“แก ตกลงพวกแกเป็นใครกันแน่?”ผู้เฒ่าหวังเอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนกและความกลัว“มาถามเอาตอนนี้จะมีประโยชน์หรือไง?”เย่เทียนหยู่ส่ายหัวและพูดอย่างใจเย็น “ในเมื่อฉันให้โอกาสแกได้มีชีวิต แต่แกกลับปฏิเสธมันด้วยตัวเอง ถ้าอย่างนั้น ก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน”เมื่อได้ยิน ผู้เฒ่าหวังก็ถึงกับหน้าถอดสีเขารู้ตัวว่าอีกฝ่ายต้องฆ่าเขาจริงๆ แน่ ทันใดนั้นก็มีปืนปรากฏอยู่ในมือของเขา แล้วเล็งไปที่เย่เทียนหยู่พร้อมตะโกนเสียงดัง “ทั้งหมดอย่าขยับ”“ปืนพกของฉันกระบอกนี้ได้รับการดัดแปลงมาเป็นพิเศษ ทั้งความแรงและความเร็วดีกว่าปืนพกธรรมดาหลายเท่า ในระยะใกล้แค่นี้ ต่อให้เป็นระดับปรมาจารย์ก็คงไม่รอดเหมือนกัน”ที่ทำให้เขาถึงกับหวั่นใจเลยคือ แม้ต้องเผชิญกับปืนพกที่อยู่เบื้องหน้า แต่เย่เทียนหยู่ที่อยู่ตรงข้ามกันกลับไม่มีสีหน้าหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังดูสงบนิ่งและเยือกเย็นเหมือนเดิมในอีกด้าน หยางผั่วจวินแสดงสีหน้าไม่พอใจและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าแกกล้าแตะต้องคุณชาย รับรองเลยว่าฉันจะหั่นแกให้เป็นชิ้นๆ แน่นอน”นักฆ่าหมายเลขเจ็ดมีท่าทีจริงจังและจ้องไปที่ผู้เฒ่าหวังอย่างไม่ลดละ อยากจะใช้ความเร็วขอ
เสียเวลามามากพอแล้ว เขาขี้เกียจต่อปากต่อคำแล้วช่วงนี้กงซุนจื้อสร้างเรื่องมากมายขนาดนี้ ผู้เฒ่าหวังคงเป็นคนคอยเก็บกวาดให้เขาสินะอย่างไรเสีย ตระกูลกงซุน เกรงว่าจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้วล่ะได้ยินเช่นนั้น ผู้เฒ่าหวังก็โกรธขึ้นมาทันที ก็ดี ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อในพลังปืนของตนเท่าไหร่นัก ถ้าเช่นนั้นก็จะให้พวกเขาได้เห็นอานุภาพของมันเสียเลยเขารีบเหนี่ยวไกปืนในทันทีเมื่อเหนี่ยวไกปืน ก็มีเสียงดังสนั่นขึ้นมา กระสุนพุ่งตรงไปยังเย่เทียนหยู่ด้วยความเร็วที่ไม่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่าเร็ว เร็วมากจริงๆ!แต่เย่เทียนหยู่สงบนิ่ง ยกมือขวาขึ้น ยื่นออกไปสบายๆ ผู้เฒ่าหวังตกใจเล็กน้อย เจ้าหนุ่มนี่ ปัญญาอ่อนหรือไง นี่มันรนหาที่ตายชัดๆแต่เพียงชั่วขณะ เขาไม่อยากจะเชื่อกับสายตาตัวเอง ดวงตาเขาเบิกกว้างขึ้นเพราะว่าเขาเห็นเย่เทียนหยู่ใช้มือเปล่าจับกระสุนที่มีทั้งความเร็วและพลังเหนือกว่าทั่วกระสุนไปมากเอาไว้ได้นี่มันเกินกว่าสิ่งที่เขาคิดไว้เสียอีกได้ยินมาว่าปรมาจารย์สามารถจับกระสุนได้ด้วยมือปล่า แต่นั่นเป็นเพียงแค่กระสุนธรรมดา ไม่ใช่กระสุนพิเศษที่ทั้งรวดเร็วและทรงพลังกว่าหลายเท่าแบบของตนเมื่
“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่จะเตือนแกไว้ก่อน”“ครั้งหน้าถ้าคิดจะฆ่าฉัน ไม่ต้องหาคนกระจอกงอกง่อยแบบนี้มาหรอก หาคนที่เก่งกว่านี้หน่อยสิ”“ไม่อย่างนั้น มันก็น่าเบื่อแย่เลยสิ”เย่เทียนหยู่เปิดปากพูดเบาๆ“แก แกหมายความว่ายังไง?”กงซุนจื้อถึงกับสีหน้าเปลี่ยน ใบหน้าเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่น่าเชื่อ เป็นไปได้ไหมว่าแม้แต่ผู้เฒ่าหวังก็ยังทำไม่สำเร็จแต่ว่า มันจะเป็นไปได้ยังไงนั่นคือยอดฝีมือผู้ที่มีระดับพลังผลัดเปลี่ยนขั้นกลางเลยนะ เจ้าเย่เทียนหยู่ ทำไมถึงได้น่ากลัวขนาดนี้กันจากข้อมูลที่ตนได้สืบค้นมาก่อนหน้านี้ เย่เทียนหยู่เพิ่งจะลงจากเขามา เดิมทีเขาไม่มีภูมิหลังอะไรเลยด้วยซ้ำ จะมีก็แต่ทักษะกังฟูที่พอจะเป็นการเป็นงานหน่อย แต่นับประสาอะไรกับกังฟูลูกแมวพวกนั้น ที่แทบจะไม่มีประโยชน์เลย“ไม่มีอะไร ดูแลตัวเองด้วยล่ะ!”เย่เทียนหยู่พูดจบ ก็วางสายโทรศัพท์กงซุนจื้อโทรไปที่มือถือของผู้เฒ่าหวังในทันที แต่ไม่ว่าจะโทรสักกี่รอบ ก็ไม่มีการตอบรับกลับมาจากอีกฝ่าย ณ เวลานี้ ใบหน้าของเขาดูไม่ได้เลยในตอนนี้ เขาก็คิดได้ ว่าตนดูถูกฝีมือของเขาจนเกินไป เพราะคิดว่าสามารถบดขยี้เย่เทียนหยู่ให้ตายได้ แต่กลับไม่ง่ายอย่าง
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นคำสั่งของคุณชาย ทั้งสองคนพาผู้เฒ่าหวังไปที่ห้องน้ำ โปรยผงเล็กน้อยตามที่เย่เทียนหยู่สั่งไว้ไม่นานก็เกิดสิ่งที่น่าหน้าอัศจรรย์ขึ้นไม่นานนัก ทั้งสองคนก็เดินออกมา แววตาเต็มไปด้วยความตกใจ ของนี่มาจากไหน ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำขึ้นมามันมีประโยชน์กับนักฆ่าอย่างพวกเขาจริงๆ“จัดการเสร็จแล้วเหรอ?”“อืม!”นักฆ่าหมายเลขเจ็ดพยักหน้า แต่ก็ทนไม่ไหวที่จะถาม “คุณชาย นี่คือ?”“ฉันยังพอมีอยู่ อันนั้นนายเก็บไว้เถอะ เพราะรู้สึกว่ามันไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ ดังนั้นจึงขี้เกียจปลุงมัน คราวหลัง ฉันจะปรุงมันเพิ่มอีกเสียหน่อยก็แล้วกัน”เย่เทียนหยู่พูดเบาๆ“หืม คุณชาย อันนี้คุณทำขึ้นมาเองหรือ”“อืม มีแค่ชิ้นเดียว”นักฆ่าหมายเลขเจ็ดยิ้มเจื่อน ความสามารถของคุณชายนี่เกินกว่าที่ตนเองจินตนาการไปมากจริงๆหลังจากที่ทั้งสองคนไปแล้ว มือถือของเย่เทียนหยู่ก็ดังขึ้น เป็นหมายเลขที่ไม่คุ้นเคย“ว่าไง!”“แกคือเย่เทียนหยู่ใช่ไหม?” อีกฝ่ายจะใช้น้ำเสียงที่เปลี่ยนไป จนฟังสำเนียงเดิมแทบไม่ออก“ฉันเอง”“’งั้นก็ถูกคนแล้ว เฉินเข่อซินอยู่ในกำมือของพวกเราแล้ว”“แกหมายความว่ายังไง?”เย่เทียนหยู่สีหน้
ผ่านไปชั่วโมงกว่าแล้ว เพราะอีกฝ่ายย้ายตำแหน่งอยู่เรื่อย ๆ เย่เทียนหยู่จึงใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมง สุดท้ายก็มาถึงที่หมายในที่สุดนี่คืออาคารร้างแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากตัวเมืองพอสมควรที่สำคัญเลยคือวิศัยทัศน์รอบด้านโล่งแจ้ง ไม่มีแม้แต่ที่จะให้หลบซ่อน และยังทำให้ไม่สามารถเตรียมอะไรพื้นฐานได้มากนักเมื่อรถมาถึงยังหน้าประตู ยามที่อยู่หน้าประตูก็รีบให้เขาลงจากรถทันทีจากนั้นยามคนหนึ่งก็ตรวจร่างกายดูว่าเขาถือของอะไรมาด้วยไหม ส่วนอีกคนพลิกตรวจดูรอบๆ รถ ไม่พบปัญหาอะไร และไม่มีใครตามมาด้วยหลังจากทุกอย่างเรียบร้อย ยามคนหนึ่งพาเขาเข้าไปข้างใน มีแค่คนเดียวที่ดูประตูอยู่จากนั้นไม่นานนัก เย่เทียนหยู่ก็ได้เจอกับชายคนหนึ่งที่สวมหน้ากากอยู่ ข้าง ๆ เขาเอง ก็ยังมีชายอีกหลายคน ทั้งหมดล้วนแต่สวมหน้ากาก ไม่เห็นหน้าเย่เทียนหยู่มองไปรอบๆ มองไม่เห็นแม้แต่เงาของเฉินเข่อซินด้วยซ้ำ“ไม่ต้องหาหรอก เฉินเข่อซินไม่ได้อยู่ที่นี่” หัวหน้าของอีกฝ่ายพูด น้ำเสียงเย็นชาไม่แยแส“แกเป็นใครกัน เพราะอะไรถึงต้องจับตัวเธอ?”เย่เทียนหยู่พยายามให้ตัวเองสงบสติลง ไม่ถามว่าเฉินเข่อซินเป็นยังไง ยิ่งเขาให้ความสนใจมากเท่าไ
ความเจ็บปวดของเขาในปีนั้น จะไม่ให้โกรธแค้นได้ยังไง“ดูเหมือน แกจะแค้นมากสินะ” ชายนิรนามช่างสังเกตมาก “ถ้าฉันพูดไม่ผิด แกน่าจะมีชื่ออื่นอีก เย่เสี่ยวเทียน แกว่าฉันพูดถูกไหม?”เมื่อคำพูดนี้ออกมา เฉินเข่อซินคือคนที่ตกใจที่สุดเธอตะลึงอยู่ครู่หนึ่งพี่เย่ จะใช่คนเดียวกันกับเสี่ยวเทียนที่ตนตามหาจริงๆ เหรอ?ไม่ อาจจะไม่ใช่พี่เย่อาจจะไม่รู้ว่าตนตามหาพี่เสี่ยวเทียนอยู่ งั้นถ้าเขาคือพี่เสี่ยวเทียนจริง เขาน่าจะยอมรับไปนานแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปกปิดเลยสักนิดในครั้งนี้ เย่เทียนหยู่ไม่คิดที่จะปิดบัง เพราะเขาเองก็อยากรู้ความจริงเมื่อปีนั้น เขาพูดช้าๆ “ไม่ผิด ฉันคือเย่เสี่ยวเทียน เมื่อปีนั้นที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ ฉันโชคดีที่ยังชีวิต และรอดออกมาได้”ทันทีที่พูดออกไป เฉินเข่อซินก็ตกใจสุดขีด ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองพี่เย่ คือคนเดียวกันกับพี่เสี่ยวเทียนจริงๆเขาคือพี่เสี่ยวเทียนจริงๆ!ในขณะเดียวกัน แววตาของเธอก็เต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความตื้นตัน แม้ว่าจะไม่รู้จักพี่เย่มาก่อน แต่เธอก็ไม่ได้โทษใคร แค่หาพี่เสี่ยวเทียนเจอจริงๆ จะทำอย่างไรก็ยอมหมดแต่ว่า นี่คือเรื่องจริงเหรอ“เป็นแกจริงๆ ด้วย!
เฉินเข่อซินตะลึงไปหมด แต่ในเมื่อเย่เทียนหยู่เปลี่ยนไปแบบนี้ เธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นกว่าเดิม และทำตามสิ่งที่เขาพูดโดยไม่ตั้งใจ“ฮ่าฮ่า......”“เคยเห็นคนปัญญาอ่อนมาเยอะ แต่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน”“อืม เกรงว่าเขาจะยังไม่รู้ ว่าพวกเราเคยฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มา แม้จะเป็นยอดฝีมือระดับพลังผลัดเปลี่ยนก็ตามที เมื่อพวกเราร่วมมือกัน ยังไงก็ตายอย่างแน่นอน”“ในเมื่อเขารนหาที่ตายขนาดนี้ พวกเราก็จะสงเคราะห์ให้เขาเอง”ขณะที่พูด หนึ่งในนั้นก็พุ่งตรงไปยังเย่เทียนหยู่ ใช้กริชที่อยู่ในมือฟาดฟันไปยังที่คอของเย่เทียนหยู่ แต่วินาทีต่อมา เขาแค่รู้สึกเจ็บลำคอนิดหน่อย ความหวาดกลัวเกิดขึ้นบนใบหน้าเมื่อมองไปที่เย่เทียนหยู่ พูดอะไรไม่ออกแล้วทรุดตัวลงไปกองอยู่กับพื้นจนเสียชีวิตเขาไม่เห็นเย่เทียนหยู่ลงมือเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมกริชของตัวเองถึงไปอยู่ที่มือของอีกฝ่ายได้อย่างไรชายนิรนามที่เป็นหัวหน้าถึงกับหน้าถอดสี ไม่น่าเชื่อ นี่คือนักสู้ยอดฝีมือ แล้วจึงพูดด้วยความโกรธ “ทุกคนระวังให้ดี!”แต่ก็สายเกินไปแล้ว เย่เทียนหยู่ปลดปล่อยพลังในร่าง คนทั้งคนเปรียบเหมือนเงาลวงตา พุ่งผ่านทุกคน และเชือดคอทุกคน
เมื่อรถมาถึงเมืองแล้ว ทั้งสองต่างได้พากันเดินลงมา เฉินเข่อซินก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป กล่าวถาม “พี่เย่ เมื่อกี้ พี่พูดจริงหรือเปล่า?”เรื่องวันนี้ โดยปกติเย่เทียนหยู่ไม่มีเจตนาที่จะปกปิดอะไร “อืม เข่อซิน ขอโทษนะ ที่ก่อนหน้านี้เก็บไว้เป็นความลับกับเธอ”“จริงเหรอ พี่คือพี่เสี่ยวเทียนจริงๆ เหรอ พี่ไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม?”“เด็กโง่ ฉันจะหลอกเธอทำไมกัน ฉันยังจำได้ ฉันติดหนี้ตุ๊กตาบาร์บี้เธอตัวหนึ่งนี่”“มาสิ ฉันให้!”เย่เทียนหยู่เหมือนกับนักมายากล อยู่ๆ ตุ๊กตาบาร์บี้ตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาบนมือของเขาจริงๆได้ยินเรื่องตุ๊กตาบาร์บี้ เฉินเข่อซินก็หายสงสัย มือหนึ่งรับบาร์บี้ไว้ ชักจะตื่นเต้นซะแล้วสิ “ใช่ พี่คือพี่เสี่ยวเทียน ใช่จริงๆ ด้วย”“ดีจังเลย ดีจริงๆ!”ตอนนี้ เธอตื่นเต้นมากจนเกินไป จนทนไม่ไหวที่จะกอดเย่เทียนหยู่ให้แน่นๆกอดแน่นยิ่งกว่าตอนที่อยู่ในอาคารร้างเสียอีก ราวกับกลัวว่าเย่เทียนหยู่จะหายไปอย่างนั้นเลยเย่เทียนหยู่ก็ทุกข์ใจเล็กน้อย มือกอดไปที่เฉินเข่อซินโดยไม่ได้ตั้งใจ ตลอดหลายปี เฉินเข่อซินเพื่อที่จะตามหาพี่เสี่ยวเทียนของเธอ ต้องทุ่มเทความคิดอย่างมากบางที เขาควรบอกเธอเกี่ยวกับตัวเ
“จริงสิ สืบเรื่องผู้หญิงที่นั่งข้าง ๆ เขาด้วย ถ้าพวกเธอเป็นคนของเขาจริง ๆ ก็จับพวกเธอมาด้วย” ดวงตาของหนานกงเล่อเต็มไปด้วยความชั่วร้ายแม้จะได้เห็นพวกเธอผ่านแค่ในจอเท่านั้น แต่ก็สามารถเห็นถึงความสมบูรณ์แบบของหญิงสาวทั้งสองได้ ซึ่งก็ใกล้เคียงกับเทพธิดาในใจของเขาอย่างเฟยเฟยด้วยเช่นกัน แน่นอน ว่าในใจของเขา ไม่ว่ายังไงเทพธิดาเฟยเฟยก็สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับเขา“ได้ครับ!”ไป๋หยางพยักหน้า แต่ในใจลึก ๆ ของเขากลับแอบหดหู่ เขารู้สึกซาบซึ้งใจเมื่อได้เห็นสิ่งนี้ เดิมทีเขาตั้งใจจะเก็บเอาไว้เอง แต่คิดไม่ถึงว่าคุณชายหนานกงจะโลภมากขนาดนี้ ถึงกับจะฮุบเอาไว้หมดคนเดียวไม่คิดจะเหลือไว้ให้เขาเลยสักคำแต่ถึงยังไงนั่นก็เป็นคุณชายแห่งตระกูลหนานกง เพราะงั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งเฉินเฟยเฟยไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย เธอขยับเข้าไปหาเย่เทียนหยู่ แล้วกระซิบว่า “พี่เย่คะ อีกเดี๋ยวพองานจบ ฉันขอเลี้ยงมื้อดึกพี่นะคะ”เย่เทียนหยู่มองออกว่าเฉินเฟยเฟยคิดยังไงกับตน เขาเลยกลัวว่ามันอาจจะถลำลึกลงไปมากกว่านี้ เขาจึงปฏิเสธออกไปอย่างรวดเร็ว “เอ่อคือ อีกเดี๋ยวฉันยังมีธุระอยู่ เลยไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ไว
ท่ามกลางเสียงร้องฮึกเหิมของฝูงชน ในที่สุดเพลงก็จบลง และคอนเสิร์ตเองก็ได้สิ้นสุดลงเช่นกันปิงเยว่ค่อย ๆ กลับมามีสติอีกครั้ง เธอเติบโตมากับอาจารย์ของเธอ เธอจึงไม่รู้จักเพลงนี้จริง ๆแต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อฟังพวกเขาร้องเพลง เธอถึงได้รู้สึกว่าเลือดของเธอนั้นเริ่มเดือดพล่านขึ้นมา ราวกับว่าความยากลำบากต่าง ๆ นั้นไม่ได้รู้สึกยากลำบากอีกต่อไปเมื่อมองไปยังเย่เทียนหยู่ที่อยู่บนเวทีอีกครั้ง เธอก็กลับไม่รู้สึกเกลียดเขาอีกต่อไป อย่างน้อยผู้ชายน่ารังเกียจคนนี้ ก็เหมือนจะต่างจากผู้ชายน่ารังเกียจคนอื่นอยู่บ้างแน่นอน ว่าเขาก็ยังคงเป็นผู้ชายที่น่ารังเกียจอยู่เหมือนเดิม เขาไม่คู่ควรที่จะมีความสัมพันธ์ใด ๆ กับตนเลยแม้แต่น้อย ยิ่งมีควรค่าให้เพ้อฝันถึงตนด้วยซ้ำ“ต้องขอบคุณเพื่อนคนนี้มากเลยนะคะ เขาทำให้พวกเรามีช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบที่สุดในคอนเสิร์ตนี้” ทันทีที่เฉินเฟยเฟยพูดจบ เธอก็เดินไปข้างหน้า ก่อนที่จะอ้าแขนโอบกอดเย่เทียนหยู่หลังจากได้ยินสิ่งที่เฉินเฟยเฟยพูด ทุกคนต่างก็เห็นด้วย กระทั่งตอนที่เฉินเฟยเฟยเป็นฝ่ายเริ่มกอดชายบนเวทีก่อน พวกเขาก็กลับรู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งที่รับได้ต้องเข้าใจก่อนว
ปิงเยว่และจูเก่อหลิวหลีต่างก็อยู่ในระดับปรมาจารย์ที่ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ธรรมดา เสียงมากมายเหล่านั้นพวกเธอย่อมได้ยินอย่างชัดเจนพอได้ยินคำพูดที่ว่ามีสาวให้โอบซ้ายกอดขวาอะไรนั่นแล้ว จูเก่อหลิวหลีก็รู้สึกพอใจอย่างมาก เธอแทบอยากจะประกาศออกไปเสียด้วยซ้ำถูกต้องแล้ว ฉันเป็นผู้หญิงของคุณชายแต่ปิงเยว่กลับแตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด เธอยิ่งฟังมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นเท่านั้นไอ้ผู้ชายน่ารังเกียจที่นั่งอยู่ข้าง ๆ คนนี้ คิดอยากจะโอบกอดตนงั้นเหรอ ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียจริงหากไม่ใช่เพราะสถานที่ไม่เอื้ออำนวย เธอคงฆ่าคนไปนานแล้ว!ไร้สาระทั้งเพ!เฉินเฟยเฟยเองก็สังเกตเห็นปฏิกิริยาของฝูงชนด้วยเช่นกัน และให้ความสนใจกับสาวงามที่ไม่อาจมีใครทัดเทียมทั้งสองคนที่อยู่ข้าง ๆ เย่เทียนหยู่มากขึ้น คนอื่น ๆ ก็แค่คาดเดาแต่เธอกลับรู้สึกว่า สองคนนี้อาจจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับพี่เย่อยู่จริง ๆแต่ยิ่งเหตุการณ์เป็นแบบนี้มากเท่าไหร่ เฉินเฟยเฟยไม่แค่ไม่อิจฉา กลับกัน เธอยิ่งชอบมากกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะเธอรู้ดี ว่าตัวเธอเองก็มีเสน่ห์เหมือนกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีผู้ชายคนไหนต้องการเธอส่ว
“ไม่ได้ ถ้าเป็นเธอ งั้นก็ช่างเถอะ อย่างเธอน่ะนะ เธอจะทำให้คุณชายของฉันตกใจเสียเปล่า” จูเก่อหลิวหลีพูดประชดประชัน“เธอ!”เสี่ยวลู่รู้สึกโกรธอย่างมาก“หลิวหลี ช่างมันเถอะ” เย่เทียนหยู่เองก็หมดคำจะพูด มันยิ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าตนจะถูกเชิญขึ้นไปมากขึ้นเรื่อย ๆ ยัยเด็กคนนี้ ถึงขั้นเล่นไม้นี้เลยงั้นเหรอ“เป็นพวกเธอต่างหากที่มั่นหน้าเกินไป แถมยังคิดเองเออเองอีกว่าคุณชายชอบพวกเธอ” จูเก่อหลิวหลีขมวดคิ้วอย่างเย็นชา“คุณชักจะล้ำเส้นเกินไปแล้วนะ!”ปิงเยว่โกรธจัด รัศมีเย็นยะเยือกก็แผ่ซ่านออกมาจากร่างของเธอ อุณหภูมิรอบตัวลดลงสิบองศาได้ในพริบตา จนทำให้เธอรู้สึกหนาวเย็นไปทั้งตัวจูเก่อหลิวหลีรู้สึกตกตะลึงที่ผู้หญิงคนนี้มีพลังที่น่ากลัวมากขนาดนี้ ที่แท้ความรู้สึกเมื่อสักครู่ก็เป็นเรื่องจริง อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าตนเสียอีกตอนนี้ตัวเองก็อยู่ระดับปรมาจารย์แล้ว แต่เธอกลับแข็งแกร่งกว่าตนอีก ความแข็งแกร่งของเธอจะน่ากลัวขนาดไหนกัน“พอแค่นี้เถอะ!”ในตอนนั้นเอง เย่เทียนหยู่ก็รีบพูดขึ้นมา ทันทีที่เขาเปิดปาก ความเย็นยะเยือกในอากาศทั้งหมดก็หายไป และกลับคืนสู่ภาวะปกติหลายคนที่อยู่รอบ ๆ ก็รู้สึก
“ไม่หรอกมั้ง เขาก็ดูใช้ได้อยู่นะ” จางผิงรีบตอบทันที“เป็นแบบนั้นที่ไหนกัน ฉันว่าเขาดูเหมือนคนโรคจิตมากกว่า” เหอฉุนโต้แย้ง“เอ่อ ไม่น่าจะเป็นงั้นนะ ถ้าเขาเป็นคนเลวขนาดนั้น พี่เฟยเฟยก็คงเสียความบริสุทธิ์ไปนานแล้ว”“หมายความว่ายังไง?”“เธอก็ถามพี่เฟยเฟยเองเถอะ” จางผิงไม่ได้พูดอะไรอีกแต่เหอฉุนกลับส่ายหัว เธอมักจะรู้สึกว่าทั้งสองคงยังอ่อนต่อโลกเกินไป เลยอาจจะถูกเย่เทียนหยู่หลอกก็ได้หลังจากนั้นไม่นาน เฉินเฟยเฟยก็ได้เริ่มร้องเพลงที่สองของเธอ สไตล์ของเพลงนี้แตกต่างไปเล็กน้อย แต่ก็ยังคงไพเราะจับใจเช่นเดิมเวลาได้ผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า ในขณะที่ผู้คนต่างก็กำลังหลงใหลและเพลิดเพลินอย่างสุดขีด มันก็ค่อย ๆ เริ่มเข้าสู่ช่วงท้ายของคอนเสิร์ตอย่างช้า ๆ“คืนนี้ได้มีโอกาสมาพบกับทุกคนที่นี่ ฉันรู้สึกดีใจมากจริง ๆ ค่ะ แต่เวลาก็กลับผ่านไปอย่างรวดเร็ว การพบกันย่อมมีวันสิ้นสุดเสมอ”“แต่การจากลาในวันนี้ ก็เพื่อที่เราจะได้พบกันใหม่ในวันหน้า ขอส่งบทเพลงแห่งความสุขนี้ให้กับทุกคนค่ะ!”เมื่อเสียงของเธอสิ้นสุดลง เสียงที่ไพเราะของเธอก็ดังออกมา ทำให้ทุกคนกลับเข้าสู่บรรยากาศนั้นอีกครั้ง ค่อย ๆ ผ่านไปช้า
ขณะที่ริมฝีปากของเธอเปิดออก คำพูดที่อ่อนโยนและชวนให้ลุ่มหลงก็หลุดออกมา กระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบ และถูกสุ่งให้ไปถึงหูของทุกคนทุกคนต่างก็พากันโบกแท่งเรืองแสงไปมา ขณะที่กำลังฟังเสียงร้องอันไพเราะและสมบูรณ์แบบของเธอ ทุกคนต่างก็พากันร้องตามไปด้วยเป็นเพลงที่ค่อนข้างจะเรียบง่าย แต่เมื่อมันออกมาจากปากของเฉินเฟยเฟย มันก็กลับสมบูรณ์จนทำให้ผู้ฟังรู้สึกติดหูมากเสียงอันไพเราะและอ่อนหวานของเธอแทรกซึมเข้าไปในหูของทุก ๆ คน จนทำให้ทุกคนรู้สึกตามอย่างไม่อาจควบคุมได้ และจมดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆในตอนนั้นเอง ใบหน้าของเย่เทียนหยู่ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว เขารู้สึกแค่ว่าตนได้จมดิ่งเข้าไปอย่างสมบูรณ์แล้วในขณะเดียวกัน เย่เทียนหยู่ก็เข้าใจได้ในที่สุด ว่าทำไมทุกคนถึงได้คลั่งไคล้มากขนาดนี้ เพราะเสียงนี้ของเธอนั้นดูสมจริงและไพเราะมากนี่ถือว่าเป็นเสียงที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริงหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาก็จมอยู่กับมันด้วยเช่นกัน สีหน้าและอารมณ์เองก็ดูแตกต่างออกไปจากเดิมบางทีอาจเพราะจมดิ่งกับมันมากเกินไป หรืออาจเพราะรู้สึกชอบมันมาก เลยไม่ทันได้สังเกตว่าตั้งแต่ที่เฉินเฟยเฟยเดินออกมา เธอก็เหมือนจะกำลังมอ
ทันใดนั้นผู้หญิงชุดเขียวก็รู้สึกโกรธ และกำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมาแต่หญิงสาวที่อยู่ด้านหน้ากลับดุขึ้นมาทันที “เสี่ยวลู่ เธอเป็นคนผิดก่อนนะ ช่างมันเถอะ”“ค่ะ นายท่าน!”ผู้หญิงชุดสีเขียวพยักหน้า และไม่พูดอะไรอีกไม่รู้ว่าอาจเพราะเธอกลัวจะเกิดความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย หญิงสาวคนนั้นจึงนั่งลงตรงที่นั่งที่อยู่ข้าง ๆ เย่เทียนหยู่ ซึ่งหมายความว่า ที่นั่งของเธออยู่ด้านหลังเยื้องไปทางด้านซ้ายของเย่เทียนหยู่ และผู้หญิงชุดเขียวเองก็นั่งลงตรงที่นั่งซ้ายมือของเธอเช่นกันเย่เทียนหยู่ตกตะลึงไปชั่วขณะ เดิมทีการปรากฏตัวของหญิงสาวลึกลับเช่นนี้ก็ทำให้เขาประหลาดใจมากพออยู่แล้ว และตอนนี้เธอก็กลับมานั่งอยู่ข้าง ๆ เขาหลังจากนั่งลงแล้ว หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมองเย่เทียนหยู่ แต่ก็เบือนหน้าหนีแทบจะในทันทีในสายตาของเธอ เย่เทียนหยู่หล่อมากจริง ๆ แต่นั่นก็มีเพียงเท่านั้นตั้งแต่ที่เธอเริ่มฝึกฝนอย่างหนักจนทำให้หลงลืมอารมณ์ความรู้สึกไป ตัวเธอเองก็เริ่มสนใจเรื่องความรู้สึกน้อยลงไปเรื่อย ๆ เธออุทิศตนให้กับการฝึกฝน และนั่นก็ทำให้เธอไม่รู้สึกสนใจผู้ชายคนไหนเลยนอกเหนือจากการฝึกฝนแล้ว สิ่งเดียวที่สามารถทำให
“ไม่มีปัญหา!”จูเก่อหลิวหลีรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาทันที เงินแค่ล้านเดียว สำหรับเธอแล้ว แค่นี้ไม่ถึงกับทำให้ขนหน้าแข้งร่วงด้วยซ้ำ เธอไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยหลังจากนั้นไม่นาน ผู้หญิงคนนั้นก็เห็นตัวเลขหนึ่งล้านปรากฏบนข้อความที่แจ้งเตือนเข้ามาเธอตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง เธอมองดูหญิงสาวคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ก่อนที่เธอจะรีบถอนเงินเข้าบัญชีธนาคารทันทีที่เงินเข้าบัญชี การโอนครั้งนั้นเธอก็จะถือว่าเป็นเรื่องจริงการฝากถอนเงินในปัจจุบันนี้ค่อนข้างรวดเร็ว ภายในไม่กี่วินาทีเงินก็เข้าบัญชีแล้ว“ขอบคุณ ขอบคุณคุณผู้หญิงมากค่ะ!”หญิงสาวรีบขอบคุณเธอด้วยความซาบซึ้ง จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินออกไปโดยไม่ลังเลเย่เทียนหยู่ยิ้มอย่างขมขื่น และคิดในใจว่า ผู้หญิงคนนี้ช่างขวางโลกเสียจริง เขาส่ายหัวพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เธอซื้อตัวของผู้หญิงคนนั้นแล้ว แล้วที่นั่งของเธอล่ะ?”“ฉันไม่มีตั๋วหรอกค่ะ!”“เธอไม่มีตั๋ว แล้วเธอเข้ามาได้ยังไง?” เย่เทียนหยู่รู้สึกประหลาดใจ“ฉันก็แค่มองพนักงานตรวจตั๋ว แล้วเขาก็ให้ฉันเข้ามาค่ะ”“......”เย่เทียนหยู่ทำอะไรไม่ถูก หมดคำจะพูดแล้วจริง ๆ “ถ้าเธอไม่มีตั๋ว แ
ในตอนที่เหอฉุนเดินออกมา เดิมทีเธอตั้งใจหยิบตั๋วเพิ่มมาสองสามใบ มีที่นั่งดี ๆ ในแถวแรกแค่หนึ่งที่เท่านั้น ส่วนที่นั่งอื่น ๆ อยู่ถัดลงไปด้านหลังอีกเล็กน้อยเวทีตรงนี้จัดไว้เพื่อที่เวลาทำการแสดง แม้ผู้ชมจะนั่งแถวหน้า ก็ไม่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นเลยแม้แต่น้อย เป็นตำแหน่งที่สบายมากแต่เพราะสายตาที่ไม่อยู่นิ่งของเย่เทียนหยู่ เธอเลยหยิบตั๋วแบบลวก ๆ ให้เขาไปหนึ่งใบ เดิมทีตามคำขอของเฉินเฟยเฟยนั้น คือต้องการให้เย่เทียนหยู่นั่งอยู่ตรงกลางของแถวแรกอย่างไรก็ตาม ตำแหน่งที่เย่เทียนหยู่ได้รับนั้นก็ถือว่าค่อนข้างดีเช่นกัน อยู่ในแถวที่สาม ซึ่งอาจจะสบายกว่าด้วยซ้ำแต่การโต้ตอบกับดารานักร้องนั้น ก็อาจจะลำบากไปสักหน่อยเย่เทียนหยู่สังเกตเห็นอารมณ์ร้ายของเหอฉุนได้โดยธรรมชาติ ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว แถมอารมณ์ร้ายอีกต่างหาก เธอคงเคยถูกผู้ชายรังแกมาสินะในครั้งนี้ เขานั้นทายถูกแล้วจริง ๆแน่นอนว่าเย่เทียนหยู่ก็ไม่คิดที่จะถือสาเรื่องเล็กน้อยพวกนี้อยู่แล้ว เขาเหลือบมองหมายเลขบนตั๋ว และเดินตามฝูงชนเข้าไปด้านในหลังจากผ่านความยากลำบากในการแหวกฝูงชนเข้ามา ในที่สุดเย่เทียนหยู่ก็พบที่นั่งของเขาที่อยู่ตรง