ซังหนี่สะดุ้งตกใจจนใช้มือดึงเสื้อลงโดยไม่รู้ตัวจากนั้นเธอก็ขมวดคิ้วมองคนที่เพิ่งเข้ามาสีหน้าของฟู่เซียวหานเองก็ย่ำแย่ไม่ต่างกันทั้งสองคนจึงยืนสบตากันเช่นนั้น ช่างไม่เหมือนกับคู่สามีภรรยาเลยสักนิด แต่ราวกับเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันเสียมากกว่า“ถ้าไม่มีอะไร ก็โปรดออกไปเถอะค่ะ ฉันจะนอนแล้ว”ท้ายที่สุดก็เป็นซังหนี่ที่เอ่ยปากพูดก่อนแต่สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจคือฟู่เซียวหานไม่ได้ระบายอารมณ์ใส่เธอ แต่กลับหมุนตัวกลับไปทันทีพร้อมกล่าวว่า “พรุ่งนี้เที่ยงทำตัวให้ว่างด้วย”ซังหนี่หลุดปากโพล่งออกไปทันที “จะทำอะไรคะ?”แต่ฟู่เซียวหานกลับไม่ได้ตอบคำถามของเธอซังหนี่มองตามแผ่นหลังของเขา “ถ้าคุณจะให้ฉันไปขอโทษซังฉิงล่ะก็ ฉันไม่ไปค่ะ”คราวนี้ฝีเท้าของฟู่เซียวหานถึงหยุดลงปฏิกิริยาของเขาได้บอกให้ซังหนี่เข้าใจแจ่มแจ้งเลยว่า —สิ่งที่เธอคาดเดาไว้ไม่ผิดเลยทันใดนั้นมือของซังหนี่ก็กำแน่นทันที“ซังหนี่ นั่นคือน้องสาวของคุณนะ”ฟู่เซียวหานกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย“ฉันไม่มีน้องสาว อีกอย่างเป็นเธอที่ล้มเอง ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย จะให้ขอโทษเพื่ออะไร?”“ถ้าอย่างนั้นคุณทำถูกแล้วงั้นสิ?” ฟู่เซียวหานแค
สุดท้ายเอกสารข้อตกลงการหย่าร้างชุดนั้น ก็ถูกซังหนี่วางกลับลงไปที่เดิมวันต่อมา เธอไม่ได้รอฟู่เซียวหาน แต่ขับรถไปบ้านตระกูลซังด้วยตัวเองบ้านตระกูลซังตั้งอยู่ขอบเขตระหว่างตัวเมืองและชายเมืองของเมืองถง เป็นเขตคฤหาสน์ชื่อดัง ซึ่งทุกตารางนิ้วล้วนมีค่าดั่งทองคำทันทีที่ซังหนี่จอดรถก็มีคนเห็นเธอแต่คนรับใช้คนนั้นไม่ได้ออกมาต้อนรับเธอ ทว่าหมุนตัวเดินกลับเข้าไปข้างในซังหนี่เองก็ไม่ใส่ใจนัก จึงเปิดประตูลงจากรถด้วยตัวเองก่อนจะออกจากบ้าน เธอยังตั้งใจถือของบำรุงสองสามอย่างมาด้วย ในเมื่อมาขอโทษ…ก็ควรมีท่าทีที่สื่อว่าต้องการจะขอโทษจริง ๆ“คุณหนูหนี่มาแล้ว”วินาทีที่ซังหนี่เข้าไปในบ้าน คนรับใช้ที่รีบเร่งเข้ามารายงานคนเมื่อกี้ ก็เดินมากล่าวต้อนรับด้วยรอยยิ้มซังหนี่พยักหน้าให้เธอ“พี่คะ!”ซังฉิงรีบลงมาจากชั้นบนอย่างรวดเร็วเธอสวมชุดเดรสสีขาว ผมยาวสีปีกกาแผ่สยายเลยไหล่ลงมา เมื่อรวมเข้ากับใบหน้าที่ไร้เดียงสาของเธอ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้นัยน์ตาของผู้คนเปล่งประกายแม้ว่าปากของซังฉิงจะเอ่ยเรียกพี่สาว แต่สายตากลับจ้องมองไปข้างหลังเมื่อพบว่าเธอมาที่นี่คนเดียว แววตาของซังฉิงก็เผยให้เห็นถึงคว
“ลูกจะผิดได้ยังไง?”เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของซังฉิง คุณนายซังก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที และคว้ามือของเธอไว้ “ทำไมลูกถึงโง่แบบนี้นะ? ครั้งนี้โชคดีที่ล้มแล้วโดนมือ ถ้าล้มโดนหน้าแล้วเป็นแผลเป็นเข้าล่ะ จะทำยังไง?”ซังฉิงส่ายหน้า “ก็ตอนนั้นหนูคิดวิธีอื่นไม่ออกแล้วนี่คะ จะให้พี่กับหยวนโหรวตบตีกันต่อไปก็คงไม่ได้…”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเธอ คุณนายซังก็นึกบางอย่างออก ก่อนจะมองซังหนี่ด้วยแววตาเรียบนิ่ง “ดูสิว่าเธอก่อเรื่องงามหน้าอะไรขึ้น! ทั้งที่เธอเป็นพี่สาว แต่ยังต้องให้ฉิงฉิงช่วยเธอแบบนี้ เธอไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือยังไง?”“ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเธอหรอกค่ะ”คำตอบนี้ของซังหนี่ทำให้สีหน้าของคุณนายซังย่ำแย่ถึงขีดสุด “เธอพูดว่าอะไรนะ?!”“ถ้าตอนนั้นฉิงฉิงไม่ไปห้ามไว้ เธอคิดจะทำอะไร? เธอรู้ไหมว่านั่นคือพื้นที่สาธารณะ? ถ้ามีคนโพสต์คลิปของพวกเธอลงบนอินเทอร์เน็ต แล้วเธอจะให้พวกเราตระกูลซังเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ทางตระกูลฟู่จะมองเธอยังไง?”ซังหนี่เงียบไปโดยไม่ปริปากเอ่ยอีกแต่สายตาที่เธอใช้มองคุณนายซังราวกับกำลังบอกคุณนายซังอย่างแน่ชัดว่า —เธอไม่สนใจคุณนายซังเริ่มโกรธจนตัวสั่น “เธอหมายความ
มือของซังหนี่ที่วางระนาบอยู่ข้างตัวกำแน่นในที่สุดและสุดท้ายเธอเองก็หันมามองซังฉิงอีกฝ่ายกำลังส่งยิ้มให้เธอในดวงตากลมโตคู่นั้นยังคงเต็มเปี่ยมด้วยความไร้เดียงสาซังหนี่สบตากับเธออยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็พลันยิ้มออกมาจากนั้นก็เอ่ยปากว่า “นังเด็กพันทาง”—โทสะ ไม่ว่าใครก็ล้วนมีกันทั้งนั้นและเห็นได้ชัดว่าคำนี้คือคำต้องห้ามของซังฉิงเมื่อซังหนี่กล่าวจบ สีหน้าของซังฉิงก็ย่ำแย่จนถึงขีดสุดทันที!พร้อมยื่นมือออกไปผลักซังหนี่ให้ล้มลงกับพื้นโดยไม่ต้องคิด!นี่คือปฏิกิริยาตามจิตใต้สำนึกของซังฉิงเปลวไฟแห่งความโกรธแค้นเผาผลาญสติของเธอจนหมดสิ้น มันมากเสียจน กว่าจะตระหนักได้ก็กระทำสิ่งนี้ลงไปแล้วแต่มันก็สายเกินไปน้ำเสียงตกใจของคุณนายซังดังขึ้นอย่างรวดเร็ว “ทำอะไรกันน่ะ?”การเคลื่อนไหวของซังฉิงหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมในทันทีเธอรีบร้อนหันกลับมา อยากจะเอ่ยปากกล่าวกับคุณนายซัง แต่อีกฝ่ายกลับเดินผ่านร่างเธอไปแล้วมือที่ยื่นออกไปของซังฉิงจึงคว้าได้เพียงอากาศในทางกลับกัน ซังหนี่นั้นรีบพยุงตัวลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วพร้อมยิ้มบาง ๆ “ฉันไม่เป็นไรค่ะ”พฤติกรรมของเธอในตอนนี้ ราวกับพฤติกรรมในเวลาปกต
คำพูดของคนรับใช้ ประกอบกับท่าทางที่อยากจะพูดออกมา แต่ก็ไม่พูดเพราะความโศกเศร้าของซังฉิงเมื่อกี้นี้ ทำให้คุณนายซังมีความคิดในใจทันทีเธอหันไปมองซังหนี่อย่างรวดเร็ว “ซังหนี่!”หากไม่ใช่เพราะฟู่เซียวหานอยู่ที่นี่ ตอนนี้คุณนายซังก็คงตบหน้าเธอไปแล้ว“ฉิงฉิงเป็นน้องสาวของเธอ เป็นคุณหนูรองที่พวกเราตระกูลซังยอมรับ! เธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร? คิดว่าตระกูลซังของพวกเราเป็นอะไรกันแน่?!”ซังหนี่ไม่เอ่ยตอบเธอเพียงเหลือบมองใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาของซังฉิง ก่อนจะค่อย ๆ หันไปมองฟู่เซียวหานที่ยืนอยู่ข้างเธออีกฝ่ายเองก็กำลังมองเธอด้วยสายตามืดมนเช่นกันซังหนี่ทราบดีว่าเขาจะต้องไม่พอใจแน่นอนเขาไม่พอใจที่ภรรยาของตนกล่าวคำที่‘ไร้การศึกษา’เช่นนั้นออกมา ไม่พอใจที่น้องสาวที่เติบโตมาด้วยกันของเขาโดนกล่าววิจารณ์เช่นนี้แต่สำหรับซังหนี่ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือประโยคที่เขาพูดเมื่อกี้…ความเชื่อมั่นที่เขามีในตัวซังฉิงอืม เขาเชื่อว่าซังฉิงไม่มีทางลงมือทำร้ายคนอื่นโดยไร้เหตุผลแต่เรื่องที่ทำไมเธอถึงได้ตบตีกับหยวนโหรว เขากลับไม่เคยถามเธอเลยสักครึ่งคำเพราะ…มันไม่มีค่าพอที่จะให้เขาใส่ใจเขาเองก็ไม่
หลังจากที่ซังหนี่กล่าวจบ คนตรงหน้าก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ตอบสนองกลับมาเขาเพียงเหลือบตามองเธอ และสุดท้ายก็เอื้อมมือมารับเอกสารข้อตกลงชุดนั้นไปฟู่เซียวหานพลิกไปที่หน้าสุดท้ายของเอกสารทันทีเมื่อเขาพบว่าบนนั้นมีชื่อของซังหนี่อยู่แล้ว กลับหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนที่ซังหนี่จะทันเข้าใจว่าเสียงหัวเราะนี้หมายถึงอะไร เขาก็ยกมือขึ้นฉีกเอกสารข้อตกลงนั้นเป็นสองซีกแล้ว!การกระทำนี้ของเขาทำให้หัวใจซังหนี่กระตุก!ทว่าเธอก็ใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกล่าวว่า “หากประธานฟู่ไม่พอใจกับข้อตกลงนี้ ฉันพิมพ์ให้ใหม่ได้นะคะ”ฟู่เซียวหานยังคงไม่ปริปาก ในขณะที่ยกมือขึ้นโยนเอกสารข้อตกลงที่โดนฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยลงถังขยะ เขาก็ก้าวเข้ามาใกล้ซังหนี่คืบใหญ่!การเข้าใกล้อย่างกะทันหันทำให้สีหน้าของซังหนี่เปลี่ยนไปโดยพลันเธอก้าวถอยหลังทันทีโดยไม่รู้ตัวแผ่นหลังของเธอกระแทกกับขอบโต๊ะทันทีบนหลังเดิมทีก็มีรอยช้ำอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้มาโดนกระแทกอีก ซังหนี่อดส่งเสียงเบา ๆ ในลำคอไม่ได้“หย่า?”ฟู่เซียวหานคว้าข้อมือเธอไว้อย่างรวดเร็ว “ซังหนี่ คุณกำลังขู่ผมงั้นหรือ?”“หรือว่ากำลังใช้แผนแกล้งถอยเพื่อให้ได้ก้าวหน้
แน่นอนว่าซังหนี่เข้าใจถึงความหมายที่สื่อในแววตาของเขามันคือการกล่าวเตือน ในทางเดียวกันก็เป็นการดูหมิ่นเธอทราบดีว่าภายใต้เปลือกนอกที่ถ่อมตนและอ่อนโยนของฟู่เซียวหานนั้นมีหัวใจที่แข็งกร้าวและด้านชามากเสียยิ่งกว่าใครซังหนี่ค่อย ๆ หลุบตาลง จากนั้นสิ่งที่เธอเห็นคือเอกสารข้อตกลงที่ฟู่เซียวหานฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและโยนโครมลงถังขยะเธอต้องใช้ความกล้าหาญและความมุ่งมั่นในการตัดสินใจอย่างยิ่งยวดถึงจะมอบเอกสารข้อตกลงนี้ออกไป แต่เขากลับไม่เต็มใจแม้แต่จะชายตามองเพราะเขาไม่สนใจเขาไม่สนใจความรู้สึกภายในใจของเธอ และแน่นอนว่าจะไม่สนใจการตัดสินใจของเธอโดยธรรมชาติสองวันต่อจากนั้น ซังหนี่ไม่ได้พบฟู่เซียวหานอีกเลยครั้งล่าสุดที่ได้ยินข่าวคราวของเขา คือเขาปรากฏตัวในที่ประชุมแบบเปิดเผยต่อสาธารณะในภาพ ฟู่เซียวหานสวมชุดสูทสีเข้ม แม้จะเป็นการถ่ายภาพระยะใกล้ก็ไม่สามารถหาร่องรอยตำหนิบนใบหน้าที่แสนหล่อเหลานั้นได้เลย เมื่อบวกเข้ากับรอยยิ้มเล็กน้อยบนริมฝีปาก ก็กลายเป็นความสมบูรณ์แบบที่แม้แต่เหล่าดาราภาพยนตร์ก็ไม่อาจเทียบเคียงได้จากข่าวนี้ ซังหนี่ถึงได้รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่เมืองหลวงซังหนี่ไม่ได้
ซังหนี่ลดสายตาลงจ้องมองรูปภาพบนหนังสือพิมพ์ตัวเธอในภาพนั้น ช่างน่าขายหน้านักแต่ในขณะนี้ จู่ ๆ อารมณ์ของเธอก็เริ่มสงบลงหลังจากก้มลงไปหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมา เธอก็ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาก่อนจะยกมือขึ้นโยนหนังสือพิมพ์ทิ้งลงในถังขยะด้านข้างแล้วจึงเปิดประตูรถด้วยความนิ่งเฉยอีกครั้ง“พวกเราไปกันเถอะ” เธอกล่าวกับคนขับรถด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไร้ระลอกอารมณ์ใด ๆ แต่คนขับรถไม่กล้าแล่นรถออกไป และมองสีหน้าของฟู่เซียวหานอย่างระมัดระวังเธอไม่แม้แต่จะเหลือบตามองเขาเลยด้วยซ้ำ พร้อมกดเลื่อนกระจกรถขึ้นโดยตรงและในเวลานั้นเองที่ฟู่เซียวหานหันหลังกลับไปโดยไม่ลังเลใจเขามองไม่เห็นซังหนี่ แต่ซังหนี่กลับมองเห็นแผ่นหลังของเขาได้ชัดเจนเธอรู้ด้วยว่านั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องการบอกกับตนว่า —เขาจะไม่มีทางไปกับเธอแน่นอนดังนั้นถึงแม้ว่าเธอจะถูกหัวเราะเยาะเสียดสี ก็จะเป็นแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่ต้องรับมันทว่าเมื่อกล่าวถึงเรื่องราวพวกนั้น ซังหนี่ก็คุ้นชินกับมันเข้าแล้วเพราะท้ายที่สุดในช่วงเวลาตลอดมานี้…เธอเองก็อยู่คนเดียวมาตลอดสถานที่จัดงานเลี้ยงฉลองครึกครื้นมากกว่าที่ซังหนี่จินตนาการไว้หลายปีที่ผ่านมา
เมื่อฟู่เซียวหานยังเป็นเด็ก ครั้งหนึ่งเขาเคยเจอแมวจรจัดในโรงเรียนของพวกเขาลูกแมวตัวนั้นอาจเพิ่งคลอดได้ไม่นานแต่ไม่มีแม่แมวอยู่เคียงข้าง มีเพียงมันตัวเดียวที่นอนอยู่บนพื้นหญ้าและส่งเสียงร้องอย่างอ่อนแรงฟู่เซียวหานเพียงเหลือบตามองมันแต่เขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจที่เปี่ยมล้น ดังนั้นหลังจากเหลือบมองครั้งหนึ่งเขาก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วแต่เขาไม่คาดคิดว่าลูกแมวตัวนั้นจะเดินตามหลังเขามาฝีเท้าของเขาไม่ได้นับว่าก้าวเดินช้า ทั้งที่ลูกแมวตัวนั้นยังไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคงแต่ยังคงยืนหยัดเดินตามเขามาทีละก้าวและในขณะที่ฟู่เซียวหานกำลังจะเดินไปถึงหน้าประตูโรงเรียน ในที่สุดเขาก็หยุดฝีเท้าลงจากนั้นก็หมุนตัวเดินไปที่ร้านของชำด้านข้าง พร้อมซื้อไส้กรอกมาหนึ่งชิ้นลูกแมวตัวน้อยกินอย่างมีความสุขดังนั้นนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฟู่เซียวหานจะเจอมันทุกครั้งหลังเลิกเรียนมันเป็นฝ่ายริเริ่มเข้ามาหาเขาก่อน หลังจากซุกไซร้เข้ากับฝ่ามือของเขาแล้วจึงรอให้เขาป้อนอาหารด้วยความเชื่อฟังและนับตั้งแต่นั้น ฟู่เซียวหานก็มักจะเตรียมขนมไว้ในกระเป๋านักเรียนของเขาเสมอในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เขาแม้กระทั่งตั้
ฟู่เซียวหานราวกับสงบสติลงแล้ว ในเวลานี้สองมือของเขายันเข้ากับพื้นโต๊ะ แผ่นหลังที่เหยียดตรงอยู่เสมอโค้งงอ เขาก้มศีรษะลง ดูจิตใจเหงาหงอยเศร้าซึมลงอย่างบอกไม่ถูกสวีเหยียนคิดอยากจะปลอบโยนเขา แต่ว่าสวีเหยียนไม่รู้เลยว่าตนควรจะพูดสิ่งใดและในขณะที่เขาลังเลนั้นเอง จู่ ๆ ฟู่เซียวหานก็เงยหน้าขึ้นพร้อมถามเขาว่า “มีบุหรี่ไหม?”สวีเหยียนชะงักไปกับคำถามที่เข้ามาอย่างกะทันหันนี้ หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็รู้สึกตัวและนึกขึ้นได้ว่าฟู่เซียวหานเลิกบุหรี่ไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้เขารีบส่งซองบุหรี่ที่พกติดตัวไปอย่างไม่ลังเล พร้อมกล่าวว่า “บุหรี่ยี่ห้อนี้แตกต่างกับที่คุณคุ้นเคย ให้ผมสั่งคนไปซื้อมาให้ไหมครับ?”“ไม่ต้อง”ฟู่เซียวหานพูดพลางหยิบบุหรี่ออกจากซองสวีเหยียนรีบส่งไฟแช็กที่จุดไฟแล้วไปให้อย่างรวดเร็วเพราะมือของเขายังคง…สั่นระริกอยู่ตลอดเวลาสวีเหยียนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทาเมื่อเห็นท่าทีของเขาเช่นนั้น โชคดีที่ครู่ต่อมาฟู่เซียวหานจุดบุหรี่ได้ในที่สุดสวีเหยียนถอนหายใจด้วยความโล่งอกฟู่เซียวหานสุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง หลังจากจ้องไปที่วงควันบนอากาศสักพัก เขาก็กล่าวว่า “เธอกำลังจะแต่งงานแล้ว”
ฟู่เซียวหานมองภาพนั้นอยู่นานจนกระทั่งสวีเหยียนและผู้จัดการฝ่ายดำเนินการเข้ามากล่าวรายงานกับเขาได้ครู่ใหญ่ และพบว่าเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดกลับมาเลย สวีเหยียนถึงจะตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ “ประธานฟู่ครับ?”เมื่อได้ยินเสียงนั้น ฟู่เซียวหานก็เงยหน้าขึ้นมองเขาดวงตาล้ำลึกคู่นั้นยังคงเปี่ยมด้วยความสงบอย่างเคยสวีเหยียนรู้สึกไปแม้กระทั่งว่าเมื่อกี้เป็นเขาที่คิดไปเอง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงยื่นเอกสารในมือให้เขา “นี่เป็นเอกสารที่ทางแผนกดำเนินการเพิ่งนำมาครับ ต้องใช้ลายเซ็นของคุณ”ฟู่เซียวหานเหมือนจะเอ่ยตอบรับในลำคอ และหยิบปากกาที่วางด้านข้างขึ้นมาสวีเหยียนและคนที่ยืนด้านข้างยืนรออยู่ฝั่งตรงข้ามหากยึดตามความเร็วในการตรวจสอบเอกสารของฟู่เซียวหานในอดีต เอกสารชุดนี้ก็จะใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบวินาทีเท่านั้น แต่ทั้งสองรอไปสักพักใหญ่ ก็พบว่าสายตาของฟู่เซียวหานยังคงหยุดอยู่ตรงหน้าแรกของเอกสาร“ประธานฟู่ครับ?”เขาทำได้เพียงเอ่ยถามอีกครั้ง ผู้จัดการฝ่ายดำเนินการกระทั่งเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “ประธานฟู่ครับ เอกสาร…มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?”ฟู่เซียวหานไม่กล่าวอะไรออกมา เพียงพลิกหน้
เขาคิดว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอก็จะยังคงอยู่เคียงข้างเขาเสมอ ราวกับสายน้ำแร่อันแสนอ่อนโยนที่คอยโอบอุ้มทุกสิ่งทุกอย่างของเขาเอาไว้เขาไม่เคยคิดว่าเธอจะจากไปและมากกว่านั้นคือเขาไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากที่เธอจากไป เขาจะรู้สึก…เจ็บได้ถึงขนาดนี้——ราวกับสูญเสียอากาศและแหล่งน้ำที่จำต้องพึ่งพาเพื่อความอยู่รอดดังนั้น เขาคิดผิดไปอย่างไรก็ตาม มันก็เหมือนกันกับในตอนแรกที่เขาไม่ยอมเปิดโอกาสให้เธอได้อธิบาย ตอนนี้ เธอเองก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาเหนี่ยวรั้งเอาไว้เช่นกันความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ได้ถูกเธอตัดสินโทษประหารชีวิตเอาไว้แล้ว……ไม่กี่วันหลังจากนั้น ซังหนี่ยังคงไปทำงานที่บริษัทตามปกติข่าวการแต่งงานกับจี้อวี้หยวนไม่ใช่เรื่องที่เธอกุขึ้นมา แต่เป็นสิ่งที่พวกเขาปรึกษากันอย่างดีและตัดสินใจลงมือทำเพราะเวลาของคุณตาของจี้อวี้หยวนใกล้จะหมดลงแล้วชายชราไม่นับว่าอายุมากนัก แต่ก่อนหน้านี้จู่ ๆ เขาก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ หรือรู้จักกันทั่วไปว่าเป็นโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุยิ่งไปกว่านั้น อาการของเขาทรุดตัวลงไปอย่างรวดเร็ว จี้อวี้หยวนเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของเขา ความปรารถนาของผ
ทันทีที่คำพูดนี้ของฟู่เซียวหานหลุดออกจากปาก ซังหนี่พลันตกตะลึงจากนั้นเธอก็หัวเราะออกมา “จริงหรือคะ? แล้วนับว่าคุณชนะหรือเปล่า?”ฟู่เซียวหานไม่ตอบคำถามของเธอ ราวกับรู้สึกว่าคำถามนี้ไม่มีความจำเป็นต้องตอบเขาจึงเดินถือสัมภาระออกไปทั้งอย่างนั้นเสียงปิดประตูไม่ดังไม่เบา ไม่เจือไปด้วยอารมณ์ใด ๆ ซังหนี่เองก็ไม่ได้เหลือบมองไปฝั่งนั้นเลยด้วยซ้ำกล่าวตามตรง เดิมทีเธอไม่คิดจะพูดถ้อยคำเมื่อกี้ไปสักนิดเพราะมัน…ไม่มีความหมายอะไรอย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็จบลงแล้ว การที่จะไปขุดคุ้ยอารมณ์จากเรื่องราวในอดีตขึ้นมาอีกครั้งช่างเป็นเรื่องที่ไม่มีความจำเป็นมันก็เหมือนกับผลไม้เน่าเสียที่แค่ต้องโยนทิ้งลงถังขยะไปก็เท่านั้น ทำไมต้องปอกเปลือกออกทีละชั้นเพื่อหาว่าตรงไหนกันที่เน่าเป็นจุดแรก?ท้ายที่สุดแล้ว บนมือก็หลงเหลือเพียงแกนกลางผลไม้ที่เน่าเปื่อยถึงจะยอมรับได้ในที่สุดว่า ——มันผิดมาตั้งแต่แรกแต่ซังหนี่เองที่อดใจไม่ไหวคำถามต่าง ๆ วนเวียนอยู่ในสมองของเธอ นับตั้งแต่เจิ้งชวนบอกกล่าวให้เธอฟังเกี่ยวกับเรื่องของจื้อเหอกรุ๊ป นับตั้งแต่เธอรู้เรื่องว่าคุณนายฟู่ได้ฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้วไม
เขาก็อาจมีความรู้สึกต่อเธออย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่รีบร้อนขนาดนั้นเวลาที่เธอมีเรื่องแต่ความรู้สึกนี้มีอยู่เท่าไหร่กันนะ?เป็นสิ่งที่ต่อท้ายจากผลประโยชน์ของเขา เป็นสิ่งที่หากมีเรื่องใดเกิดขึ้น เขาก็พร้อมจะใช้เธอเป็นไพ่ที่สามารถนำมาใช้งานได้อย่างไม่ลังเลและการเหนี่ยวรั้งเธอไว้ตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่ตรงตามจังหวะขั้นตอนเพราะอย่างไรเสียเรื่องของจื้อเหอกรุ๊ปก็ได้รับการแก้ไขแล้ว เขาได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการมาแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงหันมองย้อนกลับมานึกถึงไพ่ที่เขาทิ้งไปด้วยตัวเองตั้งแต่แรก?ถึงตอนนี้เขาจะเหนี่ยวรั้งไว้แล้วอย่างไร?ท้ายที่สุดก็โดนเขา…ทิ้งไปอยู่ดีซังหนี่ไม่คิดกล่าวโทษเขาเพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็นนักธุรกิจคนหนึ่งอีกอย่างเธอรู้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา คนอื่น ๆ ต่างเห็นความรุ่งโรจน์ของเขา ทว่าจริง ๆ แล้วการจะมาถึงจุดนี้นั้นช่างแสนลำบาก ตอนนั้นคุณพ่อของเขาเสียชีวิตอย่างกะทันหัน เขาเองก็ยังอายุน้อยอยู่มาก ลับหลังล้วนมีแต่คนจับจ้องผลประโยชน์ตาเป็นมันดังนั้นการที่เขาจะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์มาเป็นอันดับแรกจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ซังหนี่เกลียดภาพที่เขาแสดงออกมาว่
“คุณหมายความว่าอะไร?”ฟู่เซียวหานถามเสียงต่ำซังหนี่ดึงเค้กก้อนนั้นกลับมาอีกครั้ง ในมือถือส้อมไว้แต่ไม่ได้ขยับ เธอเพียงเอ่ยถามเสียงเบาว่า “ปัญหาของทางจื้อเหอกรุ๊ปคุณจัดการแล้วหรือคะ?”ฟู่เซียวหานคาดไม่ถึงว่าจู่ ๆ เธอจะถามถึงเรื่องนี้ก่อนที่จะคิดได้ว่าควรตอบไปอย่างไร ซังหนี่ก็กล่าวเสริมขึ้นมา “วิกฤตการณ์ทางธุรกิจของจื้อเหอกรุ๊ปในปีที่แล้ว จริง ๆ แล้วเป็นเพียงระเบิดควันที่คุณวางไว้ใช่ไหมคะ?”“ก่อนหน้านี้คุณเคยบอกฉันว่าจื้อเหอกรุ๊ปก่อตั้งมานานหลายสิบปี ซึ่งนั่นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นที่รู้จักกันดีทั่วประเทศ มีทั้งชื่อเสียงทั้งรากฐานที่ยึดแน่น”“ข้อเสียคือในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ความกระตือรือร้นของพนักงานมากหน้าหลายตาล้วนถูกขัดเกลาจนแทบไม่หลงเหลือความรู้สึกนั้นอยู่ โดยเฉพาะเหล่าญาติสนิทมิตรสหายของผู้ถือหุ้นหลายราย แต่คุณรู้อยู่แก่ใจถึงการกระทำที่ไม่เอาการเอางานของพวกเขาดี ทว่ากลับไม่สามารถกำจัดทั้งหมดออกไปได้ เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นผู้ถือหุ้นเก่าแก่ที่ร่วมทำงานหนักตรากตรำกันมากับคุณพ่อของคุณ หรือแม้แต่กับคุณปู่คุณด้วยซ้ำ หากคุณจะลงมือ มันก็คง
ไม่จำเป็นจะต้องเปิดโอกาสให้เธอหัวเราะเยาะเขาไปมากกว่านี้แต่ในเวลานี้ ฟู่เซียวหานยังคงควบคุมมันไม่ได้หลังจากสบตาเขาสักพัก ซังหนี่ก็ตอบว่า “เรื่องการแต่งงานเราได้ตัดสินใจกันไปเรียบร้อยในเมื่อสองวันก่อนหน้านี้ค่ะ”“สำหรับเมื่อกี้…ประธานฟู่ที่มีประสบการณ์และความรู้กว้างขวางถึงเพียงนี้ หรือว่าคุณจะไม่รู้ว่าบนโลกนี้มีคำศัพท์อย่างคำว่าทำรักครั้งสุดท้ายเพื่อสิ้นสุดความสัมพันธ์งั้นหรือคะ? อีกอย่างไม่ว่าจะควรพูดหรือไม่ แต่ในช่วงที่ผ่านมานี้คุณได้ช่วยเหลือฉันไว้เยอะมากจริง ๆ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสมควรที่ฉันจะตอบแทนคุณเพียงเพื่อให้คุณมีความสุขขึ้นมาบ้าง”ซังหนี่อธิบายเปี่ยมด้วยความจริงจังและจริงใจฟู่เซียวหานมองเธอพร้อมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ดังนั้นเมื่อกี้คุณ…ก็แค่อยากให้ผมมีความสุข?”“ใช่สิคะ ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นแล้วคุณคิดว่าอะไรล่ะ?”มือของฟู่เซียวหานที่จับเธอไว้ปล่อยออกแทบจะในทันที แม้แต่ดวงตาที่จับจ้องมาราวกับจะฉีกเธอเป็นชิ้น ๆ เมื่อกี้นี้เองก็ลดสายตาลงเช่นกันสภาพเช่นนั้น ราวกับเขาอ่อนแรงไปอย่างกะทันหันอย่างไรอย่างนั้นเดิมทีซังหนี่คิดว่าเขายอมรับเรื่องนี้ได้แล้ว แต่วินาทีถัดมา ฟู่เ
ฟู่เซียวหานไม่อยากจะเชื่อเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน พวกเขาสองคนยังแนบชิดกันอยู่เลย แต่ตอนนี้ ซังหนี่กลับพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งว่าให้เขาออกฟู่เซียวหานนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะหัวเราะออกมา “คุณล้อผมเล่นใช่ไหม? ซังหนี่ คุณ……”“คุณกับโจวหลินทำข้อตกลงอะไรกัน?”ฟู่เซียวหานเดิมทีถอดถุงมือออกแล้วกำลังจะไปกอดเธอ แต่ซังหนี่กลับหลบเลี่ยงการกระทำของเขา แล้วถามเขาต่อสีหน้าจริงจังนั้น ทำให้มือของฟู่เซียวหานชะงักค้างกลางอากาศ สุดท้าย ก็ต้องค่อยๆ เก็บกลับไปแม้จะไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เธอพูดกับตัวเองตอนนี้ แต่ฟู่เซียวหานก็ตอบกลับไปว่า “เขามีปัญหาบางอย่างเรื่องการเงินที่ต่างประเทศ และผมเป็นคนช่วยจัดการให้เขา”“อืม ไม่น่าล่ะ”ซังหนี่พยักหน้าฟู่เซียวหานขมวดคิ้ว “ทำไมเหรอ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”“เปล่าค่ะ ตรงกันข้าม เพราะคุณช่วยเอาไว้ โครงการของเราถึงดำเนินไปอย่างราบรื่น เงินทุนก็ถูกโอนเข้ามาวันนี้แล้ว ไม่อย่างนั้น อาจต้องรอเป็นเดือนกว่าจะได้ข้อสรุป”ฟู่เซียวหานฟังแล้วกลับยิ่งไม่เข้าใจในเมื่อทุกอย่างราบรื่น แล้วทำไม…ราวกับรู้ว่าเขากำลังสงสัยอะไร ซังหนี่จึงพูดขึ้นทันทีว่า “เพราะฉะนั้นฟู่เ