“หยุดนะ หยุด!” หลิง ลั่วอินพยายามปิดใบหน้าและร่างกายของเธอ เธอเกลียดตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรได้เธอพยายามหยิบกระเป๋าที่วางไว้บนเก้าอี้ข้างตัวเธอ แต่กระเป๋านั้นกลับหล่นลงกระแทกกับพื้นและกล้องที่อยู่ข้างในก็กระเด็นออกมาภรรยาของผู้กำกับถอนหายใจ “ตลกดีนะ ฉันไม่ใช่คนเดียวที่อยากบันทึกเรื่องนี้ไว้สินะ”ผู้กำกับจะรู้ว่าหลิง ลั่วอินต้องการจะทำอะไร เขาไม่สนใจสภาพที่ยุ่งเหยิงของเขาในตอนนี้ เขายกมือขึ้นและตบหน้าหลิง ลั่วอิน “นังบ้านี่ กล้าดียังไงคิดจะมาต่อต้านฉัน เธอคิดว่าเธอเป็นใคร?”หลิง ลั่วอินผู้น่าสงสาร เธอถูกตบและถูกทุบตีอย่างไร้ความปราณี เธออ้อนวอนขอความเมตตา แต่มันกลับเปล่าประโยชน์ พร้อมกับกล้องที่ยังคงถ่ายสภาพที่น่าสังเวชของเธอต่อไปวันรุ่งขึ้น วิดีโอเหล่านั้นถูกโพสต์ลงบนอินเทอร์เน็ต แม้ว่าฉากที่ไม่น่าดูบางฉากจะถูกเบลอภาพไว้ แต่ผู้คนต่างก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น?“ไร้ยางอายสิ้นดี!”“หลิง ลั่วอินวางแผนที่จะบันทึกวิดีโอแบบนั้นเพื่อข่มขู่คนอื่น นั่นเป็นการกระทำที่ผิดจรรยาบรรณแม้ว่าเธอจะขายตัวเองก็เถอะ!”“เธอเป็นเหมือนระบบขนส่งสาธารณะ ใครจะขี่เธอก็ได้ โชคดีที่เจ้าชายเขี่ยเธอทิ้ง การปล่อย
ถ้าวันหนึ่งจินหายไป...หลิง อี้หรานหัวเราะออกมา เกิดอะไรขึ้นกับเธอ? จินไม่ใช่กู้ ลี่เฉินและเธอไม่ใช่หลิง ลั่วอิน‘อี้หราน เธอเห็นข่าวเกี่ยวกับหลิง ลั่วอินหรือยัง?’ ชิน เหลียนอีส่งข้อความมาหาเธอ‘เห็นแล้ว’ หลิง อี้หรานตอบ‘นี่เป็นเวรกรรมใช่ไหม? หล่อนคิดว่าหล่อนฉลาด แต่การวางแผนแบบนั้นจะมีประโยชน์อะไร? สุดท้ายหล่อนก็ถูกแบล็คเมลเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?’ ชิน เหลียนอีกล่าวชื่อเสียงของหลิง ลั่วอินถูกทำลายจนป่นปี้ ไม่มีผู้ชายคนไหนอยากจะเข้าใกล้หลิง ลั่วอิน‘ยังไงก็ตาม ฉันได้ยินมาว่ากู้ ลี่เฉินเคยเตือนหลิง ลั่วอินแล้ว เธอรู้ไหมว่าเขาสั่งให้หล่อนและครอบครัวย้ายออกจากเมืองเฉิน?’ ชิน เหลียนอีบอกเรื่องซุบซิบที่เธอได้ยินแน่นอนว่าเธอได้ยินข่าวซุบซิบนี้จากไป๋ ทิงซินมีเพียงคนในวงการบันเทิงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ ชิน เหลียนอีรู้สึกชื่นชมไป๋ ทิงซินมากที่เขารู้เรื่องซุบซิบเป็นอย่างดี ส่วนไป๋ ทิงซินเพียงกลอกตาให้กับคำเชยชมของเธอ หลิง อี้หรานตกตะลึง เธอไม่คิดว่ากู้ ลี่เฉินจะพูดแบบนั้น บางที… เหตุผลหนึ่งที่พ่อของเธอต้องการขายบ้านหลังเก่าของครอบครัวหลิงก็เพราะเหตุนี้แต่ไม่ว่าพวกเขาจะออกจ
ชิน เหลียนอีขมวดคิ้วขณะที่เธอฟัง สิ่งที่เธอไม่เคยนึกถึงตอนนี้กลายเป็นเรื่องน่าสงสัยหลังจากฟังการวิเคราะห์ของไป๋ ทิงซิน“ภรรยาของผู้กำกับเป็นคนฉลาด จะมีประโยชน์อะไรกับการทำให้คนอื่นเดือดร้อน ทั้งที่มันไม่มีประโยชน์ต่อตัวเอง” ไป๋ ทิงซินกล่าวอย่างใจเย็นชิน เหลียนอีไม่ใช่คนโง่ เมื่อเขาพูดเช่นนี้ เธอก็เข้าใจในทันที “มีใครอยู่เบื้องหลังเรื่องของหลิง ลั่วอินใช่ไหม?”‘คู่แข่งของหลิง ลั่วอินในวงการบันเทิงเหรอ? กู้ ลี่เฉินหรือ…’ ใบหน้าของอี้ จิ่นหลีพลันแวบเข้ามาในความคิดของชิน เหลียนอี“ทำนองนั้นแหละ” ไป๋ ทิงซินพูดอย่างไม่ใส่ใจ“คุณคิดว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้?” ชิน เหลียนอีถาม ดูเหมือนว่าเธอยินดีที่จะนั่งฟังการวิเคราะห์ของเขา“ถ้าให้ผมเดานะ ต้องเป็นอี้ จิ่นหลี” ไป๋ ทิงซินกล่าว“ทำไม?”“เพราะมีน้อยคนที่สามารถควบคุมเรื่องนี้ได้ ภรรยาของผู้กำกับคงไม่สามารถปฎิเสธคนคนนี้ได้และหลิง ลั่วอินเป็นอดีตแฟนสาวของกู้ ลี่เฉิน ยิ่งลั่วอินทำให้ตัวเองดูโง่เขลาเท่าไหร่ ชื่อเสียงของกู้ ลี่เฉินก็จะยิ่งมัวหมองลง แล้วในเมืองเฉินมีกี่คนที่กล้าล้ำเส้นกู้ ลี่เฉิน?”ชิน เหลียนอีเงียบ สิ่งที่ไป๋ ทิงซินพูด ทำ
เมื่อมีคนตามล่าเหยื่อตัวเดียวกับเขา เขาจะทำลายมันทิ้งให้สิ้น“แล้วจะสบายใจได้ยังไง?” ชิน เหลียนอีกลอกตา “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าความสัมพันธ์ของอี้หรานและอี้ จิ่นหลีพังลงหรือถ้าเธอทำให้อี้ จิ่นหลีรำคาญ คุณคิดว่าอี้ จิ่นหลีจะทำอะไรกับอี้หราน?”สุดท้ายแล้ว ยังไงก็ต้องมีวันที่ฝนพรำอยู่ดีไป๋ ทิงซินหัวเราะและงอข้อนิ้วของเขาขึ้นมาดีดหน้าผากของชิน เหลียนอี “คุณคิดน้อยเกินไปหรือเปล่า? ผมเกรงว่าคนอยู่ต่ำกว่าจะเป็นอี้ จิ่นหลี”ชิน เหลียนอีตกตะลึงและอ้าปากกว้างด้วยความประหลาดใจ ‘ไม่มีทาง! คำว่า ‘ต่ำกว่า’ ไม่สามารถใช้กับอี้ จิ่นหลีได้’“คุณล้อเล่นเหรอ?” ชิน เหลียนอีพึมพำ“ผมดูเหมือนล้อเล่นอยู่เหรอ?” ไป๋ ทิงซินถาม “ผมเกรงว่าคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ในความสัมพันธ์ของพวกเขาจะเป็นเพื่อนของคุณ ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องกังวลเลย”ในความสัมพันธ์ คนที่รักมากกว่ามักจะเป็นคนที่ถูกครอบงำเสมอ ระหว่างอี้ จิ่นหลีกับหลิง อี้หราน เขาสามารถเห็นได้ชัดว่าอี้ จิ่นหลีเป็นคนที่รู้สึกรักมากกว่าเช่นเดียวกับเขาและเธอ... ไป๋ ทิงซินจ้องมองผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขา เธอคิดว่าเขากำลังแก้แค้นเธอผ่านความสัมพันธ์นี้ แต่มีเพียงเขาเท
ตอนนี้มันดูเหมือนห้องที่เธออยู่มาก่อน ก่อนที่เธอจะเข้าคุกสิ่งของที่เป็นของแม่... เธอเคยเก็บมันไว้ในกล่องใต้เตียงของเธอหลิง อี้หรานไปที่ข้างเตียงและพยายามเอากล่องออกจากใต้เตียง“เดี๋ยวผมฉันทำให้” อี้ จิ่นหลีหมอบลงและช่วยหลิง อี้หรานเอากล่องออกจากใต้เตียงทำให้เสื้อผ้าของเขาเปื้อนฝุ่นจำนวนมาก “ฉันขอโทษ” เธอกล่าว เธอรู้ว่าเขาเป็นคนรักความสะอาด เมื่อตอนที่เขาอยู่ในบ้านเช่ากับเธอ เขาแทบจะไม่เคยปล่อยให้ตัวเองต้องโดนฝุ่นเลย“ขอโทษอะไร? มันเป็นหน้าที่ของผู้ชายที่จะช่วยผู้หญิงของเขาไม่ใช่เหรอ” อี้ จิ่นหลีถาม‘ผู้หญิงของเขา’ คำพูดเหล่านั้นทำให้หน้าของหลิง อี้หรานเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที จากนั้นความสนใจของเธอก็ตกลงไปอยู่ที่กล่องที่อยู่ตรงหน้าเธอในนั้นมีเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่เธอทิ้งไว้ ภาพวาดที่แม่ของเธอวาดกับเธอและของเล่นชิ้นเล็ก ๆ ที่เธอซื้อให้ตัวเอง ของเหล่านี้ทั้งหมดถูกบรรจุลงในกล่องในตอนที่เธออายุมากขึ้นน่าเสียดายที่เธอยังเด็กเกินไปในตอนที่แม่ของเธอเสียชีวิต ความทรงจำของเธอก็เลือนลางจางหายไป เมื่อเธอโตขึ้น สิ่งของของแม่ก็เหลือไม่มากแล้วหลิง อี้หรานเปิดกล่องและมองดูสิ่งที่คุ้
เธอเป็นคนเดียวที่ทำให้เขาเต็มใจจะถูกครอบงำ!แม้ว่าเธอจะขอให้เขาคุกเข่าต่อหน้าเธอ เขาก็จะทำด้วยความเต็มใจสิ่งที่เขาต้องการที่สุดคือเธอ… ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่อยากให้เธอทิ้งเขาไป...พ่อของเขาคงจะรักแม่ของเขามากเช่นกัน แต่สุดท้ายแล้ว แม่ของเขากลับทิ้งพ่อไป จนทำให้พ่อรู้สึกสิ้นหวังแต่อี้หรานไม่ใช่แม่ของเขา อี้หรานจะไม่มีวันทิ้งเขา!หลิง อี้หรานหอบและหน้าแดงหลังจากถอนจูบออกมา เธอพยายามถอยกลับ แต่อี้ จิ่นหลีกลับโอบรอบเอวและดึงเธอเข้าไปใกล้ในอ้อมกอดของเขามากขึ้น“เกิดอะไรขึ้น?” เธอมองเขาอย่างสงสัย“บอกผมสิว่าพี่จะไม่ทิ้งผม” เขาก้มศีรษะลง ดวงตาที่สดใสของเขาจ้องมองเธออย่างมีความหมายเธอกระพริบตาและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอน ฉันจะไม่ทิ้งคุณ ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”“อาจเป็นเพราะ...” เขาลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยังคงพูดต่อไปว่า “เรื่องของแม่กับพ่อที่ติดอยู่ในใจของผม ยิ่งรักใครมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งกลัวจะเสียเขาไปมากเท่านั้น เพราะเมื่อไหร่ที่คุณสูญเสียใครสักคนไป คุณก็จะรู้สึกสิ้นหวังตลอดไป”หลิง อี้หรานชะงัก เธอไม่เคยได้ยินเขาพูดเกี่ยวกับแม่ของเขามาก่อน เธอรู้เพียงว่าแม่ของเขาทิ้งพ่อไปเมื่
บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตาของเธอ“จิน ฉัน... ฉันเคยรู้สึกว่าความรักเป็นสิ่งที่เกินตัวสำหรับฉันหลังจากที่ฉันออกจากคุก ฉันไม่เคยคิดที่จะรักใครอีกเลย แต่ตอนนี้ ฉันมีความสุขมากที่ได้พบคุณและตกหลุมรักคุณ บางครั้งฉันรู้สึกราวกับว่าคุณเป็นของขวัญจากพระเจ้า”เธอพึมพำบอกเขาว่าเธอรู้สึกอย่างไรเขาให้ความหวังกับเธออีกครั้ง เขาเป็นเหมือนอัศวินขี่ม้าขาวที่พระเจ้าส่งมาเพื่อดึงเธอขึ้นจากโคลนตมแห่งความสิ้นหวัง พระเจ้าคงคิดว่าเธอน่าสังเวชเกินไปอี้ จิ่นหลีแข็งทื่อ ‘ของขวัญจากพระเจ้า? ถ้าวันหนึ่งเธอรู้ว่าความจริง เธอจะยังคิดแบบนี้อยู่ไหม?’ไม่ เขาจะไม่ยอมให้เธอรู้เด็ดขาดจะไม่มีวันนั้น!อันที่จริง... เธอต่างหากที่เป็นของขวัญสำหรับเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ เขาอาจจะไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกที่ได้รักใครสักคนเขาต้องการทำให้เธอเป็นของเขาคนเดียว แม้ว่าเขาจะกอดเธอทุกวันและแม้ว่าเขาจะแบ่งปันเรื่องราวส่วนตัวแล้วก็ตาม... แต่มันก็ยังไม่พอ มันยังไม่พอสำหรับเขา!“แต่งงานกันเถอะ อี้หราน!” อี้ จิ่นหลีพูดคำเหล่านี้ออกมาด้วยความปรารถนาที่เขาไม่อาจระงับได้ “แต่งงานกับฉันนะ มาเป็นภรรยาของฉันเถอะ!”…แต่งงาน?หลิง อี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง... ตระกูลของเขาให้ความสำคัญกับทายาทผู้สืบทอดตระกูลมาก“แล้วยังไง? ตอนที่เราเริ่มออกเดทกันครั้งแรก ผมบอกพี่แล้วไงว่าแม้ว่าผมจะมีลูกเป็นของตัวเองไม่ได้ ก็ไม่เป็นอะไร ผมรักพี่ ไม่ใช่ลูก” เธอคือสิ่งเดียวในโลกที่มีความสำคัญต่อเขา“แต่ว่า...” เธอยังคงชั่งใจ‘มันไม่สำคัญจริง ๆ เหรอ? จะมีผู้ชายกี่คนในโลกนี้ที่ยอมรับการไม่มีลูกได้?’“อี้หราน! สำหรับฉัน ลูกเป็นเพียงทายาทของตระกูลอี้เท่านั้น ฉันไม่ใช่คนที่รักใครไปทั่ว ถ้าเธอและฉันมีลูกด้วยกันในอนาคต ฉันอาจจะรักพวกเขา ถ้าเราไม่มีลูก เราก็รับเลี้ยงเด็กจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหรือจากญาติคนอื่นในตระกูลอี้ได้ ทุกอย่างไม่มีปัญหาสำหรับฉันเลย ทั้งหมดที่ฉันสนใจก็คือเธอจะแต่งงานกับฉันไหม?” เขากล่าวในช่วงท้ายของประโยค เขาจ้องมองเธอด้วยสายตาร้อนแรง เธอรู้สึกราวกับว่าเธอถูกเขาจับขังอยู่ในตาข่าย เธอไม่สามารถซ่อนตัวหรือหนีจากเขาไปได้และยิ่งไปกว่านั้น... เธอไม่จะหนี!เธอรักเขามากเกินกว่าจะซ่อนตัวหรือวิ่งหนี“ตกลง” เพียงสองคำนั้นที่หลุดออกจากปากเธอรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา จากนั้นเขาก็จับมือเธอและจูบเรียวนิ้วยาวของเธอ “ผมจะไม่มีว