อีกด้านของลู่จิน เธอกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางกลิ่นกาแฟหอมๆ และกลิ่นขนมปังอบที่ไม่ต้องกินก็รับรู้ได้เลยว่ารสชาติดี สายตาหวานก็มองสำรวจรอบตัวร้านระหว่างรอเจ้าของร้านออกมาอย่างตื่นตาตื่นใจ
คาเฟ่เป็นสไตล์มินิมอลที่เน้นสีขาวและสีของไม้เป็นการตกแต่งหลัก ทำให้สามารถนั่งมองได้อย่างเพลิดเพลินไม่รู้สึกเบื่อแถมยังสบายตา ที่นี่แยกทุกอย่างเป็นโซนได้อย่างดีแต่ที่เธอสนใจที่สุดคงจะเป็นของตกแต่งที่มองก็ดูรู้มาจากประเทศไทยเสียส่วนใหญ่ ไม่แน่เจ้าของร้านอาจจะเป็นคนที่ชอบเมืองไทยมากก็ได้ ตึง! เสียงข้อความในโทรศัพท์ดังขึ้นเรียกความสนใจให้ลู่จินต้องหยิบมันขึ้นมาดู เจ้าของข้อความนั้นไม่ใช่ใครคือหลินอี้นั้นเอง 'โอนเงินค่าใช้จ่ายสำหรับอาทิตย์นี้ให้ ใช้อย่างประหยัด ได้งานหรือเปล่าก็บอกด้วย' 'จางหลินอี้' หืม? ลู่จินอ่านข้อความจากแชทของหลินอี้อย่างแปลกใจเธอไม่คิดว่าเขาจะให้เงินเธอด้วยซ้ำ ด้วยความไม่เชื่อเธอจึงรีบเข้าเช็กในบัญชีทันที 'เงินเข้า 10,xxx' "โหะ ของจริง0-0!!"ลู่จินถึงตกใจเมื่อเห็นยอดเงินเข้าที่โชว์อยู่หน้าจอ เธอไม่คิดว่าเขาจะห่วงเธอด้วยซ้ำทั้งๆ ที่เมื่อเช้าเขาไม่ถามอะไรเธอสักคำ "สวัสดีค่ะ" ระหว่างที่ลู่จินกำลังก้มหน้าตะลึงกับยอดเงินอยู่นั้นข้างกายเธอก็มีเสียงเล็กๆ ดังขึ้นเรียกความสนใจจากหญิงสาวให้หันไปมอง ภาพตรงหน้าคือหญิงสาวในชุดลำลองเรียบร้อยกำลังลากเก้าอี้เธอออกมานั่งใกล้ๆ แถมยังยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร ดูจากใบหน้าเล็กๆ นั้นเธอคงยังเรียนอยู่แน่นอน "สวัสดีค่ะ มาสัมภาษณ์งานเหมือนเหรอคะ"ลู่จินเปิดบทสนทนาก่อนเพื่อสร้างความสนิทสนม "ค่ะ หนูชื่อนกยูงค่ะมาสมัครพาสไทม์ค่ะ"เด็กสาวยกมือไหว้ลู่จินด้วยความเคยชินจนทำให้ลู่จินต้องทักขึ้นเป็นภาษาไทยด้วยความสงสัย "น้องเป็นคนไทยเหรอคะ?" "โหะ! พี่พูดไทยได้! ค่ะหนูเป็นคนไทยพี่ก็เป็นคนไทยเหรอคะ?" "พี่เป็นลูกครึ่งไทยค่ะ ชื่อไป๋ลู่จิน สวัสดีค่ะ"ลู่จินยกมือไหว้เด็กสาวบ้างจนคนตรงต้องรีบรับไหว้ตามมารยาท ทั้งคู่หัวเราะกันคิกคักเป็นภาษาไทยจนเจ้าของร้านเริ่มรู้สึกสงสัยในภาษาที่คุ้นหู โชน...เจ้าของร้านวัย 27 ปี เดินออกมาจากห้องอบขนมด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะเขาเองก็เป็นคนไทยที่ย้ายมาอยู่ที่จีนด้วยเหตุผลบางอย่าง พอได้ยินภาษาไทยที่สำเนียงชัดเจนขนาดนี้มันก็อดจะให้ความสนใจไม่ได้ "โห..." ทั้งสองสาวเอ่ยขึ้นพร้อมกันเมื่อโชนเดินออกมาจากมุมที่มีแสงสว่างสอดส่องราวกับว่ากำลังเปิดตัวพระเอกหนัง เมื่อทั้งคู่มองเห็นร่างสูงโปร่งปรากฏตัวออกมาก็หันมายิ้มให้กันและกันอย่างรู้ทัน เขาทั้งหล่อและดูเป็นคนอบอุ่นจนสะกดสายตาของทั้งสองสาย ใบหน้าหล่อคมสามารถดึงดูดสายตาของทั้งคู่ให้หยุดมองได้อย่างดี ร่างสูงถอดเสื้อคลุมกันเปื้อนแขวนไว้ข้างผนังก่อนจะลากเก้าอี้ออกมานั่งตรงข้ามทั้งสองคน ก่อนจะเทชาที่วางอยู่บนโต๊ะส่งให้ทั้งคู่ด้วยความสงบนิ่ง "พวกคุณคือคนที่มาสมัครงานใช่ไหม?"โชนเอ่ยถามเป็นภาษาไทยเพื่อทวนความคิดว่าที่เขาได้ยินเมื่อครู่เขาไม่ได้คิดไปเอง "ใช่ค่ะ คุณก็พูดภาษาไทยได้เหรอ"นกยูงเอ่ยถามเขาอย่างตื่นเต้น "ผมเป็นคนไทยแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่...เข้าเรื่องเถอะไหนๆ ก็รู้ภาษาไทยกันหมดก็ใช่ภาษาไทยแล้วกันเอาเป็นว่าผมรับคุณทั้งสองคน"สองสาวอึ้งหันมองหน้ากันอีกรอบ อะไรมันจะรับคนเข้าทำงานง่ายขนาดนั้น "ไม่ถามอะไรพวกเราก่อนเหรอคะ?"นกยูงเป็นคนเอ่ยถามเขาออกไปด้วยความงง "ไม่ ใครสมัครคนแรกก็รับคนนั้นทำงานไม่ดีค่อยไล่ออก" คำพูดหนักแน่นของเขาทำให้ทั้งสองคนถึงขั้นกลืนน้ำลายลงคอ การที่เขาใช้วิธีรับสมัครพนักงานแบบนี้นั้นแสดงว่าเขาเป็นคนให้ความสำคัญกับอะไรที่เป็นสิ่งแรกมากจนทั้งคู่แปลกใจแต่ก็ยืนยันกับเขาไปว่าจะทำงานนี้ให้เต็มที่ ระหว่างรอลูกค้าโชนก็จัดการอธิบายและชี้แจงงานที่ทั้งสองต้องทำรวมถึงเวลาเข้างานของทั้งคู่ด้วย งานที่ได้รับมอบหมายนั้นดูจะไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากนักเพียงชอบเสิร์ฟและช่วยดูขนมปังนิดหน่อยเพราะงานส่วนมากในโซนครัวเขาจะรับผิดชอบเองทั้งหมด แต่ว่าโชนได้เตือนทั้งสองคนไว้ล่วงหน้าว่าช่วงเวลาพักเที่ยงคนจะเยอะเป็นพิเศษแถมบางครั้งก็ต้องออกไปส่งของในแถวนี้ด้วยแต่ จะไม่ได้ส่งไกลนักถ้าจะให้นกยูงไปเขาค่อนข้างไม่ค่อยมั่นใจเพราะเธอเพิ่งได้ทุนมาเรียนต่อมหาวิทยาลัยและเพิ่งมาอยู่ได้แค่เดือนเดียวทำให้ยังไม่ค่อยคล่องในการเดินทางเท่าไหร่นักลู่จินเลยอาสาเป็นคนทำหน้าที่ไปส่งแทนเพราะแถวนี้เธอค่อนข้างคุ้นเคย "มีใครมีปัญหาไหม..." "ไม่มีค่ะ"ลู่จินตอบ "เอิ่ม พี่โชนคะ? คือหนูทำงานมากกว่าเวลาที่พี่กำหนดได้ไหม พอดีปีแรกของมหาวิทยาลัยหนูตารางเรียนไม่เยอะค่ะ" นกยูงพูดพร้อมกับยกมือแนบหูเหมือนเด็กๆ ทำเอาลู่จินเอ็นดูเด็กสาวไม่น้อยเลย ส่วนโชนเขาก็พยักหน้าแทนคำตอบเนื่องจากยังไงสะค่าแรงของทั้งสองคนก็คิดเป็นชั่วโมงจะทำมากทำน้อยเขาก็ไม่ได้มีปัญหา วันนี้ทั้งสองสาวเริ่มงานกันอย่างขะมักเขม้นและดูเหมือนว่านกยูงจะเข้ากับลู่จินได้ดีเป็นพิเศษ อาจจะเพราะทั้งคู่คุยกันถูกคอแถมยังเป็นผู้หญิงเหมือนกันทำให้โชนรู้สึกว่าร้านของเขาน่าเข้ามากขึ้นเยอะเลย ก่อนหน้านี้ที่เขามาเปิดร้านที่นี่มันถูกเปิดด้วยความเศร้าใจของตัวเขาเองทำให้บรรยากาศในร้านดูเงียบไปด้วยแต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเริ่มสดใสขึ้นมาบ้างแล้ว ร้านของโชนมีชื่อเดียวกันกับชื่อเขาคือ 'โชน' เนื่องด้วยตอนนั้นที่เขาหนีอาการอกหักมาจากเมืองไทยเลยอยากมีธุรกิจเล็กๆ เป็นของตัวเอง พอเปิดร้านนี่ขึ้นกลับคิดชื่อไม่ออกเลยใช้ชื่อตัวเองแทน ที่นี่เปิดมาได้ปีกว่าๆ และเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นทำให้เขาแทบจะไม่มีเวลาส่วนตัวนั้นเลยเป็นสาเหตุที่เขารับสมัครพนักงาน "ลู่จิน" "ค่ะ พี่"ลู่จินขานรับ "ส่งของหน่อย ลาเต้กับครัวซอง สองชุด" "ที่ไหนคะ?" "บริษัทจางหลินตรงข้ามน่ะ ชั้นบนห้องผู้บริหาร" ลู่จินที่กำลังเปิดถุงเตรียมของที่จะไปส่งหยุดถึงกับชะงักทันที จางหลินนี้มันบริษัทของจางหลินอี้แถมชั้นบนก็ยังเป็นห้องทำงานของประธานก็คือห้องของจางหลินอี้ซึ่งตอนนี้เธอไม่อยากจะเจอเขาเลย ในใจลู่จินอยากจะหันไปวานให้นกยูงไปส่งของแทนแต่พอเห็นหน้าเด็กสาวที่กำลังเช็ดโต๊ะอย่างไม่รู้ภาษาเธอก็ต้องสูญหายใจเข้าลึกแล้วจัดการหิ้วของตรงไปยังบริษัททันที ...เอาน่าลู่จินยังไงมันก็คืองานของเธอ หรือนี่จะเป็นแผนอีตาหลินอี้ที่อยากจะแกล้งเราหรือเปล่า... ...จะเป็นไปได้ยังไงก็เรายังไม่ได้บอกเขาเลยว่าได้งานแล้ว... ตึง... ระหว่างที่ในสมองกำลังเถียงกันไปมาประตูลิฟต์ก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นความวุ่นวายมากมายในบริษัทใหญ่ ผู้คนต่างคุยกันจอแจจนไม่มีใครสังเกตเห็นเธอด้วยซ้ำ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เธอได้ขึ้นมาเหยียบด้านบนของบริษัทไม่คิดเลยว่าจะดูยุ่งมากขนาดนี้ ...แล้วห้องอีตานั่นไปทางไหนกันนะ... "เอิ่ม? มีอะไรหรือเปล่ามองหาอะไรอยู่เหรอ?" ชายร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตขาวกางเกงสีเข้มเอ่ยทักลู่จินที่เอาแต่ทำท่าทีลุกลี้ลุกลนจนไม่น่าไว้วางใจ ทำให้ซูเฟีย'เลขาประธานอย่างเขาต้องรีบเข้ามาสอบถามเธอเพื่อความมั่นใจ "อ่อ มาส่งของค่ะ ห้องประธาน"ลู่จินตอบพร้อมชูของในมือให้เขาดู "งั้นให้ผมก็ได้ ผมเป็นเลขาน่ะ...นี่เงินครับ"ซูเฟียยืนเงินให้ลู่จินแล้วรับของจากเธออย่างโล่งใจ "ส่งเสร็จแล้วฉันขอตัวก่อนค่ะ" กึก...ระหว่างที่ลู่จินกำลังดีใจที่ตัวเองไม่ต้องเจอหน้าหลินอี้ พอหันหลังจะเดินเข้าลิฟต์เท่านั้นกลับพบว่าจางหลินอี้กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอ... และเขากำลังมองเธอด้วยสายตาไม่พอใจเท่าไหร่นัก ทำให้ลู่จินเลือกที่จะไม่ทักเขาแล้วรีบสาวเท้าเดินผ่านหน้าเขาหนีเข้าไปในลิฟต์ คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ หลินอี้จะเดินตามเธอเข้ามาก่อนจะกดปิดลิฟต์โดยทันทีต่อหน้าเลขาที่กำลังยืนงงอยู่ด้านนอกพร้อมกับถุงกาแฟและครัวซองในมือ: ลู่จินภายในลิฟต์พี่หลินอี้ยังคงมองหน้าฉันนิ่งไม่คาดสายตาแถมยังทำหน้าดุจนฉันงงไปหมดว่าไปทำให้เขาไม่พอใจตอนไหนกัน ทั้งๆ ที่วันนี้ยังไม่ได้ทำเรื่องอะไรเลยสักอย่าง"พี่จะมองฉันด้วยสายตาดุๆ นั้นอีกนานไหม?""ไม่ตอบแชท ไม่ขอบคุณ ไม่แจ้งว่าตกลงได้งานไหม...มันคืออะไรลู่จิน"เขาพูดรัวๆ แสดงถึงความไม่พอใจที่ฉันเมินเฉยต่อข้อความเขา แต่ฉันมีเหตุผลนะ...ก็คนเราทำงานวันแรกจะให้หยิบโทรศัพท์มาตอบแชทก็คงดูไม่ดี แต่ถ้าตอบเขาแบบนี้เขาจะคิดว่าข้ออ้างไหมนะ"เอิ่ม...""พูด""ขอบคุณสำหรับเงินที่โอนมาให้ค่ะ ฉันจะใช้อย่างระวัง...แล้วงานก็ได้ทำแล้วค่ะ วันนี้เริ่มงานแล้ว"ฉันพูดลากเสียงยาวพร้อมกับก้มหัวต่ำให้เขาอย่างจงใจประชด แต่ดูเหมือนหลินอี้จะไม่ได้อารมณ์ดีขึ้นเลยแถมยังดูโมโหกว่าเดิมเสียอีก"ไป๋ลู่จิน...แล้วทำไมเธอไม่ตอบแชท""ฉันทำงานวันแรกนี่ จะให้มาจับโทรศัพท์มันก็น่าเกลียดพี่เป็นเจ้าคนนายคนอยากให้ลูกน้องตั้งใจทำงาน แต่ลูกน้องเอาแต่เล่นโทรศัพท์พี่จะชอบหรือเปล่าละ""อย่ามาย้อนนะ เธอแค่บอกได้งานแล้ว เลิกช่วงเย็นหรือช่วงดึกแค่นั้นมันยากเหรอ?"เขาถามฉันพร้อมคิ้วที่กำลังขมวดเข้าหากันช้าๆ ท่าทางเขาตอนนี้ดูอยากจะตี
ตกเย็นฉันรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่ฉันรู้สึกสนุกมากจริงๆ มันเป็นประสบการณ์ใหม่ของชีวิตเลยที่ฉันทำงานขนาดนี้ เพราะช่วงที่เรียนก็มีทำงานอยู่บ้างแต่ยังไม่ถึงขั้นตั้งใจทำงานแลกเงินแบบนี้พอก้มมองนาฬิกาในโทรศัพท์ก็พบว่าตอนนี้ก็ห้าโมงกว่าแล้ว ฉันกำลังเดินข้ามถนนมาหาพี่จางหลินอี้ตามที่เขาบอก ตอนมาส่งของรู้สึกว่าพี่เจ้าหน้าที่ให้ฉันขึ้นไปง่ายมากผิดกับตอนนี้ที่เขาแจ้งฉันว่าฉันจะต้องแจ้งเหตุผลในการมาอย่างชัดเจน!แล้วจะให้ฉันบอกว่าอะไร? มาหาประธานของคุณงี้เหรอ? คงไม่มีใครเชื่อเด็กแบบฉันแน่น"งั้นฉันนั่งรอเขาด้านล่างก็ได้ค่ะ""ถ้าเพื่อนเป็นพนักงานบริษัทนี้ป่านนี้เขาคงกลับไปกันหมดแล้วละ ลองโทรหาเขาสิถ้ามีหลักฐานพี่จะให้ขึ้น"ถึงพี่เจ้าหน้าที่จะบอกแบบนั้นแต่จะให้ฉันโทรหาพี่หลินอี้เพียงเพราะต้องการขึ้นไปมันก็ไม่ใช่เรื่อง ฉันเลยปฏิเสธแล้วอ้างว่าเพื่อนทำโอทีขอนั่งรอที่โซฟาด้านล่างดีกว่า"เอะ...ลู่จิน ไป๋ลู่จิน"ฉันหันไปตามเสียงเรียกจากด้านหลัง พอหันไปฉันก็ถึงขั้นต้องกระโดดโลดเต้นเมื่อคนตรงหน้าคือเพื่อนเก่าของฉันที่เคยเรียนด้วยกัน'เหมยลี่' ซึ่งเธอก็ห้อยบัตรพนักงานของบริษัทจางหลินอยู่ที่คอ"เหมยลี่ไม่ได
: บาร์หลังจากที่ลู่จินออกไปคุยโทรศัพท์เสร็จก็พยายามประคองตัวเองเข้ามาบอกเหมยลี่ให้รู้ว่าเธอต้องกลับเสียแล้ว วันนี้คงไม่ได้พักกับเหมยลี่ตามที่รับปาก แต่พอมาถึงที่โต๊ะกลับพบว่าเพื่อนสาวมีชายหนุ่มรูปหล่อนั่งติดกันอยู่"เหมยลี่...ฉันว่าฉันต้องกลับแล้ว"ลู่จินพยายามกระซิบข้างหูเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด แต่ดูเหมือนวันนี้เหมยลี่จะไม่ปล่อยเธอไปง่ายอย่างใจคิดเมื่อลู่จินถูกดึงให้นั่งลงข้างๆ เพื่อนรัก ก่อนเหมยลี่จะยื่นแก้วเหล้าให้เธอจนถึงปาก"ดื่มชดใช้เดี๋ยวนี้ ชดใช้ที่หายไปไม่บอกเพื่อน""อ่าา ฉันเมาแล้วเหมยลี่"ลู่จินพยายามอธิบายพร้อมใช้มือดันแก้วเหล้าให้ออกห่างตัว แค่ตอนนี้ที่เธอเป็นอยู่ก็มึนหัวจนแทบยืนไม่ไหวแล้ว"น๊าาาาาา""พอดีกว่าครับ...ลู่จินดูจะไม่ไหวแล้วเอาเป็นว่าผมดื่มแทนเธอนะ"ระหว่างที่เหมยลี่คะยั้นคะยอจะให้ลู่จินดื่มให้ได้ ชายหนุ่มที่เข้ารวมนัดเดทคนหนึ่งก็แย่งแก้วเหล้าไปจากมือเล็กก่อนจะดื่มแทนลู่จินจนหมดแก้ว ทำเอาทั้งสองสาวหันมองหน้ากันทันทีก่อนที่เหมยลี่จะระบายยิ้มล้อเลียนออกมาเป็นเชิงแซวความสัมพันธ์ของทั้งคู่"เห้ ลู่จินดูเหมือนอี๋เฉินจะสนใจเธอเลย"เหมยลี่กระซิบเบาๆ ที่ข้างหูเพ
:จางหลินอี๋ตลอดทางกลับบ้านผมยังคงชำเลืองหางตามองหญิงสาวข้างกายเป็นระยะ เพราะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองเผลอให้อารมณ์นำเหตุผลเสียแล้ว ผมโมโหจนเผลอจูบเธอเข้าโดยที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองเผลอทำแบบนั้น…อาจจะเป็นเพราะไม่อยากให้เธอพูดอะไรไปมากกว่านั้นแล้วละมั้ง เพราะยิ่งพูดคนฟังอย่างผมก็ยิ่งโมโห! เพราะทุกอย่างที่พูดมามันเป็นสิ่งที่ผมไม่คิดว่าเธอจะกล้าทำมาก่อนผมคงไว้ใจเธอมากเกินไปพอรถจอดเทียบตัวบ้าน เมื่อหันไปมองอีกทีลู่จินก็ผล็อยหลับไปเสียแล้วอาจจะเป็นเพราะเธอเมามากนั่นแหละ ผมจึงต้องเดินอ้อมไปซ้อนตัวเธอขึ้นมาอุ้มอย่างระมัดระวังเพื่อจะพาเธอขึ้นห้องนอนช่วงเวลาที่ผมอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนคนตัวเล็กก็เอาแล้วบ่นพึมพำไม่เป็นภาษาจนผมต้องแอบมองใบหน้านั้นเป็นระยะ ไม่แน่ว่าที่เธอกำลังพึมพำอาจจะกำลังด่าผมในฝันอยู่ก็ได้ที่ผมเผลอเอาเปรียบเธอไปแบบนั้นเมื่อถึงห้องนอนผมก็จัดการวางร่างเล็กลงบนเตียงนุ่มของตัวเองเพื่อให้เธอได้นอนพัก ตอนแรกก็กะว่าจะพาเธอไปนอนที่ห้องแต่ก็กลัวว่าพรุ่งนี้เช้าเธอจะไม่ยอมตื่น แบบนั้นคงไปทำงานไม่ทันแน่น ยิ่งเพิ่งจะได้งานแบบนี้ขืนวันที่สองไปสายละก็คงไม่พ้นถูกไล่ออก"แล้วชุดสา
รถแล่นจอดเทียบริมฟุตบาทหน้าคาเฟ่… ไป๋ลู่จินกำลังจะเปิดประตูลงรถเพื่อเข้างานแต่ต้องชะงักไปเมื่อประตูยังถูกล็อกหญิงสาวจึงหันมามองเจ้าของรถตาขวางเพราะเธอรู้ว่าเขาตั้งใจแกล้งแน่นอน"ไม่เปิดเหรอ? ให้ฉันทะลุประตูไปเหรอ?"ไป๋ลู่จินที่ยังหงุดหงิดกับคำบ่นของชายหนุ่มจึงประชดเขาไปอีกรอบ จางหลินอี้จึงได้แต่หัวเราะในลำคอก่อนจะหันมามองใบหน้างอของหญิงสาวข้างกายด้วยสายตาดุ"ประชดฉันทั้งที่ตัวเองผิดมันไม่เกินไปหน่อยหรือไงไป๋ลู่จิน""พี่เองก็เป็นผู้ใหญ่การที่เด็กทำผิดแล้วสำนึกผิด ขอโทษแล้วมันก็เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรอภัย""ที่เธอทำมันหลายกระทง ทั้งหนีเที่ยว ไปนัดบอร์ด มีผู้ชายตามติด...""อ่าาาา ก็บอกว่าไม่ได้สนใจผู้ชายคนนั้นเลย"ลู่จินกลอกตามองบนเพราะขี้เกียจอธิบาย ทำไมเขาเอาแต่บ่นเป็นตาแก่นักหนาก็ไม่รู้"แล้วเขาจะโทรมาได้ยังไงถ้าเธอไม่ไปเชื่อมความสัมพันธ์""ไม่รู้ จะรู้ได้ยังไงพี่ก็เห็นว่าฉันเมาจำไม่ได้หรอก""งั้นจะกินทำไม หรือตั้งใจเมาเพื่อให้ผู้ชายคนนั้นสนใจ""หาเรื่องฉันตลอด เดี๋ยวโมโหก็จูบฉันอีกนิสัยไม่ดี"ไป๋ลู่จินพูดก่อนจะสะบัดตัวหันหนีไปทางกระจกอย่างไม่พอใจ เมื่อเธอพูดแบบนั้นหลินอี้ก็ถึงกับนิ่งไปใ
เวลาพักกลางของไป๋ลู่จินได้หมดความสงบสุขไปแล้วเรียบร้อย เมื่อจางหลินอี้เอาแต่โทรจิกให้เธอมาส่งกาแฟอยู่ได้ทุกห้านาที! พอเธอบล็อกการติดต่อของเขา เขาก็ให้เลขาโทรเข้าเบอร์ร้านจนโชนถึงขั้นให้เธอรีบออกมาส่งได้ก่อนเวลาพัก ซึ่งตอนนี้เธอก็อยู่ในลิฟต์พร้อมเอสเปรสโซเย็นในมือด้วยความหงุดหงิด ทั้งๆ ที่เธอตั้งใจจะไม่มาแล้วแท้ๆ เชียวกลับต้องมาเพราะความปั่นประสาทของหลินอี้ตึง ประตูลิฟต์เปิดออกลู่จินก็ได้แต่ยืนมองซ้ายมองขวาหาห้องทำงานของหลินอี้ เพราะนี้เป็นยังไม่หมดเวลาพักเที่ยงทำให้ยังไม่มีพนักงานกลับมาอีกทั้งบริษัทนี่ก็กว้างใหญ่จนต้องใช้วิธีเดินหาลู่จินเลยเดินอ่านตามป้ายหน้าห้องไปเรื่อยๆ ไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาเธอจากด้านหลัง"แฮ!""ผีหลอก!!"ลู่จินต้องใจจนสะดุ้ง แต่เมื่อเธอหันไปมองต้นเสียงก็ยิ่งทำให้เธอหน้าซีดไปใหญ่เมื่อคนที่มาสะกิดเธอนั้นไม่ใช่ใครแต่กลับเป็นเหมยลี่เพื่อนรักเธอเองเหมยลี่ที่ได้เห็นเพื่อนรักในชุดยูนิฟอร์มของร้านก็ตื่นเต้นใหญ่มองสำรวจเธอไปทั่วทั้งตัวอย่างสนใจ"โห แกทำงานที่คาเฟ่พี่โชนเหรอ สุดยอดร้านนั้นเจ้าของหล่อมาก""ชะ ใช่ๆ พะ พักเสร็จเร็วเนอะ"ลู่จินยังคงพูดต
หลังจากกินข้าวเที่ยงกันเสร็จหลินอี้หันมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองพบเวลาก็ยังเหลืออยู่นิดหน่อย แถมหญิงสาวตรงหน้าพอกินอิ่มตาก็ผล็อยจะหลับแต่ยังคงทำเป็นนั่งมองนู่นนี่เพื่อทำให้ตัวเองตื่นตัว "ไปนอนโซฟาดีๆ""ฉันไม่ใช่เด็กสะหน่อยที่กินอิ่มแล้วต้องนอนหลับ"หลินอี้ทนเห็นลู่จินปากแข็งต่อไปไม่ไหวทั้งๆ ที่ดูง่วงขนาดนั้นเลยจัดการเดินเข้าไปซ้อนตัวเธอขึ้นแล้วอุ้มตรงไปที่โซฟากว้าง ลู่จินที่ตกใจกับการกระทำอันรวดเร็วของเขาก็ได้แต่กอดคอคนตัวสูงไว้แน่นเพราะกลัวว่าเขาจะแกล้งโยนเธอลงโซฟาแต่เปล่าเลยเขาค่อยๆ วางร่างเธอลงบนโซฟาเบาอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอาหมอนอิงมารองหัวให้ราวกับพ่อเอาลูกเข้านอนทำเอาลู่จินถึงกับสับสนในการกระทำที่แปลกไปของเขา"มองอะไร...หลงรักฉันหรือไง?""ประสาท หลงตัวเอง!"ลู่จินแบะริมฝีปากก่อนจะล้มตัวนอนลงบนโซฟา"หึ นอนไปเถอะ""กลัวไม่ทันเวลาเข้างาน""ฉันมีประชุมตอนเธอเข้างานพอดี ตั้งเวลาไว้แล้ว""แล้วพี่จะนั่งลงทำไม"ลู่จินถามสายตาก็มองหลินอี้ที่กำลังนั่งลงบนโซฟาปลายเท้าเธอทั้งๆ ที่ยังมีโซฟาตัวเล็กอยู่ไม่ไกลกัน ก่อนที่เขาจะเอนหัวพิงขอบโซฟาแล้วหลับตาลงราวกับเหนื่อยล้าเต็มที"ฉันก็อยากพักบ้าง วันนี้
:ลู่จินอึดอัดชะมัด...ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านพี่หลินอี้ก็ไม่พูดอะไรกับฉันเลยสักคำเอาแต่ตีหน้านิ่งจนฉันรู้สึกกังวล ฉันถามก็ไม่ค่อยจะตอบอย่างกับว่าเขากำลังคิดมากเรื่องอะไรอยู่อย่างนั้นแหละ การที่เขาเงียบไปไม่มีเหตุผลแบบนี้มันทำให้ฉันคิดมากชะมัดเลยหรือจะเป็นเพราะงานเขาเยอะเกินไป? ฉันควรช่วยงานเขาเสียหน่อยไหมนะ...นี้ก็ดึกมากแล้วยังเห็นไฟห้องนอนของเขาเปิดอยู่เลย ถ้าอยากช่วยฉันควรทำยังไงนะ ไปเคาะประตูแล้วถามเขาว่ามีอะไรให้ช่วยไหมคะ? แบบนี้เลยดีไหมนะ?ตืด ตืด 'เหมยลี่'"ฮัลโหลเหมยลี่! พอดีเลยฉันมีเรื่องจะปรึกษาแกพอดี"(ก่อนปรึกษา ฉันขอบ่นเรื่องเจ้านายให้ฟังก่อนได้ไหม วันนี้นะหลังแกกลับไปเขาให้ฉันแก้เอกสารเป็นร้อยหน้าเลยเว้ย ฉันเกือบตายแล้วเนี่ย คงเพราะแกเข้าไปนอนในห้องเขาแน่ๆ เลย)เหมยลี่บ่นอุบอย่างไม่พอใจและคิดว่ามันเป็นเพราะฉันไปแอบนอนหลับ ควรจะบอกความจริงกับเหมยลี่ไหมนะว่าเขาเป็นคนสั่งให้ฉันนอนพักเอง ไม่ได้สิ...ถ้าพูดเรื่องนั้นเหมยลี่ก็ต้องสงสัยอีกว่าทำไมเขาถึงยอมให้ฉันนอนได้แล้วฉันก็ต้องถูกต้อนให้ตอบคำถามจนเรื่องที่เราทั้งคู่เป็นคู่หมั้นกันหลุดแน่นอน"เอิ่ม...เอาเป็นว่าฉันจะชดเชยให้นะ"
ไม่รอช้าร่างสูงเปลี่ยนทิศทางเดินตรงเข้ามาหาทั้งสองคนทันที ทำเอาพนักงานแถวนั้นรีบทำความเคารพกันจ้าละหวั่นที่เห็นประธานเดินตรงเข้ามาด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ลู่จินและมู่อี๋เฉินเห็นท่าทางที่แปลกไปของคนรอบข้างก็รีบหันกลับไปดูด้านหลังตัวเองด้วยความสงสัย ก่อนที่มู่อี๋เฉินจะระบายยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร เขาคิดว่าถ้าเขาสนใจผู้หญิงคนนี้เขาก็ควรทำตัวดีต่อพี่ชายเธอเสียหน่อยผิดกับลู่จินที่เมื่อได้เห็นใบหน้าบูดบึ้งของหลินอี้ก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะค่อยๆ ขยับเท้าน้อยๆ เข้าไปใกล้เพื่อถามว่าทำไมเขาถึงมายืนจ้องเธอแบบนี้"พี่...มาตรงนี้ทำไม"เสียงเล็กเอ่ยถามเบา"เธอมาที่นี่ทำไม..."แต่ต้องถูกเขาย้อนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด แถมท่าทางที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแบบนั้นลู่จินรู้ได้เลยว่าถ้าเธอเถียงเขาแม้แต่คำเดียว เขาสามารถด่าเธอได้ตรงนี้ไม่อายคน"ฉันมาทำงานค่ะ เอาของขึ้นมาส่ง""แล้ว..."หลินอี้ตวัดสายตาไปมองมู่อี๋เฉินที่ยังคงยืนยิ้มอย่างนอบน้อม"ผมมาประชุมครับ ผมได้รับบทนำเป็นพระเอก"มู่อี๋เฉินอธิบาย"ฉันรู้ว่านายคือพระเอกที่สปอนเซอร์เลือก แต่ที่ฉันถามคือ...นายมาอยู่ตรงนี้กับลู่จิน…ทำไม"การเน
บ้านซูฉวี่"ผิดแผน ผิดแผนไปหมด! น่าโมโหจริงๆ"มือเรียวระดมปาข้าวของลงพื้นเพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิด ในสมองก็ยังนึกถึงภาพสายตาที่แสดงความห่วงใยของหลินอี้ที่มองหญิงสาวคนนั้นไม่หาย "ใจเย็นๆ ก่อนซูฉวี่ ถ้าอย่างนั้นเธอไม่ต้องไปรับงานนี้ไหมล่ะ"จีจี้ผู้จัดส่วนตัวของซูฉวี่เอ่ยในขณะที่ตามเก็บข้าวของตามพื้นที่ถูกซูฉวี่ขว้างปาเพื่อระบายอารมณ์โมโห "ไม่! ฉันจะรับงานนี้การที่เขาไม่แคร์ฉันมันยิ่งทำให้ฉันอยากจะเอาชนะใจเขาให้ได้""ซูฉวี่ มันไม่เสียเวลาไปหน่อยหรือไง ถ้าเขาไม่สนใจก็คือไม่สนใจนะ""คิดหน่อยสิพี่จีจี้ ถ้าเขาเกิดหลงรักฉันขึ้นมาจริงๆ มันจะคุ้มค่าแค่ไหน?"ใบหน้าสวยระหงเชิดขึ้นอย่างมั่นใจ"อย่าลืมสิว่าเขาเป็นใครและรวยแค่ไหน"ซูฉวี่พูดอย่างภูมิใจในตัวเป้าหมายที่เธอเลือก ตอนนี้จางหลินอี้ถือว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่กำลังได้รับการยอมรับจากบรรดานักธุรกิจชั้นนำของประเทศ ซูฉวี่จึงคิดว่าผู้ชายอายุยังน้อยแต่ประสบความสำเร็จขนาดนี้มันช่างน่าสนใจและเธอไม่มีทางเชื่อว่าเธอจะทำให้เขารักเธอไม่ได้"แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีใจให้ผู้หญิงคนนั้นนะ คนที่อยู่ในห้อง""ฉันถึงให้พี่ไปสืบไง แล้วตกลงเธอเป็นใคร""ไป๋ลู่จิน..
ก๊อกๆเสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจจากสองหนุ่มสาวให้หันไปมอง ภาพตรงหน้าคือนางแสดงสาวที่เป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายในบริษัทกำลังยืนอยู่ในชุดเดรสสีแดงสดด้วยสายตาไม่พอใจนัก ด้านหลังยังมีผู้จัดการส่วนตัวที่เดินตามมาติดๆ ด้วยสีหน้าซีดเซียวบ่งบอกว่าเธอคงเพิ่งถูกดาราสาวต่อว่ามาแน่นอน ลู่จินที่เห็นความสวยของหญิงสาวตรงหน้าก็ถึงกับชะงักไปก่อนสมองจะนึกขึ้นได้ว่าผู้หญิงคนนี้คือ'ซูฉวี่'นักแสดงที่กำลังโด่งดัง ผิดกับหลินอี้ที่เมื่อได้เห็นนักแสดงสาวก็ถึงกับหัวเราะในลำคอเพราะไม่คิดว่าเหยื่อจะติดกับเร็วขนาดนี้จริงๆ แล้วเขาให้ซูเฟียไปกระจายข่าวเปิดรับนักแสดงนำคนใหม่เพื่อจงใจให้ซูฉวี่รู้ว่าเขาไม่ได้แคร์ถ้าต้องเปลี่ยนตัวนักแสดง ตอนนี้เรื่องมันกลายเป็นทางซูฉวี่เองที่ต้องมาหาเขาถึงที่เพราะกำลังจะเสียงานไปแล้วจริงๆ"ประธานจางฉันขอคุยด้วยหน่อย"ซูฉวี่พูดพร้อมกับมองจ้องมายังลู่จินที่กำลังคีบไก่เข้าปาก ลู่จินเองเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ควรอยู่ตรงนี้เลยรีบเก็บข้าวของเพื่อจะออกไปแต่กลับถูกหลินอี้ดึงข้อมือไว้ก่อนจะตักปีกไก่น้ำแดงมาวางไว้ในถ้วยข้าวของเธอ"นั่งกินให้เรียบร้อย""ฉันอิ่มแล้ว..."ลู่จินพูดพร้อมชำเลือง
หลายวันต่อมาชีวิตประจำวันระหว่างลู่จินและหลินอี้ก็ยังคงดำเนินไปตามปกติ ทั้งคู่ยังคงไปกลับบ้านพร้อมกันทุกวัน และลู่จินยังคงมาทานข้าวเที่ยงที่หลินอี้เตรียมไว้ให้แลกกับการที่เธอต้องมาส่งกาแฟเขาทุกวันเช่นกันจนตอนนี้คนในบริษัทเริ่มจะคุ้นชินกับการมาของเธอโดยที่ทุกคนเข้าใจว่าเธอเป็นคนรู้จักของหลินอี้แต่บางคนก็บอกว่าเธอคือคนที่กำลังพยายามเข้าหาหลินอี้ซึ่งตัวเธอก็ไม่เคยคิดจะอธิบายแต่วันนี้เหตุการณ์ในบริษัทดูเคร่งเครียดกว่าปกติทุกคนเอาแต่ก้มหน้าทำงานอย่างแข็งขันและเดินสวนกันไปมาให้วุ่น ลู่จินที่เก็บความสงสัยไว้ในใจไม่ไหวเลยตั้งใจเดินไปหาเพื่อนรักที่แผนเพื่อสอบถามเรื่องนี้"เหมยลี่ๆ""เอ้า มาส่งกาแฟเหรอ ทำไมมาแผนกฉันละ"เหมยลี่ถามเพื่อนรักในขณะที่สายตายังคงจดจ่อกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เต็มไปด้วยรูปดาราสาวหลายคน ดูเหมือนเธอเองก็กำลังยุ่งไม่น้อย"เอิ่ม วันนี้ที่บริษัทดูยุ่งจังเลยเนอะ""ยุ่งสิ อยู่ๆ ซูฉวี่นางเอกที่ถูกวางตัวในมินิซีรีส์เรื่องใหม่ก็ขอถอนตัวกะทันหันอีกสองวันจะประชุมผู้บริหารแล้วด้วย ถ้าสปอนเซอร์รู้ว่าเรายังไม่มีนางเอกให้เขาอาจจะแย่ได้""เอ้า! แล้วทำไมถึงถอนตัวแบบนี้""เพราะประธานของเร
:ลู่จินอึดอัดชะมัด...ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านพี่หลินอี้ก็ไม่พูดอะไรกับฉันเลยสักคำเอาแต่ตีหน้านิ่งจนฉันรู้สึกกังวล ฉันถามก็ไม่ค่อยจะตอบอย่างกับว่าเขากำลังคิดมากเรื่องอะไรอยู่อย่างนั้นแหละ การที่เขาเงียบไปไม่มีเหตุผลแบบนี้มันทำให้ฉันคิดมากชะมัดเลยหรือจะเป็นเพราะงานเขาเยอะเกินไป? ฉันควรช่วยงานเขาเสียหน่อยไหมนะ...นี้ก็ดึกมากแล้วยังเห็นไฟห้องนอนของเขาเปิดอยู่เลย ถ้าอยากช่วยฉันควรทำยังไงนะ ไปเคาะประตูแล้วถามเขาว่ามีอะไรให้ช่วยไหมคะ? แบบนี้เลยดีไหมนะ?ตืด ตืด 'เหมยลี่'"ฮัลโหลเหมยลี่! พอดีเลยฉันมีเรื่องจะปรึกษาแกพอดี"(ก่อนปรึกษา ฉันขอบ่นเรื่องเจ้านายให้ฟังก่อนได้ไหม วันนี้นะหลังแกกลับไปเขาให้ฉันแก้เอกสารเป็นร้อยหน้าเลยเว้ย ฉันเกือบตายแล้วเนี่ย คงเพราะแกเข้าไปนอนในห้องเขาแน่ๆ เลย)เหมยลี่บ่นอุบอย่างไม่พอใจและคิดว่ามันเป็นเพราะฉันไปแอบนอนหลับ ควรจะบอกความจริงกับเหมยลี่ไหมนะว่าเขาเป็นคนสั่งให้ฉันนอนพักเอง ไม่ได้สิ...ถ้าพูดเรื่องนั้นเหมยลี่ก็ต้องสงสัยอีกว่าทำไมเขาถึงยอมให้ฉันนอนได้แล้วฉันก็ต้องถูกต้อนให้ตอบคำถามจนเรื่องที่เราทั้งคู่เป็นคู่หมั้นกันหลุดแน่นอน"เอิ่ม...เอาเป็นว่าฉันจะชดเชยให้นะ"
หลังจากกินข้าวเที่ยงกันเสร็จหลินอี้หันมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองพบเวลาก็ยังเหลืออยู่นิดหน่อย แถมหญิงสาวตรงหน้าพอกินอิ่มตาก็ผล็อยจะหลับแต่ยังคงทำเป็นนั่งมองนู่นนี่เพื่อทำให้ตัวเองตื่นตัว "ไปนอนโซฟาดีๆ""ฉันไม่ใช่เด็กสะหน่อยที่กินอิ่มแล้วต้องนอนหลับ"หลินอี้ทนเห็นลู่จินปากแข็งต่อไปไม่ไหวทั้งๆ ที่ดูง่วงขนาดนั้นเลยจัดการเดินเข้าไปซ้อนตัวเธอขึ้นแล้วอุ้มตรงไปที่โซฟากว้าง ลู่จินที่ตกใจกับการกระทำอันรวดเร็วของเขาก็ได้แต่กอดคอคนตัวสูงไว้แน่นเพราะกลัวว่าเขาจะแกล้งโยนเธอลงโซฟาแต่เปล่าเลยเขาค่อยๆ วางร่างเธอลงบนโซฟาเบาอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอาหมอนอิงมารองหัวให้ราวกับพ่อเอาลูกเข้านอนทำเอาลู่จินถึงกับสับสนในการกระทำที่แปลกไปของเขา"มองอะไร...หลงรักฉันหรือไง?""ประสาท หลงตัวเอง!"ลู่จินแบะริมฝีปากก่อนจะล้มตัวนอนลงบนโซฟา"หึ นอนไปเถอะ""กลัวไม่ทันเวลาเข้างาน""ฉันมีประชุมตอนเธอเข้างานพอดี ตั้งเวลาไว้แล้ว""แล้วพี่จะนั่งลงทำไม"ลู่จินถามสายตาก็มองหลินอี้ที่กำลังนั่งลงบนโซฟาปลายเท้าเธอทั้งๆ ที่ยังมีโซฟาตัวเล็กอยู่ไม่ไกลกัน ก่อนที่เขาจะเอนหัวพิงขอบโซฟาแล้วหลับตาลงราวกับเหนื่อยล้าเต็มที"ฉันก็อยากพักบ้าง วันนี้
เวลาพักกลางของไป๋ลู่จินได้หมดความสงบสุขไปแล้วเรียบร้อย เมื่อจางหลินอี้เอาแต่โทรจิกให้เธอมาส่งกาแฟอยู่ได้ทุกห้านาที! พอเธอบล็อกการติดต่อของเขา เขาก็ให้เลขาโทรเข้าเบอร์ร้านจนโชนถึงขั้นให้เธอรีบออกมาส่งได้ก่อนเวลาพัก ซึ่งตอนนี้เธอก็อยู่ในลิฟต์พร้อมเอสเปรสโซเย็นในมือด้วยความหงุดหงิด ทั้งๆ ที่เธอตั้งใจจะไม่มาแล้วแท้ๆ เชียวกลับต้องมาเพราะความปั่นประสาทของหลินอี้ตึง ประตูลิฟต์เปิดออกลู่จินก็ได้แต่ยืนมองซ้ายมองขวาหาห้องทำงานของหลินอี้ เพราะนี้เป็นยังไม่หมดเวลาพักเที่ยงทำให้ยังไม่มีพนักงานกลับมาอีกทั้งบริษัทนี่ก็กว้างใหญ่จนต้องใช้วิธีเดินหาลู่จินเลยเดินอ่านตามป้ายหน้าห้องไปเรื่อยๆ ไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาเธอจากด้านหลัง"แฮ!""ผีหลอก!!"ลู่จินต้องใจจนสะดุ้ง แต่เมื่อเธอหันไปมองต้นเสียงก็ยิ่งทำให้เธอหน้าซีดไปใหญ่เมื่อคนที่มาสะกิดเธอนั้นไม่ใช่ใครแต่กลับเป็นเหมยลี่เพื่อนรักเธอเองเหมยลี่ที่ได้เห็นเพื่อนรักในชุดยูนิฟอร์มของร้านก็ตื่นเต้นใหญ่มองสำรวจเธอไปทั่วทั้งตัวอย่างสนใจ"โห แกทำงานที่คาเฟ่พี่โชนเหรอ สุดยอดร้านนั้นเจ้าของหล่อมาก""ชะ ใช่ๆ พะ พักเสร็จเร็วเนอะ"ลู่จินยังคงพูดต
รถแล่นจอดเทียบริมฟุตบาทหน้าคาเฟ่… ไป๋ลู่จินกำลังจะเปิดประตูลงรถเพื่อเข้างานแต่ต้องชะงักไปเมื่อประตูยังถูกล็อกหญิงสาวจึงหันมามองเจ้าของรถตาขวางเพราะเธอรู้ว่าเขาตั้งใจแกล้งแน่นอน"ไม่เปิดเหรอ? ให้ฉันทะลุประตูไปเหรอ?"ไป๋ลู่จินที่ยังหงุดหงิดกับคำบ่นของชายหนุ่มจึงประชดเขาไปอีกรอบ จางหลินอี้จึงได้แต่หัวเราะในลำคอก่อนจะหันมามองใบหน้างอของหญิงสาวข้างกายด้วยสายตาดุ"ประชดฉันทั้งที่ตัวเองผิดมันไม่เกินไปหน่อยหรือไงไป๋ลู่จิน""พี่เองก็เป็นผู้ใหญ่การที่เด็กทำผิดแล้วสำนึกผิด ขอโทษแล้วมันก็เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรอภัย""ที่เธอทำมันหลายกระทง ทั้งหนีเที่ยว ไปนัดบอร์ด มีผู้ชายตามติด...""อ่าาาา ก็บอกว่าไม่ได้สนใจผู้ชายคนนั้นเลย"ลู่จินกลอกตามองบนเพราะขี้เกียจอธิบาย ทำไมเขาเอาแต่บ่นเป็นตาแก่นักหนาก็ไม่รู้"แล้วเขาจะโทรมาได้ยังไงถ้าเธอไม่ไปเชื่อมความสัมพันธ์""ไม่รู้ จะรู้ได้ยังไงพี่ก็เห็นว่าฉันเมาจำไม่ได้หรอก""งั้นจะกินทำไม หรือตั้งใจเมาเพื่อให้ผู้ชายคนนั้นสนใจ""หาเรื่องฉันตลอด เดี๋ยวโมโหก็จูบฉันอีกนิสัยไม่ดี"ไป๋ลู่จินพูดก่อนจะสะบัดตัวหันหนีไปทางกระจกอย่างไม่พอใจ เมื่อเธอพูดแบบนั้นหลินอี้ก็ถึงกับนิ่งไปใ
:จางหลินอี๋ตลอดทางกลับบ้านผมยังคงชำเลืองหางตามองหญิงสาวข้างกายเป็นระยะ เพราะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองเผลอให้อารมณ์นำเหตุผลเสียแล้ว ผมโมโหจนเผลอจูบเธอเข้าโดยที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองเผลอทำแบบนั้น…อาจจะเป็นเพราะไม่อยากให้เธอพูดอะไรไปมากกว่านั้นแล้วละมั้ง เพราะยิ่งพูดคนฟังอย่างผมก็ยิ่งโมโห! เพราะทุกอย่างที่พูดมามันเป็นสิ่งที่ผมไม่คิดว่าเธอจะกล้าทำมาก่อนผมคงไว้ใจเธอมากเกินไปพอรถจอดเทียบตัวบ้าน เมื่อหันไปมองอีกทีลู่จินก็ผล็อยหลับไปเสียแล้วอาจจะเป็นเพราะเธอเมามากนั่นแหละ ผมจึงต้องเดินอ้อมไปซ้อนตัวเธอขึ้นมาอุ้มอย่างระมัดระวังเพื่อจะพาเธอขึ้นห้องนอนช่วงเวลาที่ผมอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนคนตัวเล็กก็เอาแล้วบ่นพึมพำไม่เป็นภาษาจนผมต้องแอบมองใบหน้านั้นเป็นระยะ ไม่แน่ว่าที่เธอกำลังพึมพำอาจจะกำลังด่าผมในฝันอยู่ก็ได้ที่ผมเผลอเอาเปรียบเธอไปแบบนั้นเมื่อถึงห้องนอนผมก็จัดการวางร่างเล็กลงบนเตียงนุ่มของตัวเองเพื่อให้เธอได้นอนพัก ตอนแรกก็กะว่าจะพาเธอไปนอนที่ห้องแต่ก็กลัวว่าพรุ่งนี้เช้าเธอจะไม่ยอมตื่น แบบนั้นคงไปทำงานไม่ทันแน่น ยิ่งเพิ่งจะได้งานแบบนี้ขืนวันที่สองไปสายละก็คงไม่พ้นถูกไล่ออก"แล้วชุดสา