ในเวลาเช่นนี้นี้ภิญตรัยรอคอยด้วยความกระวนกระวายใจอีกครั้ง แล้วเมื่อไหร่หล่อนจะเลิกงานเสียทีนะ ทำให้เขานั้นอดบ่นไม่ได้ และความเป็นจริงตั้งแต่แรกนั้น เขาไม่อยากให้หล่อนทำงานแบบนี้หรอก เพราะมันเลิกดึกเกินไปและค่อนข้างอันตรายสำหรับตัวผู้หญิงคนเดียว
แต่หล่อนก็ไม่ฟังเขาค่อนข้างดื้อนี่จะรู้ไหมว่าเขายืนรอคอยหล่อนเป็นเวลาเนิ่นนานแล้วนะ จนรู้สึกเมื่อย แต่เขาก็อดทนเพื่อที่จะบอกถึงความสำคัญของวันนี้ คือวันแห่งความรักไง หากเมื่อเหลือบมองดูนาฬิกาที่ข้อมืออีกครั้ง
เขาอยากจะพาเธอไปทานข้าวในวันที่แสนจะโรแมนติกอย่างในวันนี้ ที่ดอกกุหลาบนั้นดูสะพรั่งพรึบเต็มไปทั่วท้องตลาดสดแล้วก็ราคาแพงที่สุดอย่างมากมาย คือ วันนี้
หากเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาเกลียวลินินอดที่จะแปลกใจไม่ได้อีกครั้งเพราะเขาโทร.ผ่านมือถือมาหา หล่อนไม่ได้รับหรอกเพราะทำงานอยู่ มาเปิดดูในภายหลังที่ล็อกเกอร์ส่วนตัว
จึงได้รู้ว่าเขาโทร.มารู้ว่าหล่อนและเขาคบหากันมานานแต่เกลียวลินินไม่เคยวาดหวังสูงไปกว่านั้น ได้ยินเขาเอ่ยผ่านโทร.มือถือ หล่อนไม่เคยให้ความหวังเขา
แต่ฝ่ายภิญตรัยต่างหากที่เขาเป็นฝ่ายตามตื้อหล่อน จนกระทั่งว่าเกลียวลินินยินยอมใจอ่อนลงในที่สุด
จึงได้ขยับเลื่อนฐานะของเขามาเป็นแฟนและเรื่องนี้เป็นที่รับรู้กันระหว่างหล่อนกับเขาเพียงสองคนเท่านั้นกับเพื่อนสนิทอีกไม่กี่คน ก็ไม่นึกว่าเขาจะจริงจังและ แสดงผ่านความรู้สึกออกมาให้หล่อนรับรู้ด้วย
ทีแรกหล่อนคิดว่า คงเป็นเพียงคำพูดที่เลื่อนลอยผ่านริมฝีปากของเขาเท่านั้น เมื่อเรียนจบก็คงจบแล้วกันไป เพราะต่างคนต่างเลือกเส้นทางเดินของตัวเอง
แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น ภิญตรัยติดหนึบหนับเกาะเธอติดแน่นเหมือนตังเม ทั้งที่เขาเป็นรุ่นพี่จบการศึกษาไปแล้วก่อนหล่อน
หากแต่เขายังเทียวไปเทียวมา เพื่อแวะรับและส่งเสมอ มันคือครั้งแรกในความรู้สึกของหนุ่มหล่อตระกูลผู้ดี นั่นเพราะว่าในหัวใจของภิญตรัยนั้นในยามที่ได้พบกับเกลียวลินินในครั้งแรก
เขาก็ตกตะลึงในความสวยน่ารักของหล่อน
ที่มีผิวพรรณขาวผุดผ่องแม้ไม่ได้ขาวจัดแต่ก็ขาวละเอียดนวลเนียน หล่อนวางตัวได้เหมาะสม ทั้งบุคลิกท่าทาง
จนเขานั้นแอบเก็บเธอไว้เทิดทูนบูชาอยู่ในใจด้วยความภักดี ที่เขาหมายมั่นปั้นมือ จะแต่งงานกับเธอให้ได้ในอนาคต
เขาคิดอย่างนี้ ทั้งที่เกลียวลินินไม่เคยรู้สักนิด เขาไม่เคยคาดเดาความรู้สึกของหล่อน รู้แต่ว่า..คนนี้ใช่เลย แบบถูกสเปกต์มากที่สุด เพราะหล่อนมีรูปร่างบอบบางระหงอ่อนหวานทั้งกิริยาคำพูดและการวางตัว
ดังนั้นความรู้สึกที่เรียกว่ารัก นั้นมันเกิดขึ้นตั้งนานนมแล้วในใจของภิญตรัย ตั้งแต่แรกพบเจอผู้หญิงคนนี้
เพราะหลังจากนั้นที่ได้พบเจอหล่อน
ภิญตรัยไม่เคยคบหาผู้หญิงคนไหนอีกเลย ในตำแหน่งแฟน นอกจากคำว่าเพื่อน เพราะถือว่าเขาได้ยกไปให้หล่อนแล้วคนเดียว เขาทำให้หล่อนรู้และวางใจ จนสายสัมพันธ์นั้นผสานแนบแน่น เป็นเกลียวใยรักที่หวานชื่นของทั้งคู่ ที่รับรู้ถึงความรู้สึกของกันและกันตามลำพังเท่านั้น
มีดอกกุหลาบหรูผูกช่อไว้อย่างสวยงามช่อหนึ่ง ที่เขาวางไว้ในเบาะหลังของรถสปอร์ตปอร์เช่คันงามส่วนตัว
และเพราะภิญตรัยนั้นเขาอยากจะส่งดอกกุหลาบนี้ให้ถึงมือหล่อนเพื่อบอกถึงความรักที่แน่นแฟ้นและซาบซึ้งตรึงใจเหมือนวันปีที่ผ่านมา
ที่เขานั้นซื่อสัตย์ต่อหล่อน และภิญตรัยจึงอยากให้หล่อนซื่อสัตย์กับเขาแบบนี้ตลอดไป
ในยามนี้นั้น หากบนท้องถนนนั้นรถค่อนข้างโล่ง..
อีกทั้งภิญตรัย ได้ขอร้องให้หล่อนอยู่คอย หลังขากเลิกงาน เมื่อเขาโทร.ไปอีกครั้ง ที่ใกล้เวลาเลิก หล่อนรับสายของเขาแล้วพูดคุยเพียงไม่กี่คำเป็นการตอบรับ เพื่อไม่ให้เขาน้อยใจ
เขาสักครู่ วันนี้เป็นวันพิเศษ และเขามีของขวัญที่จะมอบให้แก่สาวสาย พร้อมตั้งใจจะบอกคำว่ารักออกจากปากด้วย ถ้าตัวเองไม่เขินอายมากนัก
“รอหน่อยนะเกลียวเรายังไม่อยากให้เกลียวกลับไปตอนนี้..น่าเรามีสิ่งที่จะมาเซอร์ไพรสเป็นพิเศษแป๊บเดียว ขอเวลาสิบนาที คอยอยู่ที่ป้ายรถเมล์ก่อนนะ”
นั่นคือเหตุผลของภิญตรัย เและเกลียวลินินตกลงรับปากตามที่เขาเอ่ย..ด้วยความเกรงใจมากกว่า
แล้วก็พบว่ารถสปอร์ตคันหรูของภิญตรัยนั้นปราดแล่นมาหยุดจอดเยื้องไปจากป้ายรถเมล์ ตรงนั้นไม่กี่ก้าว
เมื่อกวาดตามองเห็นหล่อนแล้วร่างสูงได้กลับไปที่รถคันหรูอีกครั้งพร้อมกับในมือขาวแข็งแรงนั้นถือช่อดอกกุหลาบราคาแสนแพง
เมื่อหล่อนเห็นแล้ว หล่อนถึงกับอึ้งแกมตะลึงไปในทันทีแล้วภิญตรัยก็เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มกระซิบที่ริมกกหูของหล่อน
หลังจากที่เขาถือวิสาสะดึงแขนของเธอพ้นห่างจากป้ายรถเมล์ตรงที่เดิมในบรรยากาศท่ามกลางแสงเงาที่ตะคุ่มของดวงไฟริมทาง และป้ายโฆษณาขนาดมหึมา
“วันวานเลนไทน์ปีนี้ไงจากภิญรับเอาไว้สิครับ เกลียวจ๋า เอ้อ เพราะภิญตรัยอยากมอบให้เกลียวคนเดียวเท่านั้น ถ้ารู้ว่าดอกกุหลาบสื่อความหมายถึงอะไร เกลียวก็คงพอจะเข้าใจความรู้สึกของภิญที่มีต่อเกลียวนะจ้ะ”
เกลียวลินินยิ้มหวาน ทำไมหล่อนจะไม่รู้ ยินยอมรับช่อดอกไม้จากมือเขา ด้วยกิริยาที่แสนขวยเขิน
“ขอบคุณมากค่ะภิญ ขอบคุณกับความรู้สึกที่ภิญคิดอย่างนั้นตลอดมา ไม่เคยเปลี่ยน”
หล่อนเอ่ยตอบเบาหลังจากรับช่อดอกไม้ที่มีความหมายของความรักไว้ในอ้อมแขนของหล่อน
“ก็ภิญชอบ เอ้อ รักเกลียวนี่จ้ะ ภิญอยากได้หัวใจของเกลียวมาครอบครอง” เขาเอ่ยในคำพูดที่หวานหู
“อยากให้เกลียวเอ่ยบอกถึงความรู้สึกสักหน่อย..ว่ารู้สึกอย่างไรกับดอกกุหลาบช่อใหญ่ที่ภิญคนนี้มอบให้”
และเกลียวลินินตอบไปตามความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ซึ่งแบบนั้นมันช่างผิดไปจากการคาดหวังของเขายิ่งนัก เพราะภิญตรัยอยากให้หล่อนพูดหวานกว่านั้น ทั้งไม่ปฏิเสธเขาเลยยิ่งดี
แต่หากว่าเกลียวลินินเป็นตัวของตัวเองเหลือเกิน หล่อนไม่ได้โอนอ่อนผ่อนตามเขาในทุกอย่าง ถึงแม้จะได้ขึ้นชื่อว่า เป็นคู่รักกันก็ตาม
“ค่ะ ในความคิดของเกลียวนั้น มักจะรู้สึกว่าดอกกุหลาบช่อนี้มันราคาแพงเกินไปค่ะถ้าจะซื้อแบบเล่นๆเหมือนทิ้งขว้าง แต่ถ้าเป็นเกลียวนะคะ จะเก็บสะสมเพื่อเอาไว้ซื้อข้าวของอย่างอื่น ที่จำเป็นมากกว่า ”
เพราะหล่อนเห็นค่าของเงินตราที่หามาได้ยากนั่นไง จึงคิดแบบนี้ ภิญตรัยนิ่งอึ้งกับคำพูดของหล่อน เพราะฐานะของหล่อนและเขาต่างกันราวฟ้ากับดินเขาร่ำรวยหากแต่หล่อนยากจน เป็นลูกสาวของชาวนาจากชนบท แต่ภิญตรัยไม่เคยคิดว่า สิ่งนี้จะเป็นอุปสรรคคอยขัดขวางความรักของเขาและหล่อน ตราบใดที่หัวใจทั้งสองดวงเกี่ยวก้อยไปด้วยกัน เห็นพ้องต้องกัน ภิญตรัยแน่วแน่ในสิ่งนี้ต่างหาก เขาไม่เคยทำอะไรที่นอกใจหล่อน ทำอะไรที่ขัดหูขัดตาหรือในทางเลวร้าย ทำให้เกลียวลินินยินยอมเชื่อมั่นในไมตรีของเขาเช่นเดียวกัน แต่ก็ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งหล่อนไม่กล้าไปรบกวนเขามาก นั่นเพราะความรู้สึกเกรงใจที่มีอยู่ในตัวของหล่อน แม้ภิญตรัยจะใจป้ำใจกว้างไม่คิดในสิ่งนี้ก็ตาม เนื่องจากเขาเกิดมาเหมือนกับคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดด้วยนั่นเอง จึงคิดแบบนี้ เพราะทุกคนในครอบครัวพากันตามใจเขาทุกอย่าง ในฐานะบุตรชายคนเล็ก ที่บิดาและมารดาห่วงหวงเขา และเอ็นดู ประดุจไข่ในหินมิปานเลยทีเดียว“โธ่ ..เกลียว อย่าคิดอย่างนั้นสิจ้ะ ภิญแค่อยากให้เกลียวยอมรับ และรับรู้ในความรักของเราทั้งสองคน”หล่อนก็รับรู้ในความรักของเขาเช่นกัน“ค่ะเกลียวรับรู้”“แต่อย่าคิ
“กลับกันเถอะค่ะ” หล่อนรบเร้าเขาอีกแล้ว เพราะใช้เวลาไปนานแล้วพอสมควรจนภิญตรัยอิ่มเอมใจแต่ว่า มันยังไม่หนำใจเขา เขาต้องการอีก อยากจะพาหล่อนไปท่องเที่ยว ทานอาหาร แต่คำพูดของเกลียวลินิน ทำให้เขานึกเปลี่ยนใจ เพราะเข้าใจว่า หล่อนต้องการพักผ่อน เพราะทำงานหนักและเพลียแทบจะทั้งวัน“จ้ะเดี๋ยวผมจะไปส่ง”“ไม่ต้องหรอกค่ะ เกลียวว่าจะกลับไปเอง”“นั่งรถเมล์นะเหรอ ไม่เอา ให้ผมไปส่ง อันตรายออกผมไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นนะเกลียว”ทุกครั้งที่เลิกงานนั้น หากไม่มีเขาอาสามาส่ง หล่อนก็นั่งรถเมล์กลับตามลำพังอยู่แล้ว เป็นปกติ ไม่ยุ่งยากใจอะไร เพราะนี่เป็นกิจวัตรประจำก็ว่าได้“ขึ้นรถเถอะ ผมจะไปส่งเดี๋ยวนี้ ผมไม่ยอมให้เกลียวนั่งรถเมล์กลับหรอกคืนนี้ นะจ้ะ”คำพูดที่อ่อนโยนสุภาพของเขา ทำให้หล่อนพยักหน้า หล่อนปฏิเสธเขาไม่ได้และภิญตรัยจะไม่ยอม เขาเป็นคนขี้น้อยใจไม่เบาด้วยเช่นกัน ระหว่างที่นั่งรถกับเขาหล่อนนั่งเงียบ ภิญตรัยพูดขึ้นบ้าง หลายคำ หล่อนก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง สนุกสนานเพลิดเพลินดีกับเขา ที่ภิญตรัยมีความสุขอย่างมากในสีหน้า จนกระทั่งว่ารถคันหรูแล่นขับมาหยุดจอดหน้าหอพักสตรีที่หล่อนพักอาศัยอยู่ แล้วเขาหยุดจอดให
นั่นคือคำพูดที่เต็มไปด้วยความฝันในอนาคตและสามารถเป็นจริงได้ เพราะชุติมามีฐานะทางครอบครัวร่ำรวย เธอเป็นลูกสาวของนักธุรกิจ ช่างแตกต่างจากเกลียวลินินนักเกลียวลินินจะทำอย่างไรได้ นอกจากอึ้ง และยินดีกับเพื่อนด้วย ส่วนหล่อนเองก็ได้แต่สู้มานะบากบั่น ตามแต่ความสามารถเท่าที่จะทำได้ เช่นในการเรียนระดับปริญญาตรี หล่อนตั้งเป้าหมายเพื่อจบการศึกษา คงพอทำให้ชีวิตมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ “ฉันพูดเอาไว้ในอนาคตก่อนจ้ะอย่าคิดมากเลย นะเกลียว และถึงวันนั้นฉันก็รู้สึกใจหายที่ต้องจากทุกคนไป”“แต่มันเป็นอนาคตนะ ชุน่าจะยินดี กับโอกาสที่หยิบยื่นมาหาชุ ทั้งๆที่คนอื่นแทบไม่มี”เกลียวลินินพูดก็เหมือนนึกถึงตัวเองและชุติมาเข้าใจ ชุติมามาเยี่ยมที่หอพักได้ไม่นานนัก พากันมาคุยที่เก้าอี้ข้างล่างและเอ่ยพูดด้วยความเป็นห่วงเกลียวลินิน ซึ่งพยักหน้ารับ เข้าใจดีถึงความห่วงใยของเพื่อนรัก จากนั้นก็นั่งแท็กซี่กลับ“งานการ อย่าทำจนหักโหมเลยนะ ถนอมสุขภาพตัวเองไว้บ้างเถอะเกลียวแต่คิดว่าเรียนจบแล้วเกลียวคงจะได้งานที่ดีกว่านี้” เกลียวลินินก็คิดหวังเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ไม่อยากคิดอะไรมาก เพราะไม่อยากไขว่คว้าวิมานในอา
นั่นคือคำพูดที่เต็มไปด้วยความฝันในอนาคตและสามารถเป็นจริงได้ เพราะชุติมามีฐานะทางครอบครัวร่ำรวย เธอเป็นลูกสาวของนักธุรกิจ ช่างแตกต่างจากเกลียวลินินนักเกลียวลินินจะทำอย่างไรได้ นอกจากอึ้ง และยินดีกับเพื่อนด้วย ส่วนหล่อนเองก็ได้แต่สู้มานะบากบั่น ตามแต่ความสามารถเท่าที่จะทำได้ เช่นในการเรียนระดับปริญญาตรี หล่อนตั้งเป้าหมายเพื่อจบการศึกษา คงพอทำให้ชีวิตมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ “ฉันพูดเอาไว้ในอนาคตก่อนจ้ะอย่าคิดมากเลย นะเกลียว และถึงวันนั้นฉันก็รู้สึกใจหายที่ต้องจากทุกคนไป”“แต่มันเป็นอนาคตนะ ชุน่าจะยินดี กับโอกาสที่หยิบยื่นมาหาชุ ทั้งๆที่คนอื่นแทบไม่มี”เกลียวลินินพูดก็เหมือนนึกถึงตัวเองและชุติมาเข้าใจ ชุติมามาเยี่ยมที่หอพักได้ไม่นานนัก พากันมาคุยที่เก้าอี้ข้างล่างและเอ่ยพูดด้วยความเป็นห่วงเกลียวลินิน ซึ่งพยักหน้ารับ เข้าใจดีถึงความห่วงใยของเพื่อนรัก จากนั้นก็นั่งแท็กซี่กลับ“งานการ อย่าทำจนหักโหมเลยนะ ถนอมสุขภาพตัวเองไว้บ้างเถอะเกลียวแต่คิดว่าเรียนจบแล้วเกลียวคงจะได้งานที่ดีกว่านี้” เกลียวลินินก็คิดหวังเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ไม่อยากคิดอะไรมาก เพราะไม่อยากไขว่คว้าวิมานในอา
“กลับกันเถอะค่ะ” หล่อนรบเร้าเขาอีกแล้ว เพราะใช้เวลาไปนานแล้วพอสมควรจนภิญตรัยอิ่มเอมใจแต่ว่า มันยังไม่หนำใจเขา เขาต้องการอีก อยากจะพาหล่อนไปท่องเที่ยว ทานอาหาร แต่คำพูดของเกลียวลินิน ทำให้เขานึกเปลี่ยนใจ เพราะเข้าใจว่า หล่อนต้องการพักผ่อน เพราะทำงานหนักและเพลียแทบจะทั้งวัน“จ้ะเดี๋ยวผมจะไปส่ง”“ไม่ต้องหรอกค่ะ เกลียวว่าจะกลับไปเอง”“นั่งรถเมล์นะเหรอ ไม่เอา ให้ผมไปส่ง อันตรายออกผมไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นนะเกลียว”ทุกครั้งที่เลิกงานนั้น หากไม่มีเขาอาสามาส่ง หล่อนก็นั่งรถเมล์กลับตามลำพังอยู่แล้ว เป็นปกติ ไม่ยุ่งยากใจอะไร เพราะนี่เป็นกิจวัตรประจำก็ว่าได้“ขึ้นรถเถอะ ผมจะไปส่งเดี๋ยวนี้ ผมไม่ยอมให้เกลียวนั่งรถเมล์กลับหรอกคืนนี้ นะจ้ะ”คำพูดที่อ่อนโยนสุภาพของเขา ทำให้หล่อนพยักหน้า หล่อนปฏิเสธเขาไม่ได้และภิญตรัยจะไม่ยอม เขาเป็นคนขี้น้อยใจไม่เบาด้วยเช่นกัน ระหว่างที่นั่งรถกับเขาหล่อนนั่งเงียบ ภิญตรัยพูดขึ้นบ้าง หลายคำ หล่อนก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง สนุกสนานเพลิดเพลินดีกับเขา ที่ภิญตรัยมีความสุขอย่างมากในสีหน้า จนกระทั่งว่ารถคันหรูแล่นขับมาหยุดจอดหน้าหอพักสตรีที่หล่อนพักอาศัยอยู่ แล้วเขาหยุดจอดให
เพราะหล่อนเห็นค่าของเงินตราที่หามาได้ยากนั่นไง จึงคิดแบบนี้ ภิญตรัยนิ่งอึ้งกับคำพูดของหล่อน เพราะฐานะของหล่อนและเขาต่างกันราวฟ้ากับดินเขาร่ำรวยหากแต่หล่อนยากจน เป็นลูกสาวของชาวนาจากชนบท แต่ภิญตรัยไม่เคยคิดว่า สิ่งนี้จะเป็นอุปสรรคคอยขัดขวางความรักของเขาและหล่อน ตราบใดที่หัวใจทั้งสองดวงเกี่ยวก้อยไปด้วยกัน เห็นพ้องต้องกัน ภิญตรัยแน่วแน่ในสิ่งนี้ต่างหาก เขาไม่เคยทำอะไรที่นอกใจหล่อน ทำอะไรที่ขัดหูขัดตาหรือในทางเลวร้าย ทำให้เกลียวลินินยินยอมเชื่อมั่นในไมตรีของเขาเช่นเดียวกัน แต่ก็ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งหล่อนไม่กล้าไปรบกวนเขามาก นั่นเพราะความรู้สึกเกรงใจที่มีอยู่ในตัวของหล่อน แม้ภิญตรัยจะใจป้ำใจกว้างไม่คิดในสิ่งนี้ก็ตาม เนื่องจากเขาเกิดมาเหมือนกับคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดด้วยนั่นเอง จึงคิดแบบนี้ เพราะทุกคนในครอบครัวพากันตามใจเขาทุกอย่าง ในฐานะบุตรชายคนเล็ก ที่บิดาและมารดาห่วงหวงเขา และเอ็นดู ประดุจไข่ในหินมิปานเลยทีเดียว“โธ่ ..เกลียว อย่าคิดอย่างนั้นสิจ้ะ ภิญแค่อยากให้เกลียวยอมรับ และรับรู้ในความรักของเราทั้งสองคน”หล่อนก็รับรู้ในความรักของเขาเช่นกัน“ค่ะเกลียวรับรู้”“แต่อย่าคิ
ในเวลาเช่นนี้นี้ภิญตรัยรอคอยด้วยความกระวนกระวายใจอีกครั้ง แล้วเมื่อไหร่หล่อนจะเลิกงานเสียทีนะ ทำให้เขานั้นอดบ่นไม่ได้ และความเป็นจริงตั้งแต่แรกนั้น เขาไม่อยากให้หล่อนทำงานแบบนี้หรอก เพราะมันเลิกดึกเกินไปและค่อนข้างอันตรายสำหรับตัวผู้หญิงคนเดียวแต่หล่อนก็ไม่ฟังเขาค่อนข้างดื้อนี่จะรู้ไหมว่าเขายืนรอคอยหล่อนเป็นเวลาเนิ่นนานแล้วนะ จนรู้สึกเมื่อย แต่เขาก็อดทนเพื่อที่จะบอกถึงความสำคัญของวันนี้ คือวันแห่งความรักไง หากเมื่อเหลือบมองดูนาฬิกาที่ข้อมืออีกครั้ง เขาอยากจะพาเธอไปทานข้าวในวันที่แสนจะโรแมนติกอย่างในวันนี้ ที่ดอกกุหลาบนั้นดูสะพรั่งพรึบเต็มไปทั่วท้องตลาดสดแล้วก็ราคาแพงที่สุดอย่างมากมาย คือ วันนี้ หากเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาเกลียวลินินอดที่จะแปลกใจไม่ได้อีกครั้งเพราะเขาโทร.ผ่านมือถือมาหา หล่อนไม่ได้รับหรอกเพราะทำงานอยู่ มาเปิดดูในภายหลังที่ล็อกเกอร์ส่วนตัวจึงได้รู้ว่าเขาโทร.มารู้ว่าหล่อนและเขาคบหากันมานานแต่เกลียวลินินไม่เคยวาดหวังสูงไปกว่านั้น ได้ยินเขาเอ่ยผ่านโทร.มือถือ หล่อนไม่เคยให้ความหวังเขา แต่ฝ่ายภิญตรัยต่างหากที่เขาเป็นฝ่ายตามตื้อหล่อน จนกระทั่งว่าเกลี