อายุห่างกันไม่ถึงสิบปีแต่เธอกลับแทนตัวเองเหมือนเห็นเขาเป็นคนมีอายุจนต้องใส่แว่นเวลาทำงาน คิดแล้วเขาก็อยากกดมนต์มีนาลงไปที่เตียงเพื่อสั่งสอนยัยหนูคนนี้ จะได้รู้ว่าผู้ชายอายุสามสิบอย่างเขา แรงและอย่างอื่นยังดีอยู่ แต่ก็ช่างเถอะ เอาไว้เขาค่อยสั่งสอนเธอทีหลังก็ไม่สาย “ก้อนที่เต้านมคนไข้คือซีสหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าถุงน้ำธรรมดา แต่ยังไงก็ต้องไปอัลตร้าซาวน์ ช่วยพาคนไข้ไปที่ห้องอัลตร้าซาวน์ด้วยนะครับ” ได้รับคำสั่งจากนายแพทย์หนุ่มนางพยาบาลก็พาหญิงสาวออกไปจากห้องตรวจ ซึ่งต่อมาผลตรวจก็ออกมาอย่างที่พิชยะวินิจฉัยก่อนหน้านี้ หลังจากได้เปิดดูผลอัลตร้าซาวน์ที่นางพยาบาลนำมาให้เขาก็ยังไม่ได้แจ้งอะไร แถมซ้ำยังมีสีหน้าเคร่งเครียดพลอยให้คนไข้เกิดความกังวลขึ้นไปอีก “ตกลงหนูป่วยเป็นอะไรเหรอคะคุณหมอ ร้ายแรงมากไหมคะ” สองมือเล็กกำเข้าหากันแน่นขณะรอฟังคำตอบจากคนตรงหน้า คุณหมอจะทำหน้าเครียดไปไหน พิชยะสังเกตเห็นความกังวลบนใบหน้าเนียนใส หากก็ยังวางท่าทีเรียบเฉย เว้นคำพูดครู่หนึ่งถึงให้คำตอบ “ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงหรอกครับ เป็นแค่ซีสเหมือนที่หมอบอกในตอนแรก ไม่มีความเสี่ยงที่จะเป็นก้อนเนื้อร้ายแรง” “แต่ว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ มีนเดินเองไหว” “จะนั่งรถเข็นหรือจะให้อุ้มออกไป” มนต์มีนาถึงกับอ้าปากค้าง จู่ ๆ พิชยะก็เข้ามาทักเธอ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังทำเหมือนไม่รู้จักกันอยู่เลย “ถ้ามีนเลือกอย่างหลังล่ะคะ” อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะกล้าทำอย่างที่ปากพูดหรือแค่ขู่ไปอย่างนั้น อย่าลืมว่าตอนนี้พิชยะกับเธอไม่ได้อยู่ในที่ลับตาคน แถมยังเป็นสถานที่ทำงานของเขาอีกด้วย นัยน์ตาของชายหนุ่มเข้มขึ้นเมื่อรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังถูกมนต์มีนาท้าทาย ก่อนหน้านี้ในห้องตรวจเธอก็เพิ่งจะทำให้เขาหงุดหงิด พิชยะไม่เคยพาใครมาที่ทำงาน การที่เขาอุ้มผู้หญิงกลางโรงพยาบาลเป็นธรรมดาที่คนอื่นจะพากันอยากรู้อยากเห็น นอกจากคนใกล้ชิดกับเพื่อนสมัยเรียนก็ไม่มีใครเคยเห็นหน้าค่าตาของรสสรา แต่ถึงอย่างนั้นก็คงจะเดาได้ไม่ยากว่าหญิงสาวใบหน้าสดใสอ่อนวัย ดูไม่เหมือนคนที่เรียนจบคณะแพทย์และมีการมีงานทำแล้ว แต่เธอจะเป็นใครนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่สักนิด มนต์มีนากำลังท้าทายความอดทนของเขาอยู่ต่างหาก คือสิ่งที่เขาปล่อยผ่านไม่ได้ “ก็จะได้รับสิทธิ์นั้นทันทีไง” คนฉุนเฉียวอยู่ในทีช้อนร่างบางขึ้นมาไว้ในอ้อมอกโดยไม่ให้เธอตั้งตัว สาวเท้ายาว ๆ มุ่งไปยังประตูทางออกของ
"ลงมาสิ หรือจะให้เฮียอุ้มมีนเข้าไปในร้านดี" เขายิ้มกริ่มที่มุม สายตาไม่มีแววล้อเล่นเจืออยู่ในนั้นคนอย่างเขาพูดจริงทำจริงแล้วยังไม่มีเวลาให้เธอได้คิดนาน มนต์มีนาจึงยอมลงจากรถโดยไม่อิดออดร่างบางจำใจเดินตามชายหนุ่มเข้าไปในร้านแต่สายตาไม่ได้โฟกัสข้างหน้า จึงไม่ทันมองเห็นตอนที่พิชยะหยุดเดิน จึงชนเข้ากับแผงอกแข็งแรงใบหน้านวลเนียนเกือบซุกเข้าไปในซอกคอของเขา“ขอโทษค่ะ” หญิงสาวรีบผละออก กลิ่นโคโลญจน์อ่อน ๆ ที่เธอเริ่มจะคุ้นเคยหอมติดจมูกกลับมา“มัวมองอะไรอยู่”“เปล่าค่ะ” เธอส่ายหน้าแต่สายตากลมโตมันโกหกเขาไม่ได้หรอกเพื่อนของพิชชาคนนี้นิสัยขี้เกรงใจคนอื่นขนาดไหน ทำไมเขาจะไม่รู้“ส่งมือมาสิ” เขาพูดพร้อมกับยื่นมือออกมาข้างหน้า จ้องหน้าเธออย่างรอคอยระหว่างที่มนต์มีนายังยืนนิ่งเป็นหุ่นอยู่นั้นพิชยะก็เป็นฝ่ายคว้ามือเล็กไปจับ กุมมือนุ่มนิ่มเพียงหลวม ๆ แต่ก็มั่นคงพอที่จะให้เขาเดินจับมือเธอเข้าไปในร้านด้วยกันการตกแต่งด้านนอกบ่งบอกถึงฐานะทางการเงินของผู้ที่มาใช้บริการได้เป็นอย่างดี แต่พอเดินเข้ามาข้างในร้านกลับยิ่งดูหรูหรา มนต์มีนาอดไม่ได้ที่จะดูแคลนตัวเอง ไม่ว่าเธอจะมองไปทางไหนลูกค้าของที่นี่ล้วนแต่ง
"มีนกลับก่อนนะคะ พอดีนึกขึ้นได้ว่ามีธุระที่ต้องไปทำ" มองออกว่าระหว่างพิชยะกับเจ้าของร้านสาวสวยไม่ได้รู้จักกันธรรมดาเลยไม่ต้องการให้พิชยะลำบากใจ อย่างไรเขาก็คงไม่ได้ตั้งใจจะพาเธอมาด้วยแต่แรกอีกอย่างเธอก็ไม่อยากถูกเปรียบเทียบกับใคร สภาพของเธอตอนนี้ต่อให้มองมาจากดาวอังคารก็ยังรู้ ไม่มีอะไรที่เธอเทียบกับริตาได้มนต์มีนาเตรียมจะหันหลังออกไปจากร้านแต่กลับถูกพิชยะคว้ามาที่ข้อมือ เขามองเธอเหมือนกำลังตำหนิอยู่กลาย ๆ ก่อนจะหันไปพูดกับริตา"วันนี้ผมไม่สะดวก โทษทีนะมีอะไรค่อยคุยกันวันหลัง"พิชยะจูงมือมนต์มีนาออกมาจากตรงนั้นทันที เขารู้ว่าวันนี้ริตาอยู่ที่ร้านแต่ที่ยังพาเธอมาเพราะหล่อนเป็นแค่คู่ขาบนเตียง ไม่ใช่คนที่เขาต้องมานั่งแคร์ความรู้สึกหรือต้องให้ความเกรงใจบริกรผายมือเชิญทั้งคู่ไปที่โต๊ะ ริตาเห็นแบบนั้นก็โกรธจนเนื้อเต้นตุบ ๆ อยู่ในอกแต่ก็ต้องทนข่มอารมณ์เพราะกลัวพิชยะจะไม่พอใจที่ผ่านมาเขาไม่เคยปฏิเสธคำเชิญของหล่อนหรือควงใครมาที่ร้านให้หล่อนต้องรู้สึกเสียหน้าแบบนี้มาก่อนนังเด็กไร้รสนิยมคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่!อาหารหลายอย่างทยอยมาเสิร์ฟหลังจากสั่งไปไม่นาน มนต์มีนาออกตัวแต่แรกว่าเธอไม่คุ้นเคยกั
ไม่นานพิชยะก็ขับรถพาเธอมาถึงศูนย์การค้าแห่งหนึ่งในย่านธุรกิจ เธอเดินตามเขาไปอย่างไม่รู้จุดหมาย กระทั่งเห็นพิชยะเดินเข้าไปในร้านเพชรเขามาทำอะไรกันนะ? หรือมาซื้อของพวกนี้ให้ผู้หญิง?อย่างนั้นเขาก็ไม่สมควรจะพาเธอมาด้วยไม่สิ เขาอาจจะเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงเหมือนกัน เลยจะให้มาช่วยเลือกละมั้งพิชยะบอกความต้องการของตนเองกับพนักงานขาย ไม่นานสร้อยเพชรเม็ดงามก็วางเรียงรายอยู่ตรงหน้า ใช้เวลาพินิจครู่เดียวก็หันมาขอความเห็นจากเธอ“เส้นนี้เป็นไง” เขาให้เธอดูสร้อยเพชรอีกเส้นที่มีดีไซน์หรูหราราคาเหยียบแสนได้ พนักงานขายได้อธิบายเพิ่มว่าสร้อยเส้นนี้เหมาะจะให้กับคนรัก หรือมอบเป็นของขวัญครบรอบวันแต่งงาน ยิ่งรู้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่มนต์มีนาก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอไม่สมควรจะมาด้วย“มีนเลือกของพวกนี้ไม่เป็นหรอกค่ะ”“ไม่เห็นจำเป็นต้องดูเป็นเลย บอกมาว่าชอบหรือไม่ชอบก็พอ” ต่อให้เขาจะพูดแบบนี้ก็เถอะ เธอจะไปรู้ได้อย่างไรว่าผู้หญิงคนนั้นของพิชยะมีรสนิยมแบบไหนแต่พอถูกอีกฝ่ายส่งแววตากดดันมองมาไม่หยุด แล้วยังมีสายตาของพนักงานร้านเพชรอีกหลายคู่ที่ต่างก็รอคอยคำตอบจากเธออยู่ สุดท้ายหญิงสาวเลยจำใจออกความเห็นไป“มีนว่าการที่เ
“จะเดินตามมาดี ๆ หรือจะให้อุ้มไปที่รถ” เสียงทุ้มต่ำดังไปถึงพนักงานในร้านเพชรทุกคนได้ยินกันชัดแจ๋วยิ่งคนพูดได้พิสูจน์ให้เธอเห็นแจ้งแดงชัดแล้วว่า…พิชยะเป็นคนที่พูดจริงทำจริงและไม่ให้เวลาเธอคิดทบทวนอีกต่างหาก มนต์มีนาจึงรีบตามชายหนุ่มออกไปอย่างด่วนจี๋รถสปอร์ตสมรรถนะสูงแล่นออกจากลานจอดรถของศูนย์การค้าชื่อดัง ใช้เวลาอยู่บนท้องถนนนานทีเดียวเพราะเป็นเวลาหัวค่ำ พิชยะก็ขับรถพาเธอเลี้ยวเข้ามาในเขตรั้วของบ้านกิจธาดาวงศ์ ผ่านสนามหญ้าเขียวชอุ่มทอดยาวไปยังตัวบ้านเสาสูงสีขาวที่ออกแบบด้วยความประณีตแต่ก่อนที่หญิงสาวจะเปิดประตูลงจากรถ ชายหนุ่มก็พูดขึ้น“ที่พูดไปวันนั้นไปคิดมาหรือยัง”“อะไรเหรอคะ?” เธอหันไปมองเขา“ก็ที่บอกให้เตรียมรับมือไง” ประโยคนี้เองทำให้หญิงสาวรำลึกเรื่องในคืนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง“แล้วที่ต้องเตรียมรับมือมันหมายถึงว่าเฮียกำลังจะจีบมีนหรือเปล่าคะ?” ไม่รู้ไปกอบโกยเอาความใจกล้ามาจากไหน เธอถึงได้ถามพิชยะออกไปตามแต่ก็นั่นแหละ เธอดันปากไวถามเขาไปแล้ว“จีบ?” แม้ไฟในรถจะไม่ได้ส่องสว่างจนมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน แต่มนต์มีนาก็พอจะรู้ว่าเมื่อกี้นี้อีกฝ่ายหัวเราะเยาะเธอผ่านรอยยิ้มนั้นนั่
เปิดประตูเข้ามาในห้องนอน มนต์มีนาก็หย่อนตัวลงนั่งกอดตัวเอง คิดไม่ตกว่าสิ่งที่พิชยะพูดนั้นออกมาจากใจจริง หรือเขาแค่หลอกล่อให้แมงเม่าปีกบางเช่นเธอหลงโบยบินเข้าไปในกองไฟทุกอย่างเหมือนกับความฝัน…พิชยะไม่เคยแสดงท่าทีอะไรกับเธอมาก่อน เขาคือลูกเจ้าของบ้าน เป็นพี่ชายของเพื่อนสนิท ได้มาอาศัยอยู่ชายคาเดียวกันเพราะเธอนั้นไร้บ้านให้ซุกหัวนอนเฮ้อ…!! หญิงสาวถอนหายใจออกมาเหมือนคนแบกเอาความทุกข์ของคนทั้งโลกเอาไว้คนเดียวจนกว่าจะแน่ใจบางอย่างเธอจะบอกเรื่องในวันนี้ให้พิชชารู้ไม่ได้เด็ดขาด อีกอย่างพิชยะก็ขอให้เธอปิดบังความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาเอาไว้ก่อน และเธอก็พอจะเดาเหตุผลได้เขาเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทุกคนควรอยู่ให้ห่าง พิชชาพูดกรอกหูเธออยู่ทุกวี่วันทว่าสิ่งหนึ่งที่เพื่อนของเธอไม่เคยรู้มาก่อนนั่นก็คือ…เธอแอบชอบพิชยะมานานแล้วเธอชอบเขาตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้น…ความรักเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก รู้ว่าข้างหน้าคือเหวลึกแต่คนเราก็ยังเลือกจะไม่ถอยหลังกลับไปเจ้าของร่างบางนั่งมองหยาดหยดน้ำติ๋ง ๆ ลงจากขอบหลังคาห้องที่มีเม็ดฝนตกลงมาสลับกับกล่องกำมะหยี่สีแดงสด มันวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงตั้งแต่แรกจนตอนนี้มนต
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงจะฝ่าสายฝนออกไปหาความสุขข้างนอก กับผู้หญิงสักคนที่พร้อมจะปรนเปรอความใคร่ให้เขาพอใจทว่าค่ำคืนนี้จิตใจศัลยแพทย์หนุ่มกลับเอาแต่คิดถึงใบหน้าของคนที่อยู่ในห้องฝั่งตรงข้ามร่างสูงยืนอยู่ใต้ฝักบัวชั่วครู่ รอจนอารมณ์กลับมาเยือกเย็นอีกครั้งจึงออกมา ชายหนุ่มเปลี่ยนมาสวมเสื้อยืดสีขาวกางเกงขายาวสีกรมสำหรับใส่อยู่บ้าน เตรียมลงไปทานมื้อค่ำบรรยากาศบนโต๊ะอาหารของบ้านกิจธาดาวงศ์ต่างไปจากตอนเช้า พิชชาจ้องพี่ตัวเองตั้งแต่หย่อนก้นลงนั่ง อดไม่ได้ที่จะถามถึงเรื่องวันนี้“ตกลงว่าทำไมหมอที่ตรวจให้มีนถึงเป็นเฮียได้อ่ะ” แม้จะรู้ว่ากำลังถูกน้องสาวสอบสวนอยู่ พิชยะก็ยังคงวางสีหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงพิรุธใด ๆ ออกมา“หมอที่นัดไว้ให้มีผ่าตัดด่วน ฉันเลยต้องรับหน้าที่ไปตรวจแทน” ยอมรับว่าเขาโกหกแต่แล้วยังไงล่ะ อย่างไรอาการเจ็บหน้าอกของมนต์มียาก็ได้รับการรักษาแล้ว ไม่ใช่หรือไง “แล้วทั้งโรง’บาลไม่มีหมอแล้วไง ทำไมเฮียต้องไปตรวจเองด้วยล่ะ” “ก็บังเอิญว่าฉันเป็นหมอที่เก่งไง ถ้าเธอไม่พอใจก็เชิญไปทำเรื่องขอเปลี่ยนหมอสิ ฉันไม่ว่าอะไรหรอก” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ตักอาหารเข้าปากด้วยความเอร็ดอร่อย พิชชาอยากจะทำตาม
หล่อนจะทวงเขาคืนจากกาฝากตัวหนึ่งที่บ้านของเขารับเลี้ยงเอาไว้เสี้ยววินาทีต่อมาพิชยะก็ประกบริมฝีปากลงบนเรียวปากอิ่มชุ่มชื้นด้วยลิปสติกสีแดงจัด ทันทีที่เขาเริ่ม รสสราก็ส่งลิ้นเข้าไปดูดดึงลิ้นของเขาอย่างโหยหา นิ้วเรียวสวยของศัลยแพทย์สาวสอดเข้าไปในสาปเสื้อ ลูบไล้แผงอกแข็งแรงข้างในนั้นที่มันเป็นของหล่อนมาโดยตลอดจูบของทั้งคู่ดูดดื่มขึ้นเรื่อย ๆ จนได้ยินเสียงแลกน้ำลาย รสสราจับมืออีกฝ่ายขึ้นมาวางที่เอวคอดของตัวเอง มือคอยลูบไล้ไปตามท่อนแขนแข็งแรง ขยับให้กึ่งกลางกายบดเบียดเข้าหาเป้ากางเกงอย่างคนคุ้นเคยกันรสสราเลื่อนมือลงไปกอบกุมความเป็นชายที่ยังซุกซ่อนอยู่ข้างในนั้น ลูบไล้ขึ้นและลงเบา ๆ เพื่อปลุกเร้าให้เขามีอารมณ์ทว่าจังหวะรูดซิปกางเกงลงไปแล้วหมายจะล้วงลึกเข้าไปหาความแข็งขืน พิชยะก็จับมือของรสสราออก จัดการให้เสื้อผ้าบนกายอยู่ในสภาพที่เรียบร้อย “ยังอยู่ในเวลางาน”“โทษที โรสใจร้อนไปหน่อย แต่ก็เป็นเพราะว่าโรสคิดถึงฟันมากนะ” หล่อนตัดใจจากตัวตนของชายหนุ่มซบลงที่แผงอกกว้าง น้ำเสียงฟังดูเศร้าสร้อย พยายามให้เห็นว่าตลอดเวลาหล่อนที่อยู่ห่างไกลกัน หล่อนยังรักพิชยะไม่เปลี่ยน“ฟันก็คิดถึงโรสใช่ไหม”“อืม ค
มนต์มีนาลืมตารู้สึกตัวในช่วงสายโด่งของวันรุ่งขึ้น ศีรษะและเนื้อตัวหนักอึ้งเหมือนถูกถ่วงทับด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ ลำคอแห้งผาก ร่างกายเมื่อยล้าจากการรับศึกหนักไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้สิ่งแรกที่มองเห็นคือปลายคางแข็งแรงของชายหนุ่มที่เธอนอนแนบชิด เอาแก้มซบกับอกกว้าง แถมยังก่ายขาพาดอยู่บนลำตัวแขนข้างหนึ่งของคุณหมอโอบเอวเธอไว้หลวมๆ มือใหญ่แต่ให้ความนุ่มวางอยู่บนบั้นท้ายเปลือยเปล่าของเธอความกังวลที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ เธอคงจะคิดมากไปเอง พิชยะก็ยังดูใส่ใจเธอดีทุกอย่าง เขายังทำตัวหมือนเดิมเลิกงานแล้วกลับมาหาเธอทุกวัน มาอยู่กับเธอเฉกเช่นในตอนนี้ทุกการกระทำของเขาทำให้เธออดไม่ได้ที่จะเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายมีความรู้สึกดี ๆ ให้ตัวเอง“ตื่นแล้วเหรอ” ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาเห็นเธอนอนมองตนเองอยู่จึงถามขึ้น“ค่ะ” เธอส่งยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากหัวใจ รอยยิ้มของคนที่มีความสุขที่สุดในชีวิตหากเป็นแค่ความฝัน เธอก็ไม่ขอตื่นขึ้นมา อยากอยู่ในห้วงแห่งความฝันที่มีพิชยะนอนอยู่ข้างกายทว่าสิ่งที่เธอรับรู้และสัมผัสได้ ทั้งหมดคือเรื่องจริง สายตาคู่นี้ ริมฝีปากนี้ ใบหน้านี้ ร่างกายนี้ของเขา ล้วนเป็นสิ่งที่จับต
สองแก้มของมนต์มีนาร้อนผะผ่าว ฝ่ามืออุ่นจัดของคุณหมอยังลูบไล้เนินเนื้อบอบบางที่กึ่งกลางกลายของเธออยู่“จะให้มีนช่วยยังไงเหรอคะ” เธอเสมองไปที่พื้นห้องพยายามอย่างมากที่จะไม่ให้เสียงของตัวเองสั่นเพราะมือซุกซนของเขาพิชยะไม่ได้ตอบเขานิ่งอยู่อย่างนั้น ส่งเพียงสายตาอ้อน ๆ ขึ้นมามอง เขาเห็นมนต์มีนานิ่งไปจึงจับตัวเธอกดลงที่เตียงนุ่มแล้วตามไปทาบทับ“ทำไม ยังอายอยู่เหรอ” ปลายนิ้วนุ่มของศัลยแพทย์หนุ่มลูบไล้ใบหน้านวลเนียนไร้เครื่องสำอางใด ๆ ผ่านเปลือกตาที่หลุบลงของเธอมายังปลายจมูก แล้วหยุดที่ริมฝีปากจิ้มลิ้มที่เคยโอบอุ้มและกลืนกินความเป็นชายของเขาเข้าไปเขาสอดนิ้วเข้าไปในโพรงปากนุ่ม มนต์มีนาดูดนิ้วของเขาเบา ๆ กระทั่งที่เขาถอนนิ้วออกเปลี่ยนมากดริมฝีปากลงกับปากของเธอ ปากและลิ้นของทั้งคู่ดูดดุนและคลอเคล้ากันด้วยความดูดดื่มจนเกิดเสียงแลกน้ำลายกันฝ่ามือเรียวยาวทาบลงกับแผ่นท้องแบนราบของหญิงสาว ค่อย ๆ เลิกชุดนอนซาตินตัวบางขึ้น ขนอ่อนบนเนื้อตัวมนต์มีนาลุกชันในทันที ท้องนิ้วเนียนนุ่มไล้ผ่านหย่อมหญ้าบาง ๆ บนโหนกนูน“อื้ออ” เธอกัดริมฝีปากเอาไว้แต่ก็ยังหลุดเสียงครางออกมาเมื่อพิชยะจัดการจุดอ่อนไหวที่สุดของเธอเ
“เฮียชอบเลียตรงนี้ของมีนที่สุด” ไม่รอให้เธอเตรียมใจ ปลายลิ้นของศัลยแพทย์หนุ่มก็นาบลงที่ยอดเกสรน้อย ๆ สัมผัสจากลิ้นร้อนทำเธอสั่นไปทั้งตัว“เฮียฟันนน” เจ้าของเสียงหวานจิกเล็บลงกับบ่ากว้าง ความซ่านสยิวพุ่งปรี่ลงไปยังจุดอ่อนไหวที่ลิ้นของอีกฝ่ายกำลังบดเคล้า ปากของพิชยะดูดดึงติ่งน้อยที่ยื่นออกมา ลิ้นคอยตวัดเลียทุกซอกทุกมุมของกลีบเนื้ออ่อนละมุนที่แยกแย้มออก“พะ…พอแล้วค่ะ”“ทำไม” เขาขบเม้มเนินเนื้อนุ่มนิ่มเบา ๆ เหมือนต้องการจะแกล้ง“ก็มันเสียวนี่คะ” โพล่งออกไปแล้วมนต์มีนาถึงค่อยกระดากอาย อยากมุดหายไปซะตอนนี้ เดี๋ยวนี้“ก็ถูกแล้ว เวลาถูกเลียมีนก็ต้องเสียว” พูดแล้วเขาก็กลับลงไปดูดน้ำหวานที่เคลือบอยู่บนติ่งน้อยที่เป่งบวมด้วยพิษไข้ ส่งผลให้มนต์มีนาส่งเสียงครางออกมา เธอหลับตาลงแน่นมือทึ้งเรือนผมที่ท้ายทอยของชายหนุ่ม ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาจากคนที่ซุกหน้าอยู่กลางเรียวขาตัวเองราวกับว่าเขากำลังพอใจที่เห็นเธอดิ้นเร่าร้องครางไม่เป็นภาษา“อ๊า มะ…มีนไม่ไหวแล้วจะ…แตก อื้ออ” แผ่นหลังของหญิงสาวแอ่นโค้งอยู่ไม่ห่างจากอาหารมื้อเช้า จิกนิ้วเท้าเข้าหากัน บั้นท้ายร่อนส่ายไปมา ต้องการหลุดพ้นจากพิษปรารถนาที่กำลังร
หนึ่งเดือนต่อมาแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาทางระเบียงห้องกระทบร่างเล็กที่ขดตัวนอนตะแคงอยู่ในผ้านวมผืนหนา ในขณะที่มีคนกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการปรุงอาหารเช้าวันนี้คุณหมอสวมผ้ากันเปื้อนสีขาวสะอาดต่างจากตอนที่อยู่ในห้องผ่าตัด ดูคล่องแคล่วตอนที่ลงมือหั่นผักเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใบหน้าคมคายเปี่ยมล้นด้วยความสุขอย่างที่ไม่มีมานาน เมื่อนึกถึงใบหน้ายามที่มนต์มีนาลิ้มรสอาหารฝีมือของตนเอง เขาตั้งใจทำอย่างพิถีพิถันเพื่อให้อาหารทุกมื้อของเขาออกมาสมบูรณ์แบบและถูกปากเธอที่สุดตอนที่เขากำลังตั้งใจปรุงอาหารอยู่นั้นมนต์มีนาก็ตื่นนอน ไม่เห็นชายหนุ่มนอนอยู่ข้างกายเธอก็มองหาเพราะยังเช้าอยู่ร่างเล็กสวมชุดนอนยาวเลยเข่าเปิดประตูออกมาจากในห้องนอน เดินตรงมาเรื่อย ๆ กลิ่นหอมที่ลอยเข้ามาในจมูกชัดเจนขึ้นกระตุ้นให้กะเพราะอาหารตื่นตัวเดินตามกลิ่นมาจนมองเห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ครัว มนต์มีนายืนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ชื่นชม ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีอย่างนี้ความโศกเศร้าที่แผ่คลุมหัวใจของเธอ ความทรงจำอันเจ็บปวดที่จู่ ๆ เธอก็ต้องสูญเสียครอบครัวยังคงเป็นหมอกมืดดำอยู่ในใจไม่จางหาย แต่วันนี้แสงสว่างก็ปรากฏ
มนต์มีนาควรได้รู้…นอกจากเขาจะเป็นหมอที่มีฝีมือด้านการผ่าตัด เขายัง ‘เซ็กซ์จัด’ อีกด้วยพิชยะจัดการถอดคอนดอมที่เปียกโชกไปด้วยน้ำรักของหญิงสาวออกโยนลงถังขยะที่วางอยู่ใกล้กันนั้น ก่อนจะพาเธอไปที่เตียงเพื่อจะได้กินเธออีกรอบ“ขย่มให้ได้ไหม” ใบหน้านวลเนียนที่ยังหลงเหลือพิษรักก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นสีแดงจัดขย่ม คือการที่ผู้หญิงอยู่ข้างบนแล้วเป็นคนคุมจังหวะด้วยตัวเอง แน่นอนว่าเธอรู้และเคยเห็นผ่านคลิปโป๊มาบ้างแต่เธอรู้แค่ทฏษฎีไม่เคยปฏิบัติจริง ซึ่งพิชยะก็น่าจะรู้แก่ใจแต่เขาก็ยังขอร้องให้เธอทำ“ทำไม? ทำไม่ได้ หรือเพราะมีนไม่เคยขึ้นก็เลยอาย” ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า การพูดความจริงเป็นเรื่องที่ไม่ผิด แต่เขาก็ไม่ควรจะพูดออกมาตรง ๆ ในตอนที่สายตาจาบจ้วงยังไม่หยุดมองเรือนร่างของเธอ“คือ…” เธอเสมองไปทางอื่น ไม่กล้ามองใบหน้าอีกฝ่าย กลัวจะพ่ายแพ้ต่อสายตาคู่นั้นของเขาทว่าพิชยะในตอนนี้ก็เอาแต่ใจเกินกว่าจะปล่อยให้เธอปฏิเสธคำขอของตนเองลุกขึ้นจากเตียงเดินไปหยิบคอนดอมออกมาจากกระเป๋ากางเกงที่วางกองอยู่กับพื้น จัดการฉีกซองขนาดเล็กสวมมันครอบเข้าไปในลำเอ็นในท่ายืนหันหน้าเข้าหาหญิงสาวขึ้นไปบนเตียงแล้วจับเธอใ
มนต์มีนานั่งตัวเกร็ง กำมือเข้าหากันจนเริ่มมีเหงื่อซึมออกมาทั้งที่ภายในรถเปิดแอร์เย็นฉ่ำบรรยากาศอันน่าอึดอัดระหว่างทั้งคู่อบอวลอยู่ในรถ กระทั่งรถสปอร์ตสมรรถนะสูงแล่นผ่านประตูสูงใหญ่เข้าไปในเขตรั้วของบ้านกิจธาดาวงศ์พิชยะลงจากรถ อ้อมมาเปิดประตูให้เธอแต่ไม่ยอมพูดอะไร เจ้าของร่างสูงเดินเข้าไปในบ้านด้วยท่าทีสุขุมเหมือนเช่นทุกวัน เขาไม่ได้เอ่ยถึงหรือแม้แต่สนใจข้าวของที่วางอยู่เบาะหลัง ราวกับเป็นสิ่งของที่สมควรทิ้งนวลนางเห็นทั้งคู่ก็เข้ามาหาทั้งคู่เพราะจวนจะได้เวลาตั้งโต๊ะอาหารพอดี“คุณฟันจะทานข้าวเลยไหมคะ นวลจะได้ไปตั้งโต๊ะเดี๋ยวนี้เลย”“ครับ แต่ไม่ต้องเผื่อผมนะครับ ผมกินมาจากโรง’บาลแล้ว” ชายหนุ่มเดินผ่านคนรับใช้ขึ้นไปบนชั้นสอง มนต์มีนามองตามร่างสูงไปแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา รู้สึกคล้ายพายุลูกใหญ่กำลังก่อตัวเงียบ ๆ“น้องมีนจะไปอาบน้ำก่อนไหมคะ เมื่อกี้พี่ขึ้นไปตามคุณฟินน์ เธออาบน้ำอยู่คงใกล้เสร็จแล้วค่ะ” สองวันก่อนคุณเพ็ญพิชย์โทรมากำชับให้พิชยะช่วยดูแลมนต์มีนาระหว่างช่วงที่กำลังฝึกงานนี้เพราะเห็นว่าที่ฝึกงานอยู่ไกลจากบ้าน จึงไม่มีใครคิดสงสัยที่ทั้งสองคนกลับมาด้วยกัน“ค่ะ งั้นมีนอาบแป๊บเดียว เด
“เดี๋ยวก็รู้เอง ยังไงก็เตรียมรับมือคุณภูไว้ด้วยนะ แต่พี่ขอเตือนว่าถ้าไม่อยากให้คุณภูเขาออกตัวจีบเราแรงแบบนี้ทุกวัน ให้รีบปฏิเสธแบบย้ำ ๆ ไปเลย แต่พี่ว่าไม่มีประโยชน์หรอก”“อะอ้าว พวกพี่เอางี้เลยเหรอคะ” เกศินีกับอรรถนพมองหน้ากัน มึนงงพอกันที่เจนจิรากับปรียาภรณ์ลากเก้าอี้กลับไปที่โต๊ะทำงานโดยไม่ไขข้อสงสัยก่อน“โชคดีแล้วกันนะมีน” เกศินีไม่รู้จะช่วยเธอยังไง จึงได้แต่พูดปลอบแล้วกลับไปที่โต๊ะของตัวเองบ้าง ส่วนอรรถนพก็ส่งยิ้มให้กำลังใจเธอมาอีกคนมนต์มีนายิ้มรับความเป็นห่วงเป็นใยจากเพื่อนร่วมงานทุกคน แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจ หันหน้าเข้าหาคอมพิวเตอร์ ทว่าในใจกำลังคิดหนักถ้าพิชยะเห็นกุหลาบช่อนี้จะต้องเป็นเรื่องแน่ แต่ถ้าเธอจะทิ้งลงถังขยะมันก็คงจะไม่ดีนัก เพราะตลอดสามเดือนของการเป็นนักศึกษาฝึกงานเธออยู่ภายใต้การดูแลของภูวเนศ แต่ถึงอย่างไรเธอก็ต้องหาโอกาสพูดกับเขาตรง ๆอีกด้านหนึ่งภายในห้องพักของนายแพทย์พิชยะ กิจธาดาวงศ์ ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะทำงานด้วยใบหน้าที่เหนื่อยอ่อนนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขาต้องไปรับมนต์มีนากลับบ้าน จึงสลัดความง่วงและความเหนื่อยล้าออกไป เปลี่ยนเสื้อตัวใหม่แล้วเปิดประตูออกจา
ท้องฟ้าเจิดจ้าที่บ้านกิจธาดาวงศ์บัดนี้มืดครึ้มลงเมื่อมนต์มีนาเดินทางมาถึง ‘ตะวันฉายดีไซน์’ บริษัทออกแบบและตกแต่งที่จะให้เธอได้นำความรู้ที่ร่ำเรียนมาตลอดห้าปีมาใช้เกศินีและอรรถนพ นักศึกษาฝึกงานอีกสองคนเดินทางมาถึงก่อนเธอเล็กน้อย ทั้งหมดมีโต๊ะทำงานเป็นของตัวเอง นั่งอยู่ในโซนเดียวกับพนักงานประจำ ไม่ได้แบ่งแยกให้ถูกเปรียบเทียบมนต์มีนานั่งลงที่โต๊ะทำงานของตัวเองก็รู้สึกตื่นเต้นกระตือรือร้นที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ของการเป็นนักศึกษาฝึกงานนอกจากภูวเนศที่ให้ความเป็นกันเองกับพวกเธอแล้ว พนักงานคนอื่น ๆ ก็อัธยาศัยดีและยิ้มแย้มเก่งไม่แพ้กัน ทุกคนดูมีน้ำใจไม่มีใครแสดงอำนาจบาตรใหญ่นอกจากนี้ยังได้พูดให้พวกเธอสบายใจว่าบริษัทไม่มีแบ่งแยกว่าใครอยู่ก่อน ใครมาทีหลัง ทุกอย่างวัดกันที่ความสามารถทั้งหมดนี้เป็นกฎระเบียบและข้อห้ามของเจ้าของบริษัทนั่นก็คือ ‘อาทิตย์ อัครราช’ ทุกคนในบริษัทต่างเรียกเขาว่า ‘บอส’ เรียกภูวเนศว่า ‘คุณภู’ แต่สำหรับนักศึกษาฝึกงาน ภูวเนศอนุญาตเป็นกรณีพิเศษในการให้เรียกตนเองว่าพี่ภูได้มนต์มีนากับนักศึกษาฝึกงานอีกสองคนยังไม่ได้ทำอะไรมากนักเพราะเป็นการฝึกงานวั