วันรุ่งขึ้นภัทรานิษฐ์ก็จำต้องแข็งใจลุกขึ้นมาเปิดร้านของเธอตามปรกติ แม้จะอยากหนีไปให้พ้นๆ ก็ตามที แม้ดวงตาจะบวมมากเพราะร้องไห้อย่างหนักมาทั้งคืนก็ แต่หญิงสาวมีชุดแต่งงานที่ต้องตัดให้เสร็จเรียบร้อยภายในเดือนนี้ จึงต้องเก็บเรื่องส่วนตัวเอาไว้ ไม่ให้กระทบกับงาน แต่มันก็ยากเสียเหลือเกิน ตั้งแต่เปิดร้านและปักชุดแต่งงานอยู่ เข็มปลายแหลมปักนิ้วของภัทรานิษฐ์ไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนลูกน้องออกอาการเป็นห่วงเจ้านายอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนพัฒน์ชนะก็เข้าบริษัท เนื่องจากชายหนุ่มมีประชุมด่วนเรื่องที่จะขยายตลาดธุรกิจห้างสรรพสินค้าไปยังประเทศจีน แม้จะไม่คิดเรื่องเมื่อคืนแต่ภาพมันก็มักฉายเข้ามาในสมองของทั้งสองคนเสมอจนชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิดตัวเอง แต่ก็ต้องคุมตัวเองไว้เหมือนกัน “ผมจะไปคุมงานที่จีนเองครับพ่อ” พัฒน์ชนะเอ่ยขึ้น เมื่อจบการประชุมและตอนนี้เขาอยู่กับบิดาเพียงสองคน ชายหนุ่มอยากรับผิดชอบงานนี้ตั้งแต่รู้ว่ามีโปรเจกต์ขยายฐานธุรกิจไปยังประเทศจีนแล้ว “ไม่เห็นต้องไปเอง ให้คนอื่นไปก็ได้” บรรพตเงยหน้าขึ้นมองลูกชายคนรอง “ผมอยากทำงขับรถเข้าไปในซอยประมาณสามร้อยเมตร พัฒน์ชนะก็พบร้าน ที่เขาต้องการ ภัทรา เวดดิ้ง ตั้งอยู่ตรงมุมของทาวน์โฮมทรงสวย ชั้นหนึ่งถึงสามเป็นกระจกและมีผ้าม่านประดับตกแต่งอย่างสวยงาม รวมถึงมีชุดเจ้าบ่าว เจ้าสาวโชว์อยู่หลายชุด ภายในร้านมีคนอยู่หลายคนรวมทั้งคนที่ชายหนุ่มอยากพบเองก็กำลังคุยกับผู้หญิงที่สวมชุด เจ้าสาวอยู่ พัฒน์ชนะขับรถเข้าไปจอดข้างร้าน ด้วยความที่กระจกรถเขาติดฟิล์มค่อนข้างมืดคนภายนอกจึงไม่สามารถมองเห็นภายในรถได้แต่ชายหนุ่มนั้นสามารถมองเห็นทุกอย่างนอกรถได้ชัดเจน“เก่งนี่ที่ยังยิ้มได้” พัฒน์ชนะเอ่ยชม สายตาของเขาจับจ้องไปที่ภัทรานิษฐ์แทบไม่กระพริบตา หญิงสาวยังคงไม่รู้เรื่องเธอยังคงตั้งใจทำงาน แม้ภายนอกจะยังยิ้ม แต่ลึกๆ ภายในใจก็เจ็บปวดเหมือนกัน“ขอบคุณมากนะคะ” ภัทรานิษฐ์เปิดประตูให้ลูกค้าที่เข้ามาลองชุดแต่งงาน ก่อนจะกลับไปหย่อนตัวนั่งบนโซฟาอย่างคนหมดเรี่ยวแรง ทำเอาบรรดาลูกน้องต่างเหลือบตากันมองหน้าเจ้านายอย่างสงสาร เพราะรู้ว่างานค่อนข้างรีบไม่น้อย พวกเธอนั้นทำได้ในส่วนที่ทำได้ แต่ชุดแต่งงานส่วนใหญ่ภัทรานิษฐ์จะรับผิดชอบรายละเอียดยิบย่อยที่พ
“หวา น้องจะคุยด้วย” ผู้เป็นแม่เอ่ยบอกปลายสาย ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มาให้ลูกชายได้คุยกับพี่สาวบ้าง แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่สองพี่น้องก็รักใคร่กันดี เห็นแบบนี้คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ดีใจไปด้วย“ว่าไงแม็ค”“พี่หวา ตอนนี้แม็ครวยแล้วนะ” วสุวัสรีบคุยโวใส่ทันที แต่ดูจะมีแค่ภัทรานิษฐ์เท่านั้นแหละที่ชายหนุ่มจะพูดแบบนี้ให้ฟัง“จริงเหรอ รวยแล้วอย่าลืมแบ่งพี่บ้างนะ”“แน่นอนอยู่แล้ว ต่อไปแม็คจะเลี้ยงพี่หวา แม่ พ่อด้วยเหมือนกัน” ชายหนุ่มเอ่ยรับปาก เพราะรู้ว่าภัทรานิษฐ์มีบุญคุณมากแค่ไหน“เลี้ยงตัวเองให้ดีก่อนเถอะแม็ค” เสียงผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้น ก่อนจะส่ายหน้าให้ เพราะเธอไม่ได้หวังให้ลูกมาเลี้ยงหรอก ขอแค่ได้มองดูชีวิตพวกเขาประสบความสำเร็จก็ภูมิใจมากมายแล้ว“นั่นสิ แต่พี่ขอบใจแม็คนะที่ช่วยดูแลแม่กับพ่อ ตอนที่พี่ไม่อยู่บ้านแบบนี้นะ”“สบายมากฮะ” เสียงทุ้มๆของน้องชายเอ่ยรับ ทำให้ภัทรานิษฐ์ยิ้มออกมา“จ้ะ...ว่างๆ ก็พาแม่กับพ่อขึ้นมาหา
เมื่อมาถึงร้านภัทรานิษฐ์ก็บอกให้ลูกน้องกลับบ้านไปก่อนทันที แม้จะยังไม่ถึงเวลาปิดร้านก็ตาม เพราะตอนนี้เธออยากอยู่คนเดียวคิดอะไรคนเดียวและไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรทั้งนั้นแล้ว ลูกน้องของ ภัทรานิษฐ์ต่างกังวลกับอาการป่วยของเจ้านายเหมือนกัน เพราะกลับจากโรงพยาบาลแล้วดูไม่ดีเลย จะถามก็ไม่กล้า จึงพากัน ออกจากร้านไปเงียบๆเมื่ออยู่ตามลำพังสองคน ภัทรานิษฐ์ถึงกับปล่อยโฮออกมาเธอร้องไห้หนักมาก ศิรดาคว้าร่างที่สั่นเทาของเพื่อนเข้ามากอด เห็นแบบนี้แล้วน้ำตาของเธอก็พลอยจะร่วงตามไปอีกคน แต่ถ้าขืนกอดคอกันร้องไห้คนที่จะแย่คงหนีไม่พ้นภัทรานิษฐ์ เพราะเพื่อนอย่างเธอมานั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งแทนที่จะช่วยคิดหาทางออก ผ่านไปเกือบชั่วโมงอาการร้องไห้ของ ภัทรานิษฐ์จึงค่อยๆ หยุดลง“ฝน เราจะทำยังไงดี” เสียงสั่นๆ ของภัทรานิษฐ์เอ่ยถาม เพราะเธอไม่รู้จะทำยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้แล้ว“ตั้งสติก่อน ตั้งสติ” ศิรดาตบบ่าของภัทรานิษฐ์หนักๆ ร่างบอบบางที่เคยเข้มแข็ง ตอนนี้อ่อนแอเสียจนเพื่อนอย่างเธอสงสารมาก ใครไม่มาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้คงไม่เข้าใจหรอก“ทำไมต้อ
“ห๊า...กับใครวะ” คนฟังอุทานเสียงหลง“ถามแล้ว แต่หวาไม่ยอมบอก แถมกำชับไม่ให้ถามอีกว่าใครคือพ่อของเด็ก” พูดจบศิรดาก็ถอนหายใจออกมาหนักๆ เพราะเธอเองก็กลุ้มใจไม่แพ้ภัทรานิษฐ์เหมือนกัน“เวรกรรม ไอ้หวามันคิดอะไรของมัน เรื่องนี้ผู้ชายต้องรู้สิ จะได้ช่วยกันคิดหาทางออก”“ฉันก็พูดแบบนี้ แต่มันไม่ยอม ให้ทำไง” สองสาวมองหน้ากัน เพราะรู้จักนิสัยของภัทรานิษฐ์ดีว่าเป็นคนยังไง เห็นอ่อนโยน สวย หวานแบบนี้ แต่ลึกๆ กลับหัวรั้น ไม่ยอมฟังใครง่ายๆ “ฉันจะลองพูดกับหวาดู เผื่อจะเปลี่ยนใจ” ลักขณาเดินขึ้นไปยังชั้นสี่ของทาวน์โฮม ก่อนจะมองเห็นภัทรานิษฐ์นั่งกอดตัวเองเป็นก้นกลมอยู่บนมุมโซฟาอย่างคนเหม่อลอย ลักขณาลงไปนั่งข้างๆ เพื่อนก่อนจะวางมือลงไปบนหัวเข่า ภัทรานิษฐ์หันมองลักขณาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ“เก๋...”“ฉันรู้แล้วแก ใจเย็นๆ ก่อนนะ”“ฉันจะทำยังไงดี” ที่ภัทรานิษฐ์ต้องกลัวและหวั่นไหวแบบนี้ เพราะหญิงสาวไม่ได้เตรียมใจรับมือเรื่องตั้งท้องมาก่อน อีก
“เออ เห็นด้วย” เสียงของศิรดาเอ่ยสมบท ทั้งสองคนนั่งคิดหาทางออก เด็กต้องเอาไว้แน่นอน แต่จะให้ภัทรานิษฐ์อยู่ที่ทาวน์โฮมคนเดียวตอนท้องแบบนี้คงไม่สะดวกแน่นอน และถ้าพวกเธอจะมาอยู่ด้วยก็คงไม่ได้อีกนั่นแหละ“ฝน บ้านที่ม๊าแกปล่อยให้เช่า ว่างอยู่ไหม” คำถามของลักขณาทำให้ศิรดาสงสัย แต่สำหรับลักขณาเรื่องที่อยู่ต้องให้คุณหนูอย่างศิรดาเข้ามาช่วย เพราะบ้านของศิรดาเป็นเจ้าของธุรกิจบ่อพลอยที่เมืองกาญ ฐานะมั่นคงแถมแม่ของเพื่อนคนนี้ยังชอบซื้อบ้านไว้ปล่อยเช่าอีกต่างหาก“บ้านเช่าเหรอ ขอไปถามม๊าก่อนนะ เพราะเรื่องนี้ฉันไม่รู้ว่ะแกจะเอาไปทำอะไร”“จะให้ยายหวาไปอยู่ ท้องอยู่แบบนี้เดินขึ้นลงบ้านเกือบห้าชั้น อันตราย”“เดี๋ยวถามม๊าให้ ตอนนี้เลยแล้วกัน” ศิรดาหยิบโทรศัพท์โทรออกไปหาแม่ทันที ไม่ถึงห้านาทีก็กลับมาพร้อมรอยยิ้มที่ลักขณารู้ว่านั่นคือคำตอบว่าพอจะมีบ้านว่างอยู่“มีใช่ไหม”“อืม หมู่บ้านแถวนี้พอดี แต่ค่าเช่าสูงมากเดือนเกือบแสน เพราะม๊าให้ฝรั่งเช่าอยู่ แต่จะหมดสัญญาสิ้นเดื
“ไม่มีคำว่าแต่” เสียงของลักขณาดังขึ้น สองต่อหนึ่งเสียงมีหรือที่ภัทรานิษฐ์จะค้านได้ แม้จะอยากค้านให้หัวชนฝาก็ตามที“ตามใจ พวกแกสองคนเป็นแม่ของเด็กคนนี้แล้วนี่ให้ทำไงได้ แต่ฉันจะอยู่จนถึงวันคลอดเท่านั้น หลังจากนั้นจะกลับมาอยู่ที่นี่”“ได้” ศิรดาเอ่ยรับ ก่อนจะลงไปชั้นล่างเพื่อเปิดร้านให้ภัทรานิษฐ์ เนื่องจากวันนี้ว่าที่คุณแม่คงต้องพักเสียหน่อย“ฝนเราเหมือนกำลังจะพรากแม่พรากลูกแบบนี้ จะดีหรือวะแก” คนเจ้าความคิดที่จะรับลูกของภัทรานิษฐ์มาเป็นลูกตัวเอง ชักไม่แน่ใจว่าคิดถูกหรือผิดกันแน่“ไม่ได้พราก แกเชื่อไหมว่าถ้าเราสามารถทำให้ยายหวาเอาเด็กไว้ได้ จนคลอดและเลี้ยงดูเขา สายใยของคำว่าแม่ลูกมันจะเกี่ยวรัดทั้งสองให้ผูกพันธุ์กันไปจนวันตาย ตัดยังไงก็ตัดไม่ขาด เวลานี้ยายหวาอาจจะไม่รักลูกในท้องมาก จนมีความคิดอยากทำแท้ง แต่ตลอดเจ็ดเดือนต่อจากนี้ตอนที่หวาอุ้มท้อง ฉันคิดว่าหวาคือคนที่จะรักลูกมากที่สุดและจะเป็นแม่ที่ดีได้ เพราะไม่มีแม่คนไหนไม่รักลูก จริงไหม ถ้าไม่รักป่านนี้ยายหวาหนีฉันกับแกไปเอาเด็กออกแล้ว ที่สำคั
3 ปี ผ่านไปภัทรานิษฐ์เติบโตขึ้นและผ่านเรื่องราวที่ยากลำบากมาหลายอย่าง แต่สิ่งที่พบเจอกลับทำยิ่งส่งให้เธอนั้นเข้มแข็ง หญิงสาวกำลังขับรถไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เพื่อรับใครบางคน ทุกวันนี้เธอแทบไม่ร้องไห้กับเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นอีกแล้ว เธอสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและเข้มแข็งขึ้นมาก รถคันใหญ่เลี้ยวเข้าไปจอดยังลานจอดรถ ก่อนจะเปิดประตูลงไปมองหาคนที่เธอจะมารับ“แม่จ๋า” เสียงเจื้อยแจ้วสดใสของเด็กหญิงพลอยไพลินเอ่ยเรียกผู้เป็นแม่ ดังมาตั้งแต่หน้าประตูโรงเรียนอนุบาล ที่เด็กหญิงตัวน้อยเข้าเรียนที่นี่ได้มาเกือบสี่เดือน มือน้อยๆ ที่จับมือของครู่ใหญ่อยู่รีบปล่อยมือนั้น ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาแม่ทันที“จ๋าลูก” ภัทรานิษฐ์ลงไปนั่งคุกเข่า พร้อมอ้าแขนรับลูกสาวเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะหอมแก้มซ้ายที ขวาทีอย่างรักใคร่ พร้อมรับเด็กหญิงกลับบ้านแล้ว“แม่จ๋า คิดถึงน้องพลอยไหมคะ” ความช่างพูดและออดอ้อนเก่ง ทำให้ภัทรานิษฐ์หลงลูกสาวคนนี้หัวปักหัวปำ หลงมากกว่าลักขณาและศิรดาด้วยซ้ำ“คิดถึงสิคะ วันนี้ลูกแม่ซนหรือเปล่า”
“หิวหรือยัง วันนี้มีขนมเยอะเลย ของโปรดของน้องพลอยทั้งนั้น” ลักขณาเอ่ยถามลูกสาวบุญธรรมตัวน้อยของเธอ ก่อนที่เสียงใสๆ ของพลอยไพลินจะเอ่ยบอก“หิวค่ะ”“ฝากด้วยนะเก๋” ภัทรานิษฐ์เอ่ยบอกเพื่อน เพราะตลอดทางที่กลับบ้านพลอยไพลินนั้นเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้คนเป็นแม่ฟังอย่างสนุกสนาน แถมยังร้องเพลงให้ฟังด้วย เนื่องจากที่ห้องเรียนในวันนี้คุณครูสอนร้องเพลงใหม่ๆ ร้องชัดบ้างไม่ชัดบ้าง แต่ภัทรานิษฐ์ก็ยิ้มกับพัฒนาการของลูก“สบายมาก” แม่บุญธรรมที่ชื่อลักขณาเอ่ยรับ ก่อนจะอุ้มพลอยไพลินเข้าไปในบ้าน ภัทรานิษฐ์หันไปมองหน้าศิรดา ก่อนจะเดินเข้าบ้าน ทิ้งตัวลงบนโซฟา ซึ่งศิรดาก็ลงไปนั่งข้างๆ เหมือนกัน ท่าทางของภัทรานิษฐ์ดูเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้งานที่ร้านเวดดิ้งค่อนข้างยุ่งทีเดียว ผ่านมาหลายปีเธอขยับขยายร้านออกไปกว้างขวางขึ้น ลูกน้องก็มีมากขึ้นกว่าแต่ก่อนตามขนาดของงานการดีลงานกับโรงแรมเรื่องสถานที่จัดงานแต่งงาน โรงพิมพ์ โรงงานหรือบริษัทต่างๆ เรื่องของชำร่วย งานพวกนี้มันเหนื่อยใช่เล่นแต่ก็คุ้มกับความพอใจของลูกค้าที่เพิ่มมากข