: ปัจจุบัน
ลู่จินยังคงนั่งเงียบกริบมาตลอดทาง สายตาก็ยังคงชำเลืองมองคนขับที่ยังคงตีหน้านิ่งเป็นระยะ 'อึดอัดชะมัด' ลู่จินได้แต่คิดในใจ เพราะรู้สึกว่าชายหนุ่มดูท่าทางไม่ค่อยสบอารมณ์นัก อาจจะเป็นเพราะได้เจอเธออีกละมั้ง "อืมม พี่ยังโกรธฉันอยู่เหรอ?" "ให้โกรธเรื่องอะไรละ?" "ก็...คงไม่หรอกเนอะ พี่ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยนี่เนอะ"ลู่จินพยายามคิดในแง่ดี "ที่ถามว่าจะให้โกรธเรื่องอะไร ฉันหมายถึง...สิ่งที่เธอทำทิ้งไว้มันมากมายจนเลือกโกรธไม่ถูกน่ะ"หลินอี้พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งก่อนจะหันมายิ้มให้คนตัวเล็กข้างกัน คำพูดประชดประชันของเขาเมื่อครู่ทำเอาลู่จินหายใจไม่ออกเลยทีเดียว "โถ่ๆ ท่านพี่เขาว่ากันว่าถือสาเด็กมีแต่จะเป็นผู้ใหญ่ใจร้ายน๊า" "แล้วเด็กใจร้ายแบบเธอไม่ควรถือสาเหรอ?" "ก็ตอนนั้นไม่รู้จะทำยังไงแล้วนี่ ถ้าสุดท้ายเราถอนหมั้นกันที่หลังพี่เป็นผู้ชายพี่ก็ไม่เสียหายแต่ฉันเป็นผู้หญิงมันถึงขั้นขายไม่ออกเลยนะ" ลู่จินเอื้อมมือไปบีบนวดแขนล่ำของคนเป็นพี่เป็นการอ้อนวอนให้เขาไม่ถือสาเรื่องในอดีตถึงแม้ว่าเรื่องที่เธอทำไว้มันจะค่อนข้างใหญ่โตก็ตาม หลินอี้ก็ได้แต่มองการกระทำของเด็กสาวด้วยความช่างใจเพราะเธอมีท่าทางไม่ร้อนใจอย่างที่ควรจะเป็น เหมือนว่าเธอยังไม่รู้เรื่องราวอะไร? "คงยังไม่รู้สินะ?" "รู้อะไร?" "คุณปู่เธอเรียกเธอกลับมาทำไมไม่รู้เหรอ?"หลินอี้ถามลองเชิง "รู้สิ ก็ปู่ยอมแพ้แล้วยังไงละเขาไม่จับเราหมั้นกันแล้ว พี่เห็นไหมว่าผลของการหนีไปวันนั้นมันทำให้เราได้อิสระมากแค่ไหน" ลู่จินพูดพร้อมกอดอกอย่างภาคภูมิใจในการกระทำของตัวเอง ทำเอาหลินอี้ที่มองอยู่ถึงกับส่ายหัวในความคิดไปเองของเธอ ลู่จินที่เห็นแบบนั้นก็ยิ่งแปลกใจใหญ่แต่ก็ไม่ได้คิดจะถามอะไรออกไป แล้วเลือกมองไปนอกกระจกเพื่อซึมซับบรรยากาศแทน รถแล่นมาได้สักพักลู่จินก็สังเกตได้ว่าเธอไม่คุ้นทางกับถนนเส้นนี้เลยสักนิด หรือว่าเพราะเธอไม่ได้อยู่ที่นี่นานเกินไปทางกลับบ้านถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้ แต่ไม่สิ...ถึงยังไงสะตึกพวกนี้ก็ไม่มีทางสร้างเสร็จภายในไม่กี่ปี "จางหลินอี้...พี่พาฉันมาถนนเส้นไหนเนี่ยไม่คุ้นเลย"ลู่จินถามด้วยท่าทางหวาดระแวง "กลับบ้าน..." "บ้านใคร?" "บ้านฉัน..." "งั้นจอดให้ฉันลงก่อนสิ ไม่ก็แวะไปส่งหน่อยก็ได้นี่หน่า"ลู่จินมองเขาอย่างแปลกใจ ในเมื่อเขาจะกลับบ้านตัวเองทำไมถึงหิ้วเธอติดรถมาด้วยแบบนี้ นี่ก็ไม่ใช่ทางไปบ้านของหลินอี้ที่เธอเคยมาด้วย"พี่อย่าเงียบสิ!" "เฮ้อ...เธอถูกหลอกให้กลับมาไม่รู้ตัวอีกเหรอ" "อะไร? ก็ปู่ตกลงว่าจะไม่บังคับเราหมั้นกันถ้าฉันยอมมาอยู่ที่จีน" "แต่เขาไม่ได้บอกอย่างอื่นใช่ไหม...เขาให้เธอมาอยู่กับฉันปีหนึ่งรู้หรือเปล่า?" "บ้าไปแล้วหรือไง! แล้วพี่ก็ยอมเหรอ!" ลู่จินตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจ ผิดกับเจ้าของรถที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยไม่ต่างจากเดิมเลยแม้แต่น้อย เขาทำเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรทั้งๆ ที่สำหรับลู่จิมมันเป็นเรื่องใหญ่มาก! "จางหลินอี้พี่จะเงียบทำไมเนี่ย ฉันร้อนใจไปหมดแล้วนะ!" "ยังมีเรื่องที่เธอจะร้อนใจกว่านี้อีก" "อะไรอีกละ! พี่รีบพูดมาให้ฉันตกใจทีเดียวเถอะ ค่อยๆ บอกแบบนี้สนุกหรือไง"ลู่จินโวยวายขึ้นก่อนจะขยี้ผมตัวเองแรงๆ ด้วยความหงุดหงิดในท่าทางเฉยเมยของหลินอี้ "พูดเหมือนว่า พอฉันบอกหมดทุกเรื่องเราจะทำอะไรได้อย่างนั้นแหละ" "ก็บอกมาเถอะน่า จะได้ตกใจทีเดียว" "ตั้งแต่เธอก้าวออกจากสนามบิน บัญชีของเธอทุกบัญชีมันก็ถูกระงับหมดเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เธอเรียกได้ว่าจนแบบโคตรๆ"ลู่จินส่ายหัวรัวๆ พร้อมกับกระดิกนิ้วชี้ไปมาราวกับว่าไม่เชื่อในสิ่งที่หลินอี้บอก "คุณปู่น่ะ ถ้าจะใช้วิธีตัดเงินคงทำตั้งแต่ตอนที่ฉันหนีไปคงไม่รอถึงป่านนี้หรอก อีกอย่างฉันก็มีเงินที่หามาเองในบัญชีอื่น" "ไม่ว่าจะบัญชีไหน...ถ้ามันเป็นชื่อของเธอ ขอแจ้งให้ทราบว่าถูกระงับหมดแล้ว" "มะ ไม่จริงมั้ง โกหกแหละ! เอาคืนเรื่องตอนนั้นใช่ไหมล๊าเล่นแรงนะเนี่ย" ลู่จินยังคงไม่เชื่อและทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน แต่ส่วนลึกในใจกลับรู้สึกหวาดหวั่นไม่น้อย หลินอี๋เขาเลยไม่พูดอะไรต่อ ทำเพียงแค่ทอดสายตาไปที่มือถือในมือของหญิงสาวเป็นเชิงให้เธอพิสูจน์มันเอง ลู่จินที่เห็นแบบนั้นก็รีบหยิบโทรศัพท์กดเข้าบัญชีทุกธนาคารของเธอเพื่อเช็ดยอดทันที แต่นั่นยิ่งทำให้ใบหน้าสวยสดเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดมากขึ้น และมากขึ้น เพราะไม่ว่าจะบัญชีไหนที่เป็นชื่อของเธอตอนนี้ไม่มีสามารถใช้สักแดงเดียว! ตอนนี้เธอได้ขึ้นชื่อว่าจนเสียยิ่งกว่าจน...แถมเงินที่ติดตัวก็ยังเพียงแค่พอซื้อก๋วยเตี๋ยวชามเดียวเท่านั้นเอง! "ไง? คิดว่าล้อเล่นไหม" หลินอี้พูดพร้อมกับขับรถเข้าจอดที่หน้าบ้านเดี่ยวบนเขาหลังสวยของตัวเอง ตั้งแต่เข้าทำงานที่บริษัทเขาก็สร้างบ้านหลังนี้ขึ้นเพื่อหนีความวุ่นวายในเมืองมันทั้งสงบและเต็มไปด้วยธรรมชาติ...เขาไม่วายแอบมองคนข้างกายที่กำลังอยู่ในความช็อกอย่างขำขัน ท่าทางของลู่จินมันตลกจนเขาแทบจะกลั้นหัวเราะไม่ไหว เรียกได้ว่ามีความสะใจปนอยู่เต็มเปี่ยม "ฉันต้องไปหาปู่ ไปคุยให้รู้เรื่อง! ยืมเงินหน่อยจะนั่งแท็กซี่ไป" ลู่จินแบมือขอชายตรงหน้าด้วยท่าทางจริงจัง แต่เขากลับมองเธอด้วยหางตาแถมยังเปิดประตูลงรถลงไปหน้าตาเฉย ทำให้หญิงสาวรีบวิ่งตามลงมาดึงชายเสื้อเขาให้หยุดเดิน ก่อนจะแบมือยื่นไปตรงหน้าเขาอีกครั้งหวังว่าเขาจะให้เงินเธอ หลินอี้ก้มมองมือน้อยๆ นั้นก่อนจะชายตามองใบหน้าสวยที่กำลังทำหน้าจริงจังแล้วเอ่ยประโยคที่ทำเอาลู่จินต้องนิ่งไป "คิดว่าฉันจะให้เงินคนที่ทำฉันขายหน้ายืมเหรอ?" "อะ เอิ่ม...โบราณว่าอย่าถือสาเด็ก"ลู่จินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อน "โทษทีฉันคิดถึงแต่อนาคตไม่เชื่อคำโบราณแบบนั้นหรอก..." "เดี๋ยวสิ!" เมื่อลู่จินเห็นว่าหลินอี้กำลังจะเดินเข้าในตัวบ้านเธอก็รีบวิ่งเอาตัวมายืนขว้างประตูทันที ก่อนที่ชายหนุ่มผู้เหนื่อยล้าจากการทำงานจะถอนหายใจยาวแล้วคว้าเข้าที่คอเสื้อของหญิงสาว ก่อนจะออกแรงลากร่างเล็กเข้ามาในบ้าน การกระทำของเขาทำให้ลู่จินถึงกับโวยวายลั่นบ้านและนั้นยิ่งทำให้หลินอี้รู้สึกหงุดหงิดไปกันใหญ่ "พอ!!! พูดมากจริง! บ้านเธอเขาไปอเมริกาได้สามวันแล้วอีกสองสามเดือนจะกลับ แล้วที่ถามฉันว่าฉันยอมให้เธอมาอยู่บ้านฉันทำไมขอตอบเลยว่าไม่ได้ยอม! ถูกบังคับ!" หลินอี้โวยกลับใส่คนตัวเล็กที่เอาแต่โวยวายบ้างจนเธอนิ่งไป ก่อนจะทำหน้างอแล้วทรุดตัวนั่งลงกลับพื้นอย่างหมดแรง นี่แสดงว่าปู่ของเธอต้องคิดแผนการไว้แน่นอน แล้วอย่างนี้เธอก็ต้องอยู่ที่นี่งั้นเหรอ? เงินก็ไม่มีเสียด้วย "ฉันต้องยอมใช่ไหม..." "คิดว่ายังไง..."หลินอี้กอดอกมองใบหน้าสวยนิ่ง "...ต้องยอม..." "ตามนั้น อยู่กันอย่างสงบจัดการตัวเองให้ได้ฉันไม่ว่างมาหาข้าวหาน้ำให้กิน อยากกินอะไรจดไว้แม่บ้านจะมาอาทิตย์ละสองวันและห้องเธออยู่ชั้นสองฝั่งขวา ไม่จำเป็นอย่ามายุ่งกับฉัน" หลินอี้ร่ายยาวถึงสิ่งที่ลู่จินต้องรู้เมื่ออยู่ที่นี้ ก่อนจะเดินหนีขึ้นห้องมาสงบสติอารมณ์โดยทิ้งหญิงสาวที่ยังคงก้มหน้านิ่งให้อยู่คนเดียวด้านล่าง ตอนที่เขารู้ว่าต้องรับผู้หญิงคนนี้มาอยู่บ้านอันแสนสงบของเขาด้วย อาการเขาก็ไม่ต่างอะไรกับหญิงสาวที่เป็นอยู่ตอนนี้นักหรอก แต่ด้วยความที่ตระกูลไป๋มีพระคุณกับตระกูลจางมากแถมปู่ทั้งสองยังเป็นเพื่อนรักกันทำให้เขาต้องจำยอม พอเห็นหน้าเด็กคนนี้แล้วก็อดทำให้เขานึกถึงวันหมั้นของทั้งคู่ไม่ได้เลย ตอนนั้นเขาเองวางแผนไว้ว่าเมื่อหมั้นกันเรียบร้อยจะส่งชายหนุ่มที่ต้องการมีแฟนเข้ามาจีบหญิงสาว ถ้าทั้งคู่ตกลงเป็นแฟนกันเมื่อไหร่เขาก็จะถอนหมั้นทันทีแล้วให้เหตุผลว่ายังไงสะทั้งสองคนก็ไม่มีทางรักกัน เพราะยังไงเขาก็ไม่คิดจะบอกใครเรื่องการหมั้นอยู่แล้ว แต่ไป๋ลู่จินน่ะสิ! คิดแผนการยกเลิกการหมั้นแต่ละอย่างมันเกินกว่าผู้ใหญ่จะรับได้จนวันนั้นเขาไม่คิดเลยว่าอยู่ๆ เธอก็จะวิ่งออกจากงานไปทั้งที่กำลังจะสวมแหวนอยู่แล้ว ถ้าเตรียมการมาดีขนาดนั้นทำไมไม่หนีก่อนวันหมั้นทำแบบนั้นมันก็เท่ากับหักหน้าเขาเต็มๆ เขาเองก็คิดว่าทางปู่ของลู่จินจะยอมลดละความพยายาม แต่ที่ไหนได้เขารอให้เธอเรียนจบเพื่อมาหมั้นกับเขาอีกครั้ง! ทำให้คนที่ไม่สนใจในความรักอย่างเขาถึงขั้นเครียดจนต้องพึ่งพายานอนหลับอยู่หลายวันเลยเชียว: ลู่จินฉันเดินรากกระเป๋าเดินทางของตัวเองขึ้นมายังห้องพักตามที่พี่หลินอี้บอกหลังจากสามารถสงบสติอารมณ์ตัวเองได้ เมื่อได้มองสำรวจไปรอบตัวบ้านแล้ว บ้านหลังนี้เป็นสไตล์เนเซอร์รัลสองชั่นที่ผสมผสานความทันสมัยและความร่มรื่นได้ดีโทนสีของบ้านจะออกเป็นโทนดำเสียมากกว่าแสดงถึงรสนิยมดิบเถื่อนของเจ้าของบ้านได้ดีเลยทีเดียวห้องของฉันเป็นห้องนอนกว้างที่มีชั้นลอยที่เดินขึ้นไปเป็นที่นอนส่วนด้านล่างจะถูกตกแต่งไว้ให้เป็นที่พักผ่อนโดยมีเบาะนุ่มเป็นวงกลมขนาดใหญ่กว่าตัวคนวางอยู่ตรงกลางห้อง พอลองได้นอนลงไปก็รู้สึกว่านุ่มดูดวิญญาณใช้ได้เลย แค่มีเจ้าเบาะนี้ฉันไม่จำเป็นต้องขึ้นไปนอนบนเตียงก็ได้เดินมาที่มาอีกหน่อยก็เจอเจ้ากับหน้าต่างใต้ชั้นลอย พบว่าผนังส่วนนี้สามารถเปิดเลื่อนออกไปเจอระเบียงเล็กๆ ที่พอให้เดินไปยืนรับลมด้านนอกพร้อมชมวิวที่ตอนนี้มีแต่ความมืดได้ ก็เขาดันสร้างมันห่างจากบ้านคนขนาดนี้จะเห็นอะไรได้ละ…ก่อนหน้านี้ฉันลองโทรหาครอบครัวเพื่อเช็กว่าคำพูดของพี่หลินอี้ว่าเป็นความจริงหรือเปล่า สรุปว่าทุกคนปิดเครื่องหนีฉันเรียบร้อย!...ใช่! ฉันถูกตัดหางปล่อยวัดเรียบร้อยแล้ว ครอบครัวฉันไว้ใจให้ฉันมาอยู่บ้านผู้ชา
อีกด้านของลู่จิน เธอกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางกลิ่นกาแฟหอมๆ และกลิ่นขนมปังอบที่ไม่ต้องกินก็รับรู้ได้เลยว่ารสชาติดี สายตาหวานก็มองสำรวจรอบตัวร้านระหว่างรอเจ้าของร้านออกมาอย่างตื่นตาตื่นใจคาเฟ่เป็นสไตล์มินิมอลที่เน้นสีขาวและสีของไม้เป็นการตกแต่งหลัก ทำให้สามารถนั่งมองได้อย่างเพลิดเพลินไม่รู้สึกเบื่อแถมยังสบายตา ที่นี่แยกทุกอย่างเป็นโซนได้อย่างดีแต่ที่เธอสนใจที่สุดคงจะเป็นของตกแต่งที่มองก็ดูรู้มาจากประเทศไทยเสียส่วนใหญ่ ไม่แน่เจ้าของร้านอาจจะเป็นคนที่ชอบเมืองไทยมากก็ได้ตึง! เสียงข้อความในโทรศัพท์ดังขึ้นเรียกความสนใจให้ลู่จินต้องหยิบมันขึ้นมาดู เจ้าของข้อความนั้นไม่ใช่ใครคือหลินอี้นั้นเอง 'โอนเงินค่าใช้จ่ายสำหรับอาทิตย์นี้ให้ ใช้อย่างประหยัด ได้งานหรือเปล่าก็บอกด้วย''จางหลินอี้'หืม? ลู่จินอ่านข้อความจากแชทของหลินอี้อย่างแปลกใจเธอไม่คิดว่าเขาจะให้เงินเธอด้วยซ้ำ ด้วยความไม่เชื่อเธอจึงรีบเข้าเช็กในบัญชีทันที 'เงินเข้า 10,xxx'"โหะ ของจริง0-0!!"ลู่จินถึงตกใจเมื่อเห็นยอดเงินเข้าที่โชว์อยู่หน้าจอ เธอไม่คิดว่าเขาจะห่วงเธอด้วยซ้ำทั้งๆ ที่เมื่อเช้าเขาไม่ถามอะไรเธอสักคำ"สวัสดีค่ะ"ระหว่างที่ลู่จิ
: ลู่จินภายในลิฟต์พี่หลินอี้ยังคงมองหน้าฉันนิ่งไม่คาดสายตาแถมยังทำหน้าดุจนฉันงงไปหมดว่าไปทำให้เขาไม่พอใจตอนไหนกัน ทั้งๆ ที่วันนี้ยังไม่ได้ทำเรื่องอะไรเลยสักอย่าง"พี่จะมองฉันด้วยสายตาดุๆ นั้นอีกนานไหม?""ไม่ตอบแชท ไม่ขอบคุณ ไม่แจ้งว่าตกลงได้งานไหม...มันคืออะไรลู่จิน"เขาพูดรัวๆ แสดงถึงความไม่พอใจที่ฉันเมินเฉยต่อข้อความเขา แต่ฉันมีเหตุผลนะ...ก็คนเราทำงานวันแรกจะให้หยิบโทรศัพท์มาตอบแชทก็คงดูไม่ดี แต่ถ้าตอบเขาแบบนี้เขาจะคิดว่าข้ออ้างไหมนะ"เอิ่ม...""พูด""ขอบคุณสำหรับเงินที่โอนมาให้ค่ะ ฉันจะใช้อย่างระวัง...แล้วงานก็ได้ทำแล้วค่ะ วันนี้เริ่มงานแล้ว"ฉันพูดลากเสียงยาวพร้อมกับก้มหัวต่ำให้เขาอย่างจงใจประชด แต่ดูเหมือนหลินอี้จะไม่ได้อารมณ์ดีขึ้นเลยแถมยังดูโมโหกว่าเดิมเสียอีก"ไป๋ลู่จิน...แล้วทำไมเธอไม่ตอบแชท""ฉันทำงานวันแรกนี่ จะให้มาจับโทรศัพท์มันก็น่าเกลียดพี่เป็นเจ้าคนนายคนอยากให้ลูกน้องตั้งใจทำงาน แต่ลูกน้องเอาแต่เล่นโทรศัพท์พี่จะชอบหรือเปล่าละ""อย่ามาย้อนนะ เธอแค่บอกได้งานแล้ว เลิกช่วงเย็นหรือช่วงดึกแค่นั้นมันยากเหรอ?"เขาถามฉันพร้อมคิ้วที่กำลังขมวดเข้าหากันช้าๆ ท่าทางเขาตอนนี้ดูอยากจะตี
ตกเย็นฉันรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่ฉันรู้สึกสนุกมากจริงๆ มันเป็นประสบการณ์ใหม่ของชีวิตเลยที่ฉันทำงานขนาดนี้ เพราะช่วงที่เรียนก็มีทำงานอยู่บ้างแต่ยังไม่ถึงขั้นตั้งใจทำงานแลกเงินแบบนี้พอก้มมองนาฬิกาในโทรศัพท์ก็พบว่าตอนนี้ก็ห้าโมงกว่าแล้ว ฉันกำลังเดินข้ามถนนมาหาพี่จางหลินอี้ตามที่เขาบอก ตอนมาส่งของรู้สึกว่าพี่เจ้าหน้าที่ให้ฉันขึ้นไปง่ายมากผิดกับตอนนี้ที่เขาแจ้งฉันว่าฉันจะต้องแจ้งเหตุผลในการมาอย่างชัดเจน!แล้วจะให้ฉันบอกว่าอะไร? มาหาประธานของคุณงี้เหรอ? คงไม่มีใครเชื่อเด็กแบบฉันแน่น"งั้นฉันนั่งรอเขาด้านล่างก็ได้ค่ะ""ถ้าเพื่อนเป็นพนักงานบริษัทนี้ป่านนี้เขาคงกลับไปกันหมดแล้วละ ลองโทรหาเขาสิถ้ามีหลักฐานพี่จะให้ขึ้น"ถึงพี่เจ้าหน้าที่จะบอกแบบนั้นแต่จะให้ฉันโทรหาพี่หลินอี้เพียงเพราะต้องการขึ้นไปมันก็ไม่ใช่เรื่อง ฉันเลยปฏิเสธแล้วอ้างว่าเพื่อนทำโอทีขอนั่งรอที่โซฟาด้านล่างดีกว่า"เอะ...ลู่จิน ไป๋ลู่จิน"ฉันหันไปตามเสียงเรียกจากด้านหลัง พอหันไปฉันก็ถึงขั้นต้องกระโดดโลดเต้นเมื่อคนตรงหน้าคือเพื่อนเก่าของฉันที่เคยเรียนด้วยกัน'เหมยลี่' ซึ่งเธอก็ห้อยบัตรพนักงานของบริษัทจางหลินอยู่ที่คอ"เหมยลี่ไม่ได
: บาร์หลังจากที่ลู่จินออกไปคุยโทรศัพท์เสร็จก็พยายามประคองตัวเองเข้ามาบอกเหมยลี่ให้รู้ว่าเธอต้องกลับเสียแล้ว วันนี้คงไม่ได้พักกับเหมยลี่ตามที่รับปาก แต่พอมาถึงที่โต๊ะกลับพบว่าเพื่อนสาวมีชายหนุ่มรูปหล่อนั่งติดกันอยู่"เหมยลี่...ฉันว่าฉันต้องกลับแล้ว"ลู่จินพยายามกระซิบข้างหูเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด แต่ดูเหมือนวันนี้เหมยลี่จะไม่ปล่อยเธอไปง่ายอย่างใจคิดเมื่อลู่จินถูกดึงให้นั่งลงข้างๆ เพื่อนรัก ก่อนเหมยลี่จะยื่นแก้วเหล้าให้เธอจนถึงปาก"ดื่มชดใช้เดี๋ยวนี้ ชดใช้ที่หายไปไม่บอกเพื่อน""อ่าา ฉันเมาแล้วเหมยลี่"ลู่จินพยายามอธิบายพร้อมใช้มือดันแก้วเหล้าให้ออกห่างตัว แค่ตอนนี้ที่เธอเป็นอยู่ก็มึนหัวจนแทบยืนไม่ไหวแล้ว"น๊าาาาาา""พอดีกว่าครับ...ลู่จินดูจะไม่ไหวแล้วเอาเป็นว่าผมดื่มแทนเธอนะ"ระหว่างที่เหมยลี่คะยั้นคะยอจะให้ลู่จินดื่มให้ได้ ชายหนุ่มที่เข้ารวมนัดเดทคนหนึ่งก็แย่งแก้วเหล้าไปจากมือเล็กก่อนจะดื่มแทนลู่จินจนหมดแก้ว ทำเอาทั้งสองสาวหันมองหน้ากันทันทีก่อนที่เหมยลี่จะระบายยิ้มล้อเลียนออกมาเป็นเชิงแซวความสัมพันธ์ของทั้งคู่"เห้ ลู่จินดูเหมือนอี๋เฉินจะสนใจเธอเลย"เหมยลี่กระซิบเบาๆ ที่ข้างหูเพ
:จางหลินอี๋ตลอดทางกลับบ้านผมยังคงชำเลืองหางตามองหญิงสาวข้างกายเป็นระยะ เพราะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองเผลอให้อารมณ์นำเหตุผลเสียแล้ว ผมโมโหจนเผลอจูบเธอเข้าโดยที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองเผลอทำแบบนั้น…อาจจะเป็นเพราะไม่อยากให้เธอพูดอะไรไปมากกว่านั้นแล้วละมั้ง เพราะยิ่งพูดคนฟังอย่างผมก็ยิ่งโมโห! เพราะทุกอย่างที่พูดมามันเป็นสิ่งที่ผมไม่คิดว่าเธอจะกล้าทำมาก่อนผมคงไว้ใจเธอมากเกินไปพอรถจอดเทียบตัวบ้าน เมื่อหันไปมองอีกทีลู่จินก็ผล็อยหลับไปเสียแล้วอาจจะเป็นเพราะเธอเมามากนั่นแหละ ผมจึงต้องเดินอ้อมไปซ้อนตัวเธอขึ้นมาอุ้มอย่างระมัดระวังเพื่อจะพาเธอขึ้นห้องนอนช่วงเวลาที่ผมอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนคนตัวเล็กก็เอาแล้วบ่นพึมพำไม่เป็นภาษาจนผมต้องแอบมองใบหน้านั้นเป็นระยะ ไม่แน่ว่าที่เธอกำลังพึมพำอาจจะกำลังด่าผมในฝันอยู่ก็ได้ที่ผมเผลอเอาเปรียบเธอไปแบบนั้นเมื่อถึงห้องนอนผมก็จัดการวางร่างเล็กลงบนเตียงนุ่มของตัวเองเพื่อให้เธอได้นอนพัก ตอนแรกก็กะว่าจะพาเธอไปนอนที่ห้องแต่ก็กลัวว่าพรุ่งนี้เช้าเธอจะไม่ยอมตื่น แบบนั้นคงไปทำงานไม่ทันแน่น ยิ่งเพิ่งจะได้งานแบบนี้ขืนวันที่สองไปสายละก็คงไม่พ้นถูกไล่ออก"แล้วชุดสา
รถแล่นจอดเทียบริมฟุตบาทหน้าคาเฟ่… ไป๋ลู่จินกำลังจะเปิดประตูลงรถเพื่อเข้างานแต่ต้องชะงักไปเมื่อประตูยังถูกล็อกหญิงสาวจึงหันมามองเจ้าของรถตาขวางเพราะเธอรู้ว่าเขาตั้งใจแกล้งแน่นอน"ไม่เปิดเหรอ? ให้ฉันทะลุประตูไปเหรอ?"ไป๋ลู่จินที่ยังหงุดหงิดกับคำบ่นของชายหนุ่มจึงประชดเขาไปอีกรอบ จางหลินอี้จึงได้แต่หัวเราะในลำคอก่อนจะหันมามองใบหน้างอของหญิงสาวข้างกายด้วยสายตาดุ"ประชดฉันทั้งที่ตัวเองผิดมันไม่เกินไปหน่อยหรือไงไป๋ลู่จิน""พี่เองก็เป็นผู้ใหญ่การที่เด็กทำผิดแล้วสำนึกผิด ขอโทษแล้วมันก็เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรอภัย""ที่เธอทำมันหลายกระทง ทั้งหนีเที่ยว ไปนัดบอร์ด มีผู้ชายตามติด...""อ่าาาา ก็บอกว่าไม่ได้สนใจผู้ชายคนนั้นเลย"ลู่จินกลอกตามองบนเพราะขี้เกียจอธิบาย ทำไมเขาเอาแต่บ่นเป็นตาแก่นักหนาก็ไม่รู้"แล้วเขาจะโทรมาได้ยังไงถ้าเธอไม่ไปเชื่อมความสัมพันธ์""ไม่รู้ จะรู้ได้ยังไงพี่ก็เห็นว่าฉันเมาจำไม่ได้หรอก""งั้นจะกินทำไม หรือตั้งใจเมาเพื่อให้ผู้ชายคนนั้นสนใจ""หาเรื่องฉันตลอด เดี๋ยวโมโหก็จูบฉันอีกนิสัยไม่ดี"ไป๋ลู่จินพูดก่อนจะสะบัดตัวหันหนีไปทางกระจกอย่างไม่พอใจ เมื่อเธอพูดแบบนั้นหลินอี้ก็ถึงกับนิ่งไปใ
เวลาพักกลางของไป๋ลู่จินได้หมดความสงบสุขไปแล้วเรียบร้อย เมื่อจางหลินอี้เอาแต่โทรจิกให้เธอมาส่งกาแฟอยู่ได้ทุกห้านาที! พอเธอบล็อกการติดต่อของเขา เขาก็ให้เลขาโทรเข้าเบอร์ร้านจนโชนถึงขั้นให้เธอรีบออกมาส่งได้ก่อนเวลาพัก ซึ่งตอนนี้เธอก็อยู่ในลิฟต์พร้อมเอสเปรสโซเย็นในมือด้วยความหงุดหงิด ทั้งๆ ที่เธอตั้งใจจะไม่มาแล้วแท้ๆ เชียวกลับต้องมาเพราะความปั่นประสาทของหลินอี้ตึง ประตูลิฟต์เปิดออกลู่จินก็ได้แต่ยืนมองซ้ายมองขวาหาห้องทำงานของหลินอี้ เพราะนี้เป็นยังไม่หมดเวลาพักเที่ยงทำให้ยังไม่มีพนักงานกลับมาอีกทั้งบริษัทนี่ก็กว้างใหญ่จนต้องใช้วิธีเดินหาลู่จินเลยเดินอ่านตามป้ายหน้าห้องไปเรื่อยๆ ไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาเธอจากด้านหลัง"แฮ!""ผีหลอก!!"ลู่จินต้องใจจนสะดุ้ง แต่เมื่อเธอหันไปมองต้นเสียงก็ยิ่งทำให้เธอหน้าซีดไปใหญ่เมื่อคนที่มาสะกิดเธอนั้นไม่ใช่ใครแต่กลับเป็นเหมยลี่เพื่อนรักเธอเองเหมยลี่ที่ได้เห็นเพื่อนรักในชุดยูนิฟอร์มของร้านก็ตื่นเต้นใหญ่มองสำรวจเธอไปทั่วทั้งตัวอย่างสนใจ"โห แกทำงานที่คาเฟ่พี่โชนเหรอ สุดยอดร้านนั้นเจ้าของหล่อมาก""ชะ ใช่ๆ พะ พักเสร็จเร็วเนอะ"ลู่จินยังคงพูดต
ไม่รอช้าร่างสูงเปลี่ยนทิศทางเดินตรงเข้ามาหาทั้งสองคนทันที ทำเอาพนักงานแถวนั้นรีบทำความเคารพกันจ้าละหวั่นที่เห็นประธานเดินตรงเข้ามาด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ลู่จินและมู่อี๋เฉินเห็นท่าทางที่แปลกไปของคนรอบข้างก็รีบหันกลับไปดูด้านหลังตัวเองด้วยความสงสัย ก่อนที่มู่อี๋เฉินจะระบายยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร เขาคิดว่าถ้าเขาสนใจผู้หญิงคนนี้เขาก็ควรทำตัวดีต่อพี่ชายเธอเสียหน่อยผิดกับลู่จินที่เมื่อได้เห็นใบหน้าบูดบึ้งของหลินอี้ก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะค่อยๆ ขยับเท้าน้อยๆ เข้าไปใกล้เพื่อถามว่าทำไมเขาถึงมายืนจ้องเธอแบบนี้"พี่...มาตรงนี้ทำไม"เสียงเล็กเอ่ยถามเบา"เธอมาที่นี่ทำไม..."แต่ต้องถูกเขาย้อนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด แถมท่าทางที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแบบนั้นลู่จินรู้ได้เลยว่าถ้าเธอเถียงเขาแม้แต่คำเดียว เขาสามารถด่าเธอได้ตรงนี้ไม่อายคน"ฉันมาทำงานค่ะ เอาของขึ้นมาส่ง""แล้ว..."หลินอี้ตวัดสายตาไปมองมู่อี๋เฉินที่ยังคงยืนยิ้มอย่างนอบน้อม"ผมมาประชุมครับ ผมได้รับบทนำเป็นพระเอก"มู่อี๋เฉินอธิบาย"ฉันรู้ว่านายคือพระเอกที่สปอนเซอร์เลือก แต่ที่ฉันถามคือ...นายมาอยู่ตรงนี้กับลู่จิน…ทำไม"การเน
บ้านซูฉวี่"ผิดแผน ผิดแผนไปหมด! น่าโมโหจริงๆ"มือเรียวระดมปาข้าวของลงพื้นเพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิด ในสมองก็ยังนึกถึงภาพสายตาที่แสดงความห่วงใยของหลินอี้ที่มองหญิงสาวคนนั้นไม่หาย "ใจเย็นๆ ก่อนซูฉวี่ ถ้าอย่างนั้นเธอไม่ต้องไปรับงานนี้ไหมล่ะ"จีจี้ผู้จัดส่วนตัวของซูฉวี่เอ่ยในขณะที่ตามเก็บข้าวของตามพื้นที่ถูกซูฉวี่ขว้างปาเพื่อระบายอารมณ์โมโห "ไม่! ฉันจะรับงานนี้การที่เขาไม่แคร์ฉันมันยิ่งทำให้ฉันอยากจะเอาชนะใจเขาให้ได้""ซูฉวี่ มันไม่เสียเวลาไปหน่อยหรือไง ถ้าเขาไม่สนใจก็คือไม่สนใจนะ""คิดหน่อยสิพี่จีจี้ ถ้าเขาเกิดหลงรักฉันขึ้นมาจริงๆ มันจะคุ้มค่าแค่ไหน?"ใบหน้าสวยระหงเชิดขึ้นอย่างมั่นใจ"อย่าลืมสิว่าเขาเป็นใครและรวยแค่ไหน"ซูฉวี่พูดอย่างภูมิใจในตัวเป้าหมายที่เธอเลือก ตอนนี้จางหลินอี้ถือว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่กำลังได้รับการยอมรับจากบรรดานักธุรกิจชั้นนำของประเทศ ซูฉวี่จึงคิดว่าผู้ชายอายุยังน้อยแต่ประสบความสำเร็จขนาดนี้มันช่างน่าสนใจและเธอไม่มีทางเชื่อว่าเธอจะทำให้เขารักเธอไม่ได้"แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีใจให้ผู้หญิงคนนั้นนะ คนที่อยู่ในห้อง""ฉันถึงให้พี่ไปสืบไง แล้วตกลงเธอเป็นใคร""ไป๋ลู่จิน..
ก๊อกๆเสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจจากสองหนุ่มสาวให้หันไปมอง ภาพตรงหน้าคือนางแสดงสาวที่เป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายในบริษัทกำลังยืนอยู่ในชุดเดรสสีแดงสดด้วยสายตาไม่พอใจนัก ด้านหลังยังมีผู้จัดการส่วนตัวที่เดินตามมาติดๆ ด้วยสีหน้าซีดเซียวบ่งบอกว่าเธอคงเพิ่งถูกดาราสาวต่อว่ามาแน่นอน ลู่จินที่เห็นความสวยของหญิงสาวตรงหน้าก็ถึงกับชะงักไปก่อนสมองจะนึกขึ้นได้ว่าผู้หญิงคนนี้คือ'ซูฉวี่'นักแสดงที่กำลังโด่งดัง ผิดกับหลินอี้ที่เมื่อได้เห็นนักแสดงสาวก็ถึงกับหัวเราะในลำคอเพราะไม่คิดว่าเหยื่อจะติดกับเร็วขนาดนี้จริงๆ แล้วเขาให้ซูเฟียไปกระจายข่าวเปิดรับนักแสดงนำคนใหม่เพื่อจงใจให้ซูฉวี่รู้ว่าเขาไม่ได้แคร์ถ้าต้องเปลี่ยนตัวนักแสดง ตอนนี้เรื่องมันกลายเป็นทางซูฉวี่เองที่ต้องมาหาเขาถึงที่เพราะกำลังจะเสียงานไปแล้วจริงๆ"ประธานจางฉันขอคุยด้วยหน่อย"ซูฉวี่พูดพร้อมกับมองจ้องมายังลู่จินที่กำลังคีบไก่เข้าปาก ลู่จินเองเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ควรอยู่ตรงนี้เลยรีบเก็บข้าวของเพื่อจะออกไปแต่กลับถูกหลินอี้ดึงข้อมือไว้ก่อนจะตักปีกไก่น้ำแดงมาวางไว้ในถ้วยข้าวของเธอ"นั่งกินให้เรียบร้อย""ฉันอิ่มแล้ว..."ลู่จินพูดพร้อมชำเลือง
หลายวันต่อมาชีวิตประจำวันระหว่างลู่จินและหลินอี้ก็ยังคงดำเนินไปตามปกติ ทั้งคู่ยังคงไปกลับบ้านพร้อมกันทุกวัน และลู่จินยังคงมาทานข้าวเที่ยงที่หลินอี้เตรียมไว้ให้แลกกับการที่เธอต้องมาส่งกาแฟเขาทุกวันเช่นกันจนตอนนี้คนในบริษัทเริ่มจะคุ้นชินกับการมาของเธอโดยที่ทุกคนเข้าใจว่าเธอเป็นคนรู้จักของหลินอี้แต่บางคนก็บอกว่าเธอคือคนที่กำลังพยายามเข้าหาหลินอี้ซึ่งตัวเธอก็ไม่เคยคิดจะอธิบายแต่วันนี้เหตุการณ์ในบริษัทดูเคร่งเครียดกว่าปกติทุกคนเอาแต่ก้มหน้าทำงานอย่างแข็งขันและเดินสวนกันไปมาให้วุ่น ลู่จินที่เก็บความสงสัยไว้ในใจไม่ไหวเลยตั้งใจเดินไปหาเพื่อนรักที่แผนเพื่อสอบถามเรื่องนี้"เหมยลี่ๆ""เอ้า มาส่งกาแฟเหรอ ทำไมมาแผนกฉันละ"เหมยลี่ถามเพื่อนรักในขณะที่สายตายังคงจดจ่อกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เต็มไปด้วยรูปดาราสาวหลายคน ดูเหมือนเธอเองก็กำลังยุ่งไม่น้อย"เอิ่ม วันนี้ที่บริษัทดูยุ่งจังเลยเนอะ""ยุ่งสิ อยู่ๆ ซูฉวี่นางเอกที่ถูกวางตัวในมินิซีรีส์เรื่องใหม่ก็ขอถอนตัวกะทันหันอีกสองวันจะประชุมผู้บริหารแล้วด้วย ถ้าสปอนเซอร์รู้ว่าเรายังไม่มีนางเอกให้เขาอาจจะแย่ได้""เอ้า! แล้วทำไมถึงถอนตัวแบบนี้""เพราะประธานของเร
:ลู่จินอึดอัดชะมัด...ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านพี่หลินอี้ก็ไม่พูดอะไรกับฉันเลยสักคำเอาแต่ตีหน้านิ่งจนฉันรู้สึกกังวล ฉันถามก็ไม่ค่อยจะตอบอย่างกับว่าเขากำลังคิดมากเรื่องอะไรอยู่อย่างนั้นแหละ การที่เขาเงียบไปไม่มีเหตุผลแบบนี้มันทำให้ฉันคิดมากชะมัดเลยหรือจะเป็นเพราะงานเขาเยอะเกินไป? ฉันควรช่วยงานเขาเสียหน่อยไหมนะ...นี้ก็ดึกมากแล้วยังเห็นไฟห้องนอนของเขาเปิดอยู่เลย ถ้าอยากช่วยฉันควรทำยังไงนะ ไปเคาะประตูแล้วถามเขาว่ามีอะไรให้ช่วยไหมคะ? แบบนี้เลยดีไหมนะ?ตืด ตืด 'เหมยลี่'"ฮัลโหลเหมยลี่! พอดีเลยฉันมีเรื่องจะปรึกษาแกพอดี"(ก่อนปรึกษา ฉันขอบ่นเรื่องเจ้านายให้ฟังก่อนได้ไหม วันนี้นะหลังแกกลับไปเขาให้ฉันแก้เอกสารเป็นร้อยหน้าเลยเว้ย ฉันเกือบตายแล้วเนี่ย คงเพราะแกเข้าไปนอนในห้องเขาแน่ๆ เลย)เหมยลี่บ่นอุบอย่างไม่พอใจและคิดว่ามันเป็นเพราะฉันไปแอบนอนหลับ ควรจะบอกความจริงกับเหมยลี่ไหมนะว่าเขาเป็นคนสั่งให้ฉันนอนพักเอง ไม่ได้สิ...ถ้าพูดเรื่องนั้นเหมยลี่ก็ต้องสงสัยอีกว่าทำไมเขาถึงยอมให้ฉันนอนได้แล้วฉันก็ต้องถูกต้อนให้ตอบคำถามจนเรื่องที่เราทั้งคู่เป็นคู่หมั้นกันหลุดแน่นอน"เอิ่ม...เอาเป็นว่าฉันจะชดเชยให้นะ"
หลังจากกินข้าวเที่ยงกันเสร็จหลินอี้หันมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองพบเวลาก็ยังเหลืออยู่นิดหน่อย แถมหญิงสาวตรงหน้าพอกินอิ่มตาก็ผล็อยจะหลับแต่ยังคงทำเป็นนั่งมองนู่นนี่เพื่อทำให้ตัวเองตื่นตัว "ไปนอนโซฟาดีๆ""ฉันไม่ใช่เด็กสะหน่อยที่กินอิ่มแล้วต้องนอนหลับ"หลินอี้ทนเห็นลู่จินปากแข็งต่อไปไม่ไหวทั้งๆ ที่ดูง่วงขนาดนั้นเลยจัดการเดินเข้าไปซ้อนตัวเธอขึ้นแล้วอุ้มตรงไปที่โซฟากว้าง ลู่จินที่ตกใจกับการกระทำอันรวดเร็วของเขาก็ได้แต่กอดคอคนตัวสูงไว้แน่นเพราะกลัวว่าเขาจะแกล้งโยนเธอลงโซฟาแต่เปล่าเลยเขาค่อยๆ วางร่างเธอลงบนโซฟาเบาอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอาหมอนอิงมารองหัวให้ราวกับพ่อเอาลูกเข้านอนทำเอาลู่จินถึงกับสับสนในการกระทำที่แปลกไปของเขา"มองอะไร...หลงรักฉันหรือไง?""ประสาท หลงตัวเอง!"ลู่จินแบะริมฝีปากก่อนจะล้มตัวนอนลงบนโซฟา"หึ นอนไปเถอะ""กลัวไม่ทันเวลาเข้างาน""ฉันมีประชุมตอนเธอเข้างานพอดี ตั้งเวลาไว้แล้ว""แล้วพี่จะนั่งลงทำไม"ลู่จินถามสายตาก็มองหลินอี้ที่กำลังนั่งลงบนโซฟาปลายเท้าเธอทั้งๆ ที่ยังมีโซฟาตัวเล็กอยู่ไม่ไกลกัน ก่อนที่เขาจะเอนหัวพิงขอบโซฟาแล้วหลับตาลงราวกับเหนื่อยล้าเต็มที"ฉันก็อยากพักบ้าง วันนี้
เวลาพักกลางของไป๋ลู่จินได้หมดความสงบสุขไปแล้วเรียบร้อย เมื่อจางหลินอี้เอาแต่โทรจิกให้เธอมาส่งกาแฟอยู่ได้ทุกห้านาที! พอเธอบล็อกการติดต่อของเขา เขาก็ให้เลขาโทรเข้าเบอร์ร้านจนโชนถึงขั้นให้เธอรีบออกมาส่งได้ก่อนเวลาพัก ซึ่งตอนนี้เธอก็อยู่ในลิฟต์พร้อมเอสเปรสโซเย็นในมือด้วยความหงุดหงิด ทั้งๆ ที่เธอตั้งใจจะไม่มาแล้วแท้ๆ เชียวกลับต้องมาเพราะความปั่นประสาทของหลินอี้ตึง ประตูลิฟต์เปิดออกลู่จินก็ได้แต่ยืนมองซ้ายมองขวาหาห้องทำงานของหลินอี้ เพราะนี้เป็นยังไม่หมดเวลาพักเที่ยงทำให้ยังไม่มีพนักงานกลับมาอีกทั้งบริษัทนี่ก็กว้างใหญ่จนต้องใช้วิธีเดินหาลู่จินเลยเดินอ่านตามป้ายหน้าห้องไปเรื่อยๆ ไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาเธอจากด้านหลัง"แฮ!""ผีหลอก!!"ลู่จินต้องใจจนสะดุ้ง แต่เมื่อเธอหันไปมองต้นเสียงก็ยิ่งทำให้เธอหน้าซีดไปใหญ่เมื่อคนที่มาสะกิดเธอนั้นไม่ใช่ใครแต่กลับเป็นเหมยลี่เพื่อนรักเธอเองเหมยลี่ที่ได้เห็นเพื่อนรักในชุดยูนิฟอร์มของร้านก็ตื่นเต้นใหญ่มองสำรวจเธอไปทั่วทั้งตัวอย่างสนใจ"โห แกทำงานที่คาเฟ่พี่โชนเหรอ สุดยอดร้านนั้นเจ้าของหล่อมาก""ชะ ใช่ๆ พะ พักเสร็จเร็วเนอะ"ลู่จินยังคงพูดต
รถแล่นจอดเทียบริมฟุตบาทหน้าคาเฟ่… ไป๋ลู่จินกำลังจะเปิดประตูลงรถเพื่อเข้างานแต่ต้องชะงักไปเมื่อประตูยังถูกล็อกหญิงสาวจึงหันมามองเจ้าของรถตาขวางเพราะเธอรู้ว่าเขาตั้งใจแกล้งแน่นอน"ไม่เปิดเหรอ? ให้ฉันทะลุประตูไปเหรอ?"ไป๋ลู่จินที่ยังหงุดหงิดกับคำบ่นของชายหนุ่มจึงประชดเขาไปอีกรอบ จางหลินอี้จึงได้แต่หัวเราะในลำคอก่อนจะหันมามองใบหน้างอของหญิงสาวข้างกายด้วยสายตาดุ"ประชดฉันทั้งที่ตัวเองผิดมันไม่เกินไปหน่อยหรือไงไป๋ลู่จิน""พี่เองก็เป็นผู้ใหญ่การที่เด็กทำผิดแล้วสำนึกผิด ขอโทษแล้วมันก็เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรอภัย""ที่เธอทำมันหลายกระทง ทั้งหนีเที่ยว ไปนัดบอร์ด มีผู้ชายตามติด...""อ่าาาา ก็บอกว่าไม่ได้สนใจผู้ชายคนนั้นเลย"ลู่จินกลอกตามองบนเพราะขี้เกียจอธิบาย ทำไมเขาเอาแต่บ่นเป็นตาแก่นักหนาก็ไม่รู้"แล้วเขาจะโทรมาได้ยังไงถ้าเธอไม่ไปเชื่อมความสัมพันธ์""ไม่รู้ จะรู้ได้ยังไงพี่ก็เห็นว่าฉันเมาจำไม่ได้หรอก""งั้นจะกินทำไม หรือตั้งใจเมาเพื่อให้ผู้ชายคนนั้นสนใจ""หาเรื่องฉันตลอด เดี๋ยวโมโหก็จูบฉันอีกนิสัยไม่ดี"ไป๋ลู่จินพูดก่อนจะสะบัดตัวหันหนีไปทางกระจกอย่างไม่พอใจ เมื่อเธอพูดแบบนั้นหลินอี้ก็ถึงกับนิ่งไปใ
:จางหลินอี๋ตลอดทางกลับบ้านผมยังคงชำเลืองหางตามองหญิงสาวข้างกายเป็นระยะ เพราะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองเผลอให้อารมณ์นำเหตุผลเสียแล้ว ผมโมโหจนเผลอจูบเธอเข้าโดยที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองเผลอทำแบบนั้น…อาจจะเป็นเพราะไม่อยากให้เธอพูดอะไรไปมากกว่านั้นแล้วละมั้ง เพราะยิ่งพูดคนฟังอย่างผมก็ยิ่งโมโห! เพราะทุกอย่างที่พูดมามันเป็นสิ่งที่ผมไม่คิดว่าเธอจะกล้าทำมาก่อนผมคงไว้ใจเธอมากเกินไปพอรถจอดเทียบตัวบ้าน เมื่อหันไปมองอีกทีลู่จินก็ผล็อยหลับไปเสียแล้วอาจจะเป็นเพราะเธอเมามากนั่นแหละ ผมจึงต้องเดินอ้อมไปซ้อนตัวเธอขึ้นมาอุ้มอย่างระมัดระวังเพื่อจะพาเธอขึ้นห้องนอนช่วงเวลาที่ผมอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนคนตัวเล็กก็เอาแล้วบ่นพึมพำไม่เป็นภาษาจนผมต้องแอบมองใบหน้านั้นเป็นระยะ ไม่แน่ว่าที่เธอกำลังพึมพำอาจจะกำลังด่าผมในฝันอยู่ก็ได้ที่ผมเผลอเอาเปรียบเธอไปแบบนั้นเมื่อถึงห้องนอนผมก็จัดการวางร่างเล็กลงบนเตียงนุ่มของตัวเองเพื่อให้เธอได้นอนพัก ตอนแรกก็กะว่าจะพาเธอไปนอนที่ห้องแต่ก็กลัวว่าพรุ่งนี้เช้าเธอจะไม่ยอมตื่น แบบนั้นคงไปทำงานไม่ทันแน่น ยิ่งเพิ่งจะได้งานแบบนี้ขืนวันที่สองไปสายละก็คงไม่พ้นถูกไล่ออก"แล้วชุดสา