“แล้ว…นางอยู่ที่จิ้งหนานกับผู้ใด” หลิวเจินเจิน แม้จะรู้ว่าฮ่องเต้แคว้นติดกันนำตัวบุตรสาวไป แต่ใครกันเล่ารับนางไปเลี้ยงดู“ฝ่าบาท ทรงมิได้มอบนางให้สกุลใดอุปการะ แต่เป็นพระองค์เองที่ทรงเลี้ยงดูนางในฐานะพระธิดาเพียงพระองค์เดียว”ทุกคนถึงกับพากันมองตรงไปที่ม่อตูอย่างไม่เชื่อหูกับสิ่งที่ได้ยิน หรือนี่จะเป็นที่มาของคำเรียกขาน ว่าท่านเมี่ยวจ้านของม่อตู และผู้ติดตามคนอื่น ๆ“มะ…เมี่ยวจ้านเป็นพระธิดาบุญธรรมเช่นนั้นหรือ”หลิวเจินเจินรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก ที่บุตรสาวได้รับเมตตาจากฮ่องเต้แห่งจิ้งหนาน“มิใช่ลูกบุญธรรม แต่เป็นองค์หญิงในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน และยังรั้งตำแหน่งองค์รัชทายาทแต่เพียงผู้เดียว”สิ้นคำบอกเล่าของชายหนุ่ม ทุกคนถึงกับหนาวสะท้านไปทั้งกาย หากเมี่ยวจ้านคือรัชทายาท ย่อมเป็นคนสำคัญที่สุดของจิ้งหนาน“แต่ข้าได้ยินมาว่า องค์รัชทายาทแห่งจิ้งหนาน ทรงเป็นยอดขุนพลไร้พ่ายมิใช่หรือ” หยวนฟางเอ่ยขัดขึ้นมาอีกครั้ง“ถูกต้องแล้วท่านอ๋องน้อย ท่านเมี่ยวจ้านนางคือขุนพลผู้นั้น นับตั้งแต่ฝ่าบาทประกาศถึงตำแหน่งองค์หญิงของนาง ไม่ว่าจะทรงเสด็จที่ใด จะต้องพบเจอพระธิดาองค์น้อยเคียงข้างกายเสมอ และก่อนท
‘หากเจ้าไร้ความงามปานนั้น ข้าก็พร้อมจะเป็นบุรุษผู้ที่จะเสี่ยงคว้าเจ้ามาไว้ในมือ’ หยางซานหลาง ยิ้มอย่างมีความในโดยมิรู้ตัว เขาลืมไปว่าเวลานี้มิได้มาเพียงลำพัง แต่ยังมีคู่หมั้นคนงามที่ติดตามมาด้วย มือบางของจีกวานฮวา สอดเข้าจับมือหนาที่วางไว้ข้างลำตัวหยางซานหลางหันมองคนด้านข้าง ก่อนจะลดต่ำลงที่มือของตน ทุกการกระทำตกอยู่ในสายตาของฟางเล่อ นางอยากจะหัวเราะออกมาดัง กับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างสองคนนั่นยิ่งนัก‘นี่แค่น้ำจิ้ม อดีตสามีของข้า ยังมีชุดรองท้องอีกมากที่อดีตภรรยาเช่นข้าจะมอบให้แก่ท่าน’ ก่อนที่ฟางเล่อจะยกมือขึ้นอีกครั้ง เพื่อให้ทุกคนฟังคำพูดของนางต่ออีกสักหน่อย“ฟางเล่อผู้นี้ยังไร้ประสบการณ์อยู่มาก จึงอยากขอความเมตตาจากพี่น้องชาวเจียงไห่ ช่วยสนับสนุนฟางเล่อ ให้ได้อยู่ร่วมกับทุกคนนาน ๆ นะเจ้าค่ะ” มือบางยกประสานกันก่อนจะโค้งลงช้า ๆ เสียงปรบมือดังสนั่น เป็นการยืนยันคำพูดของชาวเมือง“ถ้าเช่นนั้นในวันนี้ โรงเตี๊ยมเซียนอี้ได้ทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ มิว่าจะเป็นที่พัก หรือในส่วนของสุราอาหาร เซียนอี้ของเรายินดีตอนรับทุก ๆ ท่าน ขอเชิญร่วมเป็นเกียรติ ดื่มกินกันอย่างเต็มที่ ถ้าอย่างไรเวลานี้
‘คืนนี้ ข้าจะทำให้เจ้าสมหวัง ถงเหยียนเจี๋ย’“คืนนี้ พวกเราไปผ่อนคลายยังหอร้อยราตรีกันดีกว่านะเจี๋ย ข้านี้รู้สึกร้อนรุ่มจนนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว”ถงเหยียนเจี๋ยกำลังคิดที่จะปฏิเสธออกไป แต่เท้ากลับถูกเพื่อนรักเหยียบเข้าเต็มแรง แถมยังทำหน้าตายใส่เขาอีกต่างหาก“ดะ…ได้! คืนนี้ ข้าเองก็อยากผ่อนคลาย คะ…ความเป็นบุรุษสักหน่อยเช่นกัน”ถงเหยียนเจี๋ยจำต้องกัดฟันตอบรับ ทั้งที่ในใจนั้นเหมือนหวิว ๆ อย่างไรพิกล‘นางจะโกรธข้าหรือไม่นะ’โม่หยวนฟางยิ้มอย่างพอใจกับท่าทีของน้องเขย ที่ตอนนี้พยายามทำหน้านิ่งสนิท และเขามั่นใจว่าน้องสาวต้องได้ยินชัดเจนจริงดังคาด เมื่อประตูเปิดออก ชายหนุ่มคิดจะหันไปยิ้มยั่วผู้เป็นน้องสาว แต่จากรอยยิ้มกลับกลายเป็นอ้าปากค้าง ใบหน้าเริ่มซีดเผือด เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นเต็มใบหน้าแทน เพราะผู้ที่ก้าวเข้ามามิใช่น้องสาวเพียงคนเดียว แต่เป็นหญิงสาวอีกคนซึ่งเขาไม่คิดว่านางจะมาปรากฏตัวในเวลานี้‘นะ…ไหนนางบอกมาไม่ได้ ยะ…ไยถึงยืนอยู่ตรงนี้กันเล่า’ถงเหยียนเจี๋ย จากที่มีใบหน้าเจื่อน ๆ ตอนนี้ เขาอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ เสียมากกว่า คืนนี้คงได้รู้กัน ว่าใครกันแน่ที่จะต้องคิดหนัก ระหว่างเขา
หนึ่งในสาวกลุกขึ้นเพื่อทำความเคารพหญิงสาวผู้มาใหม่ ซึ่งตอนนี้นางมีใบหน้าบึ้งตึงจนเหล่าสาวกจำต้องหลบ ถอยออกจากห้องนั้นไปกันหมด จีกวาฮวากำลังมีอารมณ์คุกรุ่นอยู่มิน้อย จนทำให้ประมุขพรรคที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ถึงกับทำสีหน้ามึนงง ไยวันนี้ นางมารน้อยมือขวาของเขาถึงได้ดูมิสดชื่นเสมือนหญิงสาวผู้กำลังจะแต่งงานในเร็ววันนี้“ใครทำหลานสาวข้ามิพอใจกัน บอกท่านอาของเจ้ามาสิเด็กน้อย” ในที่สุด ท่านประมุขก็มิอาจทนรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากออกมาเองได้“มิเป็นอันใดมากเจ้าค่ะท่านอา คืนนี้ ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง ท่านอาอย่าได้เป็นกังวล”น้ำเสียงที่ผู้เป็นอาฟังแล้วก็ให้รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง เพราะตลอดสองปีมานี้ หลานสาวของเขาผู้นี้แทบไม่เคยไร้รอยยิ้มเลยสักครั้ง“ระวังตัวด้วยหลานรัก ข้ารู้สึกได้ถึงพลังแห่งไข่มุกโลกันต์ จำเอาไว้หลานข้า ยิ่งเจ้าฝึกวิชามารแก่กล้ามากเท่าใดก็จะเจ็บปวดมากเท่านั้น หากถูกพลังของไข่มุกโลกันต์เข้า”เขาจำต้องเอ่ยเตือนหลานสาว ด้วยนางมักใช้อารมณ์มากกว่าสติ นับตั้งแต่นางได้วางแผนการเพื่อจะแย่งชิงสามีของญาติผู้พี่มาเป็นของตน แม้นางจะทำได้สำเร็จ แต่ก็ไม่อาจวางใจอะไรได้โดยง่ายในอดีต
หยางซานซินลำพองใจกับความเฉลียวฉลาดของตนเอง เขาทำให้ทุกฝ่ายเชื่อในสิ่งที่เห็นมาได้โดยตลอด แต่สิ่งที่แอบซ่อนอยู่ในเงามืดจะมีเพียงแค่เขาและคนรักเท่านั้นที่รับรู้ แม้แต่หยางซานหลางที่ยังอ่อนประสบการณ์ เขาก็มิได้ให้บุตรชายรู้ไปเสียทุกเรื่องจุดประสงค์เดียวในตอนนี้ สำหรับหยางซานซิน คือกำจัดหลิวเจินเจิน ก่อนความลับเรื่องชาติกำเนิดบุตรชาย จะรู้ถึงหูของฮ่องเต้ เพราะนั่นจะทำให้สกุลหยาง และมารดาที่แท้จริงของบุตรชาย มีอันตรายถึงตายได้ เขาจึงมิอาจมีเมตตาต่ออดีตภรรยา เช่นหลิวเจินเจิน แม้นางจะเป็นคนดีมากก็ตาม แต่ในเมื่อยืนอยู่คนละฝ่ายกันอย่างชัดเจน ความตายเท่านั้นที่เขาจะมอบให้แก่ภรรยาซึ่งเคยยืนเคียงข้างกันมานานอีกไม่นาน ทุกอย่างก็พร้อมแล้วสำหรับการลงมือในภารกิจสำคัญ รอเพียงคนผู้นั้นออกคำสั่งมา กองทัพที่แฝงตัวอยู่ทั่วเมืองหลวงก็พร้อมเข้ายึดอำนาจในทันที แผนพวกเขาเหนือชั้นกว่าคนสกุลโม่ของฮ่องเต้โม่เหยียนฉงมากนัก‘สกุลโม่คิดว่าตนเองเก่งกาจฉลาดหลักแหลม มันถึงเวลาเปลี่ยนสกุลผู้ครองแผ่นดินแล้วตอนนี้’“ระวังคู่หมั้นเจ้าให้ดีซานหลาง อารมณ์ของสตรีอาจนำภัยมาสู่เราได้ ควบคุมให้ดี”หยางซานซินผ่านอะไรมามากมาย
ทุกถ้อยคำจะถูกส่งต่อกันมา เพื่อย้ำเตือนว่าอย่าได้ทำเช่นเจิ้งถง เวลานี้ ผู้ถือครองได้ปรากฏ พรรคโลกันต์ตื่นจากการหลับใหล เจิ้งถงก็ได้ปรากฏตัวเช่นกัน มันมิใช่เรื่องที่ดีเอาเสียเลย เขาต้องรีบรายงานเรื่องนี้แก่ผู้คุ้มกันให้เร็วที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้“ท่านอามาถึงที่นี่ มีเรื่องสำคัญอะไรหรือไม่ขอรับ”คำถามของชายหนุ่ม มีหรือเจิ้งถงจะไม่เข้าใจ เพราะการมาเยือนของเขาย่อมทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย แต่เขาก็ต้องนับถือในความอดกลั้นของชายหนุ่ม ที่ไม่แสดงออกถึงความเกรี้ยวกราดเมื่อเขามาอยู่ต่อหน้า เพียงเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันที่ทำให้ศัตรูกลายเป็นมิตร“แน่นอน! ย่อมมีอยู่แล้ว ว่าแต่เจ้าเล่ามั่นใจหรือว่าอยู่เพียงลำพังกับบิดาเพียงสองคน”ชายหนุ่มที่แฝงตัวอยู่ด่านล่างรู้สึกได้ถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานมาสู่ตนเอง ร่างในชุดทหารนอนนิ่งมิไหวติง แม้จะควบคุมทุกอย่างได้ดีแค่ไหน แต่ผู้มาใหม่คือหนึ่งในศิษย์พรรคที่เก่งเป็นอันดับต้น ๆ ย่อมต้องเหนือกว่าเขาผู้เป็นชนรุ่นหลัง“น้องชาย…เจ้าหมายความว่าอย่างไร” หยางซานซินเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัยเจิ้งถงยิ้มเหี้ยมเกรียม ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นสูงปัง!พื้นกระโจมแตก
แม้ตามร่างกายจะมีบาดแผลอยู่มาก แต่ชายหนุ่มยังคงตอบว่าตนเองปลอดภัย“เจ้าคนนั้น! ไยถึงพบปีศาจราตรีเช่นเจ้าได้เล่า”หมิงจงเป่าพยักพเยิด ไปยังคนที่เขาเตะกระเด็น ห่างออกไปหลายก้าวซึ่งกำลังลุกขึ้นยืนพร้อมใบหน้าที่บิดเบี้ยว ด้วยความโกรธและอับอายกับสิ่งที่เกิดขึ้นและซ้ำยังต่อหน้าผู้อื่นอีกด้วยเจิ้งถงหรี่ตามองไปยังร่างสูงพร้อมทบทวนความทรงจำ ว่าเขาเคยพบเห็นคนผู้นี้มาก่อนหรือไม่ ทางด้านหมิงจงเป่าเองก็มิต่างกัน แต่เขากลับจำชายผู้นั้นได้อย่างรวดเร็ว คนที่พรากอาจารย์อาของเขาไป“เจิ้งถง! ในที่สุดเจ้าก็โผล่หัวออกมาเสียที” เสียงพึมพำที่หลุดออกมาจากปากของหมิงจงเป่าสองพ่อลูกสกุลหยาง เมื่อตื่นจากความตกตะลึงแล้วก็ต่างพากันพุ่งเข้าหาศัตรูด้วยความรวดเร็ว แต่ยังช้ากว่าหมิงจงเป่าอยู่หลายส่วน เพียงพริบตา คนทั้งคู่ก็ได้หายไปดุจอากาศธาตุที่ไร้ตัวตนเจิ้งถงถึงกับชะงักค้างอยู่นาน วิชานี้ เขาใฝ่ฝันจะได้ร่ำเรียน แต่แล้วก็ไม่เป็นดั่งหวังเมื่อเขาไม่ได้เป็นผู้คุ้มกัน และวันนี้ เขาได้พบคนผู้นั้นแล้วสินะ ช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว ทุ่งโล่งเช่นนี้แต่กลับหายไปได้อย่างไร้ร่องรอย แม้แต่ตัวเขาที่ว่าเก่งกาจยังมิอาจเทียบเคียงได้
ยามค่ำคืน ณ โรงเตี๊ยมเซียนอี้ชั้นบนสุดเป็นที่พักของนายหญิงฟางเล่อ หญิงสาวในชุดผ้าไหมเนื้อดีสีดำสนิทได้ปรากฏกายอยู่ภายใต้เงามืด คืนนี้ นางจะให้สตรีไร้ยางอายหลับยาว ๆ โดยไม่มีโอกาสลุกขึ้นมายั่วยวนผู้ใดได้อีกท่อขนาดเล็กได้แทงทะลุกระดาษเข้าไปภายในห้อง ก่อนจะมีควันที่ถูกเป่ากระจายออกยังปลายอีกด้านให้อยู่ภายในห้องนอนของนายหญิงแห่งเซียนอี้ ฟางเล่ออยากเอาอะไรอุดรูนั่นให้ควันย้อนกลับยิ่งนัก แต่ถ้าหากทำเช่นนั้นมันจะสนุกอะไร สู้ปล่อยให้นางมารน้อยแสดงความอำมหิตให้เต็มที่สักหน่อยจะเป็นไรไปเวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว เมื่อมั่นใจว่าคนด้านในคงหมดสติแล้ว ร่างในชุดดำจึงหายเข้าไปภายในห้องอย่างรวดเร็วความมืดมิใช่ปัญหาสำหรับคนชุดดำ คราแรกคิดว่าจะมิใช้ยาสลบเช่นนี้ แต่ใกล้งานแต่งเข้ามาทุกทีแล้ว นางมิต้องการให้เกิดเรื่องราวใหญ่โต มีแขกมาพักที่เซียนอี้มากมาย ไหนจะพวกเสี่ยวเอ้อร์ที่เดินกันเต็มไปหมด หากคุณหนูใจเสาะส่งเสียงขึ้นมา ก็จะต้องมีพวกเจ้าหน้าที่และเรื่องตามมาให้วุ่นวาย สู้ให้หญิงแพศยาตายสบาย ๆ หน่อยจะเป็นไรไปร่างบางเดินตรงไปยังเตียงนอน ก่อนจะหยิบแท่งไฟออกมาเป่าจนติด ความใจเย็นของอีกฝ่ายทำให้คนที่กำลัง
“ให้เข้ามาได้” ฮ่องเต้ทรงตรัสอนุญาต แม้จะทรงข้องพระทัยอยู่ไม่น้อย ที่อยู่ ๆ ผู้เป็นอาของพระองค์ก็เสด็จมาหา“ท่านอ๋องเชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” ลู่กงกงก้าวออกไปยังหน้าประตู ก่อนทูลเชิญเสด็จจิ้นอ๋องจิ้นอ๋องเสิ่นหลีก้าวเข้ามาอย่างองอาจ แม้วัยจะล่วงเลยไปมากแล้วก็ตามที แต่ยังคงความสง่าเช่นราชนิกุลผู้มีสายเลือดมังกรอยู่มิเสื่อมคลาย ใบหน้าที่อ่อนโอน และอบอุ่นเสมอสำหรับคนในครอบครัว แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” จิ้นอ๋องประสานมือก่อนจะโค้งตัว ทำความเคารพโอรสมังกร ผู้ที่นั่งส่งยิ้มมาให้ตนเอง“ตามสบายเถอะ เสด็จอา วันนี้ทรงมีเรื่องสำคัญอันใดหรือไม่ จึงได้มาหาข้าเช่นนี้”ฮ่องเต้เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา มิทรงอ้อมค้อมเลยแม้แต่น้อย เพราะทรงรู้จักนิสัยของผู้เป็นอาดี ว่าหากไม่มีเรื่องสำคัญใด ๆ คนผู้นี้มักจะขลุกอยู่กับโคลงกลอน และการออกตรวจเยี่ยมราษฎร ตามหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อแบ่งเบาหน้าที่ของพระองค์เอง“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเพียงมาเยี่ยมเยียน พระองค์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ เห็นว่าช่วงนี้ทรงมิค่อยสบายพระทัยนัก จึงอยากที่จะมาชวนฝ่าบาท ร่วมดื่มสุราชั้นยอด จากเมืองฉินเส่าสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้โม่เหยีย
แต่ยังไร้เสียงร้องขอความเมตตา ออกจากปากของสองพี่น้อง โม่หยวนฟางพยายามยกหน้าไม้ขึ้น เขาทำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงตัดสินใจกดยิงออกไป ระยะประชิดเช่นนี้ มีหรือจะพลาดเป้า ลูกดอกพุ่งเข้าบริเวณสีข้างของคนร้าย ด้วยอารามตกใจ ชายสวมหน้ากากจึงเหวี่ยงหยวนฟาง ไปยังทิศทางเดียวกับโม่คังปึก! ตุบ! ร่างเด็กชายกระแทกเข้ากับตัวของพี่ชายที่รวบรวมพลังทั้งหมด พุ่งรับร่างผู้เป็นน้องชาย ก่อนจะตกสู่พื้นไปพร้อม ๆ กัน เป็นภาพที่สะเทือนใจขององครักษ์บางคนที่ยังหายใจอยู่ แต่ไร้สามารถที่จะลุกขึ้นปกป้องนายได้แล้วเช่นกันเลือดสีแดงฉาน ทะลักออกมาจากปากของโม่คัง เด็กชายยังคงพลิกตัวนอน ทาบทับเอาร่างบังน้องชายเอาไว้ภายใต้กายโชกเลือดของตนเอง ซึ่งเขาเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ อาการหายใจไม่ทั่วช่องท้อง เริ่มมีบ้างแล้วหยวนฟางดึงปี่ออกจากเชือกที่ร้อยติดกับสายคาดเอว ก่อนจะนำมาใส่ปากออกแรงเป่าอยู่อย่างมิท้อถอย ชายสวมหน้ากากเดินเข้ามาเหยียบลงบนหลังของโม่คัง ค่อย ๆ กดน้ำหนักลงไป เด็กชายไร้แรงต้านทานใด ๆ ได้อีกสองแขนที่พยายามค้ำยันเอาไว้ เพื่อไม่ให้ทับน้องชายแรงเกินไป ถึงกับสั่นระริก ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส มันคือการทรมานจากศ
หลายปีก่อน ระหว่างทางไปวัดฉุ่ยอิงนอกเมืองหลวงเพล้ง! ฮี้ ๆ เสียงกระทบกันของอะไรสักอย่าง รวมทั้งเสียงม้าที่แตกตื่น ทำให้เด็กน้อยทั้งสาม ซึ่งนั่งอยู่ภายในรถม้า รับรู้ถึงเรื่องผิดปกติ“เกิดอะไรขึ้น”เด็กชายวัยสิบขวบเอ่ยถามองครักษ์ด้านนอก แม้ตัวเขาพอเดาได้ไม่ยากว่าเกิดจากอะไร“อย่าออกมาพ่ะย่ะค่ะ มีคนร้าย”คำตอบจากหนึ่งในองครักษ์ ที่ได้อยู่คุ้มกันขบวนรถม้านำเสด็จองค์รัชทายาทโม่คังในวัยสิบชันษาเพื่อไปยังนอกเมือง ซึ่งตอนนี้ อยู่ ๆ รถม้าได้หยุดลงกะทันหัน โดยภายในมีขันทีวัยใกล้เคียงกันได้ตามเสด็จพร้อมทั้งพระญาติ คือท่านอ๋องน้อยโม่หยวนฟางเมื่อได้ยินคำตอบจากองครักษ์ เด็ก ๆ ต่างพากันเตรียมพร้อมรับมือ เสียงลูกดอกกระทบรถม้า และทะลุเข้ามายังด้านใน ทำให้โม่คังรีบคว้าตัวน้องชายเข้ามากอดเพื่อปกป้อง ก่อนจะหยิบเอาแส้อสรพิษที่นำติดตัวมาด้วยเอาไว้ในมือ แล้วพาน้องชาย รวมทั้งขันทีคนสนิทลงจากรถม้า องครักษ์คุ้มกันได้ล้อมเข้าเพื่อป้องกันเจ้านายทั้งสองอ๋องน้อยด้วยวัยเพียงห้าขวบที่หวังตามพระเชษฐาออกมาเที่ยวนอกวังนั้นยังมิประสาอะไรมาก ฝีมือการต่อสู้ก็เพียงเล็กน้อยยังมิถึงขั้นชำนาญ ในมือยังคงถือหน้าไม้ที่ฮ่องเต้
ชายหนุ่มเดินยืดตัวตรง ช่างดูสง่าผ่าเผย จนมิเหมือนบ่าวรับใช้สักเท่าใดนัก ร่างสูงหยุดยืนกะทันหัน เมื่อเผชิญหน้ากับแม่ทัพใหญ่หยางซานซินโดยบังเอิญ บุรุษต่างวัยยืนจ้องตากันดุจมังกรปะทะพยัคฆ์ก็ว่าได้ ก่อนรอยยิ้มของผู้อ่อนวัยกว่า จะยกขึ้นช้า ๆ เมื่อมองเห็นเสือเฒ่า ปิดดวงตาเอาไว้ข้างหนึ่ง‘สมกับเป็นแม่ทัพใหญ่ แม้บาดเจ็บหนักยังลุกขึ้น ออกมาเดินไปทั่วค่ายได้’ นับว่าเสือเฒ่าตัวนี้ร้ายมิใช่เล่นแต่จงอย่าลืมว่าแม่ทัพเพียงสองคน มิอาจล้มฮ่องเต้ได้โดยไร้ผู้หนุนหลัง และคนผู้นั้นต่างหากที่เขาต้องการตัว มากกว่าคนตรงหน้า โม่คังเดินเบี่ยงตัวหลบให้อีกฝ่าย แต่เท้าของหยางซานซิน ยังมิทันขยับก้าวกลับเป็นโม่คังที่ก้าวออกไปก่อน ไม่คิดรั้งรอที่จะเอ่ยปากอันใดกับหยางซานซิน“หยุดก่อน! เจ้าเป็นใคร เห็นข้าแล้วยังไม่รู้จักอ่อนน้อม รึเห็นข้าเป็นเพียงก้อนหินหรืออย่างไรกัน เป็นชาวบ้านไร้การอบรมสิ้นดี”โม่คังหยุดเดินก่อนจะทำหน้าเบื่อหน่าย คนพวกนี้ช่างเจ้ายศกันเสียจริง เขาเป็นถึงองค์ชาย ยังไม่เคยเรียกร้องให้คนมาก้มหัวให้ ชายหนุ่มหันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แววตาเสมือนไร้ความรู้สึกใด ๆ เมื่อเขาต้องมองหน้าคนอย่างหยางซานซิน
หยางซานหลางได้คว้ามือไปหยิบหน้ากากมาสวมเพื่อปิดบังรอยแผล“ข้าน้อยเยว่คัง คารวะท่านแม่ทัพหยาง”ชายหนุ่มได้ยื่นตะกร้าให้แก่ทหาร ก่อนจะกล่าวแนะนำตัวและประสานมือ ทำความเคารพแม่ทัพหนุ่ม โม่คังแอบซ้อนสายตาเหลือบมองคนที่นั่งอยู่‘เล่อเล่อ! น้องเบามือเกินไปแล้ว หยางซานหลางยังนั่งหน้าตาย อยู่ได้ มันไม่สาแก่ใจพี่เท่าใดนัก’ ชายหนุ่มแอบตำหนิน้องสาวอยู่ภายในใจทหารที่เป็นผู้รับตะกร้าอาหารไป ได้ทำการทดสอบพิษเสียก่อน ที่จะนำมาให้แก่ผู้เป็นหัวหน้าของตนได้ดื่มกิน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงได้นำออกมาวางยังโต๊ะ รวมกับอาหารของหญิงสาว ซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว จีกวานฮวาถึงกับใบหน้าชา เสมือนถูกตบอย่างแรง เมื่อต้องมองอาหารที่สตรีอื่น นำมาให้คนรักของตนต่อหน้าเช่นนี้“แม่นางฟางเล่อสบายดีหรือ ข้านั้นเสียมารยาทมากนัก ที่มิได้เข้าไปกล่าวทักทาย ต้อนรับนางเลย ช่างเสียมารยาทนัก”“หามิได้ขอรับท่านแม่ทัพ นายหญิงให้เรียนท่านแม่ทัพว่า เมื่อวานเห็นท่านแม่ทัพ ไม่ได้เข้าไปร่วมงานเลี้ยงเปิดตัวเซียนอี้ วันนี้จึงได้มอบหมายให้ข้าน้อย นำของกำนัลมาให้ยังค่ายแทนขอรับ หวังว่าท่านแม่ทัพหยางคงมิรังเกียจของพื้น ๆ เช่นนี้นะขอรับ”โม่
“เป็นเพียงบ่าวรับใช้ มินอนหน้าเตียงของข้าเสียเลยล่ะขอรับ” หยวนฟางประชดคนเป็นพี่“เช่นนั้นก็ได้ เอาตามนี้ก็ดี ปะ! ไปนอนกันเถอะ ตอนนี้ดึกมากแล้ว เราควรพักผ่อน” โม่คังยกยิ้มมุมปาก เมื่อกลั่นแกล้งผู้เป็นน้องได้ จะเพียงเล็กน้อยก็ยังดีโม่คังอยากหัวเราะดัง ๆ กับท่าทางประชดประชันของน้องชาย อายุมิใช่น้อย แต่พอเขาที่แก่กว่ามานั่งอยู่ตรงนี้ เจ้านั่นก็กลายร่างเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ทันที ยังมีอีกคนพรุ่งนี้ น้องสาวสุดที่รักจะยังจำพี่ชายคนนี้ได้อยู่รึไม่ คราแรกตอนได้ยินข่าวการตายของนาง เขาแทบตรงดิ่งเข้าเมืองหลวง เพื่อฆ่าอดีตน้องเขยด้วยมือของตนเอง แต่เพราะคำว่าเพื่อบ้านเมือง เขาจะปรากฏตัวให้ใครรู้มิได้ว่ายังไม่ตาย‘ใกล้ถึงเวลาที่พวกแก ต้องชดใช้แล้วกบฏทั้งหลาย’หยวนฟางแทบอยากผูกคอตาย เมื่อผู้เป็นพี่ชายมานอนร่วมห้อง เป็นเขาที่ต้องนอนหน้าเตียง เมื่อทนไม่ได้กับการนอนดิ้นของพี่ชาย จึงต้องหอบหมอนและผ้าห่ม ลงมานอนข้างล่างแทน“ฝากไว้ก่อนท่านพี่ อย่าเผลอก็แล้วกัน ข้าจะเอาคืนให้สาสม”เสียงบ่นเบา ๆ ของคนด้านล่าง ทำให้คนบนเตียงยิ้มกว้าง ที่แกล้งน้องชายได้สำเร็จ พวกเขาหยอกล้อกันเช่นนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อเสียงน้อ
“ได้! ปล่อยข้าก่อน”หรู่อี้รู้สึกว่าใบหน้าของนางร้อนผ่าว เมื่อลมหายใจของคนตัวใหญ่ เป่าลดลงบนหน้าผากของนาง เมื่อร่างบางได้เป็นอิสระแล้ว หรู่อี้รีบพุ่งลงจากเตียง ไปยืนอยู่ข้างเมี่ยวจ้านในทันที เยว่คังยังคงตีสีหน้าเศร้าสร้อย ก่อนจะค่อย ๆ คลานลงจากเตียง ไปยืนตัวสั่นอยู่ข้าง ๆ ผู้เป็นนาย“เอาละ! ข้าจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักกันเอาไว้ หรู่อี้ชายผู้นี้มีนามว่าเยว่คัง เป็นคนของฝ่าบาท ส่วนเจ้าเยว่คัง นางคือหรู่อี้ผู้ติดตาม คนสนิทของท่านหญิงโม่ฟางเล่อ ส่วนนั่นคือองค์หญิงเมี่ยวจ้าน คนรักของข้าเอง”พอแนะนำว่าเมี่ยวจ้านคือผู้ใดเสร็จ รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา เยว่คังค้อมศีรษะให้แก่สตรีทั้งสองนาง ก่อนจะชำเลืองมองไปทางโม่หยวนฟาง‘ร้ายนักเจ้าน้องชาย หมายจะทิ้งบ้านเมือง ไปเป็นเขยต่างแคว้น’ โดยคนเป็นน้องชายก็มิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน“ท่านพี่จะรีบทำให้ไก่ตื่นไปไย อย่างไรเสียนกน้อยของท่านก็มิหนีหายไปไหนได้อยู่แล้ว” หยวนฟางกระซิบเบา ๆ กับเยว่คัง“แม่นางหรู่อี้! เยว่คังผู้นี้จำต้องขออภัยที่ได้ล่วงเกินแม่นาง แต่อย่างไรเสีย เรื่องที่ท่านทำให้ข้าต้องมีมลทินนั้น ข้าคงมิอาจนิ่งเฉยได้”ทุกสายตาหันไปมองยังหรู่อี้
ชายหนุ่มได้หายออกจากเก้าอี้ไปนั่งอยู่บนเตียง โดยที่หรู่อี้มิอาจตามได้ทัน ความรวดเร็วว่องไวดุจสายลม ช่างน่ากลัวยิ่งนักหากคนผู้นี้คือศัตรู คงต้องบอกว่าหนักมือสำหรับนางไม่น้อยเลย หรู่อี้พุ่งเข้าหาคนบนเตียง ด้วยความเร็วดุจพายุก็มิปาน แต่คนที่นั่งอยู่กลับไม่ได้ขยับไปไหน เพียงเอี้ยวตัวหลบเล็กน้อย มือแกร่งรวบจับข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย ออกแรงเพียงเล็กน้อย ร่างบางกลับไปนั่งอยู่บนตักของชายหนุ่ม กระบี่ในมือตกอยู่ข้างลำตัวแทนไม่เพียงแค่กอดรัด ขณะที่หรู่อี้กำลังจะอ้าปากต่อว่า“อื้อ! อ่อย! ฮา! อะ!”หรู่อี้ทำได้แค่เพียง ส่งเสียงอู้อี้ออกมา มิใช่เพียงแค่ปากประกบลงบนกลีบปากนุ่มของหญิงสาวเท่านั้น ลิ้นของชายหนุ่มได้สอดล่วงล้ำ เข้าไปในโพรงปากของหญิงสาวอีกด้วย หรู่อี้ถึงกับสั่นสะท้านไปทั่วร่าง เมื่อถูกรุกราน นางยังมิเคยต้องมือบุรุษใดมาก่อนชายหนุ่มลอบยิ้มในใจ กับความใสซื่อและอ่อนประสบการณ์ของคนในอ้อมแขน หรู่อี้ถึงกับน้ำตาซึม ก่อนจะค่อย ๆ ไหลลงสู่แก้มนวล ชายหนุ่มรู้สึกได้กับน้ำอุ่น ๆ สัมผัสใบหน้าของตนซึ่งแนบชิดกับอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะถอนริมฝีปากออก“นี่อย่างไรล่ะ เขาเรียกว่าเล่นลิ้นสาวน้อย”
‘มิเจียมตนเลยเมี่ยวจ้าน’ หญิงสาวพร่ำบ่นตนเองอยู่ภายในใจ“เจ้ายังมิรู้ตัวอีกหรือเมี่ยวจ้าน ว่าตนเองมีความผิดเรื่องใดบ้าง”โม่หยวนฟางยกยิ้มมุมปากด้วยความขบขัน และยังคงพูดจา ให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัยมากขึ้นอีก เขารู้ตั้งแต่คนของเขาส่งสัญญาณมาก่อนแล้วว่า พวกนางมาถึงหอร้อยราตรีแล้ว เขาจึงเริ่มปล่อยให้หญิงคณิกาผู้นั้นรุกหนัก โดยยอมหญิงงามผู้นั้นขึ้นคร่อมบนตัว เสมือนเขาเป็นม้าและคณิกาคนงามเป็นผู้ขี่ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาเดียวกัน กับที่เมี่ยวจ้านปรากฏตัวขึ้น ด้วยใบหน้านิ่งสนิท แต่การกระทำกลับมินิ่งเสมือนใบหน้า สร้างความพอใจให้แกเขายิ่งนัก สิ่งที่ชอบในตัวนางคือ ความตรงไปตรงมา นางชัดเจนเสมอในสิ่งที่ลงมือกระทำ สมแล้วที่เป็นถึงรัชทายาทแห่งจิ้งหนาน‘ข้าอยากเห็นขุนพลผู้เกรียงไกร พ่ายต่อใจตนเองนัก’“เจ้าเห็นร่างกายภายใต้เสื้อผ้าของพี่จนหมดสิ้นแล้ว มิเว้นแม้แต่ส่วนลับ เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบ”โม่หยวนฟางพูดด้วยน้ำเสียง เหมือนกำลังจะร้องไห้ พร้อมใบหน้าเริ่มหม่นหมองลงทีละนิด“ห๊ะ! ขะ…ข้าหรือ” เมี่ยวจ้านอุทานออกมา ด้วยความตกใจปนสับสนโม่หยวนฟางเริ่มตีหน้าเศร้า เอามือลูบตามเนื้อตัวของตน เพื่อแสดงให้หญิ