“ไม่ ขอบคุณ ฉันไม่อยากเปลี่ยนงานในตอนนี้ ฉันจะเปลี่ยนงานก็ต่อเมื่อฉันประสบความสำเร็จและประวัติการทำงานของฉันดีขึ้น” เธอพูด“คุณไม่สนใจเหรอว่าคนพวกนั้นจะทำไม่ดีกับคุณ?”“ใครว่าฉันไม่สน แต่… นั่นแหละ มันคือความหงุดหงิดของการเป็นเติบโตผู้ใหญ่นี่น่า ถึงฉันจะเข้ากับคนพวกนั้นไม่ได้ แต่ฉันก็ยังทำงานเลี้ยงตัวเองต่อไป ส่วนพวกเขา… อืม เธอเป็นลูกสาวคนที่สองของครอบครัวห่าว ห่าว อี้เหมิงต้องการทำให้ฉันอับอาย ถ้าพวกเขาช่วยฉัน พวกเขาก็จะทำให้ห่าว อี้เหมิงไม่พอใจไปด้วย พวกเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องปกป้องฉัน ถูกต้องไหมล่ะ?”ไป๋ ทิงซินค่อนข้างแปลกใจที่เธอสามารถเข้าใจสถานการณ์ได้เป็นอย่างดีหลังจากพูดจบ เธอก็หยุดนิ่งและมองเขาอย่างแปลกใจ“เป็นอะไรไป? ทำไมถึงมองผมแบบนั้น?” เขาถามพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อยเธอเม้มปากแน่นอยู่นานก่อนจะพูดว่า “ไม่มีอะไร... ฉันหิวแล้ว ฉันอยากกินอะไรสักอย่าง”“ได้สิ” ไป๋ ทิงซินยิ้มเนื่องจากในตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาอาหารเย็น ไป๋ ทิงซินจึงพา ชิน เหลียนอีไปที่ร้านขนมที่เป็นที่นิยมเขาสั่งของหวานที่เขาสนใจ แต่ชิน เหลียนอีกลับดูไม่ค่อยสนใจของหวานน
เธอไม่อยากหนีความรู้สึกในใจ เพราะเธอตกหลุมรักเขาและเธอไม่อยากเสียเขาไปหรือเธอควรจะพูดว่าเธอไม่อยากเสียเขาไปเป็นครั้งที่สองเพราะเธอต้องทนคิดถึงเขามานานกว่าสามปีแล้ว?เขาจ้องที่เธอ ดวงตาสีดำนิลของเขามองมาที่เธอ ราวกับว่าเขาต้องการจะมองทะลุผ่านเธอ“อยากให้เราคบกันจริง ๆ เหรอ?” เสียงของเขาแหบเล็กน้อยเธอพยักหน้า“คุณต้องรู้ว่าถ้าเราคบกันจริง ๆ คุณจะทิ้งผมไปตอนไหนก็ที่คุณต้องการไม่ได้นะ ผมยกโทษให้คุณที่จากไปโดยไม่บอกลาในครั้งก่อนได้ แต่ถ้าคุณทำแบบนั้นอีกครั้ง ผมจะหักขาของคุณจนคุณไปไหนไม่ได้เลย” ไป๋ ทิงซินพูด แต่ละคำฟังเหมือนเป็นการเตือนครั้งสุดท้ายสำหรับเธอชิน เหลียนอีตัวสั่น เผยให้เห็นถึงรอยกัดบนริมฝีปากล่างสีแดงสดของเธอ“ไม่สิ ไม่ใช่แค่จากไปโดยไม่บอกลา... แต่คุณไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลิกกับผมด้วยนะ” ไป๋ ทิงซินพูด เขานึกไม่ออกเลยว่าเขาจะปล่อยเธอไปได้อย่างไรในเมื่อหัวใจของเขามีแต่เธอเขาอาจจะไม่ให้เธอทิ้งเขาไปอีก เขาจะไม่ยอมปล่อยเธอไปแม้ว่าเธอจะไม่ชอบเขาหรือเกลียดเขาก็ตามชิน เหลียนอีมองไปที่ไป๋ ทิงซินด้วยความตกใจพลางกัดริมฝีปากสีแดงของเธออย่างแน่นขึ้น“ถ้าวันหนึ่งคุณเกลียดผม ถึงคุ
“พอดีเลย” หลิง อี้หรานตอบ“ดีเลย ถ้าเธอยังขาดอะไรอีก ก็บอกฉันได้เลยนะ ไม่ต้องอาย ไว้เงินเดือนออกแล้วเธอค่อยจ่ายคืนฉันทีหลังก็ได้” ชิน เหลียนอีพูด“ได้สิ” หลิง อี้หรานยิ้ม แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่งเธอก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก“อะไรนะ? เธอต้องการอะไรอีกไหม?”“ไม่ คือ…” หลิง อี้หรานลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เมื่อวานที่เธอมารับฉัน... ฉันกำลังทำอะไรอยู่?”เธอครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ทั้งวัน แต่เธอก็ยังจำไม่ได้ว่าเธอทำอะไรลงไปหลังจากเดินออกมาจากคลับดรังเค่น เดย์! เธอจำได้อย่างเลือนลางว่าเธอเห็นอี้ จิ่นหลี“เธอ... เอ่อ เอนตัวเข้าไปในอ้อมกอดของอี้ จิ่นหลีและหมดสติไป” ชิน เหลียนอีเล่าหลิงอี้หรานชะงักทันที “มีอะไร... อีกไหม?”“ไม่มี พอฉันไปถึง ฉันกับไป๋ ทิงซินก็ไปช่วยเธอขึ้นรถ แต่... ก่อนที่ฉันจะกลับไปที่รถ ฉันตบเขาด้วยความใจร้อนเพราะฉันโกรธที่เขาเลิกกับเธอ ฉันคิดว่าฉันจะมีปัญหาแล้ว แต่อาจเป็นเพราะเธอ เขาเลยเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร” ชิน เหลียนอีเล่าหลิง อี้หรานรู้สึกตกใจ เธอไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหลังจากที่เธอเมาไม่ได้สติมีไม่กี่คนในเมืองเฉินที่กล้าตบอี้ จิ่นหลี! และเขา...
“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ” หลิง อี้หรานตอบ“ต้องส่งเอกสารนี้ในวันพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้นวันนี้ต้องได้รายเซ็นมานะ” ทนายความกู้เร่งก่อนที่จะให้รายละเอียดการติดต่อแก่หลิง อี้หรานแต่เมื่อหลิง อี้หรานโทรไปกลับเป็นเลขาของเขาที่รับสายแทน พวกเขาบอกหลิง อี้หรานว่าลูกค้ากำลังปาร์ตี้อยู่ที่คลับแมกนิฟิเซนต์ ถ้าเธอต้องการเอาเอกสารไปใหเขา เธอสามารถไปที่คลับแมกนิฟิเซนต์ได้ แล้วเขาจะให้หมายเลขห้องจัดเลี้ยงแก่เธอ คลับแมกนิฟิเซนต์เป็นไนท์คลับที่มีชื่อเสียงในเมืองเฉินเมื่อหลิง อี้หรานมาถึง เธอพบว่มีผู้ชายและผู้หญิงจำนวนมากรวมตัวกันที่ห้องจัดเลี้ยงนี้ พวกเขากำลังปาร์ตี้กัน และเธอก็รู้สึกสับสนอยู่ครู่หนึ่งว่าเธอกำลังมองหาใครเธอต้องโทรหาเลขาอีกครั้งก่อนจะไปพบลูกค้าที่โต๊ะพูลเขาเป็นลูกชายที่มาจากตระกูลที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียงค่อนข้างแย่ เขาถูกฟ้องในข้อหาใช้ความรุนแรงระหว่างคบหากับผู้หญิงที่เรียกร้องขอค่าชดเชยทนายกู้รับเอาคดีมาแก้ต่างให้เขาหลิง อี้หรานได้อ่านรูปคดีแล้ว และเห็นได้ชัดว่าชายคนนี้ทำร้ายร่างกายผู้หญิงคนนั้นอย่างรุนแรง หลิง อี้หรานไม่ชอบผู้ชายแบบนี้ แต่เธอก็ต้องทำเพราะมันคืองาน... เว้นแต่ว่าเธอ
‘เขา... อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?’เธอไม่คิดว่าจะเธอจะได้เจอเขาอีก ดูเหมือนโลกใบนี้จะแคบกว่าที่เธอคิดไว้หลิง อี้หรานเงยหน้าขึ้นและมองเห็นร่างหนึ่งกู้ ลี่เฉินสวมชุดลำลองสีขาวล้วนที่เป็นทางการน้อยกว่าชุดปกติและดูสบาย ๆ มากกว่าภายใต้แสงไฟ ใบหน้าที่หล่อเหลาเผยให้เห็นถึงความเฉยเมยและความเหินห่าง แม้ว่าเขาจะถูกรายล้อมไปด้วยฝูงชน แต่เขากลับดูไม่ใส่ใจกับความโกลาหลรอบตัวเขา ราวกับมีบางอย่างที่มองไม่เห็นกั้นเขาไว้เหมือนเขาได้สร้างเกราะกำบังขึ้นมาในโลกของเขาและจะไม่ยอมให้ใครเข้ามาคนที่... ที่สามารถทะลุผ่านเกราะกำบังนี้ได้ มีเพียงเด็กหญิงตัวเล็กที่ผ่านร้อยผ่านหนาวไปกับเขาเท่านั้น... เด็กหญิงที่เธอเคยเป็น!ทว่า... ดวงตาของหลิง อี้หรานจับจ้องไปที่ผู้หญิงที่เดินเข้าไปในห้องขณะที่ควงแขนของกู้ ลี่เฉินไว้เป็นน้องลี่ฟางที่เข้ามาแทนที่เธอ ตอนนี้ลี่ฟางยืนอยู่ข้างกู้ ลี่เฉินพร้อมกับแสดงรอยยิ้มยิ้มแย้มแจ่มใสบนใบหน้าของเธอเมื่อมองดูหวา ลี่ฟางและกู้ ลี่เฉินยืนเคียงข้างกัน หลิง อี้หรานก็มีความรู้สึกถึงบางอย่างซึ่งยากที่จะอธิบายได้จากนั้นเธอก็บอกกับตัวเองว่าไม่มีอะไรต้องกังวล เธอคือคนที่ตัดสินใจทิ้งค
แม้ว่าคนอื่นในแวดวงนี้จะร่ำรวยหรือมีอำนาจ แต่ทุกคนล้วนมีอันดับของตัวเองหยู ข่าวฮ่าวรู้สึกประหลาดใจเมื่อกู้ ลี่เฉินตอบตกลง “ได้”หยู ข่ายฮ่าวรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขารู้สึกราวกับว่าเขาเพิ่งถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง ถ้าเขาสามารถตีสนิทกับกู้ ลี่เฉินได้ สถานะของเขาในแวดวงสังคมชั้นสูงก็จะเปลี่ยนไปหลิง อี้หรานยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อเห็นหยู ข่าวฮ่าวนำกู้ ลี่เฉินและหวา ลี่ฟางไปที่โต๊ะพูล เธอรู้สึกเป็นกังวลหลิง อี้หรานสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก้าวไปข้างหน้าและพูดกับหยู ข่าวฮ่าวว่า “คุณหยูคะ คุณช่วยเซ็นเอกสารนี้ก่อนได้ไหมคะ?”“รอก่อน อย่าเพิ่งรบกวนเรา!” หยู ข่ายฮ่าวพูดออกมาอย่างไม่อดทน เขากลัวว่ามันจะขัดจังหวะการเล่นเกมของเขากับกู้ ลี่เฉิน และส่งผลกระทบต่อการตีสนิทของเขาหลิง อี้หรานก้มหน้าลงและกัดริมฝีปากของเธอเล็กน้อย เธอสัมผัสได้ถึงสายตาของกู้ ลี่เฉินที่มองผ่านไปมาแต่... เขาก็แค่มองผ่านไป“ลี่ฟาง คุณเคยเล่นพูลไหม?” เสียงของกู้ ลี่เฉินดังขึ้น“อา... ไม่ค่ะ” หวา ลี่ฟางตอบอย่างรวดเร็ว“ผมจะสอนคุณ” กู้ ลี่เฉินพูดหวา ลี่ฟางประหลาดใจและตอบตกลงเขาทันทีกู้ ลี่เฉินอธิบายกฎสั้น ๆ ให้กับหว
“ฉันชอบมันมาก ไม่คิดว่าการเล่นพูลจะน่าสนใจขนาดนี้” หวา ลี่ฟางพูดด้วยรอยยิ้มในทางกลับกัน หยู ข่ายฮ่าวกำลังยุ่งอยู่กับตีสนิทกู้ ลี่เฉินและหวา ลี่ฟาง เขาเอ่ยปากชมว่ากู้ ลี่เฉินเป็นโค้ชที่ดีและหวา ลี่ฟางก็มีความสามารถดูเหมือนพวกเขาจะลืมหลิง อี้หรานที่ยืนอยู่ใกล้ ๆหลิง อี้หรานพบว่าลูกพี่ลูกน้องของเธอแสดงได้เก่งเมื่อฟังหวา ลี่ฟางพูด เธอไม่เคยคิดว่าลูกพี่ลูกน้องของเธอจะโกหกได้ดีขนาดนี้กู้ ลี่เฉินอาจจะเชื่อว่าลูกพี่ลูกน้องของเธอเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นจริง ๆแม้ว่าเธอจะบอกความจริงกับกู้ ลี่เฉิน เขาก็คงคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกในขณะที่ความเจ็บปวดที่หัวเข่าของเธอรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆหลิง อี้หรานขมวดคิ้ว นิ่วหน้าเล็กน้อยพร้อมกับกดริมฝีปากแน่น เธอพยายามเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดที่เข่าของเธอและยืนอย่างมั่นคงเธอทำได้เพียงรอจนกว่าพวกเขาจะเล่นพูลเสร็จและให้หยู ข่ายฮ่าวเซ็นเอกสารตอนที่หลิง อี้หรานก้มหน้า เธอไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองเธอจากหางตากู้ ลี่เฉินรู้ว่าเขาไม่ควรสนใจหลิง อี้หราน เพราะพวกเขาได้คุยกันเรียบร้อยแล้วบนภูเขาในวันนั้นเธอไม่ใช่คนที่เขาตามหา และทุกสิ่งในอดีตเ
หลิง อี้หรานรู้สึกอ่อนแรงและไม่สามารถทรงตัวได้อีกต่อไป เธอกำลังจะล้มลงทันใดนั้น แขนแกร่งก็คว้าเอวเธอเอาไว้และช่วยไม่ให้เธอล้มลง“ขาคุณเป็นอะไร?” กู้ ลี่เฉินถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา และนึกขึ้นได้ว่าเขาเห็นเธอเดินกะเผลกก่อนหน้านี้“อาการเดิม ๆ น่ะ” หลิง อี้หรานพูดก่อนจะขอบคุณเขาสำหรับความช่วยเหลือเขากดริมฝีปากบางของเขาเข้าหากันและดึงมือออกในขณะที่จ้องมองไปที่ขาของเธอ ‘อาการเดิม ๆ ? เธอมีอาการแบบนี้มาก่อนด้วยเหรอ?’“อี้หราน เธอเป็นอะไรไหม?” หวา ลี่ฟางรีบแสดงความรักต่อพี่สาวของเธอ “ถ้าเธอเจ็บขา เธอนั่งพักก่อนก็ได้นะ”หลิง อี้หรานเหลือบมองลูกพี่ลูกน้องของเธออย่างเย็นชา ถ้าลูกพี่ลูกน้องของเธอห่วงใยเธอจริง ๆ เธอคงไม่เล่นพูลอย่างมีความสุขแล้วปล่อยให้เธอยืนอยู่ตรงนั้นหยู ข่ายฮ่าวตกตะลึงและพูดด้วยสีหน้าตกใจว่า “พวกคุณรู้จัก... กันเหรอครับ?”“ค่ะ อี้หรานเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน” หวา ลี่ฟางพูดด้วยรอยยิ้มหยู ข่ายฮ่าวมีท่าทีตกใจมากยิ่งขึ้น จากนั้นเขาก็หันไปหาหลิง อี้หรานและพูดว่า “เอ้า ทำไมคุณไม่บอกผมก่อนหน้านี้ ถ้าคุณบอกผมก่อน ผมจะได้เซ็นมันให้เสร็จ ๆ ไป”“งั้นเซ็นตอนนี้เลยได้ไหมคะ?” หลิง