นั่นคือคำพูดที่เต็มไปด้วยความฝันในอนาคตและสามารถเป็นจริงได้ เพราะชุติมามีฐานะทางครอบครัวร่ำรวย เธอเป็นลูกสาวของนักธุรกิจ
ช่างแตกต่างจากเกลียวลินินนักเกลียวลินินจะทำอย่างไรได้ นอกจากอึ้ง และยินดีกับเพื่อนด้วย ส่วนหล่อนเองก็ได้แต่สู้มานะบากบั่น ตามแต่ความสามารถเท่าที่จะทำได้
เช่นในการเรียนระดับปริญญาตรี หล่อนตั้งเป้าหมายเพื่อจบการศึกษา คงพอทำให้ชีวิตมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้
“ฉันพูดเอาไว้ในอนาคตก่อนจ้ะอย่าคิดมากเลย นะเกลียว และถึงวันนั้นฉันก็รู้สึกใจหายที่ต้องจากทุกคนไป”
“แต่มันเป็นอนาคตนะ ชุน่าจะยินดี กับโอกาสที่หยิบยื่นมาหาชุ ทั้งๆที่คนอื่นแทบไม่มี”
เกลียวลินินพูดก็เหมือนนึกถึงตัวเองและชุติมาเข้าใจ
ชุติมามาเยี่ยมที่หอพักได้ไม่นานนัก พากันมาคุยที่เก้าอี้ข้างล่างและเอ่ยพูดด้วยความเป็นห่วงเกลียวลินิน ซึ่งพยักหน้ารับ เข้าใจดีถึงความห่วงใยของเพื่อนรัก จากนั้นก็นั่งแท็กซี่กลับ
“งานการ อย่าทำจนหักโหมเลยนะ ถนอมสุขภาพตัวเองไว้บ้างเถอะเกลียวแต่คิดว่าเรียนจบแล้วเกลียวคงจะได้งานที่ดีกว่านี้”
เกลียวลินินก็คิดหวังเช่นนั้นเหมือนกัน
แต่ไม่อยากคิดอะไรมาก เพราะไม่อยากไขว่คว้าวิมานในอากาศ
“ขอบใจมากนะจ้ะ ชุ ที่หวังดีกับเกลียวมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
และครั้นเมื่อเวลาผันผ่านไปถึงปัจจุบันในปีพ.ศ. 2541 เทอมนี้เป็นเทอมสุดท้าย มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีพื้นที่ราว500กว่าไร อยู่ติดกับถนนใหญ่
ตัวตึกสูงของอาคารเหล่านั้น ก็เป็นที่ตั้งของคณะต่างๆซึ่งมีทั้งตึกใหม่และเก่าสลับกัน เนื่องจากระยะเวลาการก่อตั้งยาวนานยี่สิบห้าปี เคียงคู่การศึกษาระดับอุดมศึกษาของไทยมาอย่างยาวนานพอสมควร ผลิตบัณฑิตออกมารับใช้สังคมประเทศชาติมาแล้วยี่สิบกว่ารุ่น
ซึ่งความโดดเด่นไม่แพ้ มหาวิทยาลัยแห่งอื่นที่เปิดสอนระดับปริญญาตรีเช่นกันทางด้านวิชาการบุคคลากรของทางมหาวิทยาลัย คือบรรดาอาจารย์นั้นล้วนเป็นผู้ทรงความรู้ทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิมีความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขา รวมทั้งจบการศึกษาจากต่างประเทศ และในประเทศล้วนระดับปริญญาโทและเอกมีดีกรีเกียรตินิยมบัณฑิตพ่วงท้ายถึงความสามารถและการเป็นที่ยอมรับนับถือและศรัทธา
ใต้ร่มเงาครื้มของต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาทั้งพวงชมพู ศรีตรังคำแสด พญาไร้ใบ สาละอินเดีย ประดู่
โต๊ะและเก้าอี้หินอ่อนที่ตั้งอยู่นั้นวางสลับเรียงรายตามใต้ร่มเงาไม้เหมาะสำหรับเป็นมุมให้นักศึกษาเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจในจังหวะนั้นร่างระหงหน้าหวานสะดุดตา ที่เดินผ่านเข้ามา แต่ก็มีเสียงทักขึ้นจากเขา
“รู้ไหม เกลียว ผมมานั่งคอยคุณอยู่ตั้งนานเลยนะ”
“คุณ ภิญตรัย”
เขาเองชื่อภิญตรัย ชายหนุ่มหน้าตาคมคายค่อนข้างใสและขาวจัดและมีสง่าราศีที่เปล่งประกาย ในความเป็นผู้ดีจากตระกูลนักธุรกิจ
แม้ภาวะ ณ ขณะนี้ทำให้หล่อนสับสน ไม่สามารถแก้ปัญหาเองได้จะว่าไปนั้นก็พึ่งพาภิญตรัยไปบ้างเหมือนกัน และหลายครั้งพอสมควร จนหล่อนนึกเกรงใจ ไม่กล้าไปขอร้องเขา
แต่มันก็เหมือนกับชีวิตของหล่อนตกอยู่ ในหนทางที่ตีบตัน เมื่อเร็วๆนี้ หล่อนถูกยื่นซองขาวให้ออกจากงาน ทั้งที่ยังไม่ได้จ่ายค่าเช่าหอพัก
หวังอยากจะนำเงินเดือนจากบริษัทมาชดใช้หนี้
หล่อนไม่ได้ทำงานมาแล้วสามวันหลังจากที่ถูกออกแบบกะทันหัน ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง แสนอับอาย
เมื่อสมองนั้นหนักอึ้งอีกอย่างเกลียวลินินต้องเตรียมคำตอบแก่เจ้าหนี้และเจ้าของหอพักที่ทางนี้ยินยอมปรานี ผ่อนผันให้หล่อนมาหลายครั้ง คราวนี้เห็นทีจะไม่ได้
มันมากและเกินจำนวนที่เจ้าของหอพักหญิงแห่งนี้ นางสุดาจะยินยอมให้อีกครั้งถือว่าได้พูดไว้เป็นครั้งสุดท้าย
ภิญตรัยรู้สึกแปลกใจกับน้ำเสียงท่าทางและใบหน้าของเกลียวลินิน เหมือนคนเก็บงำทุกข์ แต่ไม่ยอมเผยบอกเขา
“เดินเหมือนคนเหม่อลอยใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”
เกลียวลินินไม่ได้ตอบคำถามของเขา
“เกลียวก็ใกล้จะจบการศึกษาแล้วนี่จบแล้วจะเรียนต่อหรือทำงานล่ะเกลียว”
เขาพยายามถามหล่อน
แต่เกลียวลินินไม่มีอารมณ์ตอบเขาเลยด้วยซ้ำหล่อนอยู่ในภาวะของคน ที่กำลังจะสิ้นหนทาง ทั้งสับสนและเต็มไปด้วยความเครียด
ดังนั้นจึงพยายามหลีกเลี่ยงเขา
ทำให้ภิญตรัยได้แต่มองหล่อนด้วยความแปลกใจ ที่เกลียวลินินเอาแต่เก็บตัว พอถามอะไรหล่อนก็ไม่ยอมตอบเขาออกมา
ทำให้นึกถึงเรื่องหนึ่งปีนี้วาเลนไทน์ใกล้จะคืบคลานมาแล้ว ความฟุ้งซ่านของคนที่ไม่มีทางออก ทำให้เกลียวลินิน กล้าตัดสินใจออกไป
แม้จะเป็นหนทางที่ต่ำ แม้หล่อนจะเข้าไปขอกับภิญตรัยในเรื่องนี้ แต่รู้สึกว่าจำนวนเงินมันสูงอย่างมาก ทำให้ไม่กล้า แม้ว่าภิญตรัยจะใจดีใจสปอร์ต แต่ครอบครัวเขาล่ะ
เกลียวลินินคิดว่า มารดาของเขาไม่ชอบหน้าของหล่อน คงคิดว่าจะมาเกาะเขา รู้สึกอับอายถ้าถูกกล่าวด่าว่าอย่างรุนแรง เกลียวลินินจึงเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ในใจอย่างเดียว
บ่ายของวันนี้ หล่อนเดินมาที่เก่าและเจอเขา
หล่อนผินหน้ากลับมามองเขาอีกครั้ง ภิญตรัยชวนคุยเขาไม่รีบร้อนที่จะกลับ หรือมีธุระไปต่อที่ไหน เพราะนึกเป็นห่วงเกลียวลินิน ที่ท่าทางดูไม่ค่อยสบายเหมือนคนเจ็บป่วย
แต่เกลียวลินินไม่เคยสนใจสุขภาพของตนเอง
เขารู้ว่าหล่อนดื้อทุกครั้งเกี่ยวกับเรื่องนี้
หล่อนคิดดีแล้ว ภิญตรัยเป็นเป้าหมาย หล่อนคงจะต้องใจกล้าหน้าด้านเข้าหน่อย แม้ไม่เคยทำแต่ก็ต้องฝืนทำ
แล้วเขาจะมองหล่อนในแง่ไหน
เกลียวลินินคิดเหมือนกันหวาดระแวงไม่สบายใจไปหมดมันถึงทำให้หล่อนกล้าตัดสินใจทำอะไรที่ต่ำๆอย่างนี้ขึ้นมา
แต่หล่อนจะกล้าแค่ไหนซึ่งจะต้องหักความด้านอายของตนเองออกไป
“อ้าวนั่นมองอะไรผมยังงั้นล่ะจ้ะเกลียว ทำตาหวานเชียว”
“ค่ะก็เกลียวเห็นว่าวันนี้ดูคุณภิญนั้นยิ้มแย้มดีเหลือเกินค่ะ”
“อ้าวใครจะมาทำตัวเหมือนคนอมทุกข์อย่างเกลียวล่ะ”
รู้ว่าเขาประชดใส่หล่อนแต่เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็น
“คุณภิญคะฉันเองก็มีความสุขเหมือนกันนะคะ และความสุขนั้นอยู่ที่ใจของฉันต่างหากล่ะ”
เกลียวลินินก็ตอบเขาแบบนั้น
ในเวลาเช่นนี้นี้ภิญตรัยรอคอยด้วยความกระวนกระวายใจอีกครั้ง แล้วเมื่อไหร่หล่อนจะเลิกงานเสียทีนะ ทำให้เขานั้นอดบ่นไม่ได้ และความเป็นจริงตั้งแต่แรกนั้น เขาไม่อยากให้หล่อนทำงานแบบนี้หรอก เพราะมันเลิกดึกเกินไปและค่อนข้างอันตรายสำหรับตัวผู้หญิงคนเดียวแต่หล่อนก็ไม่ฟังเขาค่อนข้างดื้อนี่จะรู้ไหมว่าเขายืนรอคอยหล่อนเป็นเวลาเนิ่นนานแล้วนะ จนรู้สึกเมื่อย แต่เขาก็อดทนเพื่อที่จะบอกถึงความสำคัญของวันนี้ คือวันแห่งความรักไง หากเมื่อเหลือบมองดูนาฬิกาที่ข้อมืออีกครั้ง เขาอยากจะพาเธอไปทานข้าวในวันที่แสนจะโรแมนติกอย่างในวันนี้ ที่ดอกกุหลาบนั้นดูสะพรั่งพรึบเต็มไปทั่วท้องตลาดสดแล้วก็ราคาแพงที่สุดอย่างมากมาย คือ วันนี้ หากเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาเกลียวลินินอดที่จะแปลกใจไม่ได้อีกครั้งเพราะเขาโทร.ผ่านมือถือมาหา หล่อนไม่ได้รับหรอกเพราะทำงานอยู่ มาเปิดดูในภายหลังที่ล็อกเกอร์ส่วนตัวจึงได้รู้ว่าเขาโทร.มารู้ว่าหล่อนและเขาคบหากันมานานแต่เกลียวลินินไม่เคยวาดหวังสูงไปกว่านั้น ได้ยินเขาเอ่ยผ่านโทร.มือถือ หล่อนไม่เคยให้ความหวังเขา แต่ฝ่ายภิญตรัยต่างหากที่เขาเป็นฝ่ายตามตื้อหล่อน จนกระทั่งว่าเกลี
เพราะหล่อนเห็นค่าของเงินตราที่หามาได้ยากนั่นไง จึงคิดแบบนี้ ภิญตรัยนิ่งอึ้งกับคำพูดของหล่อน เพราะฐานะของหล่อนและเขาต่างกันราวฟ้ากับดินเขาร่ำรวยหากแต่หล่อนยากจน เป็นลูกสาวของชาวนาจากชนบท แต่ภิญตรัยไม่เคยคิดว่า สิ่งนี้จะเป็นอุปสรรคคอยขัดขวางความรักของเขาและหล่อน ตราบใดที่หัวใจทั้งสองดวงเกี่ยวก้อยไปด้วยกัน เห็นพ้องต้องกัน ภิญตรัยแน่วแน่ในสิ่งนี้ต่างหาก เขาไม่เคยทำอะไรที่นอกใจหล่อน ทำอะไรที่ขัดหูขัดตาหรือในทางเลวร้าย ทำให้เกลียวลินินยินยอมเชื่อมั่นในไมตรีของเขาเช่นเดียวกัน แต่ก็ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งหล่อนไม่กล้าไปรบกวนเขามาก นั่นเพราะความรู้สึกเกรงใจที่มีอยู่ในตัวของหล่อน แม้ภิญตรัยจะใจป้ำใจกว้างไม่คิดในสิ่งนี้ก็ตาม เนื่องจากเขาเกิดมาเหมือนกับคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดด้วยนั่นเอง จึงคิดแบบนี้ เพราะทุกคนในครอบครัวพากันตามใจเขาทุกอย่าง ในฐานะบุตรชายคนเล็ก ที่บิดาและมารดาห่วงหวงเขา และเอ็นดู ประดุจไข่ในหินมิปานเลยทีเดียว“โธ่ ..เกลียว อย่าคิดอย่างนั้นสิจ้ะ ภิญแค่อยากให้เกลียวยอมรับ และรับรู้ในความรักของเราทั้งสองคน”หล่อนก็รับรู้ในความรักของเขาเช่นกัน“ค่ะเกลียวรับรู้”“แต่อย่าคิ
“กลับกันเถอะค่ะ” หล่อนรบเร้าเขาอีกแล้ว เพราะใช้เวลาไปนานแล้วพอสมควรจนภิญตรัยอิ่มเอมใจแต่ว่า มันยังไม่หนำใจเขา เขาต้องการอีก อยากจะพาหล่อนไปท่องเที่ยว ทานอาหาร แต่คำพูดของเกลียวลินิน ทำให้เขานึกเปลี่ยนใจ เพราะเข้าใจว่า หล่อนต้องการพักผ่อน เพราะทำงานหนักและเพลียแทบจะทั้งวัน“จ้ะเดี๋ยวผมจะไปส่ง”“ไม่ต้องหรอกค่ะ เกลียวว่าจะกลับไปเอง”“นั่งรถเมล์นะเหรอ ไม่เอา ให้ผมไปส่ง อันตรายออกผมไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นนะเกลียว”ทุกครั้งที่เลิกงานนั้น หากไม่มีเขาอาสามาส่ง หล่อนก็นั่งรถเมล์กลับตามลำพังอยู่แล้ว เป็นปกติ ไม่ยุ่งยากใจอะไร เพราะนี่เป็นกิจวัตรประจำก็ว่าได้“ขึ้นรถเถอะ ผมจะไปส่งเดี๋ยวนี้ ผมไม่ยอมให้เกลียวนั่งรถเมล์กลับหรอกคืนนี้ นะจ้ะ”คำพูดที่อ่อนโยนสุภาพของเขา ทำให้หล่อนพยักหน้า หล่อนปฏิเสธเขาไม่ได้และภิญตรัยจะไม่ยอม เขาเป็นคนขี้น้อยใจไม่เบาด้วยเช่นกัน ระหว่างที่นั่งรถกับเขาหล่อนนั่งเงียบ ภิญตรัยพูดขึ้นบ้าง หลายคำ หล่อนก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง สนุกสนานเพลิดเพลินดีกับเขา ที่ภิญตรัยมีความสุขอย่างมากในสีหน้า จนกระทั่งว่ารถคันหรูแล่นขับมาหยุดจอดหน้าหอพักสตรีที่หล่อนพักอาศัยอยู่ แล้วเขาหยุดจอดให
นั่นคือคำพูดที่เต็มไปด้วยความฝันในอนาคตและสามารถเป็นจริงได้ เพราะชุติมามีฐานะทางครอบครัวร่ำรวย เธอเป็นลูกสาวของนักธุรกิจ ช่างแตกต่างจากเกลียวลินินนักเกลียวลินินจะทำอย่างไรได้ นอกจากอึ้ง และยินดีกับเพื่อนด้วย ส่วนหล่อนเองก็ได้แต่สู้มานะบากบั่น ตามแต่ความสามารถเท่าที่จะทำได้ เช่นในการเรียนระดับปริญญาตรี หล่อนตั้งเป้าหมายเพื่อจบการศึกษา คงพอทำให้ชีวิตมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ “ฉันพูดเอาไว้ในอนาคตก่อนจ้ะอย่าคิดมากเลย นะเกลียว และถึงวันนั้นฉันก็รู้สึกใจหายที่ต้องจากทุกคนไป”“แต่มันเป็นอนาคตนะ ชุน่าจะยินดี กับโอกาสที่หยิบยื่นมาหาชุ ทั้งๆที่คนอื่นแทบไม่มี”เกลียวลินินพูดก็เหมือนนึกถึงตัวเองและชุติมาเข้าใจ ชุติมามาเยี่ยมที่หอพักได้ไม่นานนัก พากันมาคุยที่เก้าอี้ข้างล่างและเอ่ยพูดด้วยความเป็นห่วงเกลียวลินิน ซึ่งพยักหน้ารับ เข้าใจดีถึงความห่วงใยของเพื่อนรัก จากนั้นก็นั่งแท็กซี่กลับ“งานการ อย่าทำจนหักโหมเลยนะ ถนอมสุขภาพตัวเองไว้บ้างเถอะเกลียวแต่คิดว่าเรียนจบแล้วเกลียวคงจะได้งานที่ดีกว่านี้” เกลียวลินินก็คิดหวังเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ไม่อยากคิดอะไรมาก เพราะไม่อยากไขว่คว้าวิมานในอา
“กลับกันเถอะค่ะ” หล่อนรบเร้าเขาอีกแล้ว เพราะใช้เวลาไปนานแล้วพอสมควรจนภิญตรัยอิ่มเอมใจแต่ว่า มันยังไม่หนำใจเขา เขาต้องการอีก อยากจะพาหล่อนไปท่องเที่ยว ทานอาหาร แต่คำพูดของเกลียวลินิน ทำให้เขานึกเปลี่ยนใจ เพราะเข้าใจว่า หล่อนต้องการพักผ่อน เพราะทำงานหนักและเพลียแทบจะทั้งวัน“จ้ะเดี๋ยวผมจะไปส่ง”“ไม่ต้องหรอกค่ะ เกลียวว่าจะกลับไปเอง”“นั่งรถเมล์นะเหรอ ไม่เอา ให้ผมไปส่ง อันตรายออกผมไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นนะเกลียว”ทุกครั้งที่เลิกงานนั้น หากไม่มีเขาอาสามาส่ง หล่อนก็นั่งรถเมล์กลับตามลำพังอยู่แล้ว เป็นปกติ ไม่ยุ่งยากใจอะไร เพราะนี่เป็นกิจวัตรประจำก็ว่าได้“ขึ้นรถเถอะ ผมจะไปส่งเดี๋ยวนี้ ผมไม่ยอมให้เกลียวนั่งรถเมล์กลับหรอกคืนนี้ นะจ้ะ”คำพูดที่อ่อนโยนสุภาพของเขา ทำให้หล่อนพยักหน้า หล่อนปฏิเสธเขาไม่ได้และภิญตรัยจะไม่ยอม เขาเป็นคนขี้น้อยใจไม่เบาด้วยเช่นกัน ระหว่างที่นั่งรถกับเขาหล่อนนั่งเงียบ ภิญตรัยพูดขึ้นบ้าง หลายคำ หล่อนก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง สนุกสนานเพลิดเพลินดีกับเขา ที่ภิญตรัยมีความสุขอย่างมากในสีหน้า จนกระทั่งว่ารถคันหรูแล่นขับมาหยุดจอดหน้าหอพักสตรีที่หล่อนพักอาศัยอยู่ แล้วเขาหยุดจอดให
เพราะหล่อนเห็นค่าของเงินตราที่หามาได้ยากนั่นไง จึงคิดแบบนี้ ภิญตรัยนิ่งอึ้งกับคำพูดของหล่อน เพราะฐานะของหล่อนและเขาต่างกันราวฟ้ากับดินเขาร่ำรวยหากแต่หล่อนยากจน เป็นลูกสาวของชาวนาจากชนบท แต่ภิญตรัยไม่เคยคิดว่า สิ่งนี้จะเป็นอุปสรรคคอยขัดขวางความรักของเขาและหล่อน ตราบใดที่หัวใจทั้งสองดวงเกี่ยวก้อยไปด้วยกัน เห็นพ้องต้องกัน ภิญตรัยแน่วแน่ในสิ่งนี้ต่างหาก เขาไม่เคยทำอะไรที่นอกใจหล่อน ทำอะไรที่ขัดหูขัดตาหรือในทางเลวร้าย ทำให้เกลียวลินินยินยอมเชื่อมั่นในไมตรีของเขาเช่นเดียวกัน แต่ก็ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งหล่อนไม่กล้าไปรบกวนเขามาก นั่นเพราะความรู้สึกเกรงใจที่มีอยู่ในตัวของหล่อน แม้ภิญตรัยจะใจป้ำใจกว้างไม่คิดในสิ่งนี้ก็ตาม เนื่องจากเขาเกิดมาเหมือนกับคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดด้วยนั่นเอง จึงคิดแบบนี้ เพราะทุกคนในครอบครัวพากันตามใจเขาทุกอย่าง ในฐานะบุตรชายคนเล็ก ที่บิดาและมารดาห่วงหวงเขา และเอ็นดู ประดุจไข่ในหินมิปานเลยทีเดียว“โธ่ ..เกลียว อย่าคิดอย่างนั้นสิจ้ะ ภิญแค่อยากให้เกลียวยอมรับ และรับรู้ในความรักของเราทั้งสองคน”หล่อนก็รับรู้ในความรักของเขาเช่นกัน“ค่ะเกลียวรับรู้”“แต่อย่าคิ
ในเวลาเช่นนี้นี้ภิญตรัยรอคอยด้วยความกระวนกระวายใจอีกครั้ง แล้วเมื่อไหร่หล่อนจะเลิกงานเสียทีนะ ทำให้เขานั้นอดบ่นไม่ได้ และความเป็นจริงตั้งแต่แรกนั้น เขาไม่อยากให้หล่อนทำงานแบบนี้หรอก เพราะมันเลิกดึกเกินไปและค่อนข้างอันตรายสำหรับตัวผู้หญิงคนเดียวแต่หล่อนก็ไม่ฟังเขาค่อนข้างดื้อนี่จะรู้ไหมว่าเขายืนรอคอยหล่อนเป็นเวลาเนิ่นนานแล้วนะ จนรู้สึกเมื่อย แต่เขาก็อดทนเพื่อที่จะบอกถึงความสำคัญของวันนี้ คือวันแห่งความรักไง หากเมื่อเหลือบมองดูนาฬิกาที่ข้อมืออีกครั้ง เขาอยากจะพาเธอไปทานข้าวในวันที่แสนจะโรแมนติกอย่างในวันนี้ ที่ดอกกุหลาบนั้นดูสะพรั่งพรึบเต็มไปทั่วท้องตลาดสดแล้วก็ราคาแพงที่สุดอย่างมากมาย คือ วันนี้ หากเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาเกลียวลินินอดที่จะแปลกใจไม่ได้อีกครั้งเพราะเขาโทร.ผ่านมือถือมาหา หล่อนไม่ได้รับหรอกเพราะทำงานอยู่ มาเปิดดูในภายหลังที่ล็อกเกอร์ส่วนตัวจึงได้รู้ว่าเขาโทร.มารู้ว่าหล่อนและเขาคบหากันมานานแต่เกลียวลินินไม่เคยวาดหวังสูงไปกว่านั้น ได้ยินเขาเอ่ยผ่านโทร.มือถือ หล่อนไม่เคยให้ความหวังเขา แต่ฝ่ายภิญตรัยต่างหากที่เขาเป็นฝ่ายตามตื้อหล่อน จนกระทั่งว่าเกลี