เพราะหล่อนเห็นค่าของเงินตราที่หามาได้ยากนั่นไง จึงคิดแบบนี้
ภิญตรัยนิ่งอึ้งกับคำพูดของหล่อน เพราะฐานะของหล่อนและเขาต่างกันราวฟ้ากับดินเขาร่ำรวยหากแต่หล่อนยากจน เป็นลูกสาวของชาวนาจากชนบท
แต่ภิญตรัยไม่เคยคิดว่า สิ่งนี้จะเป็นอุปสรรคคอยขัดขวางความรักของเขาและหล่อน ตราบใดที่หัวใจทั้งสองดวงเกี่ยวก้อยไปด้วยกัน เห็นพ้องต้องกัน ภิญตรัยแน่วแน่ในสิ่งนี้ต่างหาก
เขาไม่เคยทำอะไรที่นอกใจหล่อน ทำอะไรที่ขัดหูขัดตาหรือในทางเลวร้าย ทำให้เกลียวลินินยินยอมเชื่อมั่นในไมตรีของเขาเช่นเดียวกัน
แต่ก็ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งหล่อนไม่กล้าไปรบกวนเขามาก นั่นเพราะความรู้สึกเกรงใจที่มีอยู่ในตัวของหล่อน
แม้ภิญตรัยจะใจป้ำใจกว้างไม่คิดในสิ่งนี้ก็ตาม เนื่องจากเขาเกิดมาเหมือนกับคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดด้วยนั่นเอง จึงคิดแบบนี้
เพราะทุกคนในครอบครัวพากันตามใจเขาทุกอย่าง ในฐานะบุตรชายคนเล็ก ที่บิดาและมารดาห่วงหวงเขา และเอ็นดู ประดุจไข่ในหินมิปานเลยทีเดียว
“โธ่ ..เกลียว อย่าคิดอย่างนั้นสิจ้ะ ภิญแค่อยากให้เกลียวยอมรับ และรับรู้ในความรักของเราทั้งสองคน”
หล่อนก็รับรู้ในความรักของเขาเช่นกัน
“ค่ะเกลียวรับรู้”
“แต่อย่าคิดอะไรมากมายเกินไปจะได้ไหม”
เขาเหมือนตำหนิหล่อนคงหาว่าหล่อนเรื่องมาก ก็ตามแต่ความคิดของเขาแล้วกัน
“เพราะว่าความรักของคุณมันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดกับ ชีวิตของผมมากเลยนะ.. รู้ไหมจ้ะ เกลียวจ๋า และผมไม่รู้สึกเสียดายหรอก กับเงินที่เสียใจ เป็นความพอใจของผมมากกว่า”
ภิญตรัยก็พูดอย่างนั้นได้นี่ เพราะเขามีเงินทองใช้เหลือเฟือ และใช้อย่างมือเติบ ค่อนไปทางสุรุ่ยสุร่ายด้วยก็เห็นจะได้ เพราะหล่อนเองก็เห็นกับตา
ผิดไปจากหล่อนที่ค่อนข้างกระเหม็ดกระเหม่จะใช้เงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์ต้องให้คุ้มค่า
แม้หล่อนจะประหยัดในการใช้เงินก็ตาม แต่ค่าครองชีพปัจจุบันใจกลางเมืองหลวงสูงยิ่งนัก บางทีเงินเดือนไม่พอใช้ด้วยซ้ำ
ต้องหาหยิบยืมเอาจากเพื่อนทำงานแบบเดือนชนเดือน แต่หล่อนต้องสู้อุตสาหะเพราะมีเป้าหมายและทิศทางของอนาคต
คือให้เรียนจบในระดับมหาวิทยาลัย จะได้ออกไปทำงานที่เงินเดือนสูง ตามวุฒิการศึกษาระดับปัญญาชน ที่ตลาดแรงงานต้องการ
หล่อนวาดหวังเพียงเท่านี้ ไม่ได้วาดหวังมากมายสูงเกินเอื้อม
แต่นี่คือชีวิตของหล่อนจริงๆ ลูกสาวชาวนาคนหนึ่ง ที่ดิ้นรนใฝ่ฝันในเรื่องการศึกษาเพื่อต่อยอดให้กับอนาคตของตัวเองและครอบครัว กินดีอยู่ดีไม่อดอยากก็เพียงพอ
“จ้ะ เกลียวจ๋า อย่าไปคิดมากเลย เพราะวันนี้คืนนี้เป็นคืนวันที่คนทั้งโลกเขาบอกรักแฟนเค้าทั้งนั้นแหละจ้ะ”
หล่อนเข้าใจในคำพูดของเขา แต่อดแย้งเขาไม่ได้อยู่ดี
“เกลียวเข้าใจค่ะ แต่ก็เสียดายตังค์”
“โธ่ เกลียวจ๋า อย่าพูดแบบนี้สิจะ ภิญไม่อยากให้พูด”
“ทำไมคะ ภิญตรัย เพราะระหว่างเกลียวกับคุณนั้น ฐานะเราแตกต่างกันมาก เกลียวนั้นไม่ใจกว้างพอที่จะใช้เงินแบบสุรุ่ยสุร่าย ถึงเป็นอย่างนี้ก็ตามเถอะค่ะตอนนี้เกลียวก็แทบจะไม่มีเงินเก็บ”
เขาเข้าใจความรู้สึกของหล่อนจึงนิ่งมากกว่าเถียง หล่อนกำลังเล่าปัญหาส่วนตัวของหล่อนให้เขาฟัง
แม้เกลียวลินินจะไม่ค่อยบอกเรื่องแบบนี้กับเขาเป็นการส่วนตัว หล่อนมักจะเลี่ยงไม่พูดตรงๆ นั่นเพราะคิดว่า ถึงอย่างไรภิญตรัยก็ยังเป็นแค่แฟนหนุ่ม
เขาไม่ได้เป็นอย่างอื่น ในฐานะพิเศษที่หล่อนจะพึ่งพิงเขาได้ เช่นฐานะสามี
แค่คิดเหลียวลินินก็ไม่อยากจะอาจเอื้อม
และภิญตรัยไม่เคยรับรู้เรื่องนี้ ในใจของหล่อน
เพราะว่าเกลียวลินินไม่เคยปริปากบอกเขาในเรื่องนี้ ให้เขาได้ยินๆได้ฟัง และช่วยติดตามแก้ปัญหาให้หล่อน
แม้เขาจะเอ่ยถามเพราะความรักและความเห็น
แต่เกลียวลินินก็ปากแข็ง ดื้อดึงกับเขา
แม้ในเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนตัวก็ตาม ถึงแม้จะอัตคัดเพียงใด บางครั้งข้าวไม่ตกลงถึงกระเพาะของหล่อน หล่อนก็ยังฝืนยิ้มทำหน้าชื่นตาบานบอกเขา ว่าหล่อนทานข้าวมาเรียบร้อยแล้ว
นี่คือการอดทนของหล่อน และหล่อนอดทนอย่างมาก ไม่เคยใช้วิธีต่ำทรามเหมือนนักศึกษาบางคนที่เป็นเพื่อนในมหาวิทยาลัย ชักชวนให้หล่อนทำงานกลางคืน
ตามผับบาร์และบาร์ แต่งกายนุ่งน้อยห่มน้อย ให้แขกสัมผัสและแตะต้องตัวได้ แต่เกลียวลินินไม่เคยเลือกอย่างนั้น เพราะหล่อนคิดว่าต่ำทรามในความรู้สึกและศีลธรรม
“คุณพูดได้เสมอค่ะภิญตรัยเพราะคุณไม่เคยรู้จักรสชาติความลำบากว่ามันเป็นยังไงทรมานมากแค่ไหน”
เกลียวลินินเพียงแต่อยากให้เขาเห็นภาพคร่าวๆ
และภิญตรัยก็ยอมรับออกมาจริงๆว่า ภาพและรสชาติแบบนั้นตั้งแต่เกิดมาลืมตาดูโลก เขาไม่เคยสัมผัสเลยจริง
เพราะบิดาและมารดาเลี้ยงดูรักใคร่ประคบประงม เหมือนริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยสักนิด
ภิญตรัยจึงชินกับความสุขสบายตลอดเวลา
เขายอมรับในคำพูดของหล่อน
“ภิญยอมรับว่าภิญไม่เคยรู้จักรสชาติของความลำบาก”
“ไม่แปลกหรอกค่ะภิญตรัยเพราะคุณเกิดมามีความพร้อมทุกอย่างแล้ว แต่อยากให้คุณมองดูโลกนี้บ้าง อีกทางหนึ่งเหลียวแลมองคนอีกฟากที่เขาดิ้นรนต่อสู้ไม่ได้สุขสบายเหมือนคุณ”
หล่อนเพียงต้องการจะบอกกล่าวชีวิตของหล่อนให้เขาฟังเท่านั้น เป็นคำพูดที่ซ่อนแฝง ไม่ได้ระบุชื่อตัวตนออกมา
แต่เขาก็คงสามารถเดาได้ว่า นั่นมันเป็นชีวิตของหล่อนทั้งนั้น
“ชีวิตของเกลียวใช่ไหม”
เขาเดาถูก หล่อนก็เพียงแต่พยักหน้าให้กับเขาเท่านั้น
พากันนิ่งคุยนานมาก หล่อนอยากจะกลับบ้านแล้ว
เพราะสิ่งที่ภิญตรัยต้องการนั้น ถือว่าหล่อนก็ตอบรับเขาไปแล้ว ดอกกุหลาบที่ราคาแสนแพง
แต่มันใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลยในความคิดของหล่อน คงต้องปล่อยทิ้งไว้กับแจกันให้มันเหี่ยวแห้งจนสนิทเหมือนเมื่อปีก่อน
ที่ภิญตรัยซื้อให้หล่อน อย่างไม่รู้สึกเสียดมเสียดายเงินตราสักนิด อย่างว่าล่ะนะ คนเกิดมารวยเขามีพร้อมกับสรรพสิ่งทุกอย่าง ไม่ต้องไขว่คว้าและดิ้นรนเหมือนหล่อน
นึกๆไปแล้วก็อดแอบอิจฉาเขาไม่ได้
แต่หล่อนต้องมามองถึงชีวิตจริงด้วย ที่หล่อนไม่มีแบบนั้น นั่นล่ะเกลียวลินินจึงคิดได้ ไม่อยากใฝ่ฝันและคว้าไขว่กับวิมานกลางอากาศ ที่จะไม่มีวันเกิดขึ้นตามความจริง
“กลับกันเถอะค่ะ” หล่อนรบเร้าเขาอีกแล้ว เพราะใช้เวลาไปนานแล้วพอสมควรจนภิญตรัยอิ่มเอมใจแต่ว่า มันยังไม่หนำใจเขา เขาต้องการอีก อยากจะพาหล่อนไปท่องเที่ยว ทานอาหาร แต่คำพูดของเกลียวลินิน ทำให้เขานึกเปลี่ยนใจ เพราะเข้าใจว่า หล่อนต้องการพักผ่อน เพราะทำงานหนักและเพลียแทบจะทั้งวัน“จ้ะเดี๋ยวผมจะไปส่ง”“ไม่ต้องหรอกค่ะ เกลียวว่าจะกลับไปเอง”“นั่งรถเมล์นะเหรอ ไม่เอา ให้ผมไปส่ง อันตรายออกผมไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นนะเกลียว”ทุกครั้งที่เลิกงานนั้น หากไม่มีเขาอาสามาส่ง หล่อนก็นั่งรถเมล์กลับตามลำพังอยู่แล้ว เป็นปกติ ไม่ยุ่งยากใจอะไร เพราะนี่เป็นกิจวัตรประจำก็ว่าได้“ขึ้นรถเถอะ ผมจะไปส่งเดี๋ยวนี้ ผมไม่ยอมให้เกลียวนั่งรถเมล์กลับหรอกคืนนี้ นะจ้ะ”คำพูดที่อ่อนโยนสุภาพของเขา ทำให้หล่อนพยักหน้า หล่อนปฏิเสธเขาไม่ได้และภิญตรัยจะไม่ยอม เขาเป็นคนขี้น้อยใจไม่เบาด้วยเช่นกัน ระหว่างที่นั่งรถกับเขาหล่อนนั่งเงียบ ภิญตรัยพูดขึ้นบ้าง หลายคำ หล่อนก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง สนุกสนานเพลิดเพลินดีกับเขา ที่ภิญตรัยมีความสุขอย่างมากในสีหน้า จนกระทั่งว่ารถคันหรูแล่นขับมาหยุดจอดหน้าหอพักสตรีที่หล่อนพักอาศัยอยู่ แล้วเขาหยุดจอดให
นั่นคือคำพูดที่เต็มไปด้วยความฝันในอนาคตและสามารถเป็นจริงได้ เพราะชุติมามีฐานะทางครอบครัวร่ำรวย เธอเป็นลูกสาวของนักธุรกิจ ช่างแตกต่างจากเกลียวลินินนักเกลียวลินินจะทำอย่างไรได้ นอกจากอึ้ง และยินดีกับเพื่อนด้วย ส่วนหล่อนเองก็ได้แต่สู้มานะบากบั่น ตามแต่ความสามารถเท่าที่จะทำได้ เช่นในการเรียนระดับปริญญาตรี หล่อนตั้งเป้าหมายเพื่อจบการศึกษา คงพอทำให้ชีวิตมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ “ฉันพูดเอาไว้ในอนาคตก่อนจ้ะอย่าคิดมากเลย นะเกลียว และถึงวันนั้นฉันก็รู้สึกใจหายที่ต้องจากทุกคนไป”“แต่มันเป็นอนาคตนะ ชุน่าจะยินดี กับโอกาสที่หยิบยื่นมาหาชุ ทั้งๆที่คนอื่นแทบไม่มี”เกลียวลินินพูดก็เหมือนนึกถึงตัวเองและชุติมาเข้าใจ ชุติมามาเยี่ยมที่หอพักได้ไม่นานนัก พากันมาคุยที่เก้าอี้ข้างล่างและเอ่ยพูดด้วยความเป็นห่วงเกลียวลินิน ซึ่งพยักหน้ารับ เข้าใจดีถึงความห่วงใยของเพื่อนรัก จากนั้นก็นั่งแท็กซี่กลับ“งานการ อย่าทำจนหักโหมเลยนะ ถนอมสุขภาพตัวเองไว้บ้างเถอะเกลียวแต่คิดว่าเรียนจบแล้วเกลียวคงจะได้งานที่ดีกว่านี้” เกลียวลินินก็คิดหวังเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ไม่อยากคิดอะไรมาก เพราะไม่อยากไขว่คว้าวิมานในอา
ในเวลาเช่นนี้นี้ภิญตรัยรอคอยด้วยความกระวนกระวายใจอีกครั้ง แล้วเมื่อไหร่หล่อนจะเลิกงานเสียทีนะ ทำให้เขานั้นอดบ่นไม่ได้ และความเป็นจริงตั้งแต่แรกนั้น เขาไม่อยากให้หล่อนทำงานแบบนี้หรอก เพราะมันเลิกดึกเกินไปและค่อนข้างอันตรายสำหรับตัวผู้หญิงคนเดียวแต่หล่อนก็ไม่ฟังเขาค่อนข้างดื้อนี่จะรู้ไหมว่าเขายืนรอคอยหล่อนเป็นเวลาเนิ่นนานแล้วนะ จนรู้สึกเมื่อย แต่เขาก็อดทนเพื่อที่จะบอกถึงความสำคัญของวันนี้ คือวันแห่งความรักไง หากเมื่อเหลือบมองดูนาฬิกาที่ข้อมืออีกครั้ง เขาอยากจะพาเธอไปทานข้าวในวันที่แสนจะโรแมนติกอย่างในวันนี้ ที่ดอกกุหลาบนั้นดูสะพรั่งพรึบเต็มไปทั่วท้องตลาดสดแล้วก็ราคาแพงที่สุดอย่างมากมาย คือ วันนี้ หากเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาเกลียวลินินอดที่จะแปลกใจไม่ได้อีกครั้งเพราะเขาโทร.ผ่านมือถือมาหา หล่อนไม่ได้รับหรอกเพราะทำงานอยู่ มาเปิดดูในภายหลังที่ล็อกเกอร์ส่วนตัวจึงได้รู้ว่าเขาโทร.มารู้ว่าหล่อนและเขาคบหากันมานานแต่เกลียวลินินไม่เคยวาดหวังสูงไปกว่านั้น ได้ยินเขาเอ่ยผ่านโทร.มือถือ หล่อนไม่เคยให้ความหวังเขา แต่ฝ่ายภิญตรัยต่างหากที่เขาเป็นฝ่ายตามตื้อหล่อน จนกระทั่งว่าเกลี
นั่นคือคำพูดที่เต็มไปด้วยความฝันในอนาคตและสามารถเป็นจริงได้ เพราะชุติมามีฐานะทางครอบครัวร่ำรวย เธอเป็นลูกสาวของนักธุรกิจ ช่างแตกต่างจากเกลียวลินินนักเกลียวลินินจะทำอย่างไรได้ นอกจากอึ้ง และยินดีกับเพื่อนด้วย ส่วนหล่อนเองก็ได้แต่สู้มานะบากบั่น ตามแต่ความสามารถเท่าที่จะทำได้ เช่นในการเรียนระดับปริญญาตรี หล่อนตั้งเป้าหมายเพื่อจบการศึกษา คงพอทำให้ชีวิตมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ “ฉันพูดเอาไว้ในอนาคตก่อนจ้ะอย่าคิดมากเลย นะเกลียว และถึงวันนั้นฉันก็รู้สึกใจหายที่ต้องจากทุกคนไป”“แต่มันเป็นอนาคตนะ ชุน่าจะยินดี กับโอกาสที่หยิบยื่นมาหาชุ ทั้งๆที่คนอื่นแทบไม่มี”เกลียวลินินพูดก็เหมือนนึกถึงตัวเองและชุติมาเข้าใจ ชุติมามาเยี่ยมที่หอพักได้ไม่นานนัก พากันมาคุยที่เก้าอี้ข้างล่างและเอ่ยพูดด้วยความเป็นห่วงเกลียวลินิน ซึ่งพยักหน้ารับ เข้าใจดีถึงความห่วงใยของเพื่อนรัก จากนั้นก็นั่งแท็กซี่กลับ“งานการ อย่าทำจนหักโหมเลยนะ ถนอมสุขภาพตัวเองไว้บ้างเถอะเกลียวแต่คิดว่าเรียนจบแล้วเกลียวคงจะได้งานที่ดีกว่านี้” เกลียวลินินก็คิดหวังเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ไม่อยากคิดอะไรมาก เพราะไม่อยากไขว่คว้าวิมานในอา
“กลับกันเถอะค่ะ” หล่อนรบเร้าเขาอีกแล้ว เพราะใช้เวลาไปนานแล้วพอสมควรจนภิญตรัยอิ่มเอมใจแต่ว่า มันยังไม่หนำใจเขา เขาต้องการอีก อยากจะพาหล่อนไปท่องเที่ยว ทานอาหาร แต่คำพูดของเกลียวลินิน ทำให้เขานึกเปลี่ยนใจ เพราะเข้าใจว่า หล่อนต้องการพักผ่อน เพราะทำงานหนักและเพลียแทบจะทั้งวัน“จ้ะเดี๋ยวผมจะไปส่ง”“ไม่ต้องหรอกค่ะ เกลียวว่าจะกลับไปเอง”“นั่งรถเมล์นะเหรอ ไม่เอา ให้ผมไปส่ง อันตรายออกผมไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นนะเกลียว”ทุกครั้งที่เลิกงานนั้น หากไม่มีเขาอาสามาส่ง หล่อนก็นั่งรถเมล์กลับตามลำพังอยู่แล้ว เป็นปกติ ไม่ยุ่งยากใจอะไร เพราะนี่เป็นกิจวัตรประจำก็ว่าได้“ขึ้นรถเถอะ ผมจะไปส่งเดี๋ยวนี้ ผมไม่ยอมให้เกลียวนั่งรถเมล์กลับหรอกคืนนี้ นะจ้ะ”คำพูดที่อ่อนโยนสุภาพของเขา ทำให้หล่อนพยักหน้า หล่อนปฏิเสธเขาไม่ได้และภิญตรัยจะไม่ยอม เขาเป็นคนขี้น้อยใจไม่เบาด้วยเช่นกัน ระหว่างที่นั่งรถกับเขาหล่อนนั่งเงียบ ภิญตรัยพูดขึ้นบ้าง หลายคำ หล่อนก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง สนุกสนานเพลิดเพลินดีกับเขา ที่ภิญตรัยมีความสุขอย่างมากในสีหน้า จนกระทั่งว่ารถคันหรูแล่นขับมาหยุดจอดหน้าหอพักสตรีที่หล่อนพักอาศัยอยู่ แล้วเขาหยุดจอดให
เพราะหล่อนเห็นค่าของเงินตราที่หามาได้ยากนั่นไง จึงคิดแบบนี้ ภิญตรัยนิ่งอึ้งกับคำพูดของหล่อน เพราะฐานะของหล่อนและเขาต่างกันราวฟ้ากับดินเขาร่ำรวยหากแต่หล่อนยากจน เป็นลูกสาวของชาวนาจากชนบท แต่ภิญตรัยไม่เคยคิดว่า สิ่งนี้จะเป็นอุปสรรคคอยขัดขวางความรักของเขาและหล่อน ตราบใดที่หัวใจทั้งสองดวงเกี่ยวก้อยไปด้วยกัน เห็นพ้องต้องกัน ภิญตรัยแน่วแน่ในสิ่งนี้ต่างหาก เขาไม่เคยทำอะไรที่นอกใจหล่อน ทำอะไรที่ขัดหูขัดตาหรือในทางเลวร้าย ทำให้เกลียวลินินยินยอมเชื่อมั่นในไมตรีของเขาเช่นเดียวกัน แต่ก็ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งหล่อนไม่กล้าไปรบกวนเขามาก นั่นเพราะความรู้สึกเกรงใจที่มีอยู่ในตัวของหล่อน แม้ภิญตรัยจะใจป้ำใจกว้างไม่คิดในสิ่งนี้ก็ตาม เนื่องจากเขาเกิดมาเหมือนกับคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดด้วยนั่นเอง จึงคิดแบบนี้ เพราะทุกคนในครอบครัวพากันตามใจเขาทุกอย่าง ในฐานะบุตรชายคนเล็ก ที่บิดาและมารดาห่วงหวงเขา และเอ็นดู ประดุจไข่ในหินมิปานเลยทีเดียว“โธ่ ..เกลียว อย่าคิดอย่างนั้นสิจ้ะ ภิญแค่อยากให้เกลียวยอมรับ และรับรู้ในความรักของเราทั้งสองคน”หล่อนก็รับรู้ในความรักของเขาเช่นกัน“ค่ะเกลียวรับรู้”“แต่อย่าคิ
ในเวลาเช่นนี้นี้ภิญตรัยรอคอยด้วยความกระวนกระวายใจอีกครั้ง แล้วเมื่อไหร่หล่อนจะเลิกงานเสียทีนะ ทำให้เขานั้นอดบ่นไม่ได้ และความเป็นจริงตั้งแต่แรกนั้น เขาไม่อยากให้หล่อนทำงานแบบนี้หรอก เพราะมันเลิกดึกเกินไปและค่อนข้างอันตรายสำหรับตัวผู้หญิงคนเดียวแต่หล่อนก็ไม่ฟังเขาค่อนข้างดื้อนี่จะรู้ไหมว่าเขายืนรอคอยหล่อนเป็นเวลาเนิ่นนานแล้วนะ จนรู้สึกเมื่อย แต่เขาก็อดทนเพื่อที่จะบอกถึงความสำคัญของวันนี้ คือวันแห่งความรักไง หากเมื่อเหลือบมองดูนาฬิกาที่ข้อมืออีกครั้ง เขาอยากจะพาเธอไปทานข้าวในวันที่แสนจะโรแมนติกอย่างในวันนี้ ที่ดอกกุหลาบนั้นดูสะพรั่งพรึบเต็มไปทั่วท้องตลาดสดแล้วก็ราคาแพงที่สุดอย่างมากมาย คือ วันนี้ หากเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาเกลียวลินินอดที่จะแปลกใจไม่ได้อีกครั้งเพราะเขาโทร.ผ่านมือถือมาหา หล่อนไม่ได้รับหรอกเพราะทำงานอยู่ มาเปิดดูในภายหลังที่ล็อกเกอร์ส่วนตัวจึงได้รู้ว่าเขาโทร.มารู้ว่าหล่อนและเขาคบหากันมานานแต่เกลียวลินินไม่เคยวาดหวังสูงไปกว่านั้น ได้ยินเขาเอ่ยผ่านโทร.มือถือ หล่อนไม่เคยให้ความหวังเขา แต่ฝ่ายภิญตรัยต่างหากที่เขาเป็นฝ่ายตามตื้อหล่อน จนกระทั่งว่าเกลี