“กลับกันเถอะค่ะ”
หล่อนรบเร้าเขาอีกแล้ว เพราะใช้เวลาไปนานแล้วพอสมควรจน
ภิญตรัยอิ่มเอมใจแต่ว่า มันยังไม่หนำใจเขา เขาต้องการอีก อยากจะพาหล่อนไปท่องเที่ยว ทานอาหาร แต่คำพูดของเกลียวลินิน ทำให้เขานึกเปลี่ยนใจ เพราะเข้าใจว่า หล่อนต้องการพักผ่อน
เพราะทำงานหนักและเพลียแทบจะทั้งวัน
“จ้ะเดี๋ยวผมจะไปส่ง”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ เกลียวว่าจะกลับไปเอง”
“นั่งรถเมล์นะเหรอ ไม่เอา ให้ผมไปส่ง อันตรายออกผมไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นนะเกลียว”
ทุกครั้งที่เลิกงานนั้น หากไม่มีเขาอาสามาส่ง หล่อนก็นั่งรถเมล์กลับตามลำพังอยู่แล้ว เป็นปกติ ไม่ยุ่งยากใจอะไร เพราะนี่เป็นกิจวัตรประจำก็ว่าได้
“ขึ้นรถเถอะ ผมจะไปส่งเดี๋ยวนี้ ผมไม่ยอมให้เกลียวนั่งรถเมล์กลับหรอกคืนนี้ นะจ้ะ”
คำพูดที่อ่อนโยนสุภาพของเขา ทำให้หล่อนพยักหน้า
หล่อนปฏิเสธเขาไม่ได้
และภิญตรัยจะไม่ยอม เขาเป็นคนขี้น้อยใจไม่เบาด้วยเช่นกัน
ระหว่างที่นั่งรถกับเขาหล่อนนั่งเงียบ ภิญตรัยพูดขึ้นบ้าง หลายคำ หล่อนก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง
สนุกสนานเพลิดเพลินดีกับเขา ที่ภิญตรัยมีความสุขอย่างมากในสีหน้า
จนกระทั่งว่ารถคันหรูแล่นขับมาหยุดจอดหน้าหอพักสตรีที่หล่อนพักอาศัยอยู่ แล้วเขาหยุดจอดให้หล่อนลง
“เดี๋ยวสิจ้ะเกลียว” เขาบอกเหมือนให้หล่อนรั้งรอเขาก่อน
“ทำไมหรือคะ”
“จู่ๆจะรีบขึ้นไปเลยหรือ ภิญมาถึงนี่แล้ว”
“อ้าว ก็ถึงหอพักแล้วนี่คะ”
“แต่ว่า เกลียวจ๋า ภิญอยากอยู่ใกล้เกลียวให้นานๆที่สุด”
คำพูดของเขาหวานสุภาพอ่อนโยนเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“ไว้โอกาสหน้าเถอะค่ะ”
หล่อนคิดว่า เขาคงจะหมายความว่า ขอขึ้นไปส่งหล่อนถึงข้างบนหอพัก และอาจจะอยู่คุยธุระต่อสักพัก
“เกลียวไม่อนุญาตใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ” หล่อนตอบเขากลับไป
“เห็นว่าดึกแล้วภิญเองก็ควรกลับส่วนเกลียวเหนียวตัวจะแย่แล้วค่ะขอเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะอาบน้ำนอนเลย”
หล่อนบอกกับเขาเสียงใส
ซึ่งเขาเข้าใจพยักหน้า
แต่จะว่าไปในวันนี้เขาได้อยู่กับหล่อนนานหลายชั่วโมง ความรักที่หวานชื่นเติมแต่งให้แก่กันและกันนานพอสมควร
เขาจึงเงยหน้าที่สาดแสงไฟจนเห็นชัดถึงใบหน้าหล่อเหลาผิวขาวจัดคมคายและดูเกลี้ยงเกลา มีโครงใบหน้าเรียวยาว ดูแล้วเป็นผู้ชายที่เจ้าเสน่ห์
ซึ่งในส่วนนี้เกลียวลินินยอมรับอย่างดิบดี ว่ามันใช่
“ราตรีสวัสดิ์นะจ้ะแล้วเวลานอนอย่าลืมนึกถึงใบหน้าของภิญจนนอนหลับล่ะเกลียวจะนอนหลับฝันดีตลอดทั้งคืนเลย”
จากน้ำเสียงของเขาที่ยั่วเย้าตามมา
“ค่า จะหลับฝันถึงภิญตลอดทั้งคืนเลย แบบนี้พอใจไหมคะ”
“พอใจมากที่สุดเลยจ้ะ เกลียวจ๋า”
เขาเดินไปส่งหล่อนแค่ประตูทางขึ้นบันไดของหอพักสตรีแห่งนี้แล้วยกมือโบกบ๊ายๆให้แถมท้ายด้วยการส่งจูบ
เกลียวลินินรับรู้หล่อนเขินอายจนใบหน้าผุดสีระเรื่อแดงจัดอีกครั้งในยามดึกเช่นนี้ กับความรักของภิญตรัยที่มีต่อหล่อน
เมื่อหล่อนก้าวเข้าไปถึงในห้อง ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของภิญตรัยครางกระหึ่มและแล่นไปเรื่อยๆจนน้ำเสียงนั้นกลบหูของหล่อน ไม่ได้ยินอะไร
เพราะเขาไปไกลลับตาแล้ว
แต่หล่อนยังมีความรู้สึกที่เสมอเหมือนยิ่งกว่าความผูกพัน กับช่อดอกกุหลาบหรู ที่เขามอบให้ในวันแห่งความรัก แสดงสัญลักษณ์ถึงความภักดีต่อหัวใจ
จากนั้นเกลียวลินินจึงได้จัดแจงถอดเปลี่ยนเสื้อผ้าของหล่อน เพื่อเข้าไปอาบน้ำชำระกายให้เย็นฉ่ำปลอดโปร่ง
แล้วจึงค่อยๆทอดตัวนอนลงบนเตียง ดับไฟจนมืดสนิทแล้วหล่อนกลับสนิทในอีกไม่ถึงสิบห้านาทีต่อมา หลับไปด้วยความรู้สึกที่ล่องลอยฝัน
มีภาพของภิญตรัยเกี่ยวกระหวัดเดินจูงมือของหล่อนไปด้วยกันในสวนของดอกไม้บนทุ่งกว้าง สีสดสวยละลานตาไปหมดสะพรั่งพรึบเป็นธรรมชาติ จนยากจะหาที่ใดเสมอเหมือน นี่คงเป็นวิมานหรือเปล่า วิมานบนสวรรค์
และในยามเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นนั้นมีเสียงที่ร้องเรียกปลุกเกลียวลินินที่บันไดชั้นล่างผ่านช่องหน้าต่างที่มีมุ้งลวดปิดไว้คิดว่าน้ำเสียงนั้นน่าจะลอดผ่านเข้าไปในห้อง
เพื่อปลุกให้เจ้าของห้องนั้นตื่นขึ้นมาเพื่อรับฟังและน้ำเสียงที่ได้ยินชัด พร้อมชะโงกมาที่หน้าต่าง จากนั้นก็เป็นฝ่ายเดินลงไปรับเพื่อนสนิทสาวถึงชั้นใต้ถุนของหอพักสตรีแห่งนี้
“เกลียว เกลียว ฉันมาเธอ ตื่นได้แล้วจ้ะ นี่สายแล้วนะ”
“อ้าว ชุ”
เมื่อรู้ว่าเป็นเพื่อนสนิท หลังจากที่ได้ยินเสียงและเกลียวลินินก้าวไปชะโงกดูที่หน้าต่าง จึงรีบเดินลงไปรับ เพื่อนสนิทที่ข้างล่าง
“ไม่นึกว่าชุจะมาหาเกลียวตอนเช้าอย่างนี้เลยมีธุระสำคัญหรือ”
“ก็ไม่หรอกนะ ไม่มากมายขนาดนั้น คิดถึงน่ะ ชุว่าง เลยนึกอยากจะมาหาเกลียวพูดคุยเล่นด้วยกันเท่านั้น เพราะชุ ไม่รู้จะไปไหนกันดี”
ชุติมาบอกเพื่อนรัก
“เอ๊ ทำไมหน้าตาของเกลียว ดูเหมือนคนไม่สบายเลย หน้าออกจะซี๊ดซีดเลยล่ะเกลียว”
ชุติมาค่อนข้างจะชอบสังเกตเพื่อนสาว
หล่อนตอบเพื่อน
“เกลียวทำงานเลิกดึกไปหน่อยจ้ะชุตอนนี้ก็ขอเมคมันนี่ไว้ก่อนจ๊ะ เปิดเทอมหน้าจะได้มีเงินสำรองไว้ใช้”
ชุติมาเพื่อนรักยิ้มให้ ก่อนนึกเอ่ยถามถึงเรื่องทางบ้านของเพื่อนสาว ซึ่งมีฐานะด้อยกว่า
“เออเกลียวพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดของเธอเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“ไม่ได้ข่าวเลยตอนนี้เกลียวสนใจแต่ทำงานแต่คิดว่า ท่านคงไม่มีหรอกจ้ะ”
เกลียวลินินหมายถึงเงิน เพราะทางบ้านไม่มีแน่ ครอบครัวของหล่อนมีฐานะยากจน หวั่นกลัวแต่การกู้หนี้ยืมสินเพิ่มเติม ดังนั้นเกลียวลินินสนใจแต่เรื่องเรียน ไม่ค่อยมีเวลาจะโทร.ไปถามข่าวคราว
“ตอนนี้พวกเรานั้น เหลืออีกแค่สองปีเท่านั้น ก็จะเรียนจบจากมหาลัยแล้วนะ..ชุแปลนไว้กับตัวเองว่า อยากจะบินไปเรียนต่อที่ต่างประเทศจ๊ะ เกลียว ที่ตั้งใจเลือกเอาไว้นะ มีที่ออสเตรเลียที่หนึ่งหรือไม่ก็เป็นสวิตเซอร์แลนด์นี่ล่ะ.. ชุมีญาติทางพ่อคือคุณอาหญิงไปตั้งรกรากอยู่ที่นั่นสิบกว่าปีแล้ว”
นั่นคือคำพูดที่เต็มไปด้วยความฝันในอนาคตและสามารถเป็นจริงได้ เพราะชุติมามีฐานะทางครอบครัวร่ำรวย เธอเป็นลูกสาวของนักธุรกิจ ช่างแตกต่างจากเกลียวลินินนักเกลียวลินินจะทำอย่างไรได้ นอกจากอึ้ง และยินดีกับเพื่อนด้วย ส่วนหล่อนเองก็ได้แต่สู้มานะบากบั่น ตามแต่ความสามารถเท่าที่จะทำได้ เช่นในการเรียนระดับปริญญาตรี หล่อนตั้งเป้าหมายเพื่อจบการศึกษา คงพอทำให้ชีวิตมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ “ฉันพูดเอาไว้ในอนาคตก่อนจ้ะอย่าคิดมากเลย นะเกลียว และถึงวันนั้นฉันก็รู้สึกใจหายที่ต้องจากทุกคนไป”“แต่มันเป็นอนาคตนะ ชุน่าจะยินดี กับโอกาสที่หยิบยื่นมาหาชุ ทั้งๆที่คนอื่นแทบไม่มี”เกลียวลินินพูดก็เหมือนนึกถึงตัวเองและชุติมาเข้าใจ ชุติมามาเยี่ยมที่หอพักได้ไม่นานนัก พากันมาคุยที่เก้าอี้ข้างล่างและเอ่ยพูดด้วยความเป็นห่วงเกลียวลินิน ซึ่งพยักหน้ารับ เข้าใจดีถึงความห่วงใยของเพื่อนรัก จากนั้นก็นั่งแท็กซี่กลับ“งานการ อย่าทำจนหักโหมเลยนะ ถนอมสุขภาพตัวเองไว้บ้างเถอะเกลียวแต่คิดว่าเรียนจบแล้วเกลียวคงจะได้งานที่ดีกว่านี้” เกลียวลินินก็คิดหวังเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ไม่อยากคิดอะไรมาก เพราะไม่อยากไขว่คว้าวิมานในอา
ในเวลาเช่นนี้นี้ภิญตรัยรอคอยด้วยความกระวนกระวายใจอีกครั้ง แล้วเมื่อไหร่หล่อนจะเลิกงานเสียทีนะ ทำให้เขานั้นอดบ่นไม่ได้ และความเป็นจริงตั้งแต่แรกนั้น เขาไม่อยากให้หล่อนทำงานแบบนี้หรอก เพราะมันเลิกดึกเกินไปและค่อนข้างอันตรายสำหรับตัวผู้หญิงคนเดียวแต่หล่อนก็ไม่ฟังเขาค่อนข้างดื้อนี่จะรู้ไหมว่าเขายืนรอคอยหล่อนเป็นเวลาเนิ่นนานแล้วนะ จนรู้สึกเมื่อย แต่เขาก็อดทนเพื่อที่จะบอกถึงความสำคัญของวันนี้ คือวันแห่งความรักไง หากเมื่อเหลือบมองดูนาฬิกาที่ข้อมืออีกครั้ง เขาอยากจะพาเธอไปทานข้าวในวันที่แสนจะโรแมนติกอย่างในวันนี้ ที่ดอกกุหลาบนั้นดูสะพรั่งพรึบเต็มไปทั่วท้องตลาดสดแล้วก็ราคาแพงที่สุดอย่างมากมาย คือ วันนี้ หากเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาเกลียวลินินอดที่จะแปลกใจไม่ได้อีกครั้งเพราะเขาโทร.ผ่านมือถือมาหา หล่อนไม่ได้รับหรอกเพราะทำงานอยู่ มาเปิดดูในภายหลังที่ล็อกเกอร์ส่วนตัวจึงได้รู้ว่าเขาโทร.มารู้ว่าหล่อนและเขาคบหากันมานานแต่เกลียวลินินไม่เคยวาดหวังสูงไปกว่านั้น ได้ยินเขาเอ่ยผ่านโทร.มือถือ หล่อนไม่เคยให้ความหวังเขา แต่ฝ่ายภิญตรัยต่างหากที่เขาเป็นฝ่ายตามตื้อหล่อน จนกระทั่งว่าเกลี
เพราะหล่อนเห็นค่าของเงินตราที่หามาได้ยากนั่นไง จึงคิดแบบนี้ ภิญตรัยนิ่งอึ้งกับคำพูดของหล่อน เพราะฐานะของหล่อนและเขาต่างกันราวฟ้ากับดินเขาร่ำรวยหากแต่หล่อนยากจน เป็นลูกสาวของชาวนาจากชนบท แต่ภิญตรัยไม่เคยคิดว่า สิ่งนี้จะเป็นอุปสรรคคอยขัดขวางความรักของเขาและหล่อน ตราบใดที่หัวใจทั้งสองดวงเกี่ยวก้อยไปด้วยกัน เห็นพ้องต้องกัน ภิญตรัยแน่วแน่ในสิ่งนี้ต่างหาก เขาไม่เคยทำอะไรที่นอกใจหล่อน ทำอะไรที่ขัดหูขัดตาหรือในทางเลวร้าย ทำให้เกลียวลินินยินยอมเชื่อมั่นในไมตรีของเขาเช่นเดียวกัน แต่ก็ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งหล่อนไม่กล้าไปรบกวนเขามาก นั่นเพราะความรู้สึกเกรงใจที่มีอยู่ในตัวของหล่อน แม้ภิญตรัยจะใจป้ำใจกว้างไม่คิดในสิ่งนี้ก็ตาม เนื่องจากเขาเกิดมาเหมือนกับคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดด้วยนั่นเอง จึงคิดแบบนี้ เพราะทุกคนในครอบครัวพากันตามใจเขาทุกอย่าง ในฐานะบุตรชายคนเล็ก ที่บิดาและมารดาห่วงหวงเขา และเอ็นดู ประดุจไข่ในหินมิปานเลยทีเดียว“โธ่ ..เกลียว อย่าคิดอย่างนั้นสิจ้ะ ภิญแค่อยากให้เกลียวยอมรับ และรับรู้ในความรักของเราทั้งสองคน”หล่อนก็รับรู้ในความรักของเขาเช่นกัน“ค่ะเกลียวรับรู้”“แต่อย่าคิ
นั่นคือคำพูดที่เต็มไปด้วยความฝันในอนาคตและสามารถเป็นจริงได้ เพราะชุติมามีฐานะทางครอบครัวร่ำรวย เธอเป็นลูกสาวของนักธุรกิจ ช่างแตกต่างจากเกลียวลินินนักเกลียวลินินจะทำอย่างไรได้ นอกจากอึ้ง และยินดีกับเพื่อนด้วย ส่วนหล่อนเองก็ได้แต่สู้มานะบากบั่น ตามแต่ความสามารถเท่าที่จะทำได้ เช่นในการเรียนระดับปริญญาตรี หล่อนตั้งเป้าหมายเพื่อจบการศึกษา คงพอทำให้ชีวิตมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ “ฉันพูดเอาไว้ในอนาคตก่อนจ้ะอย่าคิดมากเลย นะเกลียว และถึงวันนั้นฉันก็รู้สึกใจหายที่ต้องจากทุกคนไป”“แต่มันเป็นอนาคตนะ ชุน่าจะยินดี กับโอกาสที่หยิบยื่นมาหาชุ ทั้งๆที่คนอื่นแทบไม่มี”เกลียวลินินพูดก็เหมือนนึกถึงตัวเองและชุติมาเข้าใจ ชุติมามาเยี่ยมที่หอพักได้ไม่นานนัก พากันมาคุยที่เก้าอี้ข้างล่างและเอ่ยพูดด้วยความเป็นห่วงเกลียวลินิน ซึ่งพยักหน้ารับ เข้าใจดีถึงความห่วงใยของเพื่อนรัก จากนั้นก็นั่งแท็กซี่กลับ“งานการ อย่าทำจนหักโหมเลยนะ ถนอมสุขภาพตัวเองไว้บ้างเถอะเกลียวแต่คิดว่าเรียนจบแล้วเกลียวคงจะได้งานที่ดีกว่านี้” เกลียวลินินก็คิดหวังเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ไม่อยากคิดอะไรมาก เพราะไม่อยากไขว่คว้าวิมานในอา
“กลับกันเถอะค่ะ” หล่อนรบเร้าเขาอีกแล้ว เพราะใช้เวลาไปนานแล้วพอสมควรจนภิญตรัยอิ่มเอมใจแต่ว่า มันยังไม่หนำใจเขา เขาต้องการอีก อยากจะพาหล่อนไปท่องเที่ยว ทานอาหาร แต่คำพูดของเกลียวลินิน ทำให้เขานึกเปลี่ยนใจ เพราะเข้าใจว่า หล่อนต้องการพักผ่อน เพราะทำงานหนักและเพลียแทบจะทั้งวัน“จ้ะเดี๋ยวผมจะไปส่ง”“ไม่ต้องหรอกค่ะ เกลียวว่าจะกลับไปเอง”“นั่งรถเมล์นะเหรอ ไม่เอา ให้ผมไปส่ง อันตรายออกผมไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นนะเกลียว”ทุกครั้งที่เลิกงานนั้น หากไม่มีเขาอาสามาส่ง หล่อนก็นั่งรถเมล์กลับตามลำพังอยู่แล้ว เป็นปกติ ไม่ยุ่งยากใจอะไร เพราะนี่เป็นกิจวัตรประจำก็ว่าได้“ขึ้นรถเถอะ ผมจะไปส่งเดี๋ยวนี้ ผมไม่ยอมให้เกลียวนั่งรถเมล์กลับหรอกคืนนี้ นะจ้ะ”คำพูดที่อ่อนโยนสุภาพของเขา ทำให้หล่อนพยักหน้า หล่อนปฏิเสธเขาไม่ได้และภิญตรัยจะไม่ยอม เขาเป็นคนขี้น้อยใจไม่เบาด้วยเช่นกัน ระหว่างที่นั่งรถกับเขาหล่อนนั่งเงียบ ภิญตรัยพูดขึ้นบ้าง หลายคำ หล่อนก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง สนุกสนานเพลิดเพลินดีกับเขา ที่ภิญตรัยมีความสุขอย่างมากในสีหน้า จนกระทั่งว่ารถคันหรูแล่นขับมาหยุดจอดหน้าหอพักสตรีที่หล่อนพักอาศัยอยู่ แล้วเขาหยุดจอดให
เพราะหล่อนเห็นค่าของเงินตราที่หามาได้ยากนั่นไง จึงคิดแบบนี้ ภิญตรัยนิ่งอึ้งกับคำพูดของหล่อน เพราะฐานะของหล่อนและเขาต่างกันราวฟ้ากับดินเขาร่ำรวยหากแต่หล่อนยากจน เป็นลูกสาวของชาวนาจากชนบท แต่ภิญตรัยไม่เคยคิดว่า สิ่งนี้จะเป็นอุปสรรคคอยขัดขวางความรักของเขาและหล่อน ตราบใดที่หัวใจทั้งสองดวงเกี่ยวก้อยไปด้วยกัน เห็นพ้องต้องกัน ภิญตรัยแน่วแน่ในสิ่งนี้ต่างหาก เขาไม่เคยทำอะไรที่นอกใจหล่อน ทำอะไรที่ขัดหูขัดตาหรือในทางเลวร้าย ทำให้เกลียวลินินยินยอมเชื่อมั่นในไมตรีของเขาเช่นเดียวกัน แต่ก็ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งหล่อนไม่กล้าไปรบกวนเขามาก นั่นเพราะความรู้สึกเกรงใจที่มีอยู่ในตัวของหล่อน แม้ภิญตรัยจะใจป้ำใจกว้างไม่คิดในสิ่งนี้ก็ตาม เนื่องจากเขาเกิดมาเหมือนกับคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดด้วยนั่นเอง จึงคิดแบบนี้ เพราะทุกคนในครอบครัวพากันตามใจเขาทุกอย่าง ในฐานะบุตรชายคนเล็ก ที่บิดาและมารดาห่วงหวงเขา และเอ็นดู ประดุจไข่ในหินมิปานเลยทีเดียว“โธ่ ..เกลียว อย่าคิดอย่างนั้นสิจ้ะ ภิญแค่อยากให้เกลียวยอมรับ และรับรู้ในความรักของเราทั้งสองคน”หล่อนก็รับรู้ในความรักของเขาเช่นกัน“ค่ะเกลียวรับรู้”“แต่อย่าคิ
ในเวลาเช่นนี้นี้ภิญตรัยรอคอยด้วยความกระวนกระวายใจอีกครั้ง แล้วเมื่อไหร่หล่อนจะเลิกงานเสียทีนะ ทำให้เขานั้นอดบ่นไม่ได้ และความเป็นจริงตั้งแต่แรกนั้น เขาไม่อยากให้หล่อนทำงานแบบนี้หรอก เพราะมันเลิกดึกเกินไปและค่อนข้างอันตรายสำหรับตัวผู้หญิงคนเดียวแต่หล่อนก็ไม่ฟังเขาค่อนข้างดื้อนี่จะรู้ไหมว่าเขายืนรอคอยหล่อนเป็นเวลาเนิ่นนานแล้วนะ จนรู้สึกเมื่อย แต่เขาก็อดทนเพื่อที่จะบอกถึงความสำคัญของวันนี้ คือวันแห่งความรักไง หากเมื่อเหลือบมองดูนาฬิกาที่ข้อมืออีกครั้ง เขาอยากจะพาเธอไปทานข้าวในวันที่แสนจะโรแมนติกอย่างในวันนี้ ที่ดอกกุหลาบนั้นดูสะพรั่งพรึบเต็มไปทั่วท้องตลาดสดแล้วก็ราคาแพงที่สุดอย่างมากมาย คือ วันนี้ หากเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาเกลียวลินินอดที่จะแปลกใจไม่ได้อีกครั้งเพราะเขาโทร.ผ่านมือถือมาหา หล่อนไม่ได้รับหรอกเพราะทำงานอยู่ มาเปิดดูในภายหลังที่ล็อกเกอร์ส่วนตัวจึงได้รู้ว่าเขาโทร.มารู้ว่าหล่อนและเขาคบหากันมานานแต่เกลียวลินินไม่เคยวาดหวังสูงไปกว่านั้น ได้ยินเขาเอ่ยผ่านโทร.มือถือ หล่อนไม่เคยให้ความหวังเขา แต่ฝ่ายภิญตรัยต่างหากที่เขาเป็นฝ่ายตามตื้อหล่อน จนกระทั่งว่าเกลี