ภัทรานิษฐ์อยู่ด้วยความระแวง กลัวว่าพัฒน์ชนะจะบุกมาหาเธอตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ชายหนุ่มนั้นไม่อยู่เมืองไทย เพราะบินไปดูงานด่วนที่มาเลเซียแล้ว เธอซื้อกุญแจตัวใหญ่มาหลายอันเพื่อล็อคบ้าน หวังว่ามันจะปลอดภัยมากขึ้น ภัทรานิษฐ์ดูจะไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น ยิ่งคืนนี้ลักขณาบอกว่าจะกลับดึกด้วยเธอก็ยิ่งระแวง เมื่อไปรับลูกเรียบร้อยเธอก็รีบล็อคบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด คอยสอดส่องมองหาความไม่ปลอดภัยและตอนนี้ยังมีเครื่องช็อตไฟฟ้าติดตัวตลอดเวลาอีก
ลักขณาขับรถมาที่โรงเรียนอนุบาลของศุภวุฒิ เธอไม่ได้ลงไปจากรถ เอาแต่นั่งนิ่งอยู่แบบนั้น เพราะกำลังชั่งใจตัวเองว่าจะไปกับชายหนุ่มดีหรือไม่ ถึงจะตัดสินใจเด็ดขาดไม่ได้ แต่ตอนนี้เธอกลับมารอเขาแถวๆ โรงเรียนซะแล้ว ศุภวุฒิเองก็ไม่ได้ลืมนัด ชายหนุ่มรีบเคลียร์งานก่อนจะมานั่งรอหญิงสาวที่หน้าโรงเรียน เกือบสองทุ่มก็ยังไม่เห็นเธอ แต่เขานั้นจำได้ว่ารถคันที่จอดอยู่ไม่ไกลต้องเป็นรถของลักขณาแน่ๆ เห็นมาตั้งแต่เย็นแต่ทำไมเธอถึงยังไม่ยอมลงจากรถอีก ศุภวุฒิจึงเดินเข้าไปหา ก่อนจะเคาะกระจกเรียกทำเอาลักขณาสะดุ้ง กดกระจกรถลงเพื่อจะคุยกับเขา “จะนั่งในรถอีกนานไหม“คุณเก๋...เคยแอบชอบใครไหมครับ” คำถามของชายหนุ่ม ทำให้คนฟังจ้องมองเขา สายตาบ่งบอกว่าคิดยังไง แต่คงไม่ชัดเจนเท่าคำพูด“เคย”“แล้วตอนนี้คุณเก๋กำลังคบอยู่กับเขาหรือเปล่า”“เปล่า”“แสดงว่าคุณเก๋ก็แอบชอบใครอยู่เหมือนผม”“ค่ะ เก๋แอบชอบเขา แต่เขากลับโง่ มองไม่เห็น” แววตาของลักขณามองตรงไปยังศุภวุฒิ ผู้ชายโง่ๆ ที่เธอแอบชอบ ครูใหญ่โรงเรียนอนุบาลของน้องพลอยที่เธอปิ้งเขาตั้งแต่วันแรกที่ได้เห็นหน้า แต่เธอกับเก็บความรู้สึกนั้นซะมิด ทั้งๆ ที่คิดว่าศุภวุฒิไม่ได้สนใจเธอเลย แต่คำพูดของเขาตอนอยู่ในร้านกาแฟก็ทำให้ลักขณาแปลกใจ เพราะเหมือนกับเขาคอยมองเธออย่างนั้นแหละ แต่มันคงไม่ใช่หรอก“แล้วทำไมไม่บอกเขาละครับ” ศุภวุฒิเอ่ยตามตรงๆ เพราะเขาเคยผ่านความรู้สึกของคำว่าแอบชอบมาก่อน มันอึดอัดแต่พอได้พูดออกไปแล้ว อีกฝ่ายจะรับความรู้สึกนั้นหรือไม่ เขาก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาก แม้คำตอบของเขาจะคือไม่ก็ตามที&ldqu
ภัทรานิษฐ์ลงมาเตรียมอาหารเช้าตามปรกติ แม้ทุกอย่างในช่วงนี้จะน่าอึดอัดและหวาดกลัวแค่ไหน แต่เธอก็ยังต้องดำเนินชีวิตต่อไป เมื่อคืนเธอแทบนอนไม่หลับเพราะกลัวพัฒน์ชนะจะบุกเข้ามาหาอีก แต่ก็ไม่เป็นแบบนั้น เพราะถ้าบุกเข้ามาครั้งนี้เธอจะสู้ไม่ถอยตายเป็นตาย แต่หญิงสาวก็ต้องหยุดเดิน เมื่อเห็นลักขณานั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก จึงเดินเข้าไปหา“เก๋… เก๋...”“หือ” ลักขณาถึงขั้นสะดุ้ง เมื่อรับรู้ว่ามีฝ่ามือของภัทรานิษฐ์วางลงมาบนบ่า“แกเป็นอะไรหรือเปล่า มานั่งตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” คิ้วของภัทรานิษฐ์ขมวด เมื่อคืนเธอไปนอนในห้องพลอยไพลิน จึงไม่เห็นว่าลักขณามานั่งตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน“เมื่อคืน”“เกิดอะไรขึ้น ท่าทางเหมือนยังไม่ได้นอน”“ก็ตามนั้น นั่งคิดอะไรเพลินๆ” ลักขณานอนไม่หลับต่างหากตาค้างเลยก็ว่าได้ เพราะอะไรถ้าไม่ใช่เพราะศุภวุฒิ สงสัยจะเข้าหน้ากันไม่ติดไปอีกนาน เป็นบ้าอะไรถึงได้พูดและทำแบบนั้นกับเธอกัน เมาแล้วบ้
“ได้กลิ่นเหรอครับ…” ศุภวุฒิขยับออกห่างภัทรานิษฐ์ เพราะกลัวเธอจะรังเกียจ แต่หญิงสาวไม่ได้คิดแบบนั้น“ค่ะ ฉันว่าคุณวุฒิน่าจะกลับไปพักอีกหน่อยนะคะ ท่าทางยังไม่ดีเลย”“ผมก็ตั้งใจจะทำแบบนั้น” สาเหตุที่ศุภวุฒิลากตัวเองออกจากบ้าน ก็เพียงเพื่ออยากพบลักขณาต่างหาก แต่เขากลับไม่ได้เห็นเธอ“หวา ขอคืนนะคะ” ภัทรานิษฐ์ยื่นแหวนให้ชายหนุ่ม ซึ่งเขาก็รับไว้“ครับ ขอโทษด้วย ถ้าทำให้อึดอัด”“ไม่เป็นไรค่ะ”“เราจะยังคงเป็นเพื่อนกันได้แบบนี้อีกใช่ไหมครับ” อีกหนึ่งสิ่งที่ศุภวุฒิกลัว คือเขากับภัทรานิษฐ์จะไม่มีแม้กระทั่งความเป็นเพื่อนให้กัน เพราะการกระทำของเขา“ได้สิคะ หวายินดี”“ขอบคุณมากครับ” แต่พอได้ฟังแบบนี้ ศุภวุฒิก็พลอยยิ้มออก“ขอโทษนะคะ เมื่อคืนเก๋ไปเป็นเพื่อนคุณวุฒิดื่มเหรอเปล่า” ภัทรานิษฐ์รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังถาม สายตาของเธอมองใบหน้าชายหนุ่มอย่างวิเคราะห์ แต่กลับมองไม่เห็นอะไรเลย อาจจะเป็นเพราะเธอคิ
“เก๋ ขอดูตารางงานก่อนนะคะ เพราะพักนี้ยุ่งมาก” ลักขณาบอกปัดกรายๆ อย่างไว้ตัวทั้งๆ ที่ดีใจแทบบ้า ที่จะได้ไปกินข้าวกับเขา“ครับ ผมจะรอ” พูดจบชายหนุ่มก็เดินกลับออกไปจากบ้าน ลักขณาทรุดนั่งกับเก้าอี้ หัวใจเต้นโครมครามกับคำพูดที่บอกว่าผมจะรอของศุภวุฒิ มันดังก้องอยู่ในความคิด ก่อนที่เธอจะหยุดตัวเองและขึ้นไปอาบน้ำเพื่อออกไปทำงาน จะเอายังไงกับนัดครั้งนี้ดี ลักขณาชั่งใจอยู่นานก่อนจะตกลงกับตัวเองว่าไม่ไปจะดีกว่าเมื่ออาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะออกไปทำงานเรียบร้อย ลักขณาก็ขับรถภัทรานิษฐ์ไปเปลี่ยนเป็นรถเธอที่ร้านของเพื่อนสาว โดยไม่ได้บอกภัทรานิษฐ์ว่าศุภวุฒิมาหาเธอที่บ้าน แต่ก็แอบย่นจมูกให้เพื่อนที่ไปบอกชายหนุ่มว่าเธอจะไปเชียงราย ซึ่งภัทรานิษฐ์ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป แม้ภายนอกจะปรกติแต่ภายในใจของภัทรานิษฐ์กำลังหวาดหวั่น แม้จะไม่เห็นพัฒน์ชนะมาวันสองวันแล้ว แต่เธอก็ยังไม่วางใจภัทรานิษฐ์ตัดสินใจแน่แล้วว่าเธอจะไปอยู่ที่ไหน หญิงสาวได้ข้อมูลที่แน่ชัดและคุยกับเจ้าของร้านที่เธอจะไปเซ้งต่อเรียบร้อย แม้จะเป็นที่ที่ไม่คุ้นเคยแต่มันคงไม่อยากหรอก ใกล้ๆ ร้านใหม่
“เปล่า ฉันรักแกนะ”“อ้าว ไอ้นี่มาบอกรักฉันทำไม” คนฟังออกอาการเขิน จึงเอ่ยเสียงดังกลับไป เพื่อกลบความรู้สึก ที่อยากร้องไห้เหมือนกัน“ก็แกจะไปอยู่เชียงงรายแล้วนี่ไง ฉันคิดถึง”“ก็แค่เชียงราย ไม่ได้ไปตาย คิดถึงก็ขึ้นไปหาสิ ที่หลับที่นอนมีพร้อม พวกแกล่ะก็” ลักขณาส่ายหน้าให้ เพราะทั้งภัทรานิษฐ์และศิรดาทำยังไงกับจะไม่ได้เจอกันอีกแบบนั้น“ก็เราไม่ค่อยอยู่ห่างกันแบบนี้ มันรู้สึกแปลกๆ นี่หว่า” ศิรดาสูดน้ำมูก ก่อนจะยกมือปาดน้ำตา เพราะเธอร้องไห้ตั้งแต่นั่งรถมาที่นี่แล้ว“แปลกตรงไหน ทีแกหนีจากอกฉันไปซบอกพี่คริส แต่งงาน แซงหน้าฉันไป ฉันยังไม่ว่าเลย”“อ้าว...” คำอุทานของศิรดาดังขึ้น เพราะเหมือนเธอเป็นคนผิดอย่างนั้นแหละ ภัทรานิษฐ์ส่ายหน้าให้ ก่อนจะเอ่ยขึ้น“ฝน ไม่คิดจะทักลูกฉันหน่อยเหรอ นั่งมองแกตาปริบๆแล้วนั่นนะ”“โอ๋ๆ น้องพลอย มาหาแม่ฝนมาม๊ะ” ศิรดาไม่ได้ลืมพลอยไพลิน เธออ้าแขนรับเด็กหญิงตัวน้อย ที่กำลังคลานลงจากเตียง ก่อนจะลงไป
ทางด้านพัฒน์ชนะที่บินมาคุยธุรกิจที่มาเลเซีย ชายหนุ่มยังตกลงเรื่องการซื้อขายไม่ได้ เพราะต้องรอให้เจ้าของที่ดินตัดสินใจอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้ารับปากว่าจะขายให้แท้ๆ เขาจึงบินมาด้วยตัวเอง แต่พอมาถึงกลับเล่นแง่ และต่อรองเรื่องราคาอีก พัฒน์ชนะจึงต้องอยู่และแสตนด์บายให้พร้อม เพราะเจ้าของที่ดินจะนัดมาเอง ทางเขาจะไปเจาะจงไม่ได้ ปัญหานี่แหละคือสิ่งที่ชายหนุ่มไม่ชอบเอาเสียเลย เพราะรู้สึกมันเสียเวลาแต่เขาก็ต้องรอ ทั้งๆ ที่ใจนั้นอยากกลับเมืองไทยจะแย่แล้วแต่ละวันที่อยู่มาเลเซีย พัฒน์ชนะโทรศัพท์หาลูกน้องที่ให้คอยดูแลภัทรานิษฐ์หลายต่อหลายครั้ง แต่ยังดีที่หญิงสาวไม่หนีหายไปไหน กลับไปเมืองไทยคงต้องจัดการให้จบๆ ไม่ต้องมานั่งเครียดทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวแบบนี้ ทำอะไรไม่ได้นอกจากการนั่งรอเวลา ผ่านมาวันแล้ววันเล่าจนถึงวันเสาร์เข้าไปแล้ว ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อ“ทางนั้น ยังไม่ติดต่อมาอีกหรือไง” พัฒน์ชนะเอ่ยถามลูกน้องที่ส่งมาทำงานที่นี่นานแล้ว“ยังเลยครับ”“วุ่นวาย ถ้าไม่ติดว่าฉันอยากได้ที่ตรงนั้น ไม่มีทางที่ฉันจะนั่งรอแบบนี้แน่”
“ครับ แต่งเงียบๆ น้อยคนที่จะรู้” พัฒน์ชนะเอ่ยรับอย่างภูมิใจ ไม่รู้เพราะอะไรเขาถึงได้บอกแบบนี้ แต่มันก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก“ยินดีด้วย” น้ำเสียงของรามันเอ่ยออกมาจากใจ แต่โจแอนกลับไม่คิดเหมือนพ่อ เพราะเธอไม่ยินดีสักนิด อุตส่าห์ได้มาเจอผู้ชายสุดเพอร์เฟกต์แต่เขากลับไม่โสดเสียแล้ว น่าเสียดาย“ขอบคุณครับ”“น่าเสียดาย” โจแอนเอ่ยกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหยิบไวน์ในแก้วขึ้นดื่ม เธอแทบไม่มองหน้าพัฒน์ชนะอีก“โอกาสหน้า หวังว่าผมจะได้เลี้ยงข้าวคุณพัฒน์ชนะพร้อมภรรยาสักมื้อ”“ครับ ถ้างานที่นี่เสร็จเรียบร้อย ผมก็คบพาเธอกับลูกมาเที่ยวเหมือนกัน” พัฒน์ชนะเอ่ยรับ คำพูดต่อมาของชายหนุ่มยิ่งทำให้โจแอนหมดทางไขว่ขว้า“มีลูกแล้วด้วย” เสียงของโจแอนดังขึ้น ออกแนวไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ แค่รู้ว่าเขาแต่งงานแล้วเธอก็กินแห้วไปหลายกระสอบ นี่ยังมีลูกด้วยกันอีก ลูกน้องของพัฒน์ชนะก็พลอยตกใจกับข่าวที่สองไปด้วย แต
พัฒน์ชนะเดินทางกลับจากมาเลเซียในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยนั่งเครื่องในเที่ยวแรกเลยก็ว่าได้ พอลงเครื่องที่สนามบิน ชายหนุ่มก็รีบตรงมายังบ้านของภัทรานิษฐ์ทันที โดยใจนั้นจดจ่อกับการได้พบหน้าทั้งสองคนมาก แต่ขณะนั้นพลอยไพลินก็แต่งตัวสวยรอจะไปทะเลภัทรานิษฐ์ยกกระเป๋าไปไว้ในรถ รวมทั้งของกินพวกนม ขนมและแซนวิชสำหรับลูกด้วย แต่ก่อนจะเดินทางคุณแม่คนเก่งก็ทำอาหารเช้าให้ลูกได้กินเสียก่อน ซึ่งพลอยไพลินก็กินได้เยอะเป็นพิเศษใจของเด็กหญิงนั้นจดจ่อกับภาพของทะเลเต็มที่แล้ว“อิ่มแล้วเหรอคะ”“ค่ะ” พลอยไพลินเอ่ยรับคำถามของแม่ ภัทรานิษฐ์นิ่วหน้าคิ้วขมวดเพราะรู้สึกเจ็บท้องน้อยด้านขวามากขึ้นกว่าเมื่อคืนนี้เธอกุมท้องตัวเอง แต่พยายามไม่แสดงออกให้ลูกเห็น จนกระทั่งความเจ็บนั้นหายไป เมื่อได้เวลาเดินทาง ภัทรานิษฐ์ก็จูงมือลูกไปที่รถเธอกลับมาล็อคประตูบ้าน ก่อนจะไปเปิดประตูรั้วรอที่จะขับรถออกไป แต่เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าลืมเอกสารสำคัญที่อุตส่าห์เตรียมไว้ สุดท้ายก็ลืมจริงๆภัทรานิษฐ์ไขกุญแจเข้าไปในบ้านอีกครั้ง ซึ่งพลอยไพลินก็ยืนรออยู่ข้างรถ ไม่ได้ไปซนที่ไหนเหมือนกัน พอเห็นแม่เดินกลั
“ดีมากจ้ะ” ภัทรานิษฐ์ลูบใบหน้าพลอยประภัสเบาๆ เด็กหญิงจึงได้ทีถามแม่เรื่องการแต่งตัว เพราะอยากให้ชม“แม่จ๋า… น้องพราวแต่งตัวเสร็จแล้ว เก่งไหมคะ”“เก่งค่ะ ว่าแต่วันนี้ใครแต่งตัวให้น้องพราวของแม่นะ” ภัทรานิษฐ์มองชุดที่ลูกสาวสวมอยู่ ไม่มีอะไรเกินความคาดหมายวันนี้พลอยประภัสมาในชุดเสื้อยืดเท่ๆ กางเกงยีนส์ขายาว คาดเข็มขัด ผมยาวเลยบ่าไปแล้ว มัดสูงขึ้นรวบตึงที่ด้านหลัง ใส่หมวกอีกใบคงเท่ขึ้นเป็นกอง“พี่พลอย”“ขอบคุณพี่หรือยังคะ”“ยังค่ะ”“หนูต้องทำยังไง” คนเป็นแม่เอ่ยถามลูก พลอยประภัสหันมองหาพลอยไพลิน เมื่อเห็นว่ากำลังเดินลงมาจากบันไดก็เข้าไปกอดและเขย่งเท้าขึ้นหอมแก้ม ก่อนจะเอ่ยบอก“ขอบคุณค่ะ พี่สาวของน้องพราว” พลอยไพลินที่ลงมาช้า เพราะพึ่งแต่งตัวเสร็จ หลังจับน้องจอมซนใส่เสื้อผ้าแล้ว เด็กหญิงยิ้มให้น้องทันที ก่อนจะจูงมือไปยังโต๊ะอาหารที่พ่อนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทั้งภัทรานิษฐ์และพัฒน์ชนะยิ้มให้ เพราะทั้งสองคนมักจะบอกลูกๆ ว่าใ
ห้าปี ต่อมาครอบครัวของพัฒน์ชนะและภัทรานิษฐ์ สมบูรณ์แบบตามคำว่าครอบครัว มีความรักลอยอบอวลอยู่รอบข้างของเหล่าสมาชิกที่ตอนนี้เพิ่มมาเป็นสี่คนและอีกหนึ่งคนกำลังเติบโตอยู่ในท้องของภัทรานิษฐ์รอเวลาลืมตาดูโลก ภาพตอนนี้ คือทั้งสี่คนกำลังยืนแปรงฟันหน้ากระจกและอ่างล่างหน้าที่ลดหลั่นเป็นขั้นบันไดไปตามความสูง เริ่มที่พัฒน์ชนะ ภัทรานิษฐ์ พลอยไพลินและพลอยประภัส สมาชิกคนที่สี่ที่ตอนนี้อายุได้สามขวบแล้ว ส่วนพลอยไพลินเป็นพี่ใหญ่อายุเจ็ดขวบครึ่ง“แปรงให้สะอาดนะคะ” เสียงอบอุ่นของแม่เอ่ยบอก ทั้งสามีและลูกๆ ของเธอ“ค่ะ/ค่ะแม่” เสียงเจื้อยแจ้วของลูกสาวทั้งสองคนเอ่ยตอบภัทรานิษฐ์กลับไป ยิ่งนานวันครอบครัวนี้ก็ยิ่งมีแต่ความสุขและความน่ารักของสมาชิก“ไหน… อ้าปากให้พ่อดูหน่อย น้องพลอย น้องพราว” พัฒน์ชนะที่แปรงฟันเสร็จแล้ว ลงไปนั่งยองๆ มองหน้าลูกทั้งสองคน“อ้า...” พลอยไพลินและพลอยประภัสอ้าปากให้ผู้เป็นพ่อดูความสะอาด ก่อนจะยิ้มแฉ่งอวดฟันซี่เล็กๆ สีขาวที่ดูแลเป็นอย่างดี“โอ้โห้...ฟันขาวสะอาดกั
“คุณเก๋!” น้ำเสียงตึงๆ ของศุภวุฒิดังขึ้นไปอีก ชายหนุ่มกำลังโกรธเพราะหึงอยู่นั่นเอง ลักขณาจึงเอ่ยดักทางไว้“ทำเสียงเข้มๆ แบบนั้นทำไมคะ หึงหรือไง”“เปล่า ไม่ได้หึง” ศุภวุฒิรีบปฏิเสธทันที ก่อนจะกลับไปทำ หน้าตาย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ลักขณาส่ายหน้าให้ผู้ชายปากแข็ง ลักขณาขี้เกียจจะซักต่อ จึงเอ่ยถามถึงที่หลับที่นอนของเขาแทน“เปล่าก็เปล่า แล้วนี่คุณวุฒิจะพักที่ไหน”“ที่นี่” ชายหนุ่มเอ่ยตอบแบบไม่รีรอ คนฟังอุทานเสียงดังทันที“เอ๋…ได้ไงคะ”“ทำไมจะไม่ได้ ผมจะนอนที่นี่”“เก๋…พึ่งรู้ว่าคุณวุฒิเอาแต่ใจ”“อืม จะว่าไปที่นี่มีโรงเรียนอนุบาลหรือยังนะ” ศุภวุฒิไม่ตอบคำถามนั้นของลักขณา ก่อนจะทำท่าคิด เรื่องที่เขาต้องการจะทำอีกอย่าง“ถามทำไมคะ”“คงต้องสำรวจตลาดกันสักหน่อย เผื่อจะมีคู่แข่ง” สีหน้าของชายหนุ่มดูจริงจังมาก ก่อนจะควานหาอะไรในกระเป๋
หลังเสร็จงานแต่งงานของพัฒน์ชนะและภัทรานิษฐ์ที่แสนเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความทรงจำที่แสนล้ำค่า พอเห็นลูกมีความสุขจรรยาและทวี รวมทั้งวสุวัสก็ขอตัวกลับบ้าน ภัทรานิษฐ์อยากให้ครอบครัวเธออยู่ต่ออีกหน่อย แต่ทุกคนกลับส่ายหน้าให้ เพราะสามสี่วันที่ได้อยู่ดัวยกันมันก็มีค่ามากพอแล้ว อีกอย่างกรุงเทพฯ - ตราดก็อยู่ใกล้กันแค่นี้ ไปมาหาสู่ได้สบาย อนุภพมีงานก็ขอตัวกลับด้วยเหมือนกันส่วนศิรดาและรัชยศก็ขอตัวกลับกรุงเทพฯ เพราะศิรดามีนัดตรวจครรภ์ ลักขณาเองก็ต้องกลับโดยมีศุภวุฒิขับรถไปส่งเธอใจจริงหญิงสาวอยากอยู่นานๆ แต่ด้วยงานที่ต้องรับผิดชอบจึงทำแบบนั้นไม่ได้ ที่ชะอำในตอนนี้จึงมีแต่เหล่าสมาชิกของบ้านสุนทรโรจน์อยู่กันพร้อมหน้า พวกเขาจะอยู่ต่ออีกวัน พรุ่งเช้าค่อยกลับกรุงเทพฯ ศุภวุฒิขับรถมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ชายหนุ่มเข้าไปรับตั๋วเครื่องบินให้ลักขณา เพราะเขาจองตั๋วไว้แล้ว แต่ในมือศุภวุฒิลับมีตั๋วถึงสองใบ ก่อนที่ชายหนุ่มจะส่งตั๋วเครื่องบินใบหนึ่งให้เธอ“คุณวุฒิ… จะบินไปไหนคะ”“ผมมีงานน่ะครับ” ศุภวุฒิ ไม่ได้บอกว่าเขามีงานที่ไหน ลักขณาออกอาการงง
“พี่รักยี่หวา”“ยี่หวาก็รักพี่แพทค่ะ”“เราจะรักกันไปจนวันตาย”“ค่ะ” ภัทรานิษฐ์เอ่ยรับคำพูดนั้น ทุกคนที่ได้ยินทั้งสองเอ่ยคำรักกันและกัน ถึงกับยิ้มอย่างตื้นตัน เมื่อสวมแหวนเรียบร้อย บ่าวสาวก็เดินไปนั่งตรงซุ้มที่ประดับประดาอย่างสวยงาม ให้ทุกคนได้รดน้ำสังข์ แต่น้ำสังข์ของงานแต่งงานครั้งนี้เป็นทรายสีชมพูที่ผ่านการอวยพรมาจากทุกคนที่ทั้งสองรักบรรยากาศรดน้ำสังข์ทำเอาน้ำตาของภัทรานิษฐ์ไหลนองหน้า คำอวยพรจากพ่อแม่ของเธอ รวมทั้งพ่อและแม่ของพัฒน์ชนะ มันทำให้หญิงสาวมีความสุขจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ เพราะทุกคนล้วนอวยพรให้เธอและพัฒน์ชนะมีความสุขทั้งนั้น ลักขณาและศิรดาก็แอบปาดน้ำตาเหมือนกัน เธอดีใจที่ภัทรานิษฐ์มีวันนี้ วันที่เพื่อนเธอมีความสุข และคนรอบข้างก็อวยพรให้อย่างจริงใจและปรารถนาดีเมื่อผ่านการรดน้ำสังข์และได้รับคำอวยพรจากทุกคน ภัทรานิษฐ์ก็โยนช่อดอกไม้ โดยมีบรรดาสาวโสดที่เป็นพนักงานของรีสอร์ตมายืนรอกันไม่น้อย แต่กลับไม่มีลักขณา เพราะเธอเขินจึงยืนหลบอยู่กลังศุภวุฒิ แต่โชคชะตาก็ได้กำหนดให้ช่อกอดไม้ของภัทรานิษฐ์ มาหล่
“หวา… อย่าพึ่งร้องไห้สิ เดี๋ยวไม่สวยนะ” ศิรดาเอ่ยบอกเพื่อน ซึ่งมันดูยากที่จะห้ามเหลือเกิน เพราะเธอเคยผ่านอารมณ์การแต่งงานมาแล้ว จึงพอเข้าใจว่าตื่นเต้นมากแค่ไหน แถมพัฒน์ชนะยังทำเซอร์ไพรส์ใหญ่แบบนี้ ไม่ตกใจก็ให้มันรู้ไปสิ“ก็คนมันอดไม่ได้ แกสองคนรู้เรื่องนี้กันตั้งแต่ตอนไหน”“เรื่องอะไร ฉันไม่รู้” ลักขณาปฏิเสธตาใส ภัทรานิษฐ์จึงคาดคั้น“ฝน เก๋ เล่ามา”“เสร็จงานก่อน แล้วพวกฉันจะสารภาพนะเพื่อน” ศิรดายิ้มให้ ก่อนจะบรรจงแต่งหน้าภัทรานิษฐ์ให้สวยที่สุด ลักขณาหยิบดอกไม้สีขาวขึ้นมาปักบนเส้นผมที่จัดแต่งอย่างสวยงามของเพื่อน ตามด้วยมงกุฎเพชร ที่เข้ากับชุดแต่งงานสีขาวนั่นเป็นที่สุดเมื่อหน้าผมพร้อม ภัทรานิษฐ์ก็เปลี่ยนชุด เธอยืนมองตัวเองหน้ากระจกเป็นนาน ลูบชุดแต่งงานเกาะอกสีขาวบริสุทธิ์ที่สวมอยู่อย่างเบามือ มุกและคริสตัลทุกเม็ด รวมทั้งลูกไม้ที่ปักอยู่สวยงามไม่มีที่ติ ที่สำคัญเธอใส่มันได้พอดี จึงชวนให้คิดวันที่ศิรดาขอวัดตัวเธอ แล้วบอกว่าจะตัดชุดส่งไปให้ญาติที่ต่างประเทศ ที่แท้ก็เ
“พี่แพท” ภัทรานิษฐ์เอ่ยเรียกชายหนุ่มไม่เต็มเสียงนัก ตาปรือๆ มองสบตากันผ่านกระจก ท่วงท่ายั่วยวนของภัทรานิษฐ์แบบนี้ ยิ่งกระตุ้นอารมณ์ของชายหนุ่มได้ดี พัฒน์ชนะเริ่มทำให้เธอครางไม่หยุด เขาขยับเข้าออกรัวเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นช้าๆ เนิบๆ จนภัทรานิษฐ์ส่ายหน้าให้ บอกว่าไม่ไหวแล้ว“ในน้ำ” พัฒน์ชนะกระซิบข้างหูภัทรานิษฐ์ ก่อนจะพาเธอไปยังอ่างอาบน้ำที่มีน้ำอยู่เกือบเต็ม ชายหนุ่มลงไปนอนในนั้นโดยมีภัทรานิษฐ์นั่งคร่อมหันหลังให้อยู่ด้านบน เธอได้จังหวะขยับเข้าออก ยิ่งอยู่ในน้ำ ความคับแน่นก็ยิ่งมีมากขึ้น พัฒน์ชนะถึงกับกำขอบอ่างแน่น“ที่รักคะ”“ครับ… สุดยอด” ชายหนุ่มขานรับ ก่อนจะเอ่ยบอกความรู้สึก ภัทรานิษฐ์ได้ใจขยับเร่งจังหวะของสะโพกขึ้นลงหนักหน่วงขึ้น เพราะรู้ว่าตัวเองต้องการแบบไหน รวมทั้งตอบสนองความต้องการของพัฒน์ชนะด้วย รสเซ็กส์แม้จะคล้ายกัน แต่ก็ไม่เหมือนซะทีเดียวอยู่ที่คนเล่นว่าจะพัฒนาฝีมือ ทำให้คู่ครองชอบได้มากแค่ไหนพัฒน์ชนะรั้งตัวภัทรานิษฐ์ให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาชายหนุ่มเอื้อมมือไปสัมผัสหน้าอกข
“อากาศดีจังเลยนะคะ” ภัทรานิษฐ์เอ่ยบอก คนที่ยืนกอดซ้อนหลังเธออยู่ ทั้งสองคนออกมายืนรับลมตรงระเบียงของรีสอร์ต เสียงคลื่นซัดทราย ช่างเป็นเสียงที่ไพเราะมาก“ใช่…” เสียงทุ้มๆ เอ่ยรับ ภัทรานิษฐ์เอียงใบหน้าขึ้นมองเขา ก่อนจะได้ถามอะไร พัฒน์ชนะก็หอมแก้มเธอหนักๆ“จริงสิคะ หวาจะถามตั้งแต่มาถึงแล้ว ข้างหน้าเขาจะมีงานอะไรหรือเปล่า เห็นจัดสถานที่ไว้”“เห็นทางรีสอร์ตบอกจะมีงานแต่งงาน” พัฒน์ชนะเอ่ยตอบตามตรง แต่บอกไม่หมดว่ามันคืองานแต่งงานของเขากับเธอ“จริงเหรอคะ ไม่น่าละ บรรยากาศดูสวย และอบอุ่นขึ้นเป็นกอง”“ยี่หวาละ อยากมีงานแต่งงานแบบไหน”“ไม่เคยคิดค่ะ” คำถามของพัฒน์ชนะ ทำให้ภัทรานิษฐ์รู้สึกแปลกๆ เธอไม่เคยพูดเรื่องที่จะให้เขามาแต่งงานด้วย เพราะกลัวเขาจะหลงตัวเอง คิดว่าเธออยากแต่งงานด้วยมาก แต่เรื่องานแต่งงานของตัวเอง เธอยังไม่ได้คิดจริงๆ ไม่มีแผนในสมองสักนิด เพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน แม้แต่ชุดแต่งงานเธอก็ไม่เคยคิดว่าอยากใส่แบบไหนอะไรยังไงด้วยซ้ำ คงเป็นเพ
“พี่แพท เป็นยังไงบ้างคะ”“ไม่มีปัญหาครับ พ่อและแม่ของยี่หวาถึงจะไม่พอใจที่พี่ทำแบบนั้นลงไป แต่พี่ก็สู้ไม่ถอย จนท่านสองคนใจอ่อนลงไปมากแล้ว” พัฒน์ชนะกุมมือของภัทรานิษฐ์ไว้ เพราะรู้ว่าเธอกังวล แต่ตัวของชายหนุ่มกลับลงไปกองบนโซฟา เมื่อถูกวสุวัสปล่อยหมัดใส่แบบไม่ทันตั้งตัว“แม็ค… ทำอะไร” ภัทรานิษฐ์ผลักอกน้องชายให้ออกห่างจากพัฒน์ชนะ ไม่รู้ว่าไปใจร้อนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เห็นยังดีๆ อยู่เลย ศิรดาเองก็ออกอาการอึ้ง ไม่แพ้พลอยไพลิน“ต่อยไงพี่หวา อยากทำแบบนี้ตั้งแต่แรกที่เจอหน้าแล้ว”“ไม่เป็นไร” คนถูกต่อยเอ่ยขึ้น ชายหนุ่มใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้ม หมัดแค่นั้นมันไม่ได้ทำให้เขาเจ็บปวดอะไรมากมายนักหรอก“คุณเป็นผู้ชายประสาอะไร ทำไมถึงทำกับพี่สาวผมแบบนี้ ห๊า…หน้าตัวเมีย” คำพูดของวสุวัส ทำให้ภัทรานิษฐ์ตกใจ เพราะท่าทางน้องชายของเธอโกรธมาก ศิรดาดึงสติกลับมาได้ก่อน จึงเข้าไปรั้งแขนของวสุวัสไว้“แม็ค ใจเย็น…”“จะต่อยอีกไหม พี่ให้