“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่ว่าก่อนหน้านี้ ระหว่างเราก็มีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ถ้าฉันจะใช้เวลาคิดนานหน่อย คุณคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมคะ?”นี่เป็นคำตอบสุดท้ายที่ซังหนี่ทิ้งไว้ให้กับฟู่เซียวหานเป็นดั่งที่เธอกล่าว ระหว่างพวกเขานั้นมีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นมากเกินไป การจะต้องการใช้เวลามากหน่อยมาครุ่นคิดถึงเรื่องนี้เองก็เป็นเรื่องสมควรแล้วเดิมทีฟู่เซียวหานคิดว่าตนนั้นเป็นคนที่มีน้ำอดน้ำทนมากคนหนึ่งตัวอย่างเช่นในเรื่องของจื้อเหอกรุ๊ป เขาได้ปูพื้นวางรากฐานมาตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ และเมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งเริ่มเก็บเกี่ยวผลที่ได้รับดังนั้นเขาจึงคิดอยู่เสมอว่าเขานั้นนับได้ว่าเป็นนักล่าที่มีคุณสมบัติเหมาะสมแต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เขากลับพบว่าตัวเองไม่ได้มีความอดทนมากอย่างที่คิดหากคิดดี ๆ แท้จริงแล้วเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับซังหนี่ เขาได้ทำเรื่องที่ผิดแผกไปจากเดิมมามากนับไม่ถ้วนทว่าทุกครั้งที่เขาต้องการจะติดต่อเธอ ก็นึกได้ถึงท่าทางของเธอที่ดูจริงจังอย่างมากในวันนั้น—— หากผลลัพธ์ออกมาดี เช่นนั้นการจะรอต่ออีกสักสองสามวันก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากจะยอมรับฟู่เซียวหานคิดเช่นนั้น
ฟู่เซียวหานเข้าใจความหมายที่เธอพูด “ความหมายของคุณคือ…ให้ผมเป็นคนที่ไม่มีสถานะคนนั้นใช่ไหม”“นับว่าใช่ก็แล้วกัน อย่างไรเสียตอนนี้พวกเรายังมีความร่วมมือร่วมกันอีก การจะเปิดเผยมากเกินไปก็คงไม่ใช่เรื่องดี แบบนี้คนอื่นจะมองคุณอย่างไรใช่ไหมล่ะคะ? ดังนั้นฉันคิดว่าแบบนี้…”ก่อนที่ซังหนี่จะพูดจบ จู่ ๆ ฟู่เซียวหานก็ก้าวไปข้างหน้าพร้อมยื่นหมัดไปทุบลงด้านข้างของซังหนี่!การกระทำอย่างกะทันหันนี้ทำให้ซังหนี่ตกใจเป็นอย่างมาก จนทำให้สิ่งที่เธอต้องการจะพูดในตอนแรกเลือนหายไป“ซังหนี่ คุณกำลังล้อเล่นอะไรกับผม? เธอคิดว่าผมเป็นใคร?! ในสายตาเธอ ผมเป็นคนน่ารังเกียจไร้ศักดิ์ศรีขนาดนั้นเชียวหรือ?!”——ช่างน่าขันฟู่เซียวหานคิดว่าเรื่องนี้มันช่างน่าขันมากเสียจริงวันหนึ่งเขา ฟู่เซียวหานคนนี้ถึงกับโดนขอให้เป็นคนรักที่ไม่สามารถออกหน้าออกตาได้!?ทำไมเขาต้องปล่อยให้เธอย่ำยีดูแคลนเขาเช่นนี้?เธอละเลยเขาเช่นนี้ได้อย่างไร!?ฟันของฟู่เซียวหานขบกันแน่น เส้นเลือดที่ท่อนแขนและหน้าผากของเขาปูดโปน ในเวลาเส้นเลือดเหล่านั้นยังคงกระตุกเต้นอยู่ เขาโน้มตัวลงไปมองคนตรงหน้า ในวินาทีนี้เขาอยากจะก้มลงไปกัดเธอมากกว่าสิ่งใ
“คุณไม่กลัวว่าเขาจะแก้แค้นคุณหรือ?”เสียงเจือด้วยความระอาใจของจี้อวี้หยวนดังมาจากโทรศัพท์“ไม่หรอก” ซังหนี่กลับตอบไปด้วยความเด็ดขาด“คุณอย่าลืมไปล่ะว่าทำไมครั้งที่แล้วคุณถึงได้เข้าโรงพยาบาล” เขาเตือนแน่นอนว่าซังหนี่ไม่ได้ลืม แต่ตอนนี้เธอเพียงแค่มั่นใจมาก ๆ อย่างอธิบายไม่ถูกอีกอย่างคนอย่างฟู่เซียวหานที่ทระนงตนขนาดนั้น เขาจะไม่ปล่อยให้ใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนี้แน่นอน บางที…ในอนาคตเขาอาจจะไม่อยากเจอเธออีกก็ได้“อันที่จริงคุณตอบตกลงกับเขาได้นะ”จี้อวี้หยวนกล่าวเสริม “ผมจะไปอธิบายกับทางคุณพ่อคุณแม่ผมเอง”“ช่างมันเถอะค่ะ” ซังหนี่ตอบ “อีกอย่างคุณก็เป็นเพียงข้ออ้างของฉันเท่านั้น ฉันไม่คิดอยากจะตอบตกลงเขาไปเลยสักนิด”“ทำไมล่ะ? คุณไม่…รู้สึกกับเขาแล้วหรือ?”“อารมณ์ที่ใช้ความเจ็บปวดเป็นอาหาร นับไหมคะ?” ซังหนี่เทไวน์ให้ตัวเองหนึ่งแก้ว ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ “ครั้งหนึ่งคุณเองก็เคยชอบใครบางคน และเคยถูกมันทำร้ายมา ดังนั้นคุณก็น่าจะรู้ดีว่าจำนวนครั้งที่คนเราสามารถรับความเจ็บปวดได้นั้น…มีจำกัด”“ตอนนี้ฉันไม่อยากจะเชื่อเขาอีกต่อไปแล้วล่ะค่ะ”อาจเป็นเพราะโดนพูดถึงตนเอง เสียงของจี่อวี้หย
ตอนนี้ในหัวของซังหนี่มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นด้วยเงื่อนไขแบบนี้ คนปกติที่ไหนจะยอมตอบตกลงยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นฟู่เซียวหานเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่มีแต่คนเอาอกเอาใจ เป็นคนที่ยืนอยู่บนสุดของพีระมิด!เพราะตกใจเกินไป ซังหนี่ถึงกับพูดไม่ออกในตอนนั้นผ่านไปพักใหญ่ เธอถึงได้เรียกสติกลับมาได้ “ฟู่เซียวหาน คุณรู้ตัวไหมว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่?”“รู้”“คุณเมาแล้ว”ซังหนี่ได้สติเต็มที่แล้ว จึงผลักเขาออกไปเต็มแรง “ผมไม่ได้เมา” ฟู่เซียวหานตอบซังหนี่ยิ้มมุมปาก”กลิ่นเหล้าบนตัวคุณใครจะไปเชื่อว่าคุณไม่เมา”“ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้เมา ตอนนี้ผมมีสติครบถ้วน”ขณะที่ฟู่เซียวหานพูด เขาก็ก้าวเข้าไปใกล้เธออีกสองก้าว “ผมรู้ดีว่าผมกำลังทำอะไรอยู่”“แล้วคุณรู้ไหมว่าฉันทำแบบนี้เพื่ออะไร?” ซังหนี่ถามกลับฟู่เซียวหานขมวดคิ้ว“ฉันแค่อยากให้คุณอยู่ห่าง ๆ ต่อให้คุณยอมรับเงื่อนไขแบบนี้...ฉันก็จะไม่มีวันชอบคุณอีก แถมอาจจะใช้คุณจนหมดประโยชน์ แล้วก็เขี่ยทิ้งไป คุณยังจะยอมอีกเหรอ?”น้ำเสียงของซังหนี่เย็นชาขึ้นเรื่อย ๆฟู่เซียวหานจ้องหน้าเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้ม แล้วตอบว่า “ตกลง”คำตอบที่เรียบง่าย
ฟู่เซียวหานดื่มเหล้าไปไม่น้อยจริง ๆหลังจากออกมาจากซังหนี่มา เขาก็มุ่งตรงไปที่บาร์ทันที ดื่มไปเท่าไหร่แล้วก็จำไม่ได้แต่พอหลูเยียนปรากฏตัวต่อหน้าเขา อยู่ดี ๆ เขากลับรู้สึกได้สติขึ้นมาในทันทีเขาจึงโทรหาสวีเหยียน สั่งให้จัดการเรื่องของเขากับหลูเยียนให้เรียบร้อย——เรื่องของจื้อเหอเขาสะสางใกล้จะเสร็จแล้ว ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องใช้หลูเยียนมาคอยบังหน้าอีกแล้วยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่สบตากับหลูเยียน เขากลับรู้ชัดขึ้นมาในทันทีว่า เธอไม่ใช่ซังหนี่ และไม่อาจแทนที่ซังหนี่ได้เพราะแบบนั้น เขาจึงกลับมาซังหนี่บอกว่าเขาบ้าไปแล้วจริง ๆ แล้วฟู่เซียวหานก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันถ้าไม่บ้าจริง ๆ เขาจะยอมรับรับเงื่อนไขแบบนั้นได้ยังไง?ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเธอกำลังทำลายตัวเองแต่ในตอนนั้น ฟู่เซียวหานกลับคิดขึ้นมาว่า หรือว่าเธอแค่อยากใช้วิธีนี้บีบให้เขาถอยห่างไปกันแน่?แล้วทำไมเธอถึงต้องทำแบบนั้นล่ะ?บางทีอาจเป็นเพราะเธอยังมีใจให้เขาอยู่ เลยไม่อยากเห็นหน้าเขาเพราะกลัวใจตัวเองจะหวั่นไหว?พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา แม้แต่ฟู่เซียวหานเองยังรู้สึกว่ามันช่างไร้สาระและน่าขันสิ้นดีแต่เขาก็รู้ตัวดีว่าเขามีส
ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ เธอคงไม่พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองหรอกแม้จะมาถึงวันนี้ได้ เธอก็ยังดูเหมือนไม่มีความสุขอยู่ดีแต่เธอคิดว่าเป็นเพราะตัวเองยังพยายามไม่มากพอบางทีสักวันหนึ่งตัวเองได้ขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุด เธออาจจะมีความสุขก็ได้?ซังหนี่เองก็ไม่แน่ใจ และไม่มีใครให้คำตอบเธอได้ ดังนั้น เธอจึงทำได้แค่เดินต่อไปข้างหน้า“เลิกสูบบุหรี่เถอะ”ฟู่เซียวหานเหมือนฟังไม่เข้าใจสิ่งอื่นที่เธอพูด สนใจแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวซังหนี่อดขำไม่ได้ “แล้วทำไมคุณไม่เลิกเองล่ะ?”“ได้ ผมจะเลิกมันพร้อมกับคุณ” เขาตอบทันทีคำตอบที่เด็ดขาดนั้น ทำให้ซังหนี่อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้แต่ฟู่เซียวหานไม่พูดพร่ำทำเพลง——เขาหยิบซองบุหรี่กับไฟแช็กของซังหนี่โยนลงถังขยะทันทีจากนั้น เขาก็เก็บเสื้อผ้าที่กองอยู่ในห้องรับแขกตั้งแต่เมื่อคืน หยิบซองบุหรี่ในนั้นของเขาโยนทิ้งไปด้วยเหลือแค่ไฟแช็กที่ยังอยู่ในมือเขา“อันนี้เก็บไว้เถอะ” เขาพูดขึ้น “คุณเป็นคนให้ผม”แน่นอนซังหนี่จำได้ดีแต่ตอนนี้เธอกลับมองไฟแช็กอันนั้นอย่างไร้ความรู้สึก ก่อนจะเหลือบตามองฟู่เซียวหานเหมือนเขาเป็นคนบ้า แล้วหมุนตัวเดินเข้าห้องนอนไปฟู่เซียวหานเดินตา
ซังหนี่ลืมไปแล้วว่าตอนนั้นฟู่เซียวหานตอบเธอว่าอะไรแต่สิ่งที่เธอจำได้ชัดเจนก็คือสุดท้ายฟู่เซียวหานก็ห้ามตัวเองไม่อยู่ แล้วทั้งคู่ก็สลับตำแหน่งกัน การประชุมตอนเช้า...เธอพลาดเวลาไปจริง ๆแต่พอเธอมาถึงบริษัท เจิ้งชวนก็บอกเธอว่า การประชุมถูกเลื่อนออกไปแล้วซังหนี่ไม่แปลกใจเลยสักนิดเจิ้งชวนเริ่มพูดถึงตารางงานอื่น ๆ แต่สายตากลับจ้องมองไปที่ซังหนี่อยู่ตลอดเวลาคิ้วของซังหนี่ก็ขมวดขึ้นโดยไม่รู้ตัวจังหวะที่เธอกำลังจะระเบิดอารมณ์ เจิ้งชวนทนไม่ไหวจนต้องพูดขึ้นว่า “คุณต้องการคอนซีลเลอร์ไหมครับ?”ซังหนี่ชะงักนิ่งไป ก่อนจะสังเกตเห็นรอยใต้ปกเสื้อตัวเองมือของเธอรีบดึงคอเสื้อแน่น ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา“คุณเป็นหมาหรือไง?”เดิมทีซังหนี่พิมพ์ข้อความนี้เสร็จแล้ว แต่หยุดคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลบมันออกอย่างไร้อารมณ์ วางโทรศัพท์ลง แล้วดึงคอเสื้อให้สูงขึ้นอีกหน่อยเจิ้งชวนเดินออกไปแล้ว พอกลับมาก็ยื่นคอนซีลเลอร์ให้เธออย่างใส่ใจ“ไม่ต้องห่วง ผมถามแฟนมาแล้ว เธอบอกว่าอันนี้ใช้ดีมาก” เจิ้งชวนพูดซังหนี่กลอกตามอง แต่มือก็ยื่นไปรับของนั้นมาอยู่ดี“เมื่อกี้ผมได้ยินข่าวซุบซิบมาด้วยนะครับ” เจิ้งชวนพูด
“นายไม่มีงานทำเหรอ? หรือว่างานน้อยไป?” ซังหนี่ถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย“ไม่ ๆ ครับ ผมออกไปเดี๋ยวนี้เลย!” เจิ้งชวนรีบตอบเขาพูดจบ ก็รีบเก็บของออกไปทันทีซังหนี่ไม่ได้สนใจเขาอีก สีหน้าก็ยังคงนิ่งเฉยเหมือนเดิมแต่พอเธอหันกลับไปมองหน้าจออีกครั้ง ข้อความในอีเมลตรงหน้ากลับดูยุ่งเหยิงไปหมด อ่านไม่รู้เรื่องเลยสักคำสุดท้าย เธอก็ลุกขึ้นยืนแต่พอเดินไปถึงประตู เธอกลับค่อย ๆ สงบสติลง ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน แล้วทำงานต่อตอนค่ำ ฟู่เซียวหานส่งข้อความมา ถามเธอว่าเย็นนี้อยากไปกินข้าวด้วยกันไหมซังหนี่ไม่ได้ตอบเขาส่งมาอีกสองข้อความ สุดท้ายโทรมาหาทันที“ฉันมีธุระ” ซังหนี่ตอบ“ธุระอะไร? ทำโอทีเหรอ? แต่ถึงยังไงก็ต้องกินข้าวนะ...”“ฉันจะไปกินข้าวกับจี้อวี้หยวน” ซังหนี่พูดตัดบทเขาทันทีเสียงของฟู่เซียวหานเงียบไปทันทีเธอรับรู้ได้ถึงความนิ่งและเงียบงันจากเขา อารมณ์ขุ่นมัวที่สะสมมาทั้งวันก็กลับดีขึ้นมาทันทีเธอไม่ได้พูดอะไรต่อ กดวางสายไปเลยจริง ๆ แล้วซังหนี่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น แต่เธอมีนัดกินข้าวกับจี้อวี้หยวนอยู่แล้วคืนนี้เมื่อคืนพวกเขาเพิ่งคุยโทรศัพท์กัน แต่เรื่องที่เกิดขึ้นหล
ซังหนี่ลืมไปแล้วว่าเธอออกจากโรงพยาบาลมาได้อย่างไรตอนนี้เมืองถงยังคงอยู่ในฤดูร้อนแต่เมื่อแสงอาทิตย์ตกกระทบลงบนร่างกายของเธอ ซังหนี่ไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย มีเพียงเหงื่อเย็นจำนวนนับไม่ถ้วนที่ไหลท่วมแผ่นหลังของเธอ จนทำให้ฟันของเธอสั่นสะท้านอย่างอดไม่ได้!รถแท็กซี่ขับมาถึงเถาหรานจวีอย่างรวดเร็วเมื่อเหม่อมองไปยังสถานที่ที่คุ้นชินแต่ไม่คุ้นเคยตรงหน้า จู่ ๆ ซังหนี่ก็นึกถึงถ้อยคำที่ซังหลินเพิ่งกล่าวกับเธอ —— นี่เป็นโอกาสเดียวของพวกเขาบางทีซังหลินอาจแค่ต้องการหลักฐานชิ้นนั้นมาเพื่อข่มขู่ฟู่เซียวหาน และบังคับให้เขาประนีประนอมต่อกันแต่สิ่งที่ซังหนี่คิดมีมากกว่านั้นเพราะเธอรู้ว่าหากตามความคิดของฟู่เซียวหาน แม้ว่าจะเป็นการประนีประนอมเพียงชั่วคราว แต่เขาก็จะหาโอกาสชดเชยสิ่งที่ตนได้สูญเสียไปในอนาคตอย่างแน่นอนสำหรับคนอย่างเขา ไม่สามารถใจอ่อนด้วยได้เช่นเดียวกับการเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายบนทุ่งหญ้า บาดแผลธรรมดาทั่วไปอาจแค่ทำได้เพียงให้เขารู้สึกหงุดหงิด หากต้องการเอาชนะ ต้องเฝ้ามองหาโอกาสที่เหมาะสม —— โจมตีให้สิ้นถึงชีวิต!ซังหนี่ลงจากรถไม่ว่าอย่างไร เธอเองก็อาศัยอยู่ที่นี่มา
กล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า…...ก่อนที่การเจรจาของพวกเขาจะพังทลายลง ฟู่เซียวหานนั้นได้วางแผนที่จะทำเช่นนี้ไว้ก่อนแล้วและยังคิดใช้โอกาสนี้…กลืนกินซังอวี๋กรุ๊ปทั้งหมดทั้งหมดนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับซังหนี่เลยแม้แต่น้อย การที่สั่งให้เธอก้มศีรษะขอร้องเขาในตอนนี้ก็เป็นเพียงเรื่องที่เขาถือโอกาสทำไปพร้อม ๆ กันเลยก็เท่านั้นกระบวนความคิดของซังหนี่มีสติชัดเจนและเป็นเหตุเป็นผลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอันที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลย เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็…เป็นคนเช่นนี้มาโดยตลอดแต่ในขณะนี้ ซังหนี่อดคิดถึงช่วงเวลานั้นที่เขานอบน้อมประจบสอพลอต่อหน้าตนไม่ได้และเป็นเพราะท่าทีเช่นนั้นของเขาทำให้ซังหนี่เกิดภาพลวงตาว่าเธอสามารถแก้แค้นและปฏิบัติต่อเขาได้อย่างสบาย ๆทว่าตอนนี้เธอรู้แล้วว่า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการเสแสร้งของเขาเท่านั้นการขาดความตระหนักรู้นี้ทำให้ซังหนี่ประหลาดใจ สิ่งที่น่าขำก็คือ ในเวลานี้เธอก็ยังคงรู้สึก…เศร้าแต่หากจะพูดว่าเจ็บ ก็ไม่ได้เจ็บปวดมากขนาดนั้นเพียงรู้สึกว่าผิวหนังโดนกรีดไปหนึ่งแผลเท่านั้นบาดแผลไม่ได้ลึก แต่รอยกรีดนั้นกลับกรีดซ้ำลงไปบนแผลที่เคยสมานตัวมาก่อน จึงทำ
เห็นได้ชัดว่าพยาบาลพิเศษไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนที่สำคัญกว่านั้นคือซังหลินเพิ่งฟื้นขึ้นมาได้ไม่นาน ซึ่งนับว่าเข้าเป็นคนที่เพิ่งรอดตายกลับมา ทุกคนรู้ดีว่าไม่ควรกระตุ้นเขารุนแรงแต่เมื่อพยาบาลเห็นท่าทีของเขาในตอนนี้ กลับไม่กล้าแม้แต่จะพูดโน้มน้าวอะไรซังหนี่กลับดูนิ่งมากหลังจากอดทนกับความแสบร้อนที่ขาของตัวเองได้แล้ว เธอก็ค่อยๆ เดินเข้าไปทีละก้าวซังหลินไม่คิดว่าเธอจะยังกล้ามีหน้าเดินเข้ามาอีก ขณะที่เขาคว้าแก้วน้ำขึ้นมาเตรียมขว้างใส่เธอ ซังหนี่กลับกดมือของเขาลงไปจากนั้น เธอก็หันไปมองพยาบาลพิเศษข้างๆ “คุณออกไปก่อนเถอะ”พยาบาลที่เดิมทีก็รู้สึกว่าการอยู่ตรงนี้ไม่ค่อยจะเหมาะสมนัก พอได้ยินซังหนี่พูดแบบนั้นก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที และรีบเดินออกไปซังหนี่มองไปที่ซังหลิน “เรื่องของบริษัทคุณรู้หมดแล้วสินะ?”“แกคิดว่ายังไงล่ะ!? ฉันว่าแล้ว......ฉันรู้อยู่แล้ว! ฟู่เซียวหานเป็นคนยังไง? ตอนนั้นที่ยอมให้แกดูแลโครงการรู่โจว มันก็เป็นแค่กับดัก! นี่เป็นแผนที่พวกแกสองคนรวมหัวกันวางแผนไว้ใช่ไหม เพื่อวันนี้......”“ที่ซังอวี๋ตกอยู่ในสภาพนี้ในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพราะโครงการรู่โจวทำให้ล่มจมหรอ
ท้ายทอยของฟู่เซียวหานไม่ได้มีตา คราวนี้หมอนขว้างมาโดนเขาเต็มๆ แต่ฝีเท้าของเขากลับไม่หยุดชะงักเลยแม้แต่น้อย และก็ไม่ได้หันกลับมามองเธอเลย เพียงเดินจากไปอย่างนั้นซังหนี่รู้สึก......น่าเบื่อขึ้นมาทันทีแม้ว่าเธอจะอยู่ต่อหน้าเขา ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลยเหมือนกับหมอนที่ขว้างใส่ฟู่เซียวหาน ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยแรง แต่แท้จริงแล้วกลับไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย—— มีแต่ทำให้ตัวเองยิ่งดูน่าขำเท่านั้น……ซังหนี่สุดท้ายก็ไปโรงพยาบาลระหว่างที่เธอเดินทางอยู่นั้นก็เห็นแถลงการณ์ที่จี้อวี้หยวนโพสต์ออกมาเขาไม่ได้พูดตรงๆ ว่ายกเลิกงานแต่งงานกับเธอ เพียงแค่บอกว่าเลื่อนออกไป ส่วนจะเลื่อนออกไปถึงเมื่อไหร่นั้น ในแถลงการณ์ไม่ได้ระบุไว้แต่หลายคนรู้ดีว่า การเลื่อนออกไปเป็นเพียงคำพูดให้ดูดีเท่านั้น พอเวลาผ่านไปนานเข้า แม้แต่เรื่องการเลื่อนออกไปก็จะถูกลืมไปเอง แล้วสุดท้ายงานแต่งงานนี้ก็จะถูกยกเลิกไปอย่างเงียบ ๆซังหนี่อ่านแถลงการณ์นั้นอยู่หลายนาที จากนั้นก็ดูความคิดเห็นข้างล่างอีกสักพัก ก่อนจะปิดโทรศัพท์ไปอย่างเงียบๆพอดี กับที่มาถึงโรงพยาบาลหลังจากข่าวเมื่อวานแพร่ออกไป บริเวณรอบๆ โรงพยาบาลก
ซังหนี่ตบไปเต็มแรงโดยสัญชาตญาณเพราะฟู่เซียวหานอยู่ใกล้เธอมากเกินไปแต่ความจริงแล้วซังหนี่รู้สึกว่าปฏิกิริยาของเขา ถ้าเขาต้องการหยุดการกระทำนั้น เขาสามารถจับมือของเธอไว้ได้แน่นอนแต่เขากลับไม่ทำรอยฝ่ามือจากเมื่อคืนยังไม่ทันจาง ตอนนี้กลับมีอีกรอยใหม่เพิ่มมาอีกพูดเรื่องน่าขำที่ไม่ขำคือ —— ตอนนี้หน้าของเขาดูสมดุลกันแล้ว“ฝันร้ายเหรอ?” ฟู่เซียวหานถาม ราวกับไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิดซังหนี่ไม่ได้ตอบ“ไม่เป็นไร แค่ฝันไปเท่านั้น” ฟู่เซียวหานพูดเองเออเอง พร้อมกับเปลี่ยนเสื้อผ้าไปด้วย “วันนี้ผมยุ่งมาก คงไม่ได้กินข้าวด้วยนะ คุณไปเยี่ยมพ่อคุณที่โรงพยาบาลได้ อ้อ แล้วก็ บอกเรื่องยกเลิกงานแต่งงานของคุณกับจี้อวี้หยวนกับเขาด้วย”“ส่วนเรื่องบริษัททางนั้น รอให้ผมจัดการให้เรียบร้อยก่อน แล้วผมจะไปอธิบายกับเขาด้วยตัวเอง”เสียงของฟู่เซียวหานสั้นกระชับมาก ทำให้มีไม่ข้อสงสัยในคำพูดของเขา“แล้วคุณคิดจะทำยังไง?” ซังหนี่ถามฟู่เซียวหานที่กำลังติดกระดุมข้อมือชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองเธอ “แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ซังอวี๋ก็ไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมไปอีกแล้ว เรื่องในครั้งนี้ ปฏิกิริยาของพวกผู้ถือหุ้นค
แต่ตอนนี้ดอกไม้ได้เหี่ยวเฉาและตายไปแล้ว แสงแดดและการดูแลที่มาถึงช้าเกินไป จะมีความหมายอะไรอีก?ซังหนี่เตรียมจะหลับตาลงอีกครั้งแต่ในวินาทีต่อมา ทันใดนั้นเธอก็สังเกตเห็นบางอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งอีกฝั่งชุดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวนั้นถ้าเธอจำไม่ผิด มันเป็นยี่ห้อที่เธอใช้เป็นประจำจากนั้นก็เป็นสายรัดม่านที่หน้าต่าง ถัดมาเป็นห้องเสื้อฝั่งตรงข้าม ในประตูกระจกใสบานนั้น มีเสื้อผ้าที่ดูคุ้นตาแขวนอยู่และตอนนี้เองซังหนี่ถึงได้เข้าใจว่า เขาขนของที่เธอเคยทิ้งไว้ที่นี่ย้ายกลับมาทั้งหมดจริงๆ แล้วของพวกนี้ไม่ใช่ของเธอเลยเสื้อผ้าพวกนั้นคุณนายฟู่เป็นคนจัดหาให้เธอ เพื่อให้เวลาออกไปข้างนอกจะดูคู่ควรกับตำแหน่ง “คุณนายฟู่” ไม่ได้ใช้เงินของเธอซื้อเอง ดังนั้นตอนนั้นซังหนี่จึงไม่ได้เอามันไปด้วยส่วนชุดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวนั้น......บางทีอาจจะหมดอายุไปแล้วก็ได้?ขณะที่ซังหนี่กำลังคิดอยู่นั้น เสียงน้ำจากในห้องน้ำก็หยุดลงซังหนี่ไม่ได้คิดอะไรต่อ เพียงแค่พยายามหลับตาลงเท่านั้นในความมืด เธอได้ยินเสียงฝีเท้าของฟู่เซียวหานค่อยๆ เดินใกล้เข้ามาใกล้ จากนั้นเขาก็นอนลงข้างๆ เธอร่างกายของเขามีกลิ่นสะอาดสดช
ซังหนี่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะกลับมาที่เถาหรานจวีจะเป็นภาพแบบนี้หรือจะพูดอีกอย่างคือ ในวันที่เธอจากไป เธอก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้กลับมาอีกดูเหมือนว่าคนรับใช้ในคฤหาสน์จะถูกฟู่เซียวหานไล่ออกไปหมดแล้ว ตอนที่พวกเขาเข้าไปข้างใน ภายในบ้านมืดสนิทฟู่เซียวหานพาซังหนี่ขึ้นไปที่ชั้นบนประตูห้องนอนใหญ่ถูกผลักเปิดไว้แล้วดูเหมือนว่าข้าวของข้างในจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ซังหนี่ยังไม่ทันจะได้สังเกตว่าอะไรเปลี่ยนไป ฟู่เซียวหานก็กดเธอลงบนเตียงแล้วตลอดทางเขาไม่ได้พูดอะไรเลย มีเพียงใบหน้าที่เคร่งขรึมและในตอนนี้การกระทำของเขาก็ไม่ได้มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อยแต่ซังหนี่ก็คาดเดาเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นตอนนี้เธอจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรเธอเองก็ไม่ได้คิดจะขัดขืน เพียงแค่นอนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกเป็นเพราะท่าทีตอบกลับที่เฉยเมยของเธอนั้นทำให้ฟู่เซียวหานไม่พอใจอย่างมาก เขาก้มหน้าลง แล้วกัดเข้าที่คอของเธอทันที!—— เขากัดจริงๆซังหนี่รู้สึกได้เลยว่าปลายฟันของเขาทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อของเธอ จนเลือดไหลซึมออกมา!ซังหนี่เผลอร้องออกมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะยกมือขึ้น แล้วต
“ซัง......”ซังหนี่ไม่มองเขาเลยแม้แต่น้อย เพียงเดินไปตรงหน้าของฟู่เซียวหานแล้วพูดว่า “เราไปกันเถอะ”เสียงของเธอแหบพร่าฟู่เซียวหานหรี่ตาลงเล็กน้อยแต่ซังหนี่ไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น จึงเอื้อมมือไปดึงเขาโดยตรงฟู่เซียวหานเองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร แต่ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะเดินไป จู่ๆ จี้อวี้หยวนที่ดูเหมือนเพิ่งได้สติกลับมา ก็คว้ามืออีกข้างของซังหนี่เอาไว้!การกระทำนั้นทำให้สีหน้าของฟู่เซียวหานเคร่งขรึมทันที เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ซังหนี่กลับเป็นฝ่ายหันไปมองจี้อวี้หยวนก่อน แล้วพูดว่า “คุณไม่จำเป็นต้องลำบากใจ”“เพราะ......ฉันก็ไม่ได้เลือกคุณเหมือนกัน” เธอพูดอีกว่า “ด้วยสถานการณ์ของซังอวี๋ในตอนนี้ ฉันต้องเลือกเส้นทางที่เป็นประโยชน์กับบริษัทมากที่สุด”“เดิมทีฉันยังคิดอยู่ว่าจะพูดกับคุณยังไงดี แต่ตอนนี้ก็ดีแล้วล่ะ พวกเรา......คงไม่ต้องรู้สึกผิดต่อกัน งานแต่งงาน......ก็ยกเลิกไปเถอะ”เมื่อพูดจบ ซังหนี่ก็สะบัดมือของจี้อวี้หยวนที่จับตัวเองออกจากนั้น เธอก็จับมือฟู่เซียวหานแล้วเดินจากไปคลับแห่งนี้บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความคึกคักเสียงหัวเราะพูดคุยดังไม่หยุด หญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มสุ
ฟู่เซียวหานไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่โยนซองเอกสารในมือไปให้จี้อวี้หยวนอีกฝ่ายก้มลงมองซองเอกสารนั้นครู่หนึ่ง ดวงตาเหมือนมีบางอย่างวูบผ่านไป แต่สุดท้ายก็ยื่นมือรับเอกสารมาแค่ดูเนื้อหาในสองสามหน้าแรก สีหน้าของจี้อวี้หยวนก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดลงทันที!มือที่ถือเอกสารนั้นก็กำแน่นขึ้นมาผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถึงมองไปที่ฟู่เซียวหาน “นี่คุณหมายความว่ายังไง?”ฟู่เซียวหานหัวเราะเบาๆ “คุณคิดว่าไงล่ะ?”“คุณไปเอาของพวกนี้มาจากไหน?” จี้อวี้หยวนดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว แล้วถามต่อ“นั่นไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องสนใจ”“แล้วยังไง? คุณต้องการอะไร?”ฟู่เซียวหานนั่งอยู่บนโซฟา ค่อยๆ เอื้อมมือมารินเหล้าให้ตัวเอง แล้วก้มลงจิบไปหนึ่งครั้งตลอดทั้งกระบวนการ เขายังคงรักษาความสง่าและความสูงส่งตามแบบฉบับของเขาแต่สีหน้าของจี้อวี้หยวนกลับยิ่งดูแย่ลงกว่าเดิมฟู่เซียวหานเอ่ยขึ้น “ผมต้องการอะไร……ผมคิดว่ามันชัดเจนอยู่แล้ว”“ประธานฟู่ เราต่างก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน คุณใช้วิธีแบบนี้ ไม่คิดว่ามันขี้ขลาดไปหน่อยเหรอ?” จี้อวี้หยวนพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “รวมถึงเรื่องของซังอวี๋ก็เช่นกัน คุณก็แค่พึ่งพาตำแหน่งสูงของคุณใน