เมื่อเรื่องของปาร์คดาฮยอนยุติลง หลินหว่านหรูก็สามารถผ่อนคลายและเตรียมพร้อมสำหรับการเข้ารับตำแหน่ง เดิมทีเธอตั้งใจจะไปคนเดียวแต่เขาไม่สามารถต้านทานคำขอของเย่เทียนหยู่ได้ ดังนั้นเขาจึงต้องขอไปด้วยกันเมื่อเวลาเก้าโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น เย่เทียนหยู่ และหลินหว่านหรูก็ปรากฏตัวที่ประตูบริษัทตรงเวลาในเวลานี้หยางไฉ่อวิ๋นมาถึงบริษัทแล้ว และก้าวไปข้างหน้าทันทีเพื่อนำหลินหว่านหรูและคนสองคนเข้าไปในบริษัท แล้วเดินเข้าไปข้างในขณะนี้มีพนักงานเข้ามาที่บริษัทจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ทุกคนได้รับข่าวสารวันนี้เวลา 10 โมงตรง ผู้จัดการทั่วไปคนใหม่ที่เพิ่งรับตำแหน่งอย่างผู้จัดการหลินเปิดการประชุมเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ ของบริษัท และผู้บริหารระดับกลางและระดับสูงก็จะเข้าร่วมในการประชุมด้วยแน่นอนว่ายกเว้นพนักงานที่อยู่นอกพื้นที่แม้จะเป็นเพียงการประชุมบอร์ดผู้บริหาร แต่พนักงานทุกคนก็ไม่กล้าล่าช้าและมาถึงบริษัทเร็วกว่าปกติเมื่อมองดูหลินหว่านหรูที่เดินผ่านไป รูปร่างหน้าตาที่สวยงามของเธอสวยกว่าที่เห็นบนโซเชีบล ทำให้ผู้คนให้การตอนรับเธอเป็นอย่างดี เพราะถึงยังไงบนโซเชียลก็มีข้อมูลที่มาที่ไปของเธออย
เธอกลัวทำผลงานไม่ดีแต่เมื่อเห็นเย่เทียนหยู่อยู่ข้างๆ หลินหว่านหรูก็สงบใจลงอีกครั้ง เธอตั้งสติและข่มใจตัวเอง คิดซะว่าที่นี่เป็นบริษัทของเธอเองนับประสาอะไรกับการมีเทียนหยู่อยู่ด้วย เขาคอยอยู่ที่นี่ก็เพื่อซัพพอร์ตเธอไม่ใช่เหรอทว่าเจ้าตัวกลับไม่รู้เรื่องรู้ราว เพราะเย่เทียนหยู่มาที่นี่ก็เพื่อจุดประสงค์อื่นนั่นก็คือการเก็บกวาดพนักงานของที่นี่!ไม่กี่นาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเวลาผ่านไปสิบโมงกว่าแล้ว หลินหว่านหรูมองไปรอบ ๆ และเห็นว่ามีคนจำนวนมากยังไม่มาถึงถ้าคนอื่นยังไม่มาก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ประเด็นคือจางเฉียงเป็นรองผู้จัดการทั่วไปของที่นี่จางเฉียงเป็นบุคคลแรกที่ดูแลบริษัทก่อนที่เธอจะมา ดังนั้นเธอจึงจงใจติดต่อ จางเฉียงด้วยตนเองโดยเร็วที่สุดเมื่อคืนนี้ และแจ้งให้เขาทราบถึงการประชุมเห็นได้ชัดว่าเขาสัญญาเมื่อคืนนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่ปรากฏตัวขึ้นเลยหลินหว่านหรูรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ความมาดร้าย และพอจะเดาได้ว่าจางเฉียงตั้งใจทำ แต่เธอก็สงบลงอย่างรวดเร็ว ไม่สำคัญหรอก บางทีอาจเป็นเพราะจางเฉียงยังไม่เห็นถึงความสามารถของเธอรอให้ตัวเธอแสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่แล้ว ทุกคนก็จะยอมร
ทันทีที่สิ้นคำพูด ทุกคนก็ชะงักไปเล็กน้อยมองดูจากท่าทางของเขาแล้ว คงไม่ได้คิดจะโมโหอยู่หรอกนะ เพราะถ้าเขาโมโหเพราะเรื่องแค่นี้ก็คงจะไร้เหตุผลมากไปหน่อย ถึงยังไงซะ ฐานะของอีกฝ่ายก็ไม่ธรรมดา การจะรถติดมาสายสักหน่อยก็เป็นเรื่องปกติโดยเฉพาะแบล็กอัพของจางเฉียงที่มีอิทธิพลจนน่าตกใจต่อให้ผู้จัดการหลินมีความสามารถมากแค่ไหน แต่คนนอกที่เก่งกาจย่อมแพ้เจ้าถิ่น การจะรับมือกับจางเฉียงไม่ใช่เรื่องง่ายพวกเขารู้สึกกระทั่งว่าการที่หลินหว่านหรูเรียกประชุมใหญ่ทันทีที่เข้ารับตำแหน่งเป็นการเดินหมากที่ไม่ค่อยเข้าท่า และเธอควรจะทำความเข้าใจแนวคิดของผู้บริหารแต่ละคนก่อนและเธอต้องสามารถควบคุมทุกอย่างได้ก่อน ถึงค่อยจัดการประชุมหรือไม่ แค่ประกาศเข้ารับตำแหน่งก็พอแล้วหัวใจของหลินหว่านหรูตึงเครียดเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าเย่เทียนหยู่จะทำอะไร แต่เธอไม่ต้องการทำร้ายบริษัทเพราะตัวเธอเองแต่จะให้เธอห้ามปรามการกระทำของเย่เทียนหยู่ก็คงไม่ได้ เพราะถ้าทำแบบนั้นก็เท่ากับตบหน้าเขาน่ะสิจางเฉียงและคนอื่นๆ ตะลึงเล็กน้อย เพราะการที่พวกเขาทำแบบนี้แค่เพราะอย่างจะแสดงอำนาจของตนเล็กน้อยเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มนั
“เศษขยะแบบแกน่ะเหรอ คิดจะจัดการกับผม!”ทุกคนมองดูภาพฉากตรงหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย เดิมทีนึกว่านี่จะเป็นสงครามที่ยืดเยื้อและยาวนาน แต่คิดไม่ถึงว่าจะเริ่มสู้กันเอาตายตั้งแต่เริ่มผู้จัดการหลินคนนี้ ดูท่าจะเป็นคนสิ้นคิดอยู่พอสมควรเลยนะแม้เย่เทียนหยู่จะเป็นคนพูด แต่ทุกคนเชื่อว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีผู้จัดการหลินที่เพิ่งแต่งตั้งใหม่เป็นคนคอยแนะนำและบ่งการอยู่อย่างลับๆเฮ้อ การโจมตีพนักงานทรงอำนาจและยึดอำนาจทันทีที่เข้ามาทำงานวันแรกดูจะป่าเถื่อนเกินไปหน่อย และอาจจะนำไปสู่ความล้มเหลว“ผมจะจัดการคุณได้หรือไม่ อีกไม่นานคุณก็จะได้รู้เอง”เย่เทียนหยู่ส่งเสียงเหอะในลำคออย่างเย็นชา ก่อนจะเริ่มอ่านข้อมูลทั้งหมดที่เขาพบ และข้อมูลเหล่านั้น คือการใช้ฐานะของจางเฉียงในการรวบรวมเงินจำนวนมหาศาลเมื่อพิจารณาจากสถานะของเขา อย่างอื่นก็ยังพอรับได้ แต่สองคนนั้นทำลายผลประโยชน์มหาศาลของบริษัทอย่างร้ายแรง ทำให้บริษัทมีรายได้น้อยลงเกือบห้าพันล้าน และยังทำให้บริษัทสูญเสียเงินจำนวนมากอีกด้วยและแน่นอนว่าพวกเขายังได้รับรายได้เพิ่มเติมถึงสามร้อยล้านในครั้งนั้นเมื่อได้ยินตัวเลขเหล่านั้น ผู้จัดการฝ่ายขายและผู้อ
ทุกคนพากันฮือฮาทันที!ตอนนี้สถานการณ์บานปลายแล้วจริงๆดูจากท่าทางของผู้จัดการจางแล้ว คงยึดคติมีผู้จัดการหลินก็ต้องไม่มีเขาแน่นอนถ้าเป็นแบบนั้น บริษัทจะสามารถเก็บไว้ได้เพียงคนเดียวจริงๆ เหรอ และมีความเป็นไปได้สูงมากว่าคนคนนั้นจะเป็นจางเฉียงและเมื่อดูทัศนคติของจางเฉียงแล้ว เขาก็ต้องเรียกผู้บังคับบัญชามารายงานเรื่องนี้แต่เห็นได้ชัดว่าทุกคนคิดผิด แน่นอนว่าจางเฉียงไม่ได้รายงานเรื่องนี้ต่อเบื้องบน แต่เรียกบุคคลสำคัญอย่าง หนานกงย่า ลูกคนที่สามของตระกูลขุนนางหนานกงท้ายที่สุดแล้ว เงินจำนวนหนึ่งจากเงินมหาศาลที่เขาได้รับก็ถูหบริจาคให้กับเธอแม้หนานกงย่าจะเป็นเพียงผู้หญิง แต่เธอก็มีความสามารถในการทำธุรกิจค่อนข้างมาก และเธอยังมีหุ้นบางส่วนในเทียนเฟิงกรุ๊ปและยังเป็นส่วนที่ไม่น้อยเลยแต่แน่นอนว่าไม่นับรวมของประธานบริษัทแต่สิ่งสำคัญคือมีเพียงประธานลึกลับคนเดียวที่ถือหุ้นส่วนใหญ่ สถานการณ์นี้พบได้ยากมากในกลุ่มที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้แต่นี่คือความจริง พวกเขาจึงสามารถดื่มซุปได้เพียงบางส่วนเท่านั้น แต่ถึงแม้คุณจะดื่มซุปเพียงเล็กน้อย กำไรก็ยังน่าทึ่งมากในไม่ช้า จางเฉียงก็โทรติด“มีอะไร”
นี่เป็นเรื่องปกติ เมื่อพวกเขาได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลขั้นสูง พวกเขาจะส่งเสริมการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้นของครอบครัว ภายใต้สถานการณ์ปกติ พวกเขาจะไม่ล้าหลังตระกูลเย่บอกได้เพียงว่าพวกเขาประสบความสูญเสียอย่างหนักครั้งแล้วครั้งเล่า เย่เฟิงในตอนนั้น เย่ไป๋ชวนในตอนนี้ นอกจากนี้ลูกคนที่สอง เย่ซีอองกง มีชื่อที่ดีแต่ไม่มีความสามารถที่แท้จริงกลุ่มต่างๆ ของตระกูลเย่ไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีความสามารถ แต่พวกเขาก็ยังไม่รวมกันเพียงพอ ผลลัพธ์สุดท้ายก็ชัดเจน และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ลดลงทุกวันถ้าไม่ใช่เพราะสี่เทพสงครามที่ยิ่งใหญ่ เย่ไป่ชวนและชายชราจงเหิง เฮ่เย่ พวกเขาคงล่มสลายไปนานแล้วดังนั้น ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับตระกูลหนานกงยิ่งกว่านั้น พวกเขามีหนึ่งความลับที่ไม่มีใครรู้เรื่องที่ตระกูลหนานกงยังคงอาศัยวิทยายุทธ์ คนนอกส่วนใหญ่คิดว่าหนานกงเยว่บรรพบุรุษของพวกเขาหรือก็คือพ่อของคุณปู่ตระกูลขุนนางหนานกงคนปัจจุบันเสียชีวิตไปนานแล้วแต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น บรรพบุรุษคนนั้นยังหลบซ่อนอยู่ในตระกูลหนานกงตลอดมา และตอนนี้กำลังพยายามพัฒนาตัวเ
จางเฉียงพอใจมากเมื่อได้ยินคำชมจากลูกน้องสองคนของเขา และก็ยิ่งภูมิใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของผู้คนด้านล่างนอกจากคนดูจะตกใจกับสถานการณ์ที่ได้เห็นแล้ว พวกเขายังเห็นใจและเสียดายหลินหว่านหรูกับเย่เทียนหยู่มากด้วยเดิมทีนึกว่าจะได้เจอกับคนที่มีอำนาจและความสามารถ เพราะยังไงก็เป็นคนที่เบื้องบนส่งตัวมา จะต้องมีแบล็กอัพและความสามารถมากพอตัวแน่นอนแต่ไม่คิดเลยว่า การต่อสู้ครั้งนี้จะจบตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ“ผู้จัดการจาง นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ถ้ายังไงเราลืมมันแล้วมาประชุมกันต่อดีกว่าค่ะ”หยางไฉ่อวิ๋นที่นั่งลังเลอยู่สักพัก อดไม่ได้ที่จะพูดกับพวกหลินหว่านหรู เธอกำลังพยายามบรรเทาสถานการณ์แต่ทันทีที่พูดจบ จางเฉียงก็โกรธขึ้นมาทันทีก่อนจะดุด่าเธออย่างเย็นชา: “หุบปาก หยางไฉ่อวิ๋น คิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงได้กล้าเสนอหน้ามาพูดกับผม?”“ถ้าฉันไม่คิดดีกับคุณ เลขาคนนี้คงเสียตำแหน่งคุณไปนานแล้วและคงไร้ยางอายมาก”“ไสหัวออกไปซะ คุณถูกไล่ออกแล้ว!”ความจริงเขาเคยคิดอยากให้หยางไฉ่อวิ๋นร่วมหลับนอนกับเขา แต่ไม่คิดเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะหัวแข็งและปฏิเสธไม่ยอมแพ้ แม้กระทั่งตอนที่เขาขู่ว่าจะไล
“ผมขอบอกไว้เลยนะ ตอนนี้นอกจากผมแล้ว ไม่มีใครช่วยคุณได้อีก!”เย่เทียนหยู่พูดไม่ออก ตระกูลหนานกงแข็งแกร่งมากก็จริง แต่ก็ยังไม่มากพอให้เขาเป็นกังวลอยู่ดี อย่าว่าแต่เขาเลย ต่อให้เป็นเทียนเฟิงกรุ๊ป ก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวหนานกงกรุ๊ปแต่อย่างใด เขาส่ายหัวและพูดอย่างใจเย็น: “คุณนี่มั่นอกมั่นใจดีจริงๆ คิดว่าตัวเองชนะแน่แล้วหรือไง?”“แน่นอน!”“ไมอย่างนั้นจะเป็นอะไรได้อีก?”“โง่จริงๆ เลย ยังนึกว่าตัวเองจะชนะอีกเหรอ!”จางเฉียงเผยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม แต่แล้วเขาก็เหลือบมองไปที่หลินหว่านหรูและพูดอย่างเปิดเผยว่า: “แน่สิ แต่ถ้าตอนเย็นผู้จัดการหลินยอมไปทานอาหารกับผมแล้วก็มอบของขวัญเป็นการขอโทษละก็ ผมจะให้โอกาสพวกคุณอีกครั้ง”ในขณะนี้ เขาภูมิใจมากโดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่านี่คือสถานที่สาธารณะและคุกคามเขาโดยตรง ความหมายเบื้องหลังคำพูดของเขาชัดเจนมาก“อวดดีนัก!”กล้าดียังไงถึงมีความคิดไร้ยางอายแบบนี้ เย่เทียนหยู่ฉุนขาดในทันที เขาเดินเข้าไปตบหน้าจางเฉียงอย่างแรงเพี๊ยะ!การตบของเย่เทียนหยู่ไร้ซึ่งการออมแรงเมื่อทุกคนได้ยินคำพูดข่มขู่ของจางเฉียงพวกเขาก็แอบยิ้มอย่างขมขื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเห็นใจเย่เทีย
พอคุณนายไป๋มาถึง พวกเฉินเฟยเฟยก็สังเกตเห็นได้ในทันที เมื่อได้ยินคำพูดของคุณนายไป๋ สีหน้าของพวกเธอก็เปลี่ยนไปแม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาด้วยเหตุผลอะไร แต่ดูท่าทางแล้ว ค่อนข้างน่ากลัวเลยทีเดียวเหอฉุนรีบพูดขึ้นว่า “เฟยเฟย เร็วเข้า รีบติดต่อคุณเย่เร็ว!”“เอ่อ ฉันว่าเราลองอ้างชื่อพี่เย่กันก่อนดีไหม?” เฉินเฟยเฟยกลัวว่าจะสร้างปัญหาให้เย่เทียนหยู่มากเกินไป“ไม่ได้ รีบโทรหาเขาด่วนเลย ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวเกินไป ดูจากท่าทีโกรธเกรี้ยวของเธอแล้ว เกรงว่าแค่อ้างชื่อออกไปจะไม่ได้ผลกับเธอแน่” “อีกอย่าง เกิดว่าเธอไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของราชามังกร แล้วยังโกรธเกรี้ยวอยู่เหมือนเดิม เราจะทำอย่างไรดี” เหอฉุนรีบพูดขึ้นมาอันที่จริงเฉินเฟยเฟยเองก็คิดถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เพียงแค่กลัวว่าจะทำให้เย่เทียนหยู่ลำบากก็เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้เธอก็ไม่มีเวลาให้ไปสนใจเรื่องพวกนั้นอีกแล้ว เธอจึงรีบกดเบอร์โทรศัพท์โทรหาเย่เทียนหยู่ทันทีเพียงแต่ตอนนี้เย่เทียนหยู่กำลังทำอาหารเช้าอยู่ จึงทำให้ไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ เนื่องจากตอนที่หลินหว่านหรูตื่นเช้าขึ้นมา แล้วบอกว่าอยากกินบะหมี่เหมือนเมื่อวานอีกครั้งในเ
แถมยังเป็นดาราอีกต่างหาก!แม้ว่าจะยังไม่ทราบสถานการณ์ที่แน่ชัด แต่เฉินเฟยเฟยคนนี้ เธอจะต้องตายอย่างแน่นอนไม่ว่าเธอจะเป็นดาราดังมากแค่ไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าตระกูลไป๋ที่มีทรัพย์สินเป็นพันล้าน เธอก็เป็นได้แค่มดตัวหนึ่งเท่านั้น!คุณนายไป๋หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดโทรออกเพื่อจัดการวางแผนต่าง ๆ ในขณะเดียวกันเธอก็พูดด้วยความโกรธขึ้นว่า “พยัคฆ์ทมิฬ ไปสืบมาให้ฉันเดี๋ยวนี้ ถ้าหากไม่สามารถหาที่อยู่ของนางนั่นมาได้ภายในเช้าของวันพรุ่งนี้ พวกแกก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ต่อแล้ว”“แล้วก็ยังมีไอ้ฆาตกรอีกคน เดี๋ยวฉันจะส่งวิดีโอไปให้ พวกแกก็ลองตรวจสอบมันดูด้วย แต่ภารกิจหลักคือการตามหาที่อยู่ของเฉินเฟยเฟยมาให้ได้!”เพราะขอแค่หาเฉินเฟยเฟยเจอ ก็จะสามารถหาคนที่ทำร้ายหยางหยางเจอได้เช่นกัน ซึ่งก็คือไอ้ฆาตกรคนนั้นพยัคฆ์ทมิฬที่ได้ยินคำสั่ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก ตั้งแต่ที่ตระกูลไป๋ชุบตัวขึ้นมาใหม่ เขาก็ยังไม่เคยเห็นเธอโกรธจัดเพียงแค่ต้องการให้สืบเรื่องของคนคนหนึ่งมาก่อนเลย เพราะงั้นเขาจึงได้รีบจัดการในทันทีพยัคฆ์ทมิฬเป็นหัวหน้าแก๊งพยัคฆ์ทมิฬ หนึ่งในแก๊งแห่งวงการอาชญากรรม การที่พวกเขาสามารถค
“เป็นอะไรไป ไม่อร่อยเหรอ?” ท่าทีของหลินหว่านหรูดูแปลก ๆ จึงทำให้เย่เทียนหยู่รู้สึกสับสนเล็กน้อย หรือว่าฝีมือทำครัวของตนจะแย่ลงรึเปล่านะแต่ถึงยังไง ก็คงไม่อร่อยจนถึงขั้นร้องไห้ออกมาหรอกมั้ง“เปล่าหรอก!”“อร่อยมาก อร่อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ!”หลินหว่านหรูร้องไห้ฮือออกมาเย่เทียนหยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก จึงพูดอย่างช่วยไม่ได้ออกไปว่า “ถึงจะอร่อยก็ต้องค่อย ๆ กินนะ ไม่ต้องรีบ ผมก็คิดว่าคุณร้องไห้เพราะทนกับรสชาติที่ไม่อร่อยอยู่เสียอีก”คำพูดนี้ทำให้หลินหว่านหรูอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “อย่าทำให้ฉันขำสิ เอาซะฉันเกือบจะพ่นเส้นบะหมี่ออกมาแล้วเนี่ย”รอยยิ้มของหลินหว่านหรูนี้ ก็ทำให้รู้สึกว่าพื้นที่รอบตัวเปลี่ยนไปทันที ราวกับว่ามีดอกไม้สวยงามนับไม่ถ้วนกำลังบานสะพรั่ง ทำให้เย่เทียนหยู่ถึงกับต้องมองตาค้างกันเลยทีเดียว“มัวเหม่ออะไรอยู่”“ก็มองคุณอยู่ไง”“โกหก”หลินหว่านหรูหน้าแดงเล็กน้อย เธอกินต่ออีกสองสามคำ ก่อนเธออดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “เมื่อก่อนคุณเคยทำบะหมี่บ่อยมากเลยเหรอ?”“ก็ไม่ได้ทำบ่อยนักหรอก ผมยังทำอย่างอื่นเป็นด้วยนะ”“คุณทำอย่างอื่นเป็นด้วยงั้นเหรอ?”“แน่นอ
“คุณทำอาหารเป็นด้วยเหรอ?”หลินหว่านหรูถามด้วยความสงสัย แต่เมื่อลองคิดอีกที บะหมี่เองก็ค่อนข้างที่จะต้มง่าย แทบไม่มีความยากเลยด้วยซ้ำ แค่ไม่เผลอใส่เกลือมากเกินไปก็พอแต่อีกเดี๋ยว ไม่ว่าจะเค็มหรือไม่ก็ตาม เธอจะต้องอดทนกินมันให้หมด แม้ว่าจะรสชาติแย่แค่ไหนก็ตามถึงยังไง การที่คนอย่างเย่เทียนหยู่ยอมลงมือทำบะหมี่ให้เธอด้วยตัวเองแบบนี้ เธอก็รู้สึกมีความสุขมากแล้ว“อีกเดี๋ยวก็รู้แล้ว”เย่เทียนหยู่ยิ้มเล็กน้อย การเคลื่อนไหวของเขานั้นรวดเร็ว และดูคล่องแคล่วมาก ไข่ไก่ที่อยู่ในมือของเขา ไม่นานก็ถูกตีจนเป็นเนื้อเดียวกัน ก่อนจะถูกผสมลงไปกับเส้นบะหมี่ภายใต้การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและน่าตื่นตาตื่นใจของเขา ทั้งเส้นบะหมี่ไข่ผักก็ได้ถูกปรุงจนเสร็จเรียบร้อยแล้วหากรวมเวลาตั้งแต่ที่เขาเริ่มลงไปซื้อของด้วย เมื่อกี้มันเพิ่งจะผ่านไปแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเองหลินหว่านหรูมองไปยังชามและตะเกียบที่วางอยู่ตรงหน้า ความสุขอันล้นหลามก็ห่อหุ้มตัวเธอเอาไว้ จากนั้นเธอก็รีบก้มหน้าคีบเส้นบะหมี่เข้าปากทันทีเดิมเธอคิดว่ามันไม่น่าจะกินได้แน่ ๆแต่ทันทีที่เธอได้สูดเส้นบะหมี่เข้าไป หลินหว่านหรูก็รู้สึกเหมือนถูกมนต์ส
“อือ งานยุ่งจนดึกมากขนาดนี้ คงหิวแล้วใช่ไหม?” เย่เทียนหยู่ถาม“ยังไหว ยังไม่หิวเท่าไหร่!”แต่ทันทีที่หลินหว่านหรูพูดจบ ท้องของเธอก็ส่งเสียงดังออกมา ซึ่งทำให้เธอหน้าแดงเล็กน้อย“ยังจะบอกว่าไม่หิวอีก ไปกันเถอะ ผมจะพาคุณไปกินมื้อดึก”“มันดึกมากแล้ว ไม่ต้องไปหรอก สั่งเดลิเวอรีมาก็ได้” หลินหว่านหรูนึกขึ้นได้ว่าแถวนี้ไม่ค่อยมีอะไรให้กินสักเท่าไหร่ นอกเสียจากต้องเดินออกไปไกลอีกหน่อย หรือไม่ก็ขับรถไปแบบนั้นมันดูจะยุ่งยากไปหน่อย ที่สำคัญคือกลัวว่ามันจะดึกเกินไป จนทำให้ส่งผลกระทบกับการทำงานของเธอในวันพรุ่งนี้เย่เทียนหยู่ขมวดคิ้วและส่ายหัว ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ของข้างนอกสามารถกินได้ แต่ก็ไม่ควรกินบ่อย ๆ ถ้าคุณกลัวว่ามันจะยุ่งยากจริง ๆ งั้นคุณก็รอผมเดี๋ยวนะ”เมื่อพูดจบ เขาก็เดินออกไปทันทีเขาจำได้ว่าข้างล่างห่างไปไม่ไกลนัก มีร้านขายของชำเล็ก ๆ อยู่ร้านหนึ่ง ซึ่งก็น่าจะมีบะหมี่อะไรแบบนั้นขายอยู่ด้วยด้วยความเร็วของเขา ไม่นานเขาก็กลับมา แถมยังซื้อของกลับมาได้อย่างรวดเร็วอีกด้วยไข่ไก่ บะหมี่ ผงปรุงรสรสไก่ แล้วก็ซีอิ๊วขาว ส่วนอย่างอื่นก็ไม่ได้ซื้ออะไรมาอีกแต่ถึงอย่างนั้น เจ้าของร้านท
ทันใดนั้น เหอฉุนก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เกรงว่าคุณเย่เองก็น่าจะมองออกตั้งแต่แรกแล้ว ว่าเธอจะไม่กล้าทำอะไรแบบนั้น ถึงได้กล้ามอบเงินกว่าห้าหมื่นล้านให้กับเฟยเฟยโดยไม่คิดอะไรเกรงว่าคุณเย่อาจจะเดาได้แต่แรกแล้ว ว่าเฉินเฟยเฟยจะมอบเงินให้ตนเป็นคนจัดการ เขาไม่กลัวว่าตนจะฉ้อโกงเลยแม้แต่น้อยคุณเย่คนนี้ ช่างเป็นคนที่มีความสามารถมากจริง ๆ!คุณเย่คะ วางใจเถอะค่ะ ฉันรับรองว่าฉันจะทำให้สุดความสามารถ ทำให้บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วให้ได้ และทำให้เงินลงทุนของคุณได้กำไรคืนทุนมากกว่าสิบเท่าให้ได้!แต่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่รู้เรื่องอะไรเลย เย่เทียนหยู่ไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น เขาแค่อยากให้เฉินเฟยเฟยได้มีที่ที่ปลอดภัยก็เท่านั้น จะหาเงินได้ไหม หรือว่าจะถูกฉ้อโกงรึเปล่า มันไม่สำคัญเลยสักนิดสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความสุขและความเป็นอิสระ!เงินแค่ห้าหมื่นล้าน ก็เป็นเพียงเศษเงินของเขาเท่านั้น หายไปก็ไม่เสียดายหลังจากที่เย่เทียนหยู่ออกจากโรงแรม เขาก็ตรงกลับไปยังที่พักทันที เกี่ยวกับห้องชุดนี้ เขาก็ได้ส่งกุญแจห้องให้หลินหว่านหรูตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้วพร้อมทั้งบอกที่อยู่กับเธอแล้วด้วย และให้เธอเลิกงานเร็วหน่
สีหน้าของจางผิงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นต่อไปนี้ จะไม่มีใครกล้ามารังแกพี่เฟยเฟยได้อีกแล้ว พวกเธอก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอีกต่อไปเมื่อเห็นว่าเงินเข้าบัญชีแล้ว ทุกอย่างก็สามารถเริ่มดำเนินการได้ในทันที หลังจากนี้ก็คงต้องคิดชื่อบริษัทให้ดี ๆ แล้วล่ะเหอฉุนคิดอยู่สักพัก ก่อนที่จู่ ๆ จะพูดขึ้นว่า “ฉันนึกออกแล้วหนึ่งชื่อ ไม่งั้นเราก็ใช้ชื่อว่าเฟยเทียนมิวสิคคัลเจอร์กันเถอะ!”“เฟยเทียนงั้นเหรอ?”เฉินเฟยเฟยถามด้วยความอยากรู้ขึ้นว่า “ทำไมถึงต้องเรียกว่าเฟยเทียน หมายถึงการบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอะไรทำนองนั้นน่ะเหรอ?”เหอฉุนที่ได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ก่อนจะอธิบายออกไปว่า “อันที่จริงก็มีความหมายแบบนั้นแหละ แต่อักษรเฟยตัวนี้ไม่ได้หมายถึงอักษรที่แปลว่าบินทยานหรอก!”เฉินเฟยเฟยรู้สึกตกใจเล็กน้อย ทันใดนั้นเธอก็คิดออก แววตาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น ชื่อนี้ไม่เลวเลยจริง ๆ“ฉันรู้แล้ว เป็นอักษรเฟยที่มาจากชื่อของพี่เฟยเฟยนี่เอง!”ครั้งนี้ จางผิงเองก็เข้าใจเช่นกัน ก่อนจะพูดด้วยความตื่นเต้นออกไปว่า “เฟยที่หมายถึงพี่เฟยเฟย เทียนก็หมายถึงคุณเย่ เป็นการรวมเอาชื่อของพวกพี่มารวมกันได้พอดีเลย
ตอนแรกเธอคิดว่าหุ้นทั้งหมดควรเป็นของพี่เย่ แต่พอมาคิดดูแล้ว ยังไงชีวิตนี้เธอก็เป็นของพี่เย่ เพราะงั้น หุ้นของเธอก็เหมือนเป็นของพี่เย่ด้วยไม่ใช่รึไงสำหรับพี่เหอ อันที่จริงพี่เย่ก็พูดเอาไว้แล้ว หากว่าเธอไม่อยากบริหารบริษัทจริง ๆ ก็มอบหมายให้พี่เหอเป็นคนดูแลทั้งหมดเลยก็ได้ ดังนั้นก็ควรที่จะให้พี่เหอถือหุ้นบางส่วนเอาไว้ด้วยจึงจะดีที่สุดส่วนเรื่องจำนวนของหุ้นนั้น พี่เย่ก็ไม่ได้กำหนดเอาไว้“เดี๋ยวก่อนนะ เฟยเฟย เธอพูดว่าอะไรนะ เธอจะให้ฉันถือหุ้น 20 เปอร์เซ็นต์ด้วยงั้นเหรอ?” เหอฉุนรู้สึกตกใจมาก เพราะการที่มีหุ้นแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ จำนวนเงินก็ปาไปหมื่นล้านแล้ว“ใช่แล้วค่ะ พี่เหอรู้สึกว่ามันน้อยไปรึเปล่าคะ?”“ไม่หรอก ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันคิดว่ามันมากเกินไปต่างหาก”เหอฉุนรู้สึกตกใจอีกครั้ง“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถึงยังไงพี่เย่ก็เห็นด้วยแล้ว จะให้ฉันถือหุ้นมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี”“ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้เด็ดขาด ฉันไม่ได้มีส่วนร่วมในเงินทุนแม้แต่บาทเดียวเลยนะ จะให้ฉันถือหุ้นมากมายขนาดนั้นได้ยังไง” เหอฉุนเองก็มีความคิดที่จะร่วมลงทุนอยู่ด้วย แต่ปัญหาคืออยู่ ๆ ก็กลายเป็นผู้ร่วมลงทุนกว่าหมื่
“อะไรนะ!”ถึงจะเดาได้ว่าเย่เทียนหยู่ต้องการช่วยก่อตั้งบริษัททำเพลงให้ก็เถอะ แต่การที่ลงทุนให้ตั้งห้าหมื่นล้านก็ทำให้เหอฉุนรู้สึกตกใจมาก เพราะโดยทั่วไปแล้ว ไม่มีบริษัทที่ไหนจำเป็นต้องใช้เงินมากขนาดนั้นแล้วยังมาพูดอีกว่า แค่ช่วยออกเงินลงทุนให้ห้าหมื่นล้านเท่านั้น เงินก็คือเงินไม่ใช่รึไง?เหอฉุนไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่า อีกฝ่ายต้องรู้สึกยังไง ถึงสามารถทำให้คนคนหนึ่งหยิบเงินออกมาลงทุนเป็นหมื่นล้านโดยไม่คิดอะไรได้ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไปเพื่อยืนยันความจริง “เฟยเฟย เธอบอกว่าเป็นเงินเท่าไหร่นะ ห้าหมื่นล้านงั้นเหรอ?”“ใช่แล้ว ห้าหมื่นล้าน หรือว่ามันยังไม่พอเหรอคะ?”“ถึงแม้ว่าจะไม่พอก็ไม่เป็นไร พี่เย่บอกเอาไว้แล้ว ว่าให้เอาเงินห้าหมื่นล้านนี้ไปใช้เล่น ๆ ก่อน หากยังไม่พอ เขาก็สามารถเพิ่มเงินลงทุนได้ทุกเมื่อเลยค่ะ” เฉินเฟยเฟยไม่ได้มีแนวคิดเกี่ยวกับการลงทุนมากนักตอนนั้นเธอเองก็ถูกตัวเลขที่เย่เทียนหยู่พูดทำให้ตกใจเช่นกัน แต่พี่เย่ก็บอกเอาไว้แล้วว่า เงินจำนวนนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะเขามีเงินที่ไม่ว่าจะใช้ยังไงก็ใช้ไม่หมดอยู่แล้วต่อให้เป็นแสนล้านเขาก็มี!ตัวเลขเหล่านั้น เธอแ