ชิน เหลียนอีขมวดคิ้วขณะที่เธอฟัง สิ่งที่เธอไม่เคยนึกถึงตอนนี้กลายเป็นเรื่องน่าสงสัยหลังจากฟังการวิเคราะห์ของไป๋ ทิงซิน“ภรรยาของผู้กำกับเป็นคนฉลาด จะมีประโยชน์อะไรกับการทำให้คนอื่นเดือดร้อน ทั้งที่มันไม่มีประโยชน์ต่อตัวเอง” ไป๋ ทิงซินกล่าวอย่างใจเย็นชิน เหลียนอีไม่ใช่คนโง่ เมื่อเขาพูดเช่นนี้ เธอก็เข้าใจในทันที “มีใครอยู่เบื้องหลังเรื่องของหลิง ลั่วอินใช่ไหม?”‘คู่แข่งของหลิง ลั่วอินในวงการบันเทิงเหรอ? กู้ ลี่เฉินหรือ…’ ใบหน้าของอี้ จิ่นหลีพลันแวบเข้ามาในความคิดของชิน เหลียนอี“ทำนองนั้นแหละ” ไป๋ ทิงซินพูดอย่างไม่ใส่ใจ“คุณคิดว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้?” ชิน เหลียนอีถาม ดูเหมือนว่าเธอยินดีที่จะนั่งฟังการวิเคราะห์ของเขา“ถ้าให้ผมเดานะ ต้องเป็นอี้ จิ่นหลี” ไป๋ ทิงซินกล่าว“ทำไม?”“เพราะมีน้อยคนที่สามารถควบคุมเรื่องนี้ได้ ภรรยาของผู้กำกับคงไม่สามารถปฎิเสธคนคนนี้ได้และหลิง ลั่วอินเป็นอดีตแฟนสาวของกู้ ลี่เฉิน ยิ่งลั่วอินทำให้ตัวเองดูโง่เขลาเท่าไหร่ ชื่อเสียงของกู้ ลี่เฉินก็จะยิ่งมัวหมองลง แล้วในเมืองเฉินมีกี่คนที่กล้าล้ำเส้นกู้ ลี่เฉิน?”ชิน เหลียนอีเงียบ สิ่งที่ไป๋ ทิงซินพูด ทำ
เมื่อมีคนตามล่าเหยื่อตัวเดียวกับเขา เขาจะทำลายมันทิ้งให้สิ้น“แล้วจะสบายใจได้ยังไง?” ชิน เหลียนอีกลอกตา “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าความสัมพันธ์ของอี้หรานและอี้ จิ่นหลีพังลงหรือถ้าเธอทำให้อี้ จิ่นหลีรำคาญ คุณคิดว่าอี้ จิ่นหลีจะทำอะไรกับอี้หราน?”สุดท้ายแล้ว ยังไงก็ต้องมีวันที่ฝนพรำอยู่ดีไป๋ ทิงซินหัวเราะและงอข้อนิ้วของเขาขึ้นมาดีดหน้าผากของชิน เหลียนอี “คุณคิดน้อยเกินไปหรือเปล่า? ผมเกรงว่าคนอยู่ต่ำกว่าจะเป็นอี้ จิ่นหลี”ชิน เหลียนอีตกตะลึงและอ้าปากกว้างด้วยความประหลาดใจ ‘ไม่มีทาง! คำว่า ‘ต่ำกว่า’ ไม่สามารถใช้กับอี้ จิ่นหลีได้’“คุณล้อเล่นเหรอ?” ชิน เหลียนอีพึมพำ“ผมดูเหมือนล้อเล่นอยู่เหรอ?” ไป๋ ทิงซินถาม “ผมเกรงว่าคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ในความสัมพันธ์ของพวกเขาจะเป็นเพื่อนของคุณ ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องกังวลเลย”ในความสัมพันธ์ คนที่รักมากกว่ามักจะเป็นคนที่ถูกครอบงำเสมอ ระหว่างอี้ จิ่นหลีกับหลิง อี้หราน เขาสามารถเห็นได้ชัดว่าอี้ จิ่นหลีเป็นคนที่รู้สึกรักมากกว่าเช่นเดียวกับเขาและเธอ... ไป๋ ทิงซินจ้องมองผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขา เธอคิดว่าเขากำลังแก้แค้นเธอผ่านความสัมพันธ์นี้ แต่มีเพียงเขาเท
ตอนนี้มันดูเหมือนห้องที่เธออยู่มาก่อน ก่อนที่เธอจะเข้าคุกสิ่งของที่เป็นของแม่... เธอเคยเก็บมันไว้ในกล่องใต้เตียงของเธอหลิง อี้หรานไปที่ข้างเตียงและพยายามเอากล่องออกจากใต้เตียง“เดี๋ยวผมฉันทำให้” อี้ จิ่นหลีหมอบลงและช่วยหลิง อี้หรานเอากล่องออกจากใต้เตียงทำให้เสื้อผ้าของเขาเปื้อนฝุ่นจำนวนมาก “ฉันขอโทษ” เธอกล่าว เธอรู้ว่าเขาเป็นคนรักความสะอาด เมื่อตอนที่เขาอยู่ในบ้านเช่ากับเธอ เขาแทบจะไม่เคยปล่อยให้ตัวเองต้องโดนฝุ่นเลย“ขอโทษอะไร? มันเป็นหน้าที่ของผู้ชายที่จะช่วยผู้หญิงของเขาไม่ใช่เหรอ” อี้ จิ่นหลีถาม‘ผู้หญิงของเขา’ คำพูดเหล่านั้นทำให้หน้าของหลิง อี้หรานเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที จากนั้นความสนใจของเธอก็ตกลงไปอยู่ที่กล่องที่อยู่ตรงหน้าเธอในนั้นมีเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่เธอทิ้งไว้ ภาพวาดที่แม่ของเธอวาดกับเธอและของเล่นชิ้นเล็ก ๆ ที่เธอซื้อให้ตัวเอง ของเหล่านี้ทั้งหมดถูกบรรจุลงในกล่องในตอนที่เธออายุมากขึ้นน่าเสียดายที่เธอยังเด็กเกินไปในตอนที่แม่ของเธอเสียชีวิต ความทรงจำของเธอก็เลือนลางจางหายไป เมื่อเธอโตขึ้น สิ่งของของแม่ก็เหลือไม่มากแล้วหลิง อี้หรานเปิดกล่องและมองดูสิ่งที่คุ้
เธอเป็นคนเดียวที่ทำให้เขาเต็มใจจะถูกครอบงำ!แม้ว่าเธอจะขอให้เขาคุกเข่าต่อหน้าเธอ เขาก็จะทำด้วยความเต็มใจสิ่งที่เขาต้องการที่สุดคือเธอ… ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่อยากให้เธอทิ้งเขาไป...พ่อของเขาคงจะรักแม่ของเขามากเช่นกัน แต่สุดท้ายแล้ว แม่ของเขากลับทิ้งพ่อไป จนทำให้พ่อรู้สึกสิ้นหวังแต่อี้หรานไม่ใช่แม่ของเขา อี้หรานจะไม่มีวันทิ้งเขา!หลิง อี้หรานหอบและหน้าแดงหลังจากถอนจูบออกมา เธอพยายามถอยกลับ แต่อี้ จิ่นหลีกลับโอบรอบเอวและดึงเธอเข้าไปใกล้ในอ้อมกอดของเขามากขึ้น“เกิดอะไรขึ้น?” เธอมองเขาอย่างสงสัย“บอกผมสิว่าพี่จะไม่ทิ้งผม” เขาก้มศีรษะลง ดวงตาที่สดใสของเขาจ้องมองเธออย่างมีความหมายเธอกระพริบตาและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอน ฉันจะไม่ทิ้งคุณ ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”“อาจเป็นเพราะ...” เขาลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยังคงพูดต่อไปว่า “เรื่องของแม่กับพ่อที่ติดอยู่ในใจของผม ยิ่งรักใครมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งกลัวจะเสียเขาไปมากเท่านั้น เพราะเมื่อไหร่ที่คุณสูญเสียใครสักคนไป คุณก็จะรู้สึกสิ้นหวังตลอดไป”หลิง อี้หรานชะงัก เธอไม่เคยได้ยินเขาพูดเกี่ยวกับแม่ของเขามาก่อน เธอรู้เพียงว่าแม่ของเขาทิ้งพ่อไปเมื่
บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตาของเธอ“จิน ฉัน... ฉันเคยรู้สึกว่าความรักเป็นสิ่งที่เกินตัวสำหรับฉันหลังจากที่ฉันออกจากคุก ฉันไม่เคยคิดที่จะรักใครอีกเลย แต่ตอนนี้ ฉันมีความสุขมากที่ได้พบคุณและตกหลุมรักคุณ บางครั้งฉันรู้สึกราวกับว่าคุณเป็นของขวัญจากพระเจ้า”เธอพึมพำบอกเขาว่าเธอรู้สึกอย่างไรเขาให้ความหวังกับเธออีกครั้ง เขาเป็นเหมือนอัศวินขี่ม้าขาวที่พระเจ้าส่งมาเพื่อดึงเธอขึ้นจากโคลนตมแห่งความสิ้นหวัง พระเจ้าคงคิดว่าเธอน่าสังเวชเกินไปอี้ จิ่นหลีแข็งทื่อ ‘ของขวัญจากพระเจ้า? ถ้าวันหนึ่งเธอรู้ว่าความจริง เธอจะยังคิดแบบนี้อยู่ไหม?’ไม่ เขาจะไม่ยอมให้เธอรู้เด็ดขาดจะไม่มีวันนั้น!อันที่จริง... เธอต่างหากที่เป็นของขวัญสำหรับเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ เขาอาจจะไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกที่ได้รักใครสักคนเขาต้องการทำให้เธอเป็นของเขาคนเดียว แม้ว่าเขาจะกอดเธอทุกวันและแม้ว่าเขาจะแบ่งปันเรื่องราวส่วนตัวแล้วก็ตาม... แต่มันก็ยังไม่พอ มันยังไม่พอสำหรับเขา!“แต่งงานกันเถอะ อี้หราน!” อี้ จิ่นหลีพูดคำเหล่านี้ออกมาด้วยความปรารถนาที่เขาไม่อาจระงับได้ “แต่งงานกับฉันนะ มาเป็นภรรยาของฉันเถอะ!”…แต่งงาน?หลิง อี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง... ตระกูลของเขาให้ความสำคัญกับทายาทผู้สืบทอดตระกูลมาก“แล้วยังไง? ตอนที่เราเริ่มออกเดทกันครั้งแรก ผมบอกพี่แล้วไงว่าแม้ว่าผมจะมีลูกเป็นของตัวเองไม่ได้ ก็ไม่เป็นอะไร ผมรักพี่ ไม่ใช่ลูก” เธอคือสิ่งเดียวในโลกที่มีความสำคัญต่อเขา“แต่ว่า...” เธอยังคงชั่งใจ‘มันไม่สำคัญจริง ๆ เหรอ? จะมีผู้ชายกี่คนในโลกนี้ที่ยอมรับการไม่มีลูกได้?’“อี้หราน! สำหรับฉัน ลูกเป็นเพียงทายาทของตระกูลอี้เท่านั้น ฉันไม่ใช่คนที่รักใครไปทั่ว ถ้าเธอและฉันมีลูกด้วยกันในอนาคต ฉันอาจจะรักพวกเขา ถ้าเราไม่มีลูก เราก็รับเลี้ยงเด็กจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหรือจากญาติคนอื่นในตระกูลอี้ได้ ทุกอย่างไม่มีปัญหาสำหรับฉันเลย ทั้งหมดที่ฉันสนใจก็คือเธอจะแต่งงานกับฉันไหม?” เขากล่าวในช่วงท้ายของประโยค เขาจ้องมองเธอด้วยสายตาร้อนแรง เธอรู้สึกราวกับว่าเธอถูกเขาจับขังอยู่ในตาข่าย เธอไม่สามารถซ่อนตัวหรือหนีจากเขาไปได้และยิ่งไปกว่านั้น... เธอไม่จะหนี!เธอรักเขามากเกินกว่าจะซ่อนตัวหรือวิ่งหนี“ตกลง” เพียงสองคำนั้นที่หลุดออกจากปากเธอรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา จากนั้นเขาก็จับมือเธอและจูบเรียวนิ้วยาวของเธอ “ผมจะไม่มีว
“เธอรู้จักเขาดีพอหรือเปล่า?” ชิน เหลียนอีถาม“ประมาณนั้น ไม่มีอะไรที่ฉันไม่รู้เกี่ยวกับตระกูล อาชีพ ชีวิตและบุคลิกภาพของเขา แถมฉันยังอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์อี้มาระยะหนึ่งแล้ว” หลิง อี้หรานกล่าว“แล้วด้านมืดของเขาล่ะ?” ชิน เหลียนอีโพล่งออกมาหลิง อี้หรานมองเพื่อนของเธอด้วยความประหลาดใจ ขณะที่ชิน เหลียนอีทำตัวไม่ถูก “ฉันหมายถึงว่า เขาคืออี้ จิ่นหลี คนมักจะพูดกันว่าเขาโหดเหี้ยมและถ้าใครทำให้เขาขุ่นเคือง ก็จะไม่จบลงด้วยดีไม่ใช่เหรอ?”หลิง อี้หรานหลับตาลงเล็กน้อย เธอรู้ว่าเพื่อนสนิทของเธอหมายถึงอะไรใน เหมือนตอนที่เธออยู่ในคุก หลายคนเลือกทำลายเธอเพราะอี้ จิ่นหลีอย่างไรก็ตาม... “เหลียนอี ถ้าเธอไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ เธอจะไม่มีทางรู้ว่าอนาคตของเธอจะเป็นยังไง ฉันต้องการทำแบบนั้นเพราะฉันคิดว่าไม่มีใครในโลกนี้จะรักฉันมากไปกว่าเขาอีกแล้ว” หลิง อี้หรานกล่าวขณะที่เธอมองไปที่ชิน เหลียนอีหัวใจของชิน เหลียนอีสั่นสะท้านเมื่อเธอมาไปที่เพื่อนสนิทของเธอ ทั้งสองรู้จักกันมาหลายปี เธอรู้ว่าอี้หรานต้องการมีครอบครัวมากแค่ไหนนั่นคือสิ่งที่ผู้คนเป็น ยิ่งพวกเขาขาดอะไรไปมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งต้องการมันมากขึ้นเท
เขาน่าจะกอดเธอไว้ให้แน่นตั้งแต่แรก!“เฮ้ ทำไมนายมาดื่มคนเดียวล่ะ?” เสียงของเย่ ฉงเว่ยดังขึ้นขัดจังหวะกู้ ลี่เฉิน “นายมาที่นี่ไม่บ่อย ดื่มคนเดียวไม่น่าเบื่อเหรอ?”‘น่าเบื่อเหรอ?’กู้ ลี่เฉินหมุนแก้วในมือและเหลือบมองผู้คนรอบตัวเขาเหตุผลเดียวที่เขาตกลงเข้าร่วมงานของเย่ ฉงเว่ยในวันนี้เพราะเขาต้องการขจัดความเครียดของเขาแต่เขากลับพบว่ามันมีค่าเท่าเดิมเขาเอาแต่นึกถึงหลิง อี้หรานและไม่สามารถเอาเธอออกจากหัวได้“ยังไงก็เถอะ ฉันได้ยินมาว่านายกับจิ่นหลีทะเลาะกันเหรอ? เกิดอะไรขึ้น?” เย่ ฉงเว่ยถามกู้ ลี่เฉินหันไปมองเพื่อนสนิทขณะที่ยิ้มมุมปาก “นายก็รู้อยู่แล้วหนิ”เย่ ฉงเว่ยตกตะลึง “จริงดิ?” เขาได้ยินข่าวโครมลอยแต่มันกลับกลายเป็นเรื่องจริง “นายทะเลาะกับจิ่นหลีได้ยังไง?”พวกเขารู้จักกันตั้งแต่เด็ก เย่ ฉงเว่ยคิดมาตลอดว่าบุคคลที่จะมีปัญหากันน้อยสุดคืออี้ จิ่นหลีกับกู้ ลี่เฉินผู้ชายทั้งสองคนนี้ต่างมีเหตุผลและชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียของทุกสิ่งอย่าง อี้ จิ่นหลีไม่เคยแยแสกับอะไร แน่นอนว่านั่นคือก่อนที่เขาได้พบกับหลิง อี้หราน เย่ ฉงเว่ยสังเกตได้ว่าเขาห่วงใยผู้หญิงคนนั้นมากสำหรับลี่เฉิน ใน
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค