“คนบ้าแซ่เฉิง และชายสัปดนแซ่สวี พะ พวกท่าน ล้วนรังแกข้า” นางเอ่ยแล้วก็สูดปากส่งเสียงอู้อ้า ราวกับกินของเผ็ดและร้อนจัดร่างกายงดงามซ่านสยิว ทั้งรู้สึกว่าตนกำลังจะจับไข้ ส่วนลำตัวประหนึ่งจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยกำลังรองรับความใหญ่โตของบุรุษ “ฮึ ขะ ข้าไม่ยอมให้พวกท่านทั้งคู่ หลั่งในร่างกายนี้แน่นอน” ปากบอกไปอย่างนั้น แต่จางเหยากับบีบรัดท่อนเนื้อเฉิงเซ่าเทียนไม่หยุด ในยามนั้นสวีเกาหานมันเขี้ยว เขาเลยใช้นิ้วยาวๆ ล้วงเข้าในโพรงปากนาง แล้วสั่งให้จางเหยาดูดและขบกัด “เล่นกับนิ้วข้าไปก่อน พอเปลี่ยนท่าใหม่ เหยาเหยาจะได้ครอบครองแท่งหยกแห่งแคว้นเหลียงแต่เพียงผู้เดียว”*********************แนะนำก่อนอ่านเรื่องนิยายแบ่งเป็นสามช่วงเวลา***********************ชาติก่อน (อดีต) ร่างเหวินซืออี้คนเดิมชาติย้อนเวลา ร่างจางเหยาชาติปัจจุบัน ร่างเหวินซือคนอี้ใหม่***********หนังสือหย่าที่เขียนด้วยเลือด ชาติก่อน แคว้นเหลียง ณ ป้อมสังเกตการณ์เมืองไฉ ห่างจากเมืองหลวงราวๆ สามร้อยลี้ สายลมวูบใหญ่พัดผ่านร่างเหวินซืออี้ นางจึงหลับตาหลบฝุ่นผง
เหตุการณ์ก่อนหน้า เหวินซืออี้กราดเกรี้ยวหนัก นางอดทนมานาน ไม่เคยมีปากเสียงอันใดกับคนรัก ก็เพียงแต่อยากทวงถามสิ่งที่นางควรได้รับ ตัวนางต้องทนรับปัญหาสารพัด ตัดขาดญาติพี่น้องเพื่อมาเป็นจ้าวสาวของเซียวหัวเฟิง ผู้ที่เพิ่งก้าวขึ้นรับตำแหน่งแม่ทัพเมื่อไม่นานมานี้ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ป้อมสังเกตการณ์ ส่งผลให้เหวินซืออี้กำลังจะจมดิ่งสู่ห้วงเหวลึก “เฟิงเกอ...ท่านจะไปที่ใด ยามนี้ได้ฤกษ์เข้าหอแล้ว” นางถามน้ำเสียงสั่นอยู่สักหน่อย ด้วยมันเกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจ และความโมโหตนเองที่ไม่อาจพูดสิ่งใดที่รุนแรงอย่างใจนึกได้ นางเป็นสตรีเช่นนี้ โลกสวยงาม มีแต่สิ่งรื่นเริง คำร้ายๆ ไม่เคยหลุดออกจากปาก จวบจนได้เห็นเกิงเตียวอิ๋ง ฝ่ายนั้นทำเรื่องบัดซบยิ่งนัก ขี่ม้าตัวโตเข้ามาที่นี่ อาภรณ์ที่นางสวมใส่คือ ชุดหยกที่เรียงเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าห้อยต่อกันไว้ ซึ่งกล่าวได้ว่า นางเปลือยกายคงไม่ผิด เพราะมองแล้วช่างเป็นคนไร้ยางอายยิ่ง “เฟิงเกอ... โอ้ ท่านจะรอให้ร่างกายสตรีผู้นี้ สูญสลายและสิ้นใจเสียก่อนหรือ ถึงจะเข้ามาหาข้า” เสียงดังกล่าวเรียกขึ้นร้อง ท่าทางสตรีผู้นั้นมิต่างจาก
เมื่อสามปีก่อนที่เขาไปยังเมืองซีหาน ยังเป็นบุรุษที่ติดตามอาจารย์เฉิง คือพี่เก้าที่แสนอบอุ่นใจดี คอยสอนนางหลายสิ่ง นั่นคือจุดเริ่มต้นของรักแรกพบ สุดท้ายนางก็ปีนออกจากกำลังคฤหาสน์เหวิน ทั้งที่พี่ชายสุดที่รักเหวินเจิ้งเทาตามตัวกลับหายหน แต่นางใช้อุบายต่างๆ นานาจนรอดพ้นมาได้ แล้วก็ติดตามเซียวหัวเฟิงเดินทางไกลนับพันลี้ ผ่านหลากหลายเรื่องราว จวบจนบ่มเพาะเป็นความรัก มีช่วงเวลาหวานซ่านใจ จนผู้อื่นอิจฉา และเขาได้ออกปากอยากผูกผมครองคู่เหวินซืออี้ “ท่าน เป็นท่านที่เลอะเลือน... สตรีผู้นี้ยึดมั่นในรักเสมอ ข้าเสียสละทุกสิ่งอย่างเพื่อมาอยู่กับท่าน” เซียวหัวเฟิง ไม่ใช่ไร้เยื่อใย แต่เขาเริ่มเห็นว่าเหวินซืออี้ คือสตรีที่เอาแต่ใจ และไม่เติบโตกว่าเดิมสักนิด “ข้ายังยืนยันคำเดิม หลังจากช่วยองค์หญิงหก จะกลับมาทำหน้าที่ของตนให้แล้วเสร็จ” “ทำหน้าที่หรอกหรือ โอ้ เฟิงเกอ การเข้าหอและดูแลข้า ท่านถือเป็นหน้าที่ ฮึ หากเป็นเช่นนั้น ไฉนข้ายังจะหน้าด้านเป็นภาระของท่านแม่ทัพด้วยเล่า” นางกล่าวจบ ก็ใช้มีดสั้นจี้ลำคอของตน ฝ่ายบ่าวรับใช้หญิง กับคนงานที่อยู่บริเวณนั้นหมายจะเข
เกิดชาติไหนก็ไม่เป็นเหวินซืออี้ “สาวใช้สองคน และแม่นมของท่าน จำได้หรือไม่ว่าคนพวกนี้หายตัวไปได้อย่างไร นับแต่คุณหนูห้าเดินทางจนมาถึงเมืองไฉ” เหวินซืออี้สับสน นางคิดว่าสาวใช้สองคนที่ติดตามกันมาหนีไปเพราะกลัวความผิดที่พาหญิงสาวออกจากคฤหาสน์สกุลเหวิน ซึ่งพวกนางเรียกได้ว่าเติบโตด้วยกัน ทั้งเหนียวเอ๋อร์ กับหยุนเอ๋อร์ จงรักภักดีต่อสกุลเหวิน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ยอมเจ็บตัวแทนเหวินซืออี้ตลอด ยามนี้ต้องจากไป เพราะนางเป็นต้นเหตุ โถ...สวรรค์เหตุใดถึงได้ใจร้ายนัก ส่วนแม่บ้านผิง เปรียบได้กับมารดาคนที่สองเหวินซืออี้ ฝ่ายนั้นมาทำงานในช่วงอายุย่างสามสิบปี พอเห็นภาพพวกนางแล้วก็รู้ว่าคงได้รับการทรมานแสนสาหัส ก่อนจะกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ ฝ่ายขันทีผู้เป็นหัวหน้าใหญ่หันไปทางร่างบอบบางซึ่งมีผ้าปกปิดใบหน้าเอาไว้ มองเผินๆ เหมือนผู้ชาย หากความจริงเป็นสตรี คนผู้นี้พยักหน้าให้ขันทีเปิดกล่องสำคัญอีกใบ เป็นกล่องใบขนาดย่อมเล็กกว่าเมื่อครู่ เหวินซืออี้ไม่อยากเห็นสิ่งใด ด้วยเกินจะรับเรื่องเลวร้ายได้อีก “คุณหนูห้าเหวิน... อย่าเพิ่งตื่นตระหนก ท่านเป็นคนเริ่มเรื่องนี้เอง เยี่ยง
ได้ยินการใส่ร้ายอย่างนั้น เหวินซืออี้ก็คิดว่าไม่ใช่แค่นางโง่เขลาหลงรักคนผิด แต่ยามนี้ยังพาสกุลของตนถึงคราววิบัติด้วย เมื่อรู้เช่นนั้น เหวินซืออี้จำเป็นต้องทำบางสิ่ง อย่างน้อยเพื่อส่งเสียงนางแจ้งข่าวแก่คนสกุลเหวินที่กำลังมุ่งหน้ามายังป้อมสังเกตการณ์เพื่อไม่ให้พวกเขาติดกับดัก และจบชีวิตลงอย่างที่ฝ่ายของเกิงเตียงอิ๋งหวังไว้ มือเรียวสวยจับไม้ตีกลองได้ทั้งสองข้าง อึดใจต่อมา เสียงกลองแจ้งข่าวก็ดังขึ้น ดังไปพร้อมเสียงหัวใจนางที่เต้นระรัวแรงขณะเดียวกันนางมองไปยังด้านล่าง เห็นญาติตนที่ขี่ม้ามุ่งหน้าที่นี่อย่างรวดเร็ว นางยิ่งต้องเตือนพวกเขาอย่างสุดความสามารถทว่าในยามนั้นเด็กในครรภ์ดิ้น และนางยังมีอาการหน้ามืดตามมา แต่เหวินซืออี้ยังแข็งใจทำในสิ่งที่มุ่งหวัง “ยิงธนูออกไป อย่าให้นางตีกลองแจ้งข่าวได้” “แต่นั่นคือ ฮูหยินของท่านแม่ทัพเชียวนะ” เสียงหนึ่งเอ่ยล้อเลียนเหวินซืออี้ แล้วอีกคนก็เสริมต่อ และเสียงดังกล่าวคือพระสนมจือ! “นางกำลังตั้งครรภ์มารหัวขน ทำลายทั้งแม่และลูกเสีย แล้วเก็บกวาดทุกอย่างให้สะอาด อย่าลืมว่าพรุ่งนี้ ต้องมีหัวของคนสกุลเหวินเสียบประจานที่ก
บาปกรรม โอ้ บาปกรรมย้อนเวลา (เข้าร่างจางเหยา) หญิงสาวไม่แน่ใจว่าเกิดเหตุอันใด แต่เมื่อครู่ริมฝีปากนางถูกใครบางคนฉกชิมความหวานไปอย่างเร้าร้อน ช่างพิลึกและชวนให้ขนลุกโดยแท้ ซึ่งไม่ใช่แค่จูบ แต่ฝ่ายนั้นยังพยายามส่งลิ้นเข้าไปด้านในโพรงปากด้วย เหวินซืออี้สะดุ้งเอือก ลืมตาโพลง ในหัวมึนงงชั่วขณะ ภาพต่างๆ ย้อนกลับไปกลับมาให้ได้คิด ตัดสลับกับเรื่องราวตรงหน้า โอ้ นางกำลังปลอมตัวเป็นบุรุษ แม้ดูรูปงาม แต่มองยังไงก็เป็นชายชาตรี ท่าทางไม่เหมือนขันทีสักหน่อย แล้วคนที่จูบนางเล่า เป็นพวกต้วนซิ่วหรืออย่างไร เขาถึงได้กระทำในสิ่งที่ชวนให้กระอักกระอ่วนเช่นนี้ นางหันไปมองอีกร่างที่นอนหลับในท่าผ่อนคลาย เสียงหายใจเขาสม่ำเสมอพอนางสำรวจให้ดี พบว่าตนกับคนผู้นี้มีเถาวัลย์ผสานใจรัดที่ข้อมือไว้คนละข้าง นี่คงเป็นเหตุที่ทำให้นางรู้สึกอึดอัดนับแต่เข้ามาอยู่ในร่างผู้อื่น เหวินซืออี้พยายามจับต้นชนปลายสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน นางฟื้นกลับมาจากเหตุการณ์บนกำแพงสูงป้อมสังเกตการณ์เมืองไฉ ยามนี้อยู่เพียงลำพังกับบุรุษแปลกหน้า เป็นชาติภพที่นางได้ย้อนเวลามามีชีวิตอีกครั้ง พอนางขยับตัวแรงกว่าเดิ
สิบปีล้างแค้นยังไม่สาย เหรินซืออี้อยู่ในห้องพักรับรองกับสวีเกาหาน และเถาวัลย์ดังกล่าวรัดข้อมือทั้งคู่ไว้ เพียงแต่มันคลายตัวมาก ดังนั้น นางกับเขาในยามนี้จึงอยู่ห่างกันพอให้เคลื่อนไหวร่างกายสะดวก ถึงอย่างนั้นสายตาของผู้อื่นยามมองนางไม่ค่อยให้เกียรติ ฝ่ายสวีเกาหานทำแผลเรียบร้อยแล้ว มียาสมุนไพรให้เขาดื่มด้วย ตัวนางในร่างนี้มีความรู้เรื่องการปรุงยา ได้แต่ทำเป็นถอนหายใจแสดงออกว่า คนพวกนี้ช่างอ่อนด้อยเรื่องการรักษา “นักพรตน้อย ท่านต้องการสิ่งใดกันแน่ ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก็สร้างความเดือดร้อน คุณชายของข้าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเจ้า อีกทั้งท่าทางหยิ่งผยอง อย่าได้ทำให้ผู้อื่นรังเกียจเจ้าไปมากกว่านี้เลย” หญิงสาวหรือจะสนใจคำพูดห่าวเจีย อีกฝ่ายก็แค่ขันที แม้ยามนี้เป็นหน่วยแพรม่วง ทว่ายังไม่ได้ก้าวขึ้นเป็นใต้เท้าพันปี (ตำแหน่งสูงสุดของขันที ซึ่งได้รับการโปรดปราณเป็นอย่างสูงในยุคสมัยนั้น อีกทั้งห่าวเจีย มีเชื้อสายของอดีตฮ่องเต้คนเก่า และนั่นทำให้เขาก้าวหน้ามาในอีกสิบปีต่อจากนี้) “พ่อบ้านท่านนี้ ข้าไม่ได้คิดทำสิ่งใดล่วงเกินคุณชายเกาหานแม้แต่น้อย อีกอย่างเรื่องทั้งหมด
กัวซาคะนองรัก จือฮวนเป็นเดือนเป็นแค้นมาก นางคือลูกสาวคนเล็กของสกุลจือ หลังจากบิดาสิ้นใจ อำนาจก็ไม่ได้สั่นคลอนลง ด้วยสกุลจืออยู่คู่กับแคว้นเหลียงมานาน คนเก่าแก่จึงมีไม่น้อย อีกทั้งพี่ชายนางตอนนี้เป็นถึงจือหยวนโหว แล้วใครกันจะกล้าขัดใจ ถึงอย่างนั้นสวีเกาหานก็กล้าทำเป็นไม่เห็นนางอยู่บ่อยๆ ทั้งที่ยามนี้เขาควรดูแลนาง ด้วยออกมาล่าสัตว์ต่างเมือง เดินทางก็เกือบสามร้อยลี้ นางต้องทรมานนั่งๆ นอนในรถม้าด้วยทางคดเคี้ยว พอมาถึงเขาหวงซาน อีกฝ่ายกับหายตัวไป รู้อีกทีก็ผ่านไปสองวันเต็มๆ กระทั่งห่าวเจียไปช่วยกลับมาที่เรือนรับรอง ซ้ำร้ายยังมีนักพรตท่าทางพิลึกอยู่ไม่ห่างกาย ดวงตาหงส์มองไปยังห่าวเจีย พอเห็นเขาเตรียมขยับปากจะพูด นางจึงชิงถามเสียก่อน “สืบได้ความเช่นไรบ้าง จงเล่ามาให้ละเอียด” “มันเป็นแค่นักพรตน้อย ใช้ชีวิตพเนจร ไม่มีหลักแหล่ง พอมีความรู้เรื่องสมุนไพรบ้าง ที่ถูกเถาวัลย์ผสานใจรัดเอาไว้ ก็เพราะเข้าไปขโมยของสำคัญที่สุสานชาวสุยจ้วง ที่ติดอยู่กับชายแดน” “ขโมยสิ่งใด” “เท่าที่ข้าทราบเป็นเกล็ดหิมะพันปี” “มันต้องการนำไปใช้เพื่อการใด” “เท่
ยามเช้าวันนี้อวี้เพ่ยเอ๋อร์แปลกใจอยู่สักหน่อย นั่นเป็นเพราะตั้งแต่เมื่อคืน นางรีบปิดประตูห้องก่อนผล็อยหลับไป รู้สึกตัวก็ฟ้าสว่างแล้ว หญิงสาวสำรวจเนื้อตัว และโล่งใจที่ไม่ถูกข่มเหง กระนั้นก็อดครั่นคร้ามใจมิได้ ด้วยนางคาดว่าตนถูกวางยา! หญิงสาวออกจากห้องนอน ไม่เห็นทั้งซ่งหลัน หรือเจี่ยงเซียน จึงเดินตรวจสอบข้าวของคนทั้งคู่ พบว่าห่อผ้า ทั้งของใช้จุกจิกยังอยู่ครบ นั่นอาจหมายความว่าพวกเขา อาจออกไปข้างนอก จากนั้น อวี้เพ่ยเอ๋อร์ก็แอบไปดูเหวินมู่ถัง ซึ่งเป็นรอบที่สามแล้วแม้ไม่พบเขา อีกฝ่ายหายตัวไปและทำให้นางน้อยใจมาก ด้วยเหวินมู่ถัง ไม่บอกกล่าวสิ่งใด แม้จะเขียนจดหมายแจ้งข่าวคราวก็ยังไม่มี เมื่อมั่นใจว่า เหวินมู่ถึงไม่ได้อยู่ในห้องเก็บฟืน ใจก็เคว้งเหลือเกิน กระนั้นกลิ่นกายของเขาจางๆ ยังลอยอ้อยอิ่งอยู่ในโรงเก็บฟืนนี้ อวี้เพ่ยเอ๋อร์กำซาบถึงความรู้สึก ระหว่างเขากับนาง มือเรียวสวยเผลอลูบไล้ตัวตน ทั้งภายในร่มผ้าร้อนเร่าขึ้น นางยอมรับว่าเมื่อใกล้ชิดเหวินมู่ถัง ความปรารถนาอยากตกเป็นของอีกฝ่ายรุนแรงเหลือเกิน ยามเขาซุกไซ้เรือนกาย ขบเม้มไปจุดที่ไวต่อความรู้สึก ก็ประหนึ่งว่านางได้ขึ้
“เสี่ยวเอ๋อร์... พี่ถง จะทำให้เจ้า ลืมผู้ชายทุกคน เชื่อเถิด น้ำของพี่จะอาบทั้งกลีบเนื้อนี้ และเรือนกายเจ้าจนเปียกชุ่ม” แม้ประหลาดใจที่อีกฝ่ายเรียกตนว่า ‘พี่ถง’ แต่ซ่งหลันก็มิอาจหยุดความต้องการได้แล้ว นางต้องปล่อยให้ศึกรักดุเดือดนี้เดินหน้าต่อไป “บีบรัดกว่าสิ เจ้าเคยทำได้ดีกว่านี้ ข้าเห็นชัดด้วยสองตาของตน!” ซ่งหลันได้ยินอย่างนั้น นางก็อยากเอาใจชิงถง ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ยามร่วมรักกับเจี่ยงเซียน คนใจทราม และหยาบคาย เขาหาได้เล้าโลมนางไม่ ก็เพียงแค่กระแทกกระทั้น ถ้อยคำหวานใดๆ ก็ไม่เคยปริปากบอก มิหนำซ้ำยังเสร็จคนเดียว ปล่อยให้นางจมอยู่กับความรู้สึกน้อยใจเพียงลำพัง “ข้าทำได้ เชื่อข้าหรือไม่ ข้าทำให้ท่านได้” หญิงสาวว่าแล้ว ก็ร้องเสียงครางหวานจัด และบีบรัดแกนกายของชิงถง ยามนั้นเขาส่งแรงจากสะโพกเข้าไปลึก ทั้งคู่จึงแทบจะปล่อยความสุขออกมาพร้อมกัน “เสี่ยวเอ๋อร์... เจ้าช่างเอาใจเก่ง” ชิงถงเอ่ยจบก็สับสะโพกรัวแรงกว่าเดิม และยามนั้น ร่างหนึ่งที่ไร้อาภรณ์สืบเท้าเข้ามา “ฮ่าๆ ๆ พี่สะใภ้ ออกมากลางค่ำ กลางคืนให้ ผู้อื่นเย่อ ราวกับหมาตัวเมียเช่นนี้
หลังอาหารมื้อค่ำที่ดึกอยู่สักหน่อย เจี่ยงเซียนขอดื่มสุราในห้องโถง อันที่จริงอวี้เพ่ยเอ๋อร์ปฏิเสธแล้ว และบอกว่านางหาได้มีสุราในเรือนหลังนี้แม้แต่ป้านเดียว ทว่าอีกฝ่ายยิ้มร่า บอกว่าเตรียมมาด้วย นอกจากนั้นยังมีกัญชา และฝิ่นใช้สำหรับสูบ ได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวรใจคอไม่สู้ดี นางอยากออกปากไล่เขาไปให้พ้นๆ หน้า ซึ่งยามนี้ฝนหยุดตกแล้ว ทว่าเจี่ยงเซียนหาเหตุผลยกมาอ้างว่าเดินทางเข้าเมืองฮุ่ยลำบากมิน้อย ส่วนซ่งหลันก็เข้านอนไปแล้ว กระทั่งปลายยามห้าย (21.00-22.59น.) ร่างหนึ่งในชุดเสื้อผ้าสตรีทำงานครัวก็ก้าวออกจากเรือนหลังเล็ก ลัดเลาะไปตามกำแพง ก่อนสืบเท้าพ้นประตูด้านหลัง จุดหมายคือบริเวณลำธารสายเล็กๆ ที่ทอดตัวมาจากภูเขาสูง เมื่อนั่งที่หินก้อนใหญ่อย่างผ่อนคลาย สตรีนางนั้นก็แกะชุดด้านในออก มือข้างหนึ่งเอื้อมไปหยิบหินจากลำธาร ก่อนนำมาถูไถร่างกาย คืนนี้แสงจันทร์มืดอยู่มาก อีกทั้งบริเวณนั้นมีต้นไม้หนาทึบแผ่กิ่งก้านบดบังแสงจันทร์เอาไว้ ผู้ที่แอบซุ่มดูอยู่จึงได้แต่จินตนาการว่า หญิงสาวกำลังทำสิ่งใดกันแน่! อีกทั้งเสียงครวญครางนาง ก็ช่างหวานล้ำ ชวนให้บุรุษเกิดความกระสัน! ชิงถ
เอาเข้าจริงๆ อวี้เพ่ยเอ๋อร์ไม่อยากต้อนรับเจี่ยงเซียน และสตรีอีกคนที่ชื่อซ่งหลัน ฝ่ายนั้นประกาศตัวชัดเจนว่าตนคือ อนุของเจี่ยงซาน โดยเรื่องนี้หญิงสาวไม่ล่วงรู้มาก่อน ที่สำคัญคนทั้งคู่มากับรถม้าคันหนึ่ง เห็นว่ามีสาวใช้รุ่นใหญ่ติดตามมาด้วย แต่แยกตัวออกไป อ้างว่าจะไปพบญาติที่อยู่ใกล้ๆ เมืองนี้ ถึงอย่างนั้นอวี้เพ่ยเอ๋อร์ก็คลางแคลงใจ หนึ่งคือน้องชายสามี อีกหนึ่งเป็นอนุผู้ที่ตายไปแล้ว พิจารณาอย่างละเอียด อย่างไรพวกเขาก็ไม่ควรเดินทางมาด้วยกัน ภายในเรือนหลังเล็ก เมื่อต้องต้อนรับคนแปลกหน้า ยิ่งทำให้อวี้เพ่ยเอ๋อร์เกิดความเครียด ทั้งยังกังวลใจว่า ทั้งคู่อาจเดินทางมาด้วยความประสงค์ร้ายแอบแฝง เจี่ยงเซียนมองสำรวจทุกอย่างในเรือน แม้ไม่ได้กว้างขวาง แต่สะอาดสะอ้าน และเห็นได้ชัดว่า อวี้เพ่ยเอ๋อร์ ไม่ใช่แค่หญิงสาวทั่วไป นางมีฝีมือด้านการปักผ้า ซ้ำยังอ่านหนังสือ และเขียนตัวอักษรได้ดี สตรีเช่นนี้สมแล้วที่พี่ใหญ่ให้แม่สื่อสู่ขอมาเป็นภรรยา ทว่าผิดแต่ครอบครัวนางละโมบ โดยเฉพาะพี่ชายของอวี้เพ่ยเอ๋อร์ที่ ถูกจำคุกในข้อหาหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี ซ้ำยังทำร้ายเจ้าขุนนางของศาล จนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายเสียชีวิต
ย้อนกลับมาช่วงต้นของเรื่อง รถม้าที่จางเจี้ยนช่วยหามาให้ใหม่ ใช้เวลานานกว่าปกติ พอส่งอวี้เพ่ยเอ๋อร์ถึงเรือน หญิงสาวก็จ่ายเงิน และมองซ้ายแลขวา เพื่อดูว่ามีผู้ใดเห็นตนหรือไม่ กระทั่งกลับเข้าเรือน สิ่งแรกที่หญิงสาวกระทำคือสำรวจใบหน้างามในกระจกทองเหลือง! นางยอมรับว่า อยากเป็นคนงาม และดูดีที่สุดเมื่อไปพบหน้า คนที่อยู่ในโรงเก็บฟื้น ซึ่งซ่อนตัวเขาไว้หลายวันแล้ว และอวี้เพ่ยเอ๋อร์ ทั้งตื่นเต้น มีความสุขอย่างประหลาด ราวกับยิ่งปิดบังผู้อื่น ทั้งลอบมีความสัมพันธ์กับเหวินมู่ถัง ยิ่งทำให้ร่างกายนี้หวานฉ่ำ ทั้งหัวใจเหมือนพองโตคับแน่นในอก ยามที่เขาเรียกนางว่า ‘เพ่ยเอ๋อร์...’ ก็ชวนให้นางอยากพลีร่างให้เขา ขบ กัดเบาๆ และทำรักอย่างถึงใจ แม้หลายวันที่ผ่านมา ลำคอระหงจะถูกเขาดูดเม้ม และขบเบาๆ หลายหนจนช้ำ หัวไหลกลมข้างหนึ่งมีแผลกัด ทว่านางกับซ่านสยิวกับการกระทำของเหวินมู่ถัง นางปรารถนาเขา อยากพบความสุขที่ชายหญิงพึงปฏิบัติต่อกันไปชั่วชีวิต หญิงสาวเข้ามาในห้องเก็บฟืน และเห็นว่าอีกฝ่ายนอนนิ่งๆ อยู่บนกองฟาง แผลของเขาได้นางช่วยทำความสะอาด หนวดเคราก็เป็นนางโกนให้ เสื้อผ้านางหามาเปลี่ย
เสียงหวีดร้องดังอยู่ไม่ห่างจากจุดที่ร่างสูงใหญ่พุ่งตัวเข้ามา และนอกจากกลิ่นคาวจัด จมูกเหวินมู่ถังได้กลิ่นหอมล้ำลึก ซึ่งสร้างกำหนัดให้เขาอย่างที่สุด “ชะ ช่วยด้วย มี ใครอยู่หรือไม่” เสียงดังกล่าวดังอีกครั้ง เมื่อเหวินมู่ถังก้าวเข้าไปถึงห้องอาบน้ำ เขาเห็นสตรีนางหนึ่ง ถูกงูดำตัวเขื่องรัดลำคอระหงของนาง! แม้สติเหวินมู่ถังเหลือน้อยเต็มที แต่กลิ่นหอมล้ำลึกที่แผ่ขยายจากเรือนร่างอรชนส่งให้เลือดในร่างกายร้อนระอุ เขาพุ่งไปหานาง จับหัวงู พร้อมกันนั้นก็สกัดจุดไม่ให้สตรีเคลื่อนไหว เพื่อนางจะได้ไม่ตกใจจนทำสิ่งขาดสติ ชายหนุ่มปล้ำงูตัวเขื่องหลายอึดใจ และคาดว่า งูดังกล่าวมีคนเลี้ยง และป้อนพิษให้มัน เช่นนี้คงมีคนประสงค์ร้ายต่อโฉมสะคราญ “มีด ข้างๆ ถังน้ำใบเล็ก มีมีดทำครัวของข้าอยู่” อวี้เพ่ยเอ๋อร์บอกอีกฝ่าย แต่เหมือนไม่ทันการ เพราะสิ่งที่เขาทำ ช่างน่าตื่นตระหนกเหลือเกิน ฟันขาววาบวับของเขากัดลงที่ลำตัวงู ก่อนที่มันจะดิ้นสุดแรง เพื่อหนีตาย หากสุดท้ายงูตัวเขื่องก็สิ้นฤทธิ์ เมื่อหญิงสาวหายตื่นตระหนก จึงถามอีกฝ่าย “ท่าน... ได้รับอันตรายหรือไม่”
เหวินมู่ถังเกิดความตึงเครียด เขาพยายามระงับความรู้สึกแข็งขัน หากแกนกายลดความต้องการลง ม่านกุ้ยหนิงคงลงโทษเขาด้วยวิธีนี้ไม่สำเร็จ อึดใจต่อมา ดวงตาหงส์ของม่านกุ้ยหมิงต้องเบิกค้าง คราแรกที่นางพยายามแทงท่อนเหล็กเข้าปลายท่อปัสสาวะของเหวินมู่ถังซึ่งเกือบสำเร็จแล้ว นางยังสัมผัสได้ว่าท่อนเนื้อร้อนเขายังเต้นตุ้บๆ สร้างความเสียวสยิว แล้วเหตุใด มันถึงค่อยๆ อ่อนลงทีละน้อย จนยามนี้ นางไม่อาจฝืนแทงท่อนเหล็กผ่านเข้าไปได้ หญิงสาวหวีดร้องอย่างเสียงอารมณ์ แล้วโยนท่อนเหล็กในมือทิ้ง ก่อนตั้งใจใช้มีดสั้นกรีดร่างกายเขาต่อ และหลังจากทรมานเขาจนได้เลือดซึมหลายแห่ง นางกลับไม่อาจล้วงความลับจากเขาได้ มิหนำซ้ำ ชายหนุ่มยังอดทนเก่งเหลือเกิน เขาไม่ยอมคลายความอุ่นซ่านใดๆ ให้นางและสาวใช้ได้ชมเป็นขวัญตา! “บัดซบ! เจ้าปรารถนาให้ข้า เฉือนเนื้อออกมาเป็นชิ้นๆ และตัดแท่งหยกทิ้งหรืออย่างไร ถึงจะบอกที่ซ่อนป้ายคำสั่ง” ริมฝีปากบางยกขึ้นมุมหนึ่ง เพียงเท่านั้นหัวใจม่านกุ้ยหนิงพลันอ่อนยวบ เขาหล่อเหลา และมีความเร่าร้อนทั่วกายแกร่ง ฝ่ายหญิงสาวรู้สึกถึงเนื้ออ่อนในร่มผ้าที่เต้นเร่าๆ นางปรารถนาในเรือนกายมือปราบผู
หลายวันก่อน เล่าถึงมือปราบเหวิน (เหวินมู่ถัง) ก่อนพบอวี้เพ่ยเอ๋อร์ ร่างสูงใหญ่ของบุรุษในเสื้อสีเข้มซึ่งเปียกชุมด้วยเหงื่อ น้ำฝน และยังมีเลือดแห้งเกรอะกรัง รวบรวมพลังอย่างลำบาก เขาจำต้องหาที่ซ่อนตัวสักพัก แล้วจึงส่งของสำคัญให้แก่ฝ่ายรัชทายาท ก่อนหน้านี้ เขาส่งข้อความผ่านนกพิราบสื่อสารแล้ว โดยที่ป้ายคำสั่ง และข้อมูลลับทั้งหมดต้องไปถึงเมืองหลวงอย่างเร่งด่วนที่สุด มิเช่นนั้นทุกอย่างอาจสายเกินไป เนื่องจากตอนนี้คดีนี้เกี่ยวพันถึงราชบุตรเขยต้องสะสางโดยด่วน มิเช่นนั้น คงมีคนถูกฆ่าปิดปากมากกว่านี้ อีกทั้งมีคำสั่งให้ทำลายเขื่อนด้านเหนือของเมืองฮุ่ย เพื่อจงใจสร้างความวุ่นวายแก่ทางการ เบี่ยงประเด็นที่เหล่าขุนนางกังฉินต้องการก่อกบฏ ทว่าไม่ทันสะสางเรื่องสำคัญแล้วเสร็จ กับเกิดเรื่องร้ายแรง ด้วยมีมือสังหาร ซุ่มโจมตีคนของเหวินมู่ถังจนเสียชีวิตทั้งหมด ส่วนเขายังไม่รับทราบข้อมูล เนื่องจากสถานการณ์บีบบังคับ จำต้องอารักขาท่านหญิงสูงศักดิ์ให้เดินทางอย่างปลอดภัย โดยแท้จริงคือแผนชั่วนาง จนเขาพลาดพลั้งได้รับกำยานเร่งกำหนัด และพิษราคะที่ผสมในสุราหมัก แต่เดิมเหวินมู่ถังคงไม่
“ทะ ท่าน...บาดเจ็บหรือไม่” นางยื่นมือไปข้างหน้า กระทั่งปลายนิ้วสัมผัสแผงหน้าอกแกร่งที่จังหวะการหายใจเข้าออกอันแผ่วเบา มันส่งผลให้อวี้เพ่ยเพ่ยชักมือกลับแทบไม่ทัน “อะ อื้อ...อ่าส์!” เขาเป็นผู้ชายตัวโต และส่งลมหายใจแผ่ไออุ่นซ่านถึงเรือนกายนาง ที่สำคัญเมื่อครู่ สัมผัสที่เกิดขึ้นราวกับร่างกายหญิงสาว เสมือนถูกสายฟ้าฟาดเข้าใส่อย่างรุนแรง เรื่องเช่นนี้ ช่างยากที่จะอธิบายเป็นคำพูด อวี้เพ่ยเอ๋อร์ร้อนฉ่าในร่มผ้า ใบหน้าแดงงามล้ำเห่อแดง ร่างกายบอบบางยากปฏิเสธได้ว่า นางเผลอไผลกับช่วงเวลาชั่วพริบตานั้น ซึ่งส่งผลมาจากเรือนกายแกร่งบุรุษแปลกหน้า ซึ่งในห้องที่แสงสว่างเข้ามาไม่ถึง หญิงสาวมักมีปัญหาด้านสายตา อันเป็นผลมาจากการถูกวางยาของคนในเรือนสกุลเจี่ยง กระนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธตนว่า บุรุษปริศนาดูดีเหลือเกินทั้งยังมีเสน่ห์จับใจ “แม่นางเจ้าได้รับพิษด้วยหรือ!” เสียงทุ้มๆ ที่เต็มไปด้วยความห่วงใย ส่งผลให้อวี้เพ่ยเอ๋อร์ที่ก่อนหน้านี้ตัวสั่นเทาเหมือนลูกนกเปียกปอนน้ำฝน อบอุ่นขึ้นราวกับได้รับแสดงอาทิตย์แรกของวัน “หามิได้ เพียงแต่ข้ากลัวท่านจะจับไข้ เหมือนเมื่อคืน”