เมื่อมาถึงร้านภัทรานิษฐ์ก็บอกให้ลูกน้องกลับบ้านไปก่อนทันที แม้จะยังไม่ถึงเวลาปิดร้านก็ตาม เพราะตอนนี้เธออยากอยู่คนเดียวคิดอะไรคนเดียวและไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรทั้งนั้นแล้ว ลูกน้องของ ภัทรานิษฐ์ต่างกังวลกับอาการป่วยของเจ้านายเหมือนกัน เพราะกลับจากโรงพยาบาลแล้วดูไม่ดีเลย จะถามก็ไม่กล้า จึงพากัน ออกจากร้านไปเงียบๆ
เมื่ออยู่ตามลำพังสองคน ภัทรานิษฐ์ถึงกับปล่อยโฮออกมาเธอร้องไห้หนักมาก ศิรดาคว้าร่างที่สั่นเทาของเพื่อนเข้ามากอด เห็นแบบนี้แล้วน้ำตาของเธอก็พลอยจะร่วงตามไปอีกคน แต่ถ้าขืนกอดคอกันร้องไห้คนที่จะแย่คงหนีไม่พ้นภัทรานิษฐ์ เพราะเพื่อนอย่างเธอมานั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งแทนที่จะช่วยคิดหาทางออก ผ่านไปเกือบชั่วโมงอาการร้องไห้ของ ภัทรานิษฐ์จึงค่อยๆ หยุดลง “ฝน เราจะทำยังไงดี” เสียงสั่นๆ ของภัทรานิษฐ์เอ่ยถาม เพราะเธอไม่รู้จะทำยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้แล้ว “ตั้งสติก่อน ตั้งสติ” ศิรดาตบบ่าของภัทรานิษฐ์หนักๆ ร่างบอบบางที่เคยเข้มแข็ง ตอนนี้อ่อนแอเสียจนเพื่อนอย่างเธอสงสารมาก ใครไม่มาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้คงไม่เข้าใจหรอก “ทำไมต้อ“ห๊า...กับใครวะ” คนฟังอุทานเสียงหลง“ถามแล้ว แต่หวาไม่ยอมบอก แถมกำชับไม่ให้ถามอีกว่าใครคือพ่อของเด็ก” พูดจบศิรดาก็ถอนหายใจออกมาหนักๆ เพราะเธอเองก็กลุ้มใจไม่แพ้ภัทรานิษฐ์เหมือนกัน“เวรกรรม ไอ้หวามันคิดอะไรของมัน เรื่องนี้ผู้ชายต้องรู้สิ จะได้ช่วยกันคิดหาทางออก”“ฉันก็พูดแบบนี้ แต่มันไม่ยอม ให้ทำไง” สองสาวมองหน้ากัน เพราะรู้จักนิสัยของภัทรานิษฐ์ดีว่าเป็นคนยังไง เห็นอ่อนโยน สวย หวานแบบนี้ แต่ลึกๆ กลับหัวรั้น ไม่ยอมฟังใครง่ายๆ “ฉันจะลองพูดกับหวาดู เผื่อจะเปลี่ยนใจ” ลักขณาเดินขึ้นไปยังชั้นสี่ของทาวน์โฮม ก่อนจะมองเห็นภัทรานิษฐ์นั่งกอดตัวเองเป็นก้นกลมอยู่บนมุมโซฟาอย่างคนเหม่อลอย ลักขณาลงไปนั่งข้างๆ เพื่อนก่อนจะวางมือลงไปบนหัวเข่า ภัทรานิษฐ์หันมองลักขณาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ“เก๋...”“ฉันรู้แล้วแก ใจเย็นๆ ก่อนนะ”“ฉันจะทำยังไงดี” ที่ภัทรานิษฐ์ต้องกลัวและหวั่นไหวแบบนี้ เพราะหญิงสาวไม่ได้เตรียมใจรับมือเรื่องตั้งท้องมาก่อน อีก
“เออ เห็นด้วย” เสียงของศิรดาเอ่ยสมบท ทั้งสองคนนั่งคิดหาทางออก เด็กต้องเอาไว้แน่นอน แต่จะให้ภัทรานิษฐ์อยู่ที่ทาวน์โฮมคนเดียวตอนท้องแบบนี้คงไม่สะดวกแน่นอน และถ้าพวกเธอจะมาอยู่ด้วยก็คงไม่ได้อีกนั่นแหละ“ฝน บ้านที่ม๊าแกปล่อยให้เช่า ว่างอยู่ไหม” คำถามของลักขณาทำให้ศิรดาสงสัย แต่สำหรับลักขณาเรื่องที่อยู่ต้องให้คุณหนูอย่างศิรดาเข้ามาช่วย เพราะบ้านของศิรดาเป็นเจ้าของธุรกิจบ่อพลอยที่เมืองกาญ ฐานะมั่นคงแถมแม่ของเพื่อนคนนี้ยังชอบซื้อบ้านไว้ปล่อยเช่าอีกต่างหาก“บ้านเช่าเหรอ ขอไปถามม๊าก่อนนะ เพราะเรื่องนี้ฉันไม่รู้ว่ะแกจะเอาไปทำอะไร”“จะให้ยายหวาไปอยู่ ท้องอยู่แบบนี้เดินขึ้นลงบ้านเกือบห้าชั้น อันตราย”“เดี๋ยวถามม๊าให้ ตอนนี้เลยแล้วกัน” ศิรดาหยิบโทรศัพท์โทรออกไปหาแม่ทันที ไม่ถึงห้านาทีก็กลับมาพร้อมรอยยิ้มที่ลักขณารู้ว่านั่นคือคำตอบว่าพอจะมีบ้านว่างอยู่“มีใช่ไหม”“อืม หมู่บ้านแถวนี้พอดี แต่ค่าเช่าสูงมากเดือนเกือบแสน เพราะม๊าให้ฝรั่งเช่าอยู่ แต่จะหมดสัญญาสิ้นเดื
“ไม่มีคำว่าแต่” เสียงของลักขณาดังขึ้น สองต่อหนึ่งเสียงมีหรือที่ภัทรานิษฐ์จะค้านได้ แม้จะอยากค้านให้หัวชนฝาก็ตามที“ตามใจ พวกแกสองคนเป็นแม่ของเด็กคนนี้แล้วนี่ให้ทำไงได้ แต่ฉันจะอยู่จนถึงวันคลอดเท่านั้น หลังจากนั้นจะกลับมาอยู่ที่นี่”“ได้” ศิรดาเอ่ยรับ ก่อนจะลงไปชั้นล่างเพื่อเปิดร้านให้ภัทรานิษฐ์ เนื่องจากวันนี้ว่าที่คุณแม่คงต้องพักเสียหน่อย“ฝนเราเหมือนกำลังจะพรากแม่พรากลูกแบบนี้ จะดีหรือวะแก” คนเจ้าความคิดที่จะรับลูกของภัทรานิษฐ์มาเป็นลูกตัวเอง ชักไม่แน่ใจว่าคิดถูกหรือผิดกันแน่“ไม่ได้พราก แกเชื่อไหมว่าถ้าเราสามารถทำให้ยายหวาเอาเด็กไว้ได้ จนคลอดและเลี้ยงดูเขา สายใยของคำว่าแม่ลูกมันจะเกี่ยวรัดทั้งสองให้ผูกพันธุ์กันไปจนวันตาย ตัดยังไงก็ตัดไม่ขาด เวลานี้ยายหวาอาจจะไม่รักลูกในท้องมาก จนมีความคิดอยากทำแท้ง แต่ตลอดเจ็ดเดือนต่อจากนี้ตอนที่หวาอุ้มท้อง ฉันคิดว่าหวาคือคนที่จะรักลูกมากที่สุดและจะเป็นแม่ที่ดีได้ เพราะไม่มีแม่คนไหนไม่รักลูก จริงไหม ถ้าไม่รักป่านนี้ยายหวาหนีฉันกับแกไปเอาเด็กออกแล้ว ที่สำคั
3 ปี ผ่านไปภัทรานิษฐ์เติบโตขึ้นและผ่านเรื่องราวที่ยากลำบากมาหลายอย่าง แต่สิ่งที่พบเจอกลับทำยิ่งส่งให้เธอนั้นเข้มแข็ง หญิงสาวกำลังขับรถไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เพื่อรับใครบางคน ทุกวันนี้เธอแทบไม่ร้องไห้กับเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นอีกแล้ว เธอสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและเข้มแข็งขึ้นมาก รถคันใหญ่เลี้ยวเข้าไปจอดยังลานจอดรถ ก่อนจะเปิดประตูลงไปมองหาคนที่เธอจะมารับ“แม่จ๋า” เสียงเจื้อยแจ้วสดใสของเด็กหญิงพลอยไพลินเอ่ยเรียกผู้เป็นแม่ ดังมาตั้งแต่หน้าประตูโรงเรียนอนุบาล ที่เด็กหญิงตัวน้อยเข้าเรียนที่นี่ได้มาเกือบสี่เดือน มือน้อยๆ ที่จับมือของครู่ใหญ่อยู่รีบปล่อยมือนั้น ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาแม่ทันที“จ๋าลูก” ภัทรานิษฐ์ลงไปนั่งคุกเข่า พร้อมอ้าแขนรับลูกสาวเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะหอมแก้มซ้ายที ขวาทีอย่างรักใคร่ พร้อมรับเด็กหญิงกลับบ้านแล้ว“แม่จ๋า คิดถึงน้องพลอยไหมคะ” ความช่างพูดและออดอ้อนเก่ง ทำให้ภัทรานิษฐ์หลงลูกสาวคนนี้หัวปักหัวปำ หลงมากกว่าลักขณาและศิรดาด้วยซ้ำ“คิดถึงสิคะ วันนี้ลูกแม่ซนหรือเปล่า”
“หิวหรือยัง วันนี้มีขนมเยอะเลย ของโปรดของน้องพลอยทั้งนั้น” ลักขณาเอ่ยถามลูกสาวบุญธรรมตัวน้อยของเธอ ก่อนที่เสียงใสๆ ของพลอยไพลินจะเอ่ยบอก“หิวค่ะ”“ฝากด้วยนะเก๋” ภัทรานิษฐ์เอ่ยบอกเพื่อน เพราะตลอดทางที่กลับบ้านพลอยไพลินนั้นเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้คนเป็นแม่ฟังอย่างสนุกสนาน แถมยังร้องเพลงให้ฟังด้วย เนื่องจากที่ห้องเรียนในวันนี้คุณครูสอนร้องเพลงใหม่ๆ ร้องชัดบ้างไม่ชัดบ้าง แต่ภัทรานิษฐ์ก็ยิ้มกับพัฒนาการของลูก“สบายมาก” แม่บุญธรรมที่ชื่อลักขณาเอ่ยรับ ก่อนจะอุ้มพลอยไพลินเข้าไปในบ้าน ภัทรานิษฐ์หันไปมองหน้าศิรดา ก่อนจะเดินเข้าบ้าน ทิ้งตัวลงบนโซฟา ซึ่งศิรดาก็ลงไปนั่งข้างๆ เหมือนกัน ท่าทางของภัทรานิษฐ์ดูเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้งานที่ร้านเวดดิ้งค่อนข้างยุ่งทีเดียว ผ่านมาหลายปีเธอขยับขยายร้านออกไปกว้างขวางขึ้น ลูกน้องก็มีมากขึ้นกว่าแต่ก่อนตามขนาดของงานการดีลงานกับโรงแรมเรื่องสถานที่จัดงานแต่งงาน โรงพิมพ์ โรงงานหรือบริษัทต่างๆ เรื่องของชำร่วย งานพวกนี้มันเหนื่อยใช่เล่นแต่ก็คุ้มกับความพอใจของลูกค้าที่เพิ่มมากข
เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วพลอยไพลินก็ได้เวลาโชว์เพลงใหม่ให้คุณแม่อีกคนได้ดูว่าวันนี้ที่โรงเรียนสอนอะไรมาบ้าง เพราะเธอ ลักขณาและศิรดามักจะถามทุกวันว่าลูกสาวตัวน้อยไปโรงเรียนสนุกไหม ซึ่งคำตอบที่ได้คือสนุก ผิดกับวันแรกที่ต้องไปโรงเรียน เพราะวันนั้นภัทรานิษฐ์จำได้ว่าลูกสาวร้องไห้โยเย ไม่ยอมท่าเดียว แถมยังกอดเธอเอาไว้แน่น ทำเอาคนเป็นแม่ไม่รู้จะทำยังไง แต่ก็ได้ศุภวุฒิครูใหญ่ของโรงเรียนอนุบาลมาช่วยไว้“เต้นแบบนี้เหรอคะ” ลักขณาเอ่ยถามว่าท่าทางของเธอตอนนี้ทำถูกไหม เพราะพลอยไพลินบอกให้เธอเต้นตาม พอเห็นท่าทางของคนที่เด็กน้อยเรียกว่าแม่เต้นไม่ถูก ก็เดินเข้ามาจัดท่าทางให้ภัทรานิษฐ์นั้นได้แต่ยิ้มกับภาพที่เห็น“ไม่ค่ะ ต้องเอามือวางตรงนี้” มือน้อยๆ ของพลอยไพลินจับมือของลักขณาไปวางไว้ข้างเอว ก่อนจะขยับไปยืนตรงหน้าแล้วเริ่มร้องเพลงเจ้าต้นไม้และเต้นโยกตัวไปมาตามจังหวะเพลง โดยมีลักขณาเต้นตาม คราวนี้ภัทรานิษฐ์ก็หัวเราะออกมาอย่างสุดที่จะกลั้นไหว ท่าทางของเด็กมันน่ารักดีหรอกกับการยกมือยกแขน แต่ลักขณานี่ไม่ไหว ดูเก้งก้างชอบกลเมื่อลูกสาวได้เวลานอน แม้กิจก
“แกนี่ขี้บ่นว่ะ” ลักขณาเอ่ยอย่างไม่จริงจังนัก ภัทรานิษฐ์จึงยิ้มออกมา เพราะรู้ว่าเพื่อนเธอตัดสินใจได้แน่แล้ว แต่ติดกังวลนั่นนี่ตามประสาคนไม่เคยต้องออกไปทำงานต่างจังหวัด เพราะบ้านเกิดของลักขณาอยู่ที่ราชบุรี ให้ขึ้นไปทำงานเชียงรายมันก็ไกลเหมือนกันนะอยู่ด้วยกันมาสี่ปีกว่าพอรู้ว่าจะห่างใจมันก็หวิวๆอยู่ๆ ลักขณาก็ขยับเข้าไปกอดภัทรานิษฐ์แน่น ทำท่าทางเหมือนจะร้องไห้ออกมาซะอย่างนั้น ส่วนคนถูกกอดก็อึ้งไปเหมือนกันก่อนที่จะเอ่ยขึ้น“เก๋ ขอบใจแกเรื่องน้องพลอยนะ”“ขอบใจอะไร ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย แกรับไปหมด” ลักขณาผละตัวออกมาจากภัทรานิษฐ์ ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่เป็นความจริงเพราะหน้าที่เลี้ยงลูกภัทรานิษฐ์ดูจะรับไปหมดให้เธอกับศิรดาดูแล แค่คนละสิบเปอร์เซ็นเท่านั้นเอง จะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้“ก็ลูกฉันนี่”“ได้ยินแบบนี้ฉันก็สบายใจ เพราะตอนนี้รู้แล้วว่าแกรักน้องพลอยมากแค่ไหน”“อืม รักมากกว่าชีวิตฉันอีก”“ไอ้ฝนพูดเอาไว้ไม่มีผิด ว่าแม่คือคนที่รักลูกมากที่สุด&r
ขณะที่ภัทรานิษฐ์กำลังพาพลอยไพลินขึ้นไปยังศูนย์การเรียนรู้ที่อยู่ชั้นบน ศุภวุฒิที่มาดักรออยู่ตั้งแต่ห้างเปิดก็เอาแต่ชะเง้อมองหาทั้งสองคนไม่หยุด หวังว่าวันนี้จะเป็นวันที่โชคดีของเขา แต่ดูท่าทางของครูใหญ่จะออกอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะอายุก็เลยเลขสามไปแล้ว แต่กลับตื่นเต้นที่จะบอกว่าชอบภัทรานิษฐ์ อีกฝั่งหนึ่งของห้างอนุภพเองก็พาสาวสวยคนหนึ่งมาดูหนังด้วยเหมือนกัน“พี่ภพ วันนี้เราจะดูหนังเรื่องอะไรกันดีคะ” เสียงหวานๆ ของสาวสวยคนนั้นเอ่ยถามขึ้น“หนังผีไหม”“ไม่เอาหรอกแตงโมกลัวผี” พูดจบก็เกาะแขนชายหนุ่มแน่น พร้อมกับการจงใจใช้หน้าอกของตัวเองที่ล้นทะลักเสื้อสายเดี่ยวตัวที่กำลังใส่อยู่เบียดกับต้นแขนของอนุภพ ซึ่งชายหนุ่มก็ชอบไม่น้อย“แล้วผีผ้าห่มล่ะ ไม่กลัวเหรอ” คำพูดของอนุภพทำให้สาวสวยถึงกับเขินอาย เพราะเมื่อคืนอนุภพเป็นผีผ้าห่ม ตามหลอกเธอบนเตียงตั้งหลายครั้ง“ชอบมากกว่าค่ะ” ท่าทางเหมือนจะอาย แต่คำพูดกลับตรงกันข้ามก่อนจะซุกใบหน้ากับต้นแขนชายหนุ่มแก้อาย อนุภพยิ้มเยาะออกมา กวาดสายตามองไปร