลือจะอยู่ที่นี่กันหมด และดูจากท่าทีของพวกเขาแล้ว เหมือนว่าพลังจะมีการพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ละคนต่างก็อยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุดกันทั้งนั้นในกรณีนี้ แทบจะเท่ากับว่าผู้นำของนิกายจืดจางคือผู้นำที่แท้จริงของนิกายศักดิ์สิทธิ์แล้วในสถานการณ์เช่นนี้ แทบจะเท่ากับว่าตำแหน่งผู้นำสำนักศักดิ์สิทธิ์จะต้องตกเป็นของผู้นำสำนักเจวี๋ยฉิงยังไงอย่างงั้นเมื่อสองพี่น้อง
นี่เป็นการดำรงอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวและทรงพลังระดับไหนกันแน่ถ้าจะให้พูดตรง ๆ ก็คือ เธอรู้สึกขาดความมั่นใจอย่างมาก และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมช่วงนี้พวกเธอจึงเอาแต่กักตัวบำเพ็ญตนแต่สิ่งที่ทำให้เธอไม่เข้าใจเลยก็คือ เหตุใดมู่หรงอินถึงได้มั่นใจมากขนาดนั้น โดยเฉพาะลูกชายของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็แข็งแกร่งมากจริง ๆแต่เมื่อเทียบกับสองพี่น้องเจวี๋ยเทียนแล้ว เกรงว่าความแต่งต่างอาจจะยังห่างชั้นกันอยู่แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็คงทำได้แค่เดินหน้าทำตามแผนต่อไป หากยังไม่ได้ผล ก็คงต้องสู้ตายเท่านั้นเวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่าณ ภูเขารกร้าง!สถานที่แห่งนี้อยู่หากจากเมืองตงเฉิงออกไปกว่าสามร้อยกิโลเมตร ซึ่งล้อมรอบไปด้วยภูเขารกร้าง เป็นที่ที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ แต่สำนักศักดิ์ กลับตั้งหลักอยู่จุดที่ลึกที่สุดของภูเขาเช่นนี้ซึ่งมีทางเข้าและทางออกเพียงสองทางเท่านั้นแน่นอน หากพูดถึงทางเข้าออกลับที่มีอยู่ ไม่ได้มีเพียงแค่สองทางอย่างแน่นอน ซึ่งมันเป็นทางที่คนธรรมดาไม่สามารถหาเจอได้อย่างไม่ต้องสงสัยเพราะบริเวณทางเข้ามีม่านพลังปิดเอาไว้อยู่ หากเป็นคนที่ไม่คุ้นเคยกับ
เย่เทียนหยู่รู้สึกตกใจนิดหน่อย เขาไม่รู้จักอีกฝ่ายด้วยซ้ำ จึงได้แต่ยักไหล่ ก่อนจะพูดอย่างช่วยไม่ได้ออกไปว่า “ไม่เคยสู้ด้วยสักหน่อย ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”“แต่ฉันรู้ค่ะ!”“ราชามังกรแห่งพรรคมังกร ผู้นำแห่งสำนักเงา หรือจะให้ฉันเรียกว่าคุณชายเย่ดีคะ?” เยว่เหลียนเวยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูราบเรียบเมื่อเย่เทียนหยู่ได้ยินแบบนี้ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าการคาดเดาของเขานั้นถูกต้อง อีกฝ่ายน่าจะมาจากสำนักดอกไม้ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่รู้สถานะพวกนี้ของเขาแน่นอน เขาจึงพูดขึ้นอย่างเร่งรีบออกไปว่า “คุณน่าจะเป็นผู้อาวุโสของสำนักดอกไม้สินะ?”“ผู้อาวุโสอะไรกันคะ ฉันไม่ได้แก่ขนาดนั้นสักหน่อย ฉันชื่อว่าเยว่เหลียนเวยค่ะ คุณเรียกฉันว่าพี่เยว่ก็ได้!” เยว่เหลียนเวยยิ้มเล็กน้อย หลังจากที่เธอเผยรอยยิ้มออกมา เสน่ห์ในตัวเธอก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเยว่หลิงตกตะลึงไปชั่วขณะ อาจารย์รองเป็นอะไรไป เรียกว่าพี่เยว่งั้นเหรอ ไอ้เด็กนั่นมันเป็นใครกันแน่“เอ่อ สวัสดีครับ พี่เยว่!” ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากถูกเรียกแบบนั้น เย่เทียนหยู่จึงทำได้แค่เริ่มทักทายใหม่อีกครั้ง“ค่ะ คุณชายเย่ไม่เลวเลยนะคะ ฉันชอบค่ะ”เยว่เหลียนเวยเ
เยว่หลิงแทบไม่สามารถต่อต้านได้เลย และพบว่าตัวเองกำลังถูกชายคนหนึ่งกดทับด้วยมือเอาไว้อยู่ เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอันแรงกล้าของผู้ชายจากอีกฝ่าย สีหน้าเธอก็แดงก่ำทันทีแม้ว่าเธอมักจะใช้วิชาเสน่ห์อาคมอยู่บ่อย ๆ แต่เธอก็ไม่เคยให้ผู้ชายเข้าใกล้มากขนาดนี้มาก่อน นั่นจึงทำให้เธอหน้าแดงขึ้นมาแบบนี้เย่เทียนหยู่ที่เห็นฉากตรงหน้า เขาก็พูดพลางหัวเราะออกมาว่า “ฟังจากน้ำเสียงของคุณแล้ว ผมยังคิดอยู่เลยว่าคุณคงจะเป็นคนที่เปิดกว้างมาก คิดไม่ถึงว่าจะเขินได้ง่ายขนาดนี้”“นาย นายรีบปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!” เยว่หลิงวิตกกังวลอย่างมาก เธอคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้มีวิชากังฟู่ที่น่ากลัวอย่างเดียวเท่านั้น แต่เขายังเป็นคนที่ชั่วร้ายมากอีกต่างหากถ้ารู้แต่แรก ก็คงไม่มาคนเดียวแบบนี้หรอก พวกเธอได้ทำการนัดพบกับคนในสำนักที่นี่ และตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเวลานัดแล้วด้วยเมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารและวิตกกังวลของเธอ เย่เทียนหยู่ก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งหยอกล้อเธอ พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ผมจะปล่อยคุณไปก็ได้ แต่คุณต้องขอร้องผมก่อน”“เพราะไม่อย่างนั้น ผมคงไม่อาจทำใจแยกจากความงามอันน่าหลงใหลเช่นนี้ได้แน่”ในขณะที่พูด เย่
ช่วงเวลาประมาณเที่ยงครึ่ง เย่เทียนหยู่และหลินหว่านหรูก็กลับมาถึงเมืองตะวันออกกันแล้ว เวลาที่เหลือก็ค่อนข้างเยอะ ทั้งสองจึงทานข้าวด้วยกันก่อน แล้วค่อยส่งหลินหว่านหรูกลับบริษัทจากนั้นเย่เทียนหยู่จึงค่อยออกเดินทาง แต่ขณะที่เขากำลังจะขึ้นรถ เขาก็ได้ยินเสียงอันอ่อนหวานดังเข้ามาในหู “คุณเย่คะ ท่าทางรีบร้อนแบบนั้น คุณจะรีบไปไหนเหรอคะ?”เย่เทียนหยู่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมอง ตรงหน้าเขาปรากฏร่างที่มีเสน่ห์และสง่างามของหญิงสาวคนหนึ่ง มองผิวเผินรู้สึกว่าเธอยังเด็กอยู่มาก ราวกับว่าเธอเพิ่งจะสี่สิบต้น ๆ เท่านั้นเองรูปร่างหน้าตาของเธอดูอ่อนเยาว์กว่าจูเก่อหลิวหลีนิดหน่อย แต่ความเซ็กซี่และเสน่ห์ที่เธอแสดงออกมานั้น โดยเฉพาะความขาวที่ถูกเผยให้เห็นเพียงเล็กน้อย เพียงเท่านั้นก็ทำให้ผู้คนต่างพากันใจเต้นแล้วขาเรียวยาวสองข้างที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ ผิวพรรณผุดผ่องเป็นยองใย นี่ถือเป็นค่านิยมของผู้หญิงที่นับว่าเป็นอันตรายต่อผู้ชายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน เย่เที่ยนหยู่เองก็เคยเห็นผู้หญิงมามากมายนับไม่ถ้วนจนเคยชินหมดแล้ว โดยเฉพาะเทพธิดาสองสามคนที่สวยกว่าหลินหว่านหรู่ก็เคยเจอมาหมดแล้ว ดังนั้นเขาจึงไ
แต่เธอกลับคิดไม่ถึงว่าแม่ตระกูลหลินจะทำให้เธอต้องอับอายมากขนาดนี้เห็นได้ชัดว่าเฉินเว่ยไม่อาจทนต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ เธอจึงแสดงเจตจำนงที่ต้องการจะลาออกทันทีเมื่อแม่ตระกูลหลินเห็นแบบนั้น เธอก็รีบอนุมัติให้ทันทีโดยที่ไม่คิดลังเลเลยแม้แต่น้อย กระทั่งคนอีกสองสามคนที่ต้องการจะลาออกตามเฉินเว่ยเองก็ถูกอนุมัติด้วยเช่นกันถึงยังไง เธอก็ยังมีคนที่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างเหอรุ่ยอยู่ แค่นี้มันก็เพียงพอแล้วเห็นได้ชัดว่าเฉินเว่ยไม่คาดคิดมาก่อนว่าแม่ตระกูลหลินจะมุ่งมั่นมากขนาดนี้ ทำให้เธอตกตะลึงไปชั่วขณะได้จริง ๆ แต่เมื่อลองย้อนนึกดู แม้แต่คนอย่างเหอรุ่ยก็สามารถปีนข้ามหัวเธอได้ การที่เธอจากไปตอนนี้ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเมื่อถึงตอนนั้น ตอนที่เครื่องสำอางแบรนด์ปัวเรต์เกิดปัญหาขึ้นมาจริง ๆ ไม่แน่อาจจะมีปัญหามากมายตามมาเพิ่มก็ได้ตามที่หลิวเหวินเคยพูดถึงความคิดของแม่ตระกูลหลิน บวกกับเรื่องที่จู่ ๆ เหอรุ่ยก็ได้รับตำแหน่งผู้จัดการ เรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นกับเครื่องสำอางแบรนด์ปัวเรต์ก็คงขึ้นอยู่กับเวลาแล้วล่ะ เพราะงั้นจากไปเร็วหน่อยก็ดีเหมือนกันเมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของเฉินเ
“หากเป็นเช่นนั้น งั้นเรื่องก็ง่ายมากเลยล่ะครับ มีวิธีอีกมากมายนับไม่ถ้วน” เหอรุ่ยรีบพูดขึ้นมา หากเขายังบอกว่าทำไม่ได้อีก แล้วตนจะยังมีประโยชน์อะไร นั่นเท่ากับตนจะพลาดโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งไม่ใช่รึไงเมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าของแม่ตระกูลหลินก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที ตอนนี้บริษัทมีทางรอดแล้วคนอย่างหลิวเหวินไม่รู้เรื่องอะไรเอาเสียเลย แถมยังบอกว่าหมดหนทางอีกแต่เมื่อตนเป็นคนออกโรงเอง ก็สามารถหาคนเก่งมาได้ในทันที ทั้งยังสามารถแก้ปัญหาได้อย่างง่ายดายอีกด้วย!และเท่าที่ฟังมา เหมือนว่าคนที่ตนเลือกจะมีวิธีแก้ปัญหามากมายนับไม่ถ้วนอีกต่างหากเมื่อเห็นแบบนี้แล้ว แม่ตระกูลหลินก็รีบพูดขึ้นทันทีว่า “ดีมาก หากเฉินเว่ยกล้ามาจริง ๆ ฉันก็จะไล่มันออกทันที แล้วให้เธอมารับตำแหน่งแทนหล่อนซะ”“ครับ ขอบคุณประธานหลิวมากครับ ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรับใช้คุณ!” เหอรุ่ยรีบพูดประจบประแจงขึ้นมาทันที“ดีมาก ไม่เลวเลย เธอยังหนุ่มยังแน่น ต่อไปจะต้องมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน!”เมื่อแม่ตระกูลหลินได้ยินว่าอีกฝ่ายยินดีรับใช้ตน สีหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ในใจก็รู้สึกพอใจอย่างมาก“ประธานหลิวชมเกินไปแล้วคร