:ลู่จินอึดอัดชะมัด...ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านพี่หลินอี้ก็ไม่พูดอะไรกับฉันเลยสักคำเอาแต่ตีหน้านิ่งจนฉันรู้สึกกังวล ฉันถามก็ไม่ค่อยจะตอบอย่างกับว่าเขากำลังคิดมากเรื่องอะไรอยู่อย่างนั้นแหละ การที่เขาเงียบไปไม่มีเหตุผลแบบนี้มันทำให้ฉันคิดมากชะมัดเลยหรือจะเป็นเพราะงานเขาเยอะเกินไป? ฉันควรช่วยงานเขาเสียหน่อยไหมนะ...นี้ก็ดึกมากแล้วยังเห็นไฟห้องนอนของเขาเปิดอยู่เลย ถ้าอยากช่วยฉันควรทำยังไงนะ ไปเคาะประตูแล้วถามเขาว่ามีอะไรให้ช่วยไหมคะ? แบบนี้เลยดีไหมนะ?ตืด ตืด 'เหมยลี่'"ฮัลโหลเหมยลี่! พอดีเลยฉันมีเรื่องจะปรึกษาแกพอดี"(ก่อนปรึกษา ฉันขอบ่นเรื่องเจ้านายให้ฟังก่อนได้ไหม วันนี้นะหลังแกกลับไปเขาให้ฉันแก้เอกสารเป็นร้อยหน้าเลยเว้ย ฉันเกือบตายแล้วเนี่ย คงเพราะแกเข้าไปนอนในห้องเขาแน่ๆ เลย)เหมยลี่บ่นอุบอย่างไม่พอใจและคิดว่ามันเป็นเพราะฉันไปแอบนอนหลับ ควรจะบอกความจริงกับเหมยลี่ไหมนะว่าเขาเป็นคนสั่งให้ฉันนอนพักเอง ไม่ได้สิ...ถ้าพูดเรื่องนั้นเหมยลี่ก็ต้องสงสัยอีกว่าทำไมเขาถึงยอมให้ฉันนอนได้แล้วฉันก็ต้องถูกต้อนให้ตอบคำถามจนเรื่องที่เราทั้งคู่เป็นคู่หมั้นกันหลุดแน่นอน"เอิ่ม...เอาเป็นว่าฉันจะชดเชยให้นะ"
หลายวันต่อมาชีวิตประจำวันระหว่างลู่จินและหลินอี้ก็ยังคงดำเนินไปตามปกติ ทั้งคู่ยังคงไปกลับบ้านพร้อมกันทุกวัน และลู่จินยังคงมาทานข้าวเที่ยงที่หลินอี้เตรียมไว้ให้แลกกับการที่เธอต้องมาส่งกาแฟเขาทุกวันเช่นกันจนตอนนี้คนในบริษัทเริ่มจะคุ้นชินกับการมาของเธอโดยที่ทุกคนเข้าใจว่าเธอเป็นคนรู้จักของหลินอี้แต่บางคนก็บอกว่าเธอคือคนที่กำลังพยายามเข้าหาหลินอี้ซึ่งตัวเธอก็ไม่เคยคิดจะอธิบายแต่วันนี้เหตุการณ์ในบริษัทดูเคร่งเครียดกว่าปกติทุกคนเอาแต่ก้มหน้าทำงานอย่างแข็งขันและเดินสวนกันไปมาให้วุ่น ลู่จินที่เก็บความสงสัยไว้ในใจไม่ไหวเลยตั้งใจเดินไปหาเพื่อนรักที่แผนเพื่อสอบถามเรื่องนี้"เหมยลี่ๆ""เอ้า มาส่งกาแฟเหรอ ทำไมมาแผนกฉันละ"เหมยลี่ถามเพื่อนรักในขณะที่สายตายังคงจดจ่อกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เต็มไปด้วยรูปดาราสาวหลายคน ดูเหมือนเธอเองก็กำลังยุ่งไม่น้อย"เอิ่ม วันนี้ที่บริษัทดูยุ่งจังเลยเนอะ""ยุ่งสิ อยู่ๆ ซูฉวี่นางเอกที่ถูกวางตัวในมินิซีรีส์เรื่องใหม่ก็ขอถอนตัวกะทันหันอีกสองวันจะประชุมผู้บริหารแล้วด้วย ถ้าสปอนเซอร์รู้ว่าเรายังไม่มีนางเอกให้เขาอาจจะแย่ได้""เอ้า! แล้วทำไมถึงถอนตัวแบบนี้""เพราะประธานของเร
ก๊อกๆเสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจจากสองหนุ่มสาวให้หันไปมอง ภาพตรงหน้าคือนางแสดงสาวที่เป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายในบริษัทกำลังยืนอยู่ในชุดเดรสสีแดงสดด้วยสายตาไม่พอใจนัก ด้านหลังยังมีผู้จัดการส่วนตัวที่เดินตามมาติดๆ ด้วยสีหน้าซีดเซียวบ่งบอกว่าเธอคงเพิ่งถูกดาราสาวต่อว่ามาแน่นอน ลู่จินที่เห็นความสวยของหญิงสาวตรงหน้าก็ถึงกับชะงักไปก่อนสมองจะนึกขึ้นได้ว่าผู้หญิงคนนี้คือ'ซูฉวี่'นักแสดงที่กำลังโด่งดัง ผิดกับหลินอี้ที่เมื่อได้เห็นนักแสดงสาวก็ถึงกับหัวเราะในลำคอเพราะไม่คิดว่าเหยื่อจะติดกับเร็วขนาดนี้จริงๆ แล้วเขาให้ซูเฟียไปกระจายข่าวเปิดรับนักแสดงนำคนใหม่เพื่อจงใจให้ซูฉวี่รู้ว่าเขาไม่ได้แคร์ถ้าต้องเปลี่ยนตัวนักแสดง ตอนนี้เรื่องมันกลายเป็นทางซูฉวี่เองที่ต้องมาหาเขาถึงที่เพราะกำลังจะเสียงานไปแล้วจริงๆ"ประธานจางฉันขอคุยด้วยหน่อย"ซูฉวี่พูดพร้อมกับมองจ้องมายังลู่จินที่กำลังคีบไก่เข้าปาก ลู่จินเองเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ควรอยู่ตรงนี้เลยรีบเก็บข้าวของเพื่อจะออกไปแต่กลับถูกหลินอี้ดึงข้อมือไว้ก่อนจะตักปีกไก่น้ำแดงมาวางไว้ในถ้วยข้าวของเธอ"นั่งกินให้เรียบร้อย""ฉันอิ่มแล้ว..."ลู่จินพูดพร้อมชำเลือง
บ้านซูฉวี่"ผิดแผน ผิดแผนไปหมด! น่าโมโหจริงๆ"มือเรียวระดมปาข้าวของลงพื้นเพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิด ในสมองก็ยังนึกถึงภาพสายตาที่แสดงความห่วงใยของหลินอี้ที่มองหญิงสาวคนนั้นไม่หาย "ใจเย็นๆ ก่อนซูฉวี่ ถ้าอย่างนั้นเธอไม่ต้องไปรับงานนี้ไหมล่ะ"จีจี้ผู้จัดส่วนตัวของซูฉวี่เอ่ยในขณะที่ตามเก็บข้าวของตามพื้นที่ถูกซูฉวี่ขว้างปาเพื่อระบายอารมณ์โมโห "ไม่! ฉันจะรับงานนี้การที่เขาไม่แคร์ฉันมันยิ่งทำให้ฉันอยากจะเอาชนะใจเขาให้ได้""ซูฉวี่ มันไม่เสียเวลาไปหน่อยหรือไง ถ้าเขาไม่สนใจก็คือไม่สนใจนะ""คิดหน่อยสิพี่จีจี้ ถ้าเขาเกิดหลงรักฉันขึ้นมาจริงๆ มันจะคุ้มค่าแค่ไหน?"ใบหน้าสวยระหงเชิดขึ้นอย่างมั่นใจ"อย่าลืมสิว่าเขาเป็นใครและรวยแค่ไหน"ซูฉวี่พูดอย่างภูมิใจในตัวเป้าหมายที่เธอเลือก ตอนนี้จางหลินอี้ถือว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่กำลังได้รับการยอมรับจากบรรดานักธุรกิจชั้นนำของประเทศ ซูฉวี่จึงคิดว่าผู้ชายอายุยังน้อยแต่ประสบความสำเร็จขนาดนี้มันช่างน่าสนใจและเธอไม่มีทางเชื่อว่าเธอจะทำให้เขารักเธอไม่ได้"แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีใจให้ผู้หญิงคนนั้นนะ คนที่อยู่ในห้อง""ฉันถึงให้พี่ไปสืบไง แล้วตกลงเธอเป็นใคร""ไป๋ลู่จิน..
ไม่รอช้าร่างสูงเปลี่ยนทิศทางเดินตรงเข้ามาหาทั้งสองคนทันที ทำเอาพนักงานแถวนั้นรีบทำความเคารพกันจ้าละหวั่นที่เห็นประธานเดินตรงเข้ามาด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ลู่จินและมู่อี๋เฉินเห็นท่าทางที่แปลกไปของคนรอบข้างก็รีบหันกลับไปดูด้านหลังตัวเองด้วยความสงสัย ก่อนที่มู่อี๋เฉินจะระบายยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร เขาคิดว่าถ้าเขาสนใจผู้หญิงคนนี้เขาก็ควรทำตัวดีต่อพี่ชายเธอเสียหน่อยผิดกับลู่จินที่เมื่อได้เห็นใบหน้าบูดบึ้งของหลินอี้ก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะค่อยๆ ขยับเท้าน้อยๆ เข้าไปใกล้เพื่อถามว่าทำไมเขาถึงมายืนจ้องเธอแบบนี้"พี่...มาตรงนี้ทำไม"เสียงเล็กเอ่ยถามเบา"เธอมาที่นี่ทำไม..."แต่ต้องถูกเขาย้อนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด แถมท่าทางที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแบบนั้นลู่จินรู้ได้เลยว่าถ้าเธอเถียงเขาแม้แต่คำเดียว เขาสามารถด่าเธอได้ตรงนี้ไม่อายคน"ฉันมาทำงานค่ะ เอาของขึ้นมาส่ง""แล้ว..."หลินอี้ตวัดสายตาไปมองมู่อี๋เฉินที่ยังคงยืนยิ้มอย่างนอบน้อม"ผมมาประชุมครับ ผมได้รับบทนำเป็นพระเอก"มู่อี๋เฉินอธิบาย"ฉันรู้ว่านายคือพระเอกที่สปอนเซอร์เลือก แต่ที่ฉันถามคือ...นายมาอยู่ตรงนี้กับลู่จิน…ทำไม"การเน
: ไต้หวัน: สนามบินใบหน้าหวานยืนรอที่คนมารับด้วยความหงุดหงิด เธอต้องกลับมาอยู่ที่ไต้หวันเพราะได้รับข้อเสนออันน่าสนใจบวกกับเรียนจบพอดี เธอเป็นลูกครึ่งไทยจีนที่หน้าตาสวยสง่ารูปร่างสูงพอประมาณ และด้วยหน้าตาที่โดดเด่นนี่แค่ยืนเฉยๆ ยังถูกผู้ชายเข้ามารุมจีบจนเป็นเรื่องธรรมดา"ขอวีแชทหน่อยสิ""ขอโทษด้วยค่ะไม่เล่น"ไป๋ลู่จินตอบกลับชายหนุ่มที่เดินเข้ามาชวนคุยอย่างอารมณ์เสีย สายตาก็ทอดมองหาคนตระกูลไป๋ที่พ่อส่งมารับแต่ไม่ว่าจะมองเท่าไหร่ก็ไม่เจอเสียที แถมยังถูกผู้ชายหลายคนมองจนรำคาญไปหมดแล้วพรืบ"ว๊าย..."ลู่จินตกใจจนต้องรีบยกมือขึ้นกอดตัวเองเมื่ออยู่ๆ ก็มีเสื้อสูทตัวใหญ่คลุมเข้าที่ตัวเธอกระทันหัน ก่อนที่สายตาจะหันไปสบเข้ากับดวงตาคมของบุคคลที่เธอไม่คิดว่าจะได้เจออีกครั้ง'จางหลินอี้' ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งใบหน้าหล่อเหลาผิวขาวเนียนบ่งบอกถึงความเป็นชายหนุ่มเจ้าสำอางที่ใครๆ มองก็รู้ว่าเขามาจากตระกูลผู้ดี ตอนี้เขากำลังยืนมองหน้าหญิงสาวด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์นักดวงตาเล็กถึงขั้นเบิกกว้างมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเจ้าของเสื้อสูทนั้นโอบเข้าที่ไหล่เธออย่างถือวิสาสะต่อหน้าชายที่เข้ามาขอวีแชทเมื่อครู่ "คุณเป็
: ปัจจุบันลู่จินยังคงนั่งเงียบกริบมาตลอดทาง สายตาก็ยังคงชำเลืองมองคนขับที่ยังคงตีหน้านิ่งเป็นระยะ'อึดอัดชะมัด' ลู่จินได้แต่คิดในใจ เพราะรู้สึกว่าชายหนุ่มดูท่าทางไม่ค่อยสบอารมณ์นัก อาจจะเป็นเพราะได้เจอเธออีกละมั้ง "อืมม พี่ยังโกรธฉันอยู่เหรอ?""ให้โกรธเรื่องอะไรละ?""ก็...คงไม่หรอกเนอะ พี่ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยนี่เนอะ"ลู่จินพยายามคิดในแง่ดี"ที่ถามว่าจะให้โกรธเรื่องอะไร ฉันหมายถึง...สิ่งที่เธอทำทิ้งไว้มันมากมายจนเลือกโกรธไม่ถูกน่ะ"หลินอี้พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งก่อนจะหันมายิ้มให้คนตัวเล็กข้างกัน คำพูดประชดประชันของเขาเมื่อครู่ทำเอาลู่จินหายใจไม่ออกเลยทีเดียว "โถ่ๆ ท่านพี่เขาว่ากันว่าถือสาเด็กมีแต่จะเป็นผู้ใหญ่ใจร้ายน๊า""แล้วเด็กใจร้ายแบบเธอไม่ควรถือสาเหรอ?""ก็ตอนนั้นไม่รู้จะทำยังไงแล้วนี่ ถ้าสุดท้ายเราถอนหมั้นกันที่หลังพี่เป็นผู้ชายพี่ก็ไม่เสียหายแต่ฉันเป็นผู้หญิงมันถึงขั้นขายไม่ออกเลยนะ"ลู่จินเอื้อมมือไปบีบนวดแขนล่ำของคนเป็นพี่เป็นการอ้อนวอนให้เขาไม่ถือสาเรื่องในอดีตถึงแม้ว่าเรื่องที่เธอทำไว้มันจะค่อนข้างใหญ่โตก็ตาม หลินอี้ก็ได้แต่มองการกระทำของเด็กสาวด้วยความช่างใจเพราะเธอมีท่
: ลู่จินฉันเดินรากกระเป๋าเดินทางของตัวเองขึ้นมายังห้องพักตามที่พี่หลินอี้บอกหลังจากสามารถสงบสติอารมณ์ตัวเองได้ เมื่อได้มองสำรวจไปรอบตัวบ้านแล้ว บ้านหลังนี้เป็นสไตล์เนเซอร์รัลสองชั่นที่ผสมผสานความทันสมัยและความร่มรื่นได้ดีโทนสีของบ้านจะออกเป็นโทนดำเสียมากกว่าแสดงถึงรสนิยมดิบเถื่อนของเจ้าของบ้านได้ดีเลยทีเดียวห้องของฉันเป็นห้องนอนกว้างที่มีชั้นลอยที่เดินขึ้นไปเป็นที่นอนส่วนด้านล่างจะถูกตกแต่งไว้ให้เป็นที่พักผ่อนโดยมีเบาะนุ่มเป็นวงกลมขนาดใหญ่กว่าตัวคนวางอยู่ตรงกลางห้อง พอลองได้นอนลงไปก็รู้สึกว่านุ่มดูดวิญญาณใช้ได้เลย แค่มีเจ้าเบาะนี้ฉันไม่จำเป็นต้องขึ้นไปนอนบนเตียงก็ได้เดินมาที่มาอีกหน่อยก็เจอเจ้ากับหน้าต่างใต้ชั้นลอย พบว่าผนังส่วนนี้สามารถเปิดเลื่อนออกไปเจอระเบียงเล็กๆ ที่พอให้เดินไปยืนรับลมด้านนอกพร้อมชมวิวที่ตอนนี้มีแต่ความมืดได้ ก็เขาดันสร้างมันห่างจากบ้านคนขนาดนี้จะเห็นอะไรได้ละ…ก่อนหน้านี้ฉันลองโทรหาครอบครัวเพื่อเช็กว่าคำพูดของพี่หลินอี้ว่าเป็นความจริงหรือเปล่า สรุปว่าทุกคนปิดเครื่องหนีฉันเรียบร้อย!...ใช่! ฉันถูกตัดหางปล่อยวัดเรียบร้อยแล้ว ครอบครัวฉันไว้ใจให้ฉันมาอยู่บ้านผู้ชา
ไม่รอช้าร่างสูงเปลี่ยนทิศทางเดินตรงเข้ามาหาทั้งสองคนทันที ทำเอาพนักงานแถวนั้นรีบทำความเคารพกันจ้าละหวั่นที่เห็นประธานเดินตรงเข้ามาด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ลู่จินและมู่อี๋เฉินเห็นท่าทางที่แปลกไปของคนรอบข้างก็รีบหันกลับไปดูด้านหลังตัวเองด้วยความสงสัย ก่อนที่มู่อี๋เฉินจะระบายยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร เขาคิดว่าถ้าเขาสนใจผู้หญิงคนนี้เขาก็ควรทำตัวดีต่อพี่ชายเธอเสียหน่อยผิดกับลู่จินที่เมื่อได้เห็นใบหน้าบูดบึ้งของหลินอี้ก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะค่อยๆ ขยับเท้าน้อยๆ เข้าไปใกล้เพื่อถามว่าทำไมเขาถึงมายืนจ้องเธอแบบนี้"พี่...มาตรงนี้ทำไม"เสียงเล็กเอ่ยถามเบา"เธอมาที่นี่ทำไม..."แต่ต้องถูกเขาย้อนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด แถมท่าทางที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแบบนั้นลู่จินรู้ได้เลยว่าถ้าเธอเถียงเขาแม้แต่คำเดียว เขาสามารถด่าเธอได้ตรงนี้ไม่อายคน"ฉันมาทำงานค่ะ เอาของขึ้นมาส่ง""แล้ว..."หลินอี้ตวัดสายตาไปมองมู่อี๋เฉินที่ยังคงยืนยิ้มอย่างนอบน้อม"ผมมาประชุมครับ ผมได้รับบทนำเป็นพระเอก"มู่อี๋เฉินอธิบาย"ฉันรู้ว่านายคือพระเอกที่สปอนเซอร์เลือก แต่ที่ฉันถามคือ...นายมาอยู่ตรงนี้กับลู่จิน…ทำไม"การเน
บ้านซูฉวี่"ผิดแผน ผิดแผนไปหมด! น่าโมโหจริงๆ"มือเรียวระดมปาข้าวของลงพื้นเพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิด ในสมองก็ยังนึกถึงภาพสายตาที่แสดงความห่วงใยของหลินอี้ที่มองหญิงสาวคนนั้นไม่หาย "ใจเย็นๆ ก่อนซูฉวี่ ถ้าอย่างนั้นเธอไม่ต้องไปรับงานนี้ไหมล่ะ"จีจี้ผู้จัดส่วนตัวของซูฉวี่เอ่ยในขณะที่ตามเก็บข้าวของตามพื้นที่ถูกซูฉวี่ขว้างปาเพื่อระบายอารมณ์โมโห "ไม่! ฉันจะรับงานนี้การที่เขาไม่แคร์ฉันมันยิ่งทำให้ฉันอยากจะเอาชนะใจเขาให้ได้""ซูฉวี่ มันไม่เสียเวลาไปหน่อยหรือไง ถ้าเขาไม่สนใจก็คือไม่สนใจนะ""คิดหน่อยสิพี่จีจี้ ถ้าเขาเกิดหลงรักฉันขึ้นมาจริงๆ มันจะคุ้มค่าแค่ไหน?"ใบหน้าสวยระหงเชิดขึ้นอย่างมั่นใจ"อย่าลืมสิว่าเขาเป็นใครและรวยแค่ไหน"ซูฉวี่พูดอย่างภูมิใจในตัวเป้าหมายที่เธอเลือก ตอนนี้จางหลินอี้ถือว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่กำลังได้รับการยอมรับจากบรรดานักธุรกิจชั้นนำของประเทศ ซูฉวี่จึงคิดว่าผู้ชายอายุยังน้อยแต่ประสบความสำเร็จขนาดนี้มันช่างน่าสนใจและเธอไม่มีทางเชื่อว่าเธอจะทำให้เขารักเธอไม่ได้"แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีใจให้ผู้หญิงคนนั้นนะ คนที่อยู่ในห้อง""ฉันถึงให้พี่ไปสืบไง แล้วตกลงเธอเป็นใคร""ไป๋ลู่จิน..
ก๊อกๆเสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจจากสองหนุ่มสาวให้หันไปมอง ภาพตรงหน้าคือนางแสดงสาวที่เป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายในบริษัทกำลังยืนอยู่ในชุดเดรสสีแดงสดด้วยสายตาไม่พอใจนัก ด้านหลังยังมีผู้จัดการส่วนตัวที่เดินตามมาติดๆ ด้วยสีหน้าซีดเซียวบ่งบอกว่าเธอคงเพิ่งถูกดาราสาวต่อว่ามาแน่นอน ลู่จินที่เห็นความสวยของหญิงสาวตรงหน้าก็ถึงกับชะงักไปก่อนสมองจะนึกขึ้นได้ว่าผู้หญิงคนนี้คือ'ซูฉวี่'นักแสดงที่กำลังโด่งดัง ผิดกับหลินอี้ที่เมื่อได้เห็นนักแสดงสาวก็ถึงกับหัวเราะในลำคอเพราะไม่คิดว่าเหยื่อจะติดกับเร็วขนาดนี้จริงๆ แล้วเขาให้ซูเฟียไปกระจายข่าวเปิดรับนักแสดงนำคนใหม่เพื่อจงใจให้ซูฉวี่รู้ว่าเขาไม่ได้แคร์ถ้าต้องเปลี่ยนตัวนักแสดง ตอนนี้เรื่องมันกลายเป็นทางซูฉวี่เองที่ต้องมาหาเขาถึงที่เพราะกำลังจะเสียงานไปแล้วจริงๆ"ประธานจางฉันขอคุยด้วยหน่อย"ซูฉวี่พูดพร้อมกับมองจ้องมายังลู่จินที่กำลังคีบไก่เข้าปาก ลู่จินเองเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ควรอยู่ตรงนี้เลยรีบเก็บข้าวของเพื่อจะออกไปแต่กลับถูกหลินอี้ดึงข้อมือไว้ก่อนจะตักปีกไก่น้ำแดงมาวางไว้ในถ้วยข้าวของเธอ"นั่งกินให้เรียบร้อย""ฉันอิ่มแล้ว..."ลู่จินพูดพร้อมชำเลือง
หลายวันต่อมาชีวิตประจำวันระหว่างลู่จินและหลินอี้ก็ยังคงดำเนินไปตามปกติ ทั้งคู่ยังคงไปกลับบ้านพร้อมกันทุกวัน และลู่จินยังคงมาทานข้าวเที่ยงที่หลินอี้เตรียมไว้ให้แลกกับการที่เธอต้องมาส่งกาแฟเขาทุกวันเช่นกันจนตอนนี้คนในบริษัทเริ่มจะคุ้นชินกับการมาของเธอโดยที่ทุกคนเข้าใจว่าเธอเป็นคนรู้จักของหลินอี้แต่บางคนก็บอกว่าเธอคือคนที่กำลังพยายามเข้าหาหลินอี้ซึ่งตัวเธอก็ไม่เคยคิดจะอธิบายแต่วันนี้เหตุการณ์ในบริษัทดูเคร่งเครียดกว่าปกติทุกคนเอาแต่ก้มหน้าทำงานอย่างแข็งขันและเดินสวนกันไปมาให้วุ่น ลู่จินที่เก็บความสงสัยไว้ในใจไม่ไหวเลยตั้งใจเดินไปหาเพื่อนรักที่แผนเพื่อสอบถามเรื่องนี้"เหมยลี่ๆ""เอ้า มาส่งกาแฟเหรอ ทำไมมาแผนกฉันละ"เหมยลี่ถามเพื่อนรักในขณะที่สายตายังคงจดจ่อกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เต็มไปด้วยรูปดาราสาวหลายคน ดูเหมือนเธอเองก็กำลังยุ่งไม่น้อย"เอิ่ม วันนี้ที่บริษัทดูยุ่งจังเลยเนอะ""ยุ่งสิ อยู่ๆ ซูฉวี่นางเอกที่ถูกวางตัวในมินิซีรีส์เรื่องใหม่ก็ขอถอนตัวกะทันหันอีกสองวันจะประชุมผู้บริหารแล้วด้วย ถ้าสปอนเซอร์รู้ว่าเรายังไม่มีนางเอกให้เขาอาจจะแย่ได้""เอ้า! แล้วทำไมถึงถอนตัวแบบนี้""เพราะประธานของเร
:ลู่จินอึดอัดชะมัด...ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านพี่หลินอี้ก็ไม่พูดอะไรกับฉันเลยสักคำเอาแต่ตีหน้านิ่งจนฉันรู้สึกกังวล ฉันถามก็ไม่ค่อยจะตอบอย่างกับว่าเขากำลังคิดมากเรื่องอะไรอยู่อย่างนั้นแหละ การที่เขาเงียบไปไม่มีเหตุผลแบบนี้มันทำให้ฉันคิดมากชะมัดเลยหรือจะเป็นเพราะงานเขาเยอะเกินไป? ฉันควรช่วยงานเขาเสียหน่อยไหมนะ...นี้ก็ดึกมากแล้วยังเห็นไฟห้องนอนของเขาเปิดอยู่เลย ถ้าอยากช่วยฉันควรทำยังไงนะ ไปเคาะประตูแล้วถามเขาว่ามีอะไรให้ช่วยไหมคะ? แบบนี้เลยดีไหมนะ?ตืด ตืด 'เหมยลี่'"ฮัลโหลเหมยลี่! พอดีเลยฉันมีเรื่องจะปรึกษาแกพอดี"(ก่อนปรึกษา ฉันขอบ่นเรื่องเจ้านายให้ฟังก่อนได้ไหม วันนี้นะหลังแกกลับไปเขาให้ฉันแก้เอกสารเป็นร้อยหน้าเลยเว้ย ฉันเกือบตายแล้วเนี่ย คงเพราะแกเข้าไปนอนในห้องเขาแน่ๆ เลย)เหมยลี่บ่นอุบอย่างไม่พอใจและคิดว่ามันเป็นเพราะฉันไปแอบนอนหลับ ควรจะบอกความจริงกับเหมยลี่ไหมนะว่าเขาเป็นคนสั่งให้ฉันนอนพักเอง ไม่ได้สิ...ถ้าพูดเรื่องนั้นเหมยลี่ก็ต้องสงสัยอีกว่าทำไมเขาถึงยอมให้ฉันนอนได้แล้วฉันก็ต้องถูกต้อนให้ตอบคำถามจนเรื่องที่เราทั้งคู่เป็นคู่หมั้นกันหลุดแน่นอน"เอิ่ม...เอาเป็นว่าฉันจะชดเชยให้นะ"
หลังจากกินข้าวเที่ยงกันเสร็จหลินอี้หันมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองพบเวลาก็ยังเหลืออยู่นิดหน่อย แถมหญิงสาวตรงหน้าพอกินอิ่มตาก็ผล็อยจะหลับแต่ยังคงทำเป็นนั่งมองนู่นนี่เพื่อทำให้ตัวเองตื่นตัว "ไปนอนโซฟาดีๆ""ฉันไม่ใช่เด็กสะหน่อยที่กินอิ่มแล้วต้องนอนหลับ"หลินอี้ทนเห็นลู่จินปากแข็งต่อไปไม่ไหวทั้งๆ ที่ดูง่วงขนาดนั้นเลยจัดการเดินเข้าไปซ้อนตัวเธอขึ้นแล้วอุ้มตรงไปที่โซฟากว้าง ลู่จินที่ตกใจกับการกระทำอันรวดเร็วของเขาก็ได้แต่กอดคอคนตัวสูงไว้แน่นเพราะกลัวว่าเขาจะแกล้งโยนเธอลงโซฟาแต่เปล่าเลยเขาค่อยๆ วางร่างเธอลงบนโซฟาเบาอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอาหมอนอิงมารองหัวให้ราวกับพ่อเอาลูกเข้านอนทำเอาลู่จินถึงกับสับสนในการกระทำที่แปลกไปของเขา"มองอะไร...หลงรักฉันหรือไง?""ประสาท หลงตัวเอง!"ลู่จินแบะริมฝีปากก่อนจะล้มตัวนอนลงบนโซฟา"หึ นอนไปเถอะ""กลัวไม่ทันเวลาเข้างาน""ฉันมีประชุมตอนเธอเข้างานพอดี ตั้งเวลาไว้แล้ว""แล้วพี่จะนั่งลงทำไม"ลู่จินถามสายตาก็มองหลินอี้ที่กำลังนั่งลงบนโซฟาปลายเท้าเธอทั้งๆ ที่ยังมีโซฟาตัวเล็กอยู่ไม่ไกลกัน ก่อนที่เขาจะเอนหัวพิงขอบโซฟาแล้วหลับตาลงราวกับเหนื่อยล้าเต็มที"ฉันก็อยากพักบ้าง วันนี้
เวลาพักกลางของไป๋ลู่จินได้หมดความสงบสุขไปแล้วเรียบร้อย เมื่อจางหลินอี้เอาแต่โทรจิกให้เธอมาส่งกาแฟอยู่ได้ทุกห้านาที! พอเธอบล็อกการติดต่อของเขา เขาก็ให้เลขาโทรเข้าเบอร์ร้านจนโชนถึงขั้นให้เธอรีบออกมาส่งได้ก่อนเวลาพัก ซึ่งตอนนี้เธอก็อยู่ในลิฟต์พร้อมเอสเปรสโซเย็นในมือด้วยความหงุดหงิด ทั้งๆ ที่เธอตั้งใจจะไม่มาแล้วแท้ๆ เชียวกลับต้องมาเพราะความปั่นประสาทของหลินอี้ตึง ประตูลิฟต์เปิดออกลู่จินก็ได้แต่ยืนมองซ้ายมองขวาหาห้องทำงานของหลินอี้ เพราะนี้เป็นยังไม่หมดเวลาพักเที่ยงทำให้ยังไม่มีพนักงานกลับมาอีกทั้งบริษัทนี่ก็กว้างใหญ่จนต้องใช้วิธีเดินหาลู่จินเลยเดินอ่านตามป้ายหน้าห้องไปเรื่อยๆ ไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาเธอจากด้านหลัง"แฮ!""ผีหลอก!!"ลู่จินต้องใจจนสะดุ้ง แต่เมื่อเธอหันไปมองต้นเสียงก็ยิ่งทำให้เธอหน้าซีดไปใหญ่เมื่อคนที่มาสะกิดเธอนั้นไม่ใช่ใครแต่กลับเป็นเหมยลี่เพื่อนรักเธอเองเหมยลี่ที่ได้เห็นเพื่อนรักในชุดยูนิฟอร์มของร้านก็ตื่นเต้นใหญ่มองสำรวจเธอไปทั่วทั้งตัวอย่างสนใจ"โห แกทำงานที่คาเฟ่พี่โชนเหรอ สุดยอดร้านนั้นเจ้าของหล่อมาก""ชะ ใช่ๆ พะ พักเสร็จเร็วเนอะ"ลู่จินยังคงพูดต
รถแล่นจอดเทียบริมฟุตบาทหน้าคาเฟ่… ไป๋ลู่จินกำลังจะเปิดประตูลงรถเพื่อเข้างานแต่ต้องชะงักไปเมื่อประตูยังถูกล็อกหญิงสาวจึงหันมามองเจ้าของรถตาขวางเพราะเธอรู้ว่าเขาตั้งใจแกล้งแน่นอน"ไม่เปิดเหรอ? ให้ฉันทะลุประตูไปเหรอ?"ไป๋ลู่จินที่ยังหงุดหงิดกับคำบ่นของชายหนุ่มจึงประชดเขาไปอีกรอบ จางหลินอี้จึงได้แต่หัวเราะในลำคอก่อนจะหันมามองใบหน้างอของหญิงสาวข้างกายด้วยสายตาดุ"ประชดฉันทั้งที่ตัวเองผิดมันไม่เกินไปหน่อยหรือไงไป๋ลู่จิน""พี่เองก็เป็นผู้ใหญ่การที่เด็กทำผิดแล้วสำนึกผิด ขอโทษแล้วมันก็เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรอภัย""ที่เธอทำมันหลายกระทง ทั้งหนีเที่ยว ไปนัดบอร์ด มีผู้ชายตามติด...""อ่าาาา ก็บอกว่าไม่ได้สนใจผู้ชายคนนั้นเลย"ลู่จินกลอกตามองบนเพราะขี้เกียจอธิบาย ทำไมเขาเอาแต่บ่นเป็นตาแก่นักหนาก็ไม่รู้"แล้วเขาจะโทรมาได้ยังไงถ้าเธอไม่ไปเชื่อมความสัมพันธ์""ไม่รู้ จะรู้ได้ยังไงพี่ก็เห็นว่าฉันเมาจำไม่ได้หรอก""งั้นจะกินทำไม หรือตั้งใจเมาเพื่อให้ผู้ชายคนนั้นสนใจ""หาเรื่องฉันตลอด เดี๋ยวโมโหก็จูบฉันอีกนิสัยไม่ดี"ไป๋ลู่จินพูดก่อนจะสะบัดตัวหันหนีไปทางกระจกอย่างไม่พอใจ เมื่อเธอพูดแบบนั้นหลินอี้ก็ถึงกับนิ่งไปใ
:จางหลินอี๋ตลอดทางกลับบ้านผมยังคงชำเลืองหางตามองหญิงสาวข้างกายเป็นระยะ เพราะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองเผลอให้อารมณ์นำเหตุผลเสียแล้ว ผมโมโหจนเผลอจูบเธอเข้าโดยที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองเผลอทำแบบนั้น…อาจจะเป็นเพราะไม่อยากให้เธอพูดอะไรไปมากกว่านั้นแล้วละมั้ง เพราะยิ่งพูดคนฟังอย่างผมก็ยิ่งโมโห! เพราะทุกอย่างที่พูดมามันเป็นสิ่งที่ผมไม่คิดว่าเธอจะกล้าทำมาก่อนผมคงไว้ใจเธอมากเกินไปพอรถจอดเทียบตัวบ้าน เมื่อหันไปมองอีกทีลู่จินก็ผล็อยหลับไปเสียแล้วอาจจะเป็นเพราะเธอเมามากนั่นแหละ ผมจึงต้องเดินอ้อมไปซ้อนตัวเธอขึ้นมาอุ้มอย่างระมัดระวังเพื่อจะพาเธอขึ้นห้องนอนช่วงเวลาที่ผมอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนคนตัวเล็กก็เอาแล้วบ่นพึมพำไม่เป็นภาษาจนผมต้องแอบมองใบหน้านั้นเป็นระยะ ไม่แน่ว่าที่เธอกำลังพึมพำอาจจะกำลังด่าผมในฝันอยู่ก็ได้ที่ผมเผลอเอาเปรียบเธอไปแบบนั้นเมื่อถึงห้องนอนผมก็จัดการวางร่างเล็กลงบนเตียงนุ่มของตัวเองเพื่อให้เธอได้นอนพัก ตอนแรกก็กะว่าจะพาเธอไปนอนที่ห้องแต่ก็กลัวว่าพรุ่งนี้เช้าเธอจะไม่ยอมตื่น แบบนั้นคงไปทำงานไม่ทันแน่น ยิ่งเพิ่งจะได้งานแบบนี้ขืนวันที่สองไปสายละก็คงไม่พ้นถูกไล่ออก"แล้วชุดสา