“ได้กลิ่นเหรอครับ…” ศุภวุฒิขยับออกห่างภัทรานิษฐ์ เพราะกลัวเธอจะรังเกียจ แต่หญิงสาวไม่ได้คิดแบบนั้น
“ค่ะ ฉันว่าคุณวุฒิน่าจะกลับไปพักอีกหน่อยนะคะ ท่าทางยังไม่ดีเลย” “ผมก็ตั้งใจจะทำแบบนั้น” สาเหตุที่ศุภวุฒิลากตัวเองออกจากบ้าน ก็เพียงเพื่ออยากพบลักขณาต่างหาก แต่เขากลับไม่ได้เห็นเธอ “หวา ขอคืนนะคะ” ภัทรานิษฐ์ยื่นแหวนให้ชายหนุ่ม ซึ่งเขาก็รับไว้ “ครับ ขอโทษด้วย ถ้าทำให้อึดอัด”“ไม่เป็นไรค่ะ”“เราจะยังคงเป็นเพื่อนกันได้แบบนี้อีกใช่ไหมครับ” อีกหนึ่งสิ่งที่ศุภวุฒิกลัว คือเขากับภัทรานิษฐ์จะไม่มีแม้กระทั่งความเป็นเพื่อนให้กัน เพราะการกระทำของเขา “ได้สิคะ หวายินดี”“ขอบคุณมากครับ” แต่พอได้ฟังแบบนี้ ศุภวุฒิก็พลอยยิ้มออก “ขอโทษนะคะ เมื่อคืนเก๋ไปเป็นเพื่อนคุณวุฒิดื่มเหรอเปล่า” ภัทรานิษฐ์รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังถาม สายตาของเธอมองใบหน้าชายหนุ่มอย่างวิเคราะห์ แต่กลับมองไม่เห็นอะไรเลย อาจจะเป็นเพราะเธอคิ“เก๋ ขอดูตารางงานก่อนนะคะ เพราะพักนี้ยุ่งมาก” ลักขณาบอกปัดกรายๆ อย่างไว้ตัวทั้งๆ ที่ดีใจแทบบ้า ที่จะได้ไปกินข้าวกับเขา“ครับ ผมจะรอ” พูดจบชายหนุ่มก็เดินกลับออกไปจากบ้าน ลักขณาทรุดนั่งกับเก้าอี้ หัวใจเต้นโครมครามกับคำพูดที่บอกว่าผมจะรอของศุภวุฒิ มันดังก้องอยู่ในความคิด ก่อนที่เธอจะหยุดตัวเองและขึ้นไปอาบน้ำเพื่อออกไปทำงาน จะเอายังไงกับนัดครั้งนี้ดี ลักขณาชั่งใจอยู่นานก่อนจะตกลงกับตัวเองว่าไม่ไปจะดีกว่าเมื่ออาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะออกไปทำงานเรียบร้อย ลักขณาก็ขับรถภัทรานิษฐ์ไปเปลี่ยนเป็นรถเธอที่ร้านของเพื่อนสาว โดยไม่ได้บอกภัทรานิษฐ์ว่าศุภวุฒิมาหาเธอที่บ้าน แต่ก็แอบย่นจมูกให้เพื่อนที่ไปบอกชายหนุ่มว่าเธอจะไปเชียงราย ซึ่งภัทรานิษฐ์ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป แม้ภายนอกจะปรกติแต่ภายในใจของภัทรานิษฐ์กำลังหวาดหวั่น แม้จะไม่เห็นพัฒน์ชนะมาวันสองวันแล้ว แต่เธอก็ยังไม่วางใจภัทรานิษฐ์ตัดสินใจแน่แล้วว่าเธอจะไปอยู่ที่ไหน หญิงสาวได้ข้อมูลที่แน่ชัดและคุยกับเจ้าของร้านที่เธอจะไปเซ้งต่อเรียบร้อย แม้จะเป็นที่ที่ไม่คุ้นเคยแต่มันคงไม่อยากหรอก ใกล้ๆ ร้านใหม่
“เปล่า ฉันรักแกนะ”“อ้าว ไอ้นี่มาบอกรักฉันทำไม” คนฟังออกอาการเขิน จึงเอ่ยเสียงดังกลับไป เพื่อกลบความรู้สึก ที่อยากร้องไห้เหมือนกัน“ก็แกจะไปอยู่เชียงงรายแล้วนี่ไง ฉันคิดถึง”“ก็แค่เชียงราย ไม่ได้ไปตาย คิดถึงก็ขึ้นไปหาสิ ที่หลับที่นอนมีพร้อม พวกแกล่ะก็” ลักขณาส่ายหน้าให้ เพราะทั้งภัทรานิษฐ์และศิรดาทำยังไงกับจะไม่ได้เจอกันอีกแบบนั้น“ก็เราไม่ค่อยอยู่ห่างกันแบบนี้ มันรู้สึกแปลกๆ นี่หว่า” ศิรดาสูดน้ำมูก ก่อนจะยกมือปาดน้ำตา เพราะเธอร้องไห้ตั้งแต่นั่งรถมาที่นี่แล้ว“แปลกตรงไหน ทีแกหนีจากอกฉันไปซบอกพี่คริส แต่งงาน แซงหน้าฉันไป ฉันยังไม่ว่าเลย”“อ้าว...” คำอุทานของศิรดาดังขึ้น เพราะเหมือนเธอเป็นคนผิดอย่างนั้นแหละ ภัทรานิษฐ์ส่ายหน้าให้ ก่อนจะเอ่ยขึ้น“ฝน ไม่คิดจะทักลูกฉันหน่อยเหรอ นั่งมองแกตาปริบๆแล้วนั่นนะ”“โอ๋ๆ น้องพลอย มาหาแม่ฝนมาม๊ะ” ศิรดาไม่ได้ลืมพลอยไพลิน เธออ้าแขนรับเด็กหญิงตัวน้อย ที่กำลังคลานลงจากเตียง ก่อนจะลงไป
ทางด้านพัฒน์ชนะที่บินมาคุยธุรกิจที่มาเลเซีย ชายหนุ่มยังตกลงเรื่องการซื้อขายไม่ได้ เพราะต้องรอให้เจ้าของที่ดินตัดสินใจอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้ารับปากว่าจะขายให้แท้ๆ เขาจึงบินมาด้วยตัวเอง แต่พอมาถึงกลับเล่นแง่ และต่อรองเรื่องราคาอีก พัฒน์ชนะจึงต้องอยู่และแสตนด์บายให้พร้อม เพราะเจ้าของที่ดินจะนัดมาเอง ทางเขาจะไปเจาะจงไม่ได้ ปัญหานี่แหละคือสิ่งที่ชายหนุ่มไม่ชอบเอาเสียเลย เพราะรู้สึกมันเสียเวลาแต่เขาก็ต้องรอ ทั้งๆ ที่ใจนั้นอยากกลับเมืองไทยจะแย่แล้วแต่ละวันที่อยู่มาเลเซีย พัฒน์ชนะโทรศัพท์หาลูกน้องที่ให้คอยดูแลภัทรานิษฐ์หลายต่อหลายครั้ง แต่ยังดีที่หญิงสาวไม่หนีหายไปไหน กลับไปเมืองไทยคงต้องจัดการให้จบๆ ไม่ต้องมานั่งเครียดทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวแบบนี้ ทำอะไรไม่ได้นอกจากการนั่งรอเวลา ผ่านมาวันแล้ววันเล่าจนถึงวันเสาร์เข้าไปแล้ว ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อ“ทางนั้น ยังไม่ติดต่อมาอีกหรือไง” พัฒน์ชนะเอ่ยถามลูกน้องที่ส่งมาทำงานที่นี่นานแล้ว“ยังเลยครับ”“วุ่นวาย ถ้าไม่ติดว่าฉันอยากได้ที่ตรงนั้น ไม่มีทางที่ฉันจะนั่งรอแบบนี้แน่”
“ครับ แต่งเงียบๆ น้อยคนที่จะรู้” พัฒน์ชนะเอ่ยรับอย่างภูมิใจ ไม่รู้เพราะอะไรเขาถึงได้บอกแบบนี้ แต่มันก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก“ยินดีด้วย” น้ำเสียงของรามันเอ่ยออกมาจากใจ แต่โจแอนกลับไม่คิดเหมือนพ่อ เพราะเธอไม่ยินดีสักนิด อุตส่าห์ได้มาเจอผู้ชายสุดเพอร์เฟกต์แต่เขากลับไม่โสดเสียแล้ว น่าเสียดาย“ขอบคุณครับ”“น่าเสียดาย” โจแอนเอ่ยกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหยิบไวน์ในแก้วขึ้นดื่ม เธอแทบไม่มองหน้าพัฒน์ชนะอีก“โอกาสหน้า หวังว่าผมจะได้เลี้ยงข้าวคุณพัฒน์ชนะพร้อมภรรยาสักมื้อ”“ครับ ถ้างานที่นี่เสร็จเรียบร้อย ผมก็คบพาเธอกับลูกมาเที่ยวเหมือนกัน” พัฒน์ชนะเอ่ยรับ คำพูดต่อมาของชายหนุ่มยิ่งทำให้โจแอนหมดทางไขว่ขว้า“มีลูกแล้วด้วย” เสียงของโจแอนดังขึ้น ออกแนวไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ แค่รู้ว่าเขาแต่งงานแล้วเธอก็กินแห้วไปหลายกระสอบ นี่ยังมีลูกด้วยกันอีก ลูกน้องของพัฒน์ชนะก็พลอยตกใจกับข่าวที่สองไปด้วย แต
พัฒน์ชนะเดินทางกลับจากมาเลเซียในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยนั่งเครื่องในเที่ยวแรกเลยก็ว่าได้ พอลงเครื่องที่สนามบิน ชายหนุ่มก็รีบตรงมายังบ้านของภัทรานิษฐ์ทันที โดยใจนั้นจดจ่อกับการได้พบหน้าทั้งสองคนมาก แต่ขณะนั้นพลอยไพลินก็แต่งตัวสวยรอจะไปทะเลภัทรานิษฐ์ยกกระเป๋าไปไว้ในรถ รวมทั้งของกินพวกนม ขนมและแซนวิชสำหรับลูกด้วย แต่ก่อนจะเดินทางคุณแม่คนเก่งก็ทำอาหารเช้าให้ลูกได้กินเสียก่อน ซึ่งพลอยไพลินก็กินได้เยอะเป็นพิเศษใจของเด็กหญิงนั้นจดจ่อกับภาพของทะเลเต็มที่แล้ว“อิ่มแล้วเหรอคะ”“ค่ะ” พลอยไพลินเอ่ยรับคำถามของแม่ ภัทรานิษฐ์นิ่วหน้าคิ้วขมวดเพราะรู้สึกเจ็บท้องน้อยด้านขวามากขึ้นกว่าเมื่อคืนนี้เธอกุมท้องตัวเอง แต่พยายามไม่แสดงออกให้ลูกเห็น จนกระทั่งความเจ็บนั้นหายไป เมื่อได้เวลาเดินทาง ภัทรานิษฐ์ก็จูงมือลูกไปที่รถเธอกลับมาล็อคประตูบ้าน ก่อนจะไปเปิดประตูรั้วรอที่จะขับรถออกไป แต่เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าลืมเอกสารสำคัญที่อุตส่าห์เตรียมไว้ สุดท้ายก็ลืมจริงๆภัทรานิษฐ์ไขกุญแจเข้าไปในบ้านอีกครั้ง ซึ่งพลอยไพลินก็ยืนรออยู่ข้างรถ ไม่ได้ไปซนที่ไหนเหมือนกัน พอเห็นแม่เดินกลั
บทที่ 1 “เออ...เดี๋ยวข้ารีบเข้าไป อย่าเร่งนักสิวะ”เสียงที่ออกจะหงุดหงิดนิดหน่อยของพัฒน์ชนะ ชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่เอ่ยบอกกับเพื่อนคนที่โทรศัพท์มาตามเป็นครั้งที่ร้อย เร่งให้เขาเข้าไปในงานเลี้ยงรุ่นของเพื่อนสมัยมัธยมที่จัดขึ้นยังโรงแรมชื่อดัง ซึ่งมันก็คือโรงแรมในเครือธุรกิจของเขาที่ในวันนี้คงรวมศิษย์เก่าได้หลายร้อยชีวิตและหลายรุ่นพอตัว คิ้วดกหนาของพัฒน์ชนะกำลังขมวดกันยุ่งเนื่องจากการจราจรที่ติดเกินคาดของเมืองกรุง เขาอุตส่าห์เผื่อเวลาในการเดินทางแล้ว แต่คงไม่วายต้องเข้างานช้าแน่นอน นิ้วชี้ยาวเรียวของชายหนุ่มทั้งสองข้างเคาะพวงมาลัยรถสปอร์ตคันสวยราคาหลายสิบล้าน ริมฝีปากหนาเม้มเข้าหากันในบางครั้ง ก่อนจะสบถออกมาตามประสา “จะติดอะไรหนักหนาวะ”พูดจบใบหน้าหล่อๆ ของชายหนุ่มก็หันซ้ายหันขวาชะเง้อมองสัญญาณไฟจราจรที่ยังเป็นสีแดง หางตาก็เหลือบมองไปเห็นบรรดาสาวๆ ในรถที่จอดติดไฟแดงอยู่ข้างๆ กำลังแต่งหน้าทำผมกันอยู่เหมือนกำลังเดินทางไปงานที่ไหนสักงาน ก็จะไม่ให้เขาเห็นได้ยังไงเล่นเปิดไฟกลางรถไปซะแบบนั้น แต่มีหญิงสาวหนึ่งในนั้นที่เขาคุ้นตาเสียเหลือเกิน ซึ่งเขาก็จำไม่ได้ว่าเคยเจอเธอที่ไหนมาก่อน สายตาของพัฒน์
บทที่ 2“ฝน...แกก็พูดเว่อร์ไป เราอยากเรียนออกแบบมากกว่า ก็เลยเลือกมหาวิทยาลัย…นั่น” ภัทรานิษฐ์เอื้อมมือมาตีหมับลงไปบนต้นแขนของศิรดาเบาๆ ที่เอ่ยเรื่องน่าอายของเธอออกมา เพระทุกอย่างมันคือความจริง แค่การได้เข้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัยนั่นก็ใช่ว่าเธอจะได้สานสัมพันธ์กับพัฒน์ชนะมากขึ้นเสียเมื่อไหร่เพราะชายหนุ่มก็ยังเป็นหนุ่มฮอตเหมือนเดิม มีแต่คนสนใจโดยเฉพาะสาวๆ ซึ่งก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงจะอยู่ใกล้กันแค่ไหนแต่สำหรับเธอ พัฒน์ชนะเหมือนอยู่ไกลจนเอื้อมไม่ถึง เขาไม่เคยมองเห็นเธอในสายตาด้วยซ้ำ แม้จะทำตัวเด่นก็ตาม “ไม่เว่อร์ล่ะ ถ้าแกเลิกชอบพี่แพทนานแล้ว ป่านนี้ทำไมยังโสดวะ เรียนจบมาก็ตั้งสองสามปี ไม่เห็นจะมีแฟน หน้าตาแกก็สวยจนไปประกวดนางงามยังได้เลย” คำถามของเพื่อนช่างจี้ใจดำคนโสดแบบไม่ตั้งใจโดยแท้ “อ้าว...ทำไงได้ ก็คนมันยังไม่รักใครนี่นา อยู่แบบโสดๆ อย่างนี้ชีวิตฉันก็สบายดีออก” คนโสดยักไหล่ให้ เพราะบางครั้งคนไม่โสดอย่างใครบางคนข้างหน้าก็แอบอิจฉาคนโสดอย่างเธอเหมือนกัน เพราะในกลุ่มคนที่มีแฟนและมีแววว่าจะสละโสดคนแรกนั่นคือศิรดา “เหรอ…ถามหัวใจแกก่อนค่อยตอบฉันก็ได้ ชิชิ อย่าหาว่าไม่รู้”
บทที่ 3“น้องยี่หวามาด้วยเหรอวะ ยิ่งโต ยิ่งสวย ผ่านมากี่ปีก็ยังสวยไม่เปลี่ยน”สายตาของอนุภพจับจ้องไปยังภัทรานิษฐ์แบบไม่กระพริบ บางครั้งก็แอบลามกสำรวจทรวดทรงองค์เอวของเธอ เพราะภัทรานิษฐ์ในความทรงจำนั้นใส่แค่ชุดนักเรียนและชุดนิสิต แต่วันนี้เธอเป็นสาวสะพรั่ง หน้าอกหน้าใจอวบอูม เอวคอดกิ่ว ผิวสวยๆ ที่เห็นเมื่อไหร่ก็อยากเข้าไปสัมผัสแต่ก็ทำได้เพียงแค่คิด“ไหนวะ น้องยี่หวาของเอ็ง" พัฒน์ชนะมองตามสายตาของอนุภพไปเหมือนกัน ก่อนจะเอ่ยถามว่าคนที่ทำให้เพื่อนออกอาการเพ้อได้ขนาดนี้คือใคร “นั่นไง คนที่ใส่ชุดเกาะอกสีฟ้านะ”อนุภพเอ่ยบอกพิกัดพัฒน์ชนะจึงมองตามไปก่อนจะถึงบางอ้อ ที่เขาไม่ทันเห็นเมื่อครู่ก็เพราะมีหนุ่มๆ ยืนล้อมหน้าล้อมหลังเธออยู่นั่นเอง “อ้อ...ผู้หญิงในรถนั่นเอง” “อ้อ...อุทานเหมือนไม่รู้จัก เฮ้ย...อย่าบอกนะว่าแกไม่รู้จักน้องเขา”คนขี้สงสัยเอ่ยถาม เพราะอนุภพไม่เชื่อว่าพัฒน์ชนะจะไม่รู้จักภัทรานิษฐ์ แต่ก็อาจจะไม่แน่เพราะเพื่อนของเขานั้นออกจะเป็นหนุ่มเนื้อหอมมีสาวๆ รายล้อมอยู่เป็นประจำ“ไม่รู้จัก”พัฒน์ชนะเอ่ยตอบตามตรง แม้จะไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวแต่ที่เขารู้สึกว่าคุ้นหน้า คงเป็นเพราะเคยเรียนที