เขาโกรธที่เขารู้สึกอิจฉานักแสดง แม้จะเป็นเพียงแค่บทบาททางทีวีเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามเขาสามารถยอมรับมันได้เพราะชิน เหลียนอีถ้าเขากดดันเธอ ยังไงเธอก็ทนได้ แต่ถ้าเขาทำดีกับเธอ เธอก็จะได้ใจและเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกเลยไป๋ ทิงซินรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อชิน เหลียนอี บอกว่าหลิง อี้หราน ก็เป็นแฟนของเกา จิ้งชาน เหมือนกันดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่คนเดียวที่ต้องรู้สึกขมขื่น!อี้ จิ่นหลีและไป๋ ทิงซินผลัดกันขับรถคนละครึ่งทาง เมื่อพวกเขาไปถึงศูนย์กักกันในเมืองเอส ก็เป็นเวลาเก้าโมงแล้วไป๋ ทิงซินจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงเข้าไปในห้องที่อยู่ติดกับห้องประชุมในห้องมีหน้าจอขนาดใหญ่หลายจอตั้งอยู่ ที่กำลังแสดงภาพของห้องประชุม พวกเขาสามารถเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นข้างในห้องประชุมและได้ยินการสนทนาของผู้คนที่อยู่ข้างในได้หลังจากนั้นไม่นานผู้ไกล่เกลี่ยที่เป็นคนกลางก็เข้ามาในห้องที่หลิง อี้หรานอยู่ หลิง อี้หรานจึงบอกประเด็นสำคัญที่เธอได้คิดขึ้นมาและพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับวิธีตั้งคำถามเขาเป็นคนที่มีประสบการณ์อย่างแท้จริง และเขาได้คิดคำถามมากมายโดยไม่ต้องรบกวนหลิง อี้หรานหลิง อี้หรานรู้
โหยว เหลยกระพริบตาด้วยความรู้สึกผิด พร้อมกับกล่าวว่า “คุณหมายถึงอะไร? ผมเป็นคนตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ อะไรคือการทีคุณบอกว่าไม่สะอาด?”“ยังไงก็ตาม เมื่อวานนี้ผมไปที่บ้านพ่อแม่ของคุณเพื่อพูดคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับคุณ พวกเขาทั้งคู่สื่อสารโดยใช้ภาษาของเมืองเฉิน พวกเขามาจากเมืองเฉินหรือเปล่า?” ผู้ไกล่เกลี่ยกล่าวอย่างไม่เป็นทางการ“ครับ พวกเขาเคยอาศัยอยู่ในเมืองเฉิน”“คุณเคยอาศัยอยู่ในเมืองเฉินด้วยใช่หรือไม่? ทำไมคุณถึงย้ายมาที่เมืองเอสล่ะ? เมืองเฉินดีกว่าเมืองเอสตั้งเยอะ” ผู้ไกล่เกลี่ยกล่าวราวกับว่าพวกเขากำลังคุยสอบถามสารทุกข์สุกดิบ“เมืองใหญ่มีแต่ความกดดัน ถึงแม้ว่าที่นี่จะเล็กกว่า แต่ก็รู้สึกสบายใจที่จะอยู่มากกว่า”“ก็จริงครับ” ผู้ไกล่เกลี่ยยิ้มและกล่าวทันทีว่า “ผมเกือบลืม ผู้ชายที่คุณสร้างบาดแผลในใจให้เขา เขาขอให้ผมถามคุณเกี่ยวกับคุณห่าว เขาบอกว่าถ้าคุณกลัวที่จะถูกเปิดโปง คุณควรจ่ายเงินตามที่เขาเรียกมาหรือไม่อย่างนั้นเขาจะประกาศให้โลกรับรู้”ใบหน้าของโหยว เหลยพลันเป็นซีดเผือก แม้ว่าเขาพยายามจะข่มความกลัวไว้ในใจอย่างหนัก “คุณห่าว... ผมไม่รู้ว่าเขาจะเปิดโปงอะไร แต่ผมเป็นพยานในคดีที่เหยื
หากผู้ปกครองท้องถิ่นแห่งเมืองเฉินต้องการช่วยใครสักคนในการแก้ไขคดีก็ต้องประสบความสำเร็จแน่นอน!นอกจากนี้อี้หรานยังเป็นผู้บริสุทธิ์! ใครที่อยู่เบื้องหลัง รับรองว่าต้องถูกค้นพบอย่างแน่นอน!ชิน เหลียนอีโล่งใจ จากใบหน้าที่เศร้าหมองของเธอก็สว่างสดใสขึ้น “ใกล้เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันเถอะ”หลิง อี้หรานพยักหน้าและทั้งสี่คนก็เดินออกจากศูนย์กักกันก่อนที่จะเข้าไปในรถของพวกเขาชิน เหลียนอีกำลังยุ่งอยู่กับการดูรายการอาหารแนะนำในเมืองเอส และพบร้านอาหารหลายแห่งที่น่าสนใจ จากนั้นเธอก็ขอให้หลิง อี้หรานช่วยเลือกร้านอาหาร ชายทั้งสองคนไม่มีท่าทีคัดค้านอะไร ไป๋ ทิงซินจึงขับรถไปที่ร้านอาหารร้านอาหารท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงมายาวนานในเมืองเอส พวกเขาทั้งสี่คนลงจากรถ และขอห้องส่วนตัวก่อนที่จะเริ่มสั่งอาหารแน่นอนว่าชิน เหลียนอีเป็นคนสั่งอาหารซะส่วนใหญ่ แต่เธอก็สั่งตามรายการคำแนะนำที่เธอได้อ่านบนอินเทอร์เน็ตจากที่ชิน เหลียนอีได้สั่งอาหารตามรายการคำแนะนำ เธอพบว่ามีอาหารยี่สิบจานหรือมากกว่านั้น แต่พวกเขากลับมีเพียงกันสี่คน เธอจึงพูดอย่างเขิน ๆ ว่า “ดูเหมือนว่าเราจะสั่งกันเยอะไปหน่อย”“คุณจะสั่งอะไร
“กินข้าวกันเถอะ” อี้ จิ่นหลีกล่าวพวกเขาทั้งสี่คนเริ่มลงมือรับประทานอาหารกลางวัน อี้ จิ่นหลีเสนอตัวที่จะช่วยหลิง อี้หรานปอกกุ้งเมื่อพวกเขากินอาหารจานนี้ หลิง อี้หรานรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เพราะพวกเขาอยู่ต่อหน้าเพื่อนสนิทของเธอและไป๋ ทิงซินโดยเฉพาะอย่างยิ่งชิน เหลียนอีที่ถึงกับขยิบตาให้เธอ ทำให้หลิง อี้หรานพูดไม่ออกอี้ จิ่นหลีดูสง่างามมากในขณะที่ปอกเปลือกกุ้งให้เธอ โดยที่เขาดูเหมือนจะไม่สนใจความคิดเห็นของคนอื่นหลังจากทานอาหารเสร็จ อี้ จิ่นหลีก็เตือนหลิง อี้หรานว่า “อย่าลืมกินยา หลังอาหารกลางวันยี่สิบนาทีนะ”“โอเค” หลิง อี้หรานตอบ“เธอไม่สบายเหรอ?” ชิน เหลียนอีตกใจและถามด้วยความกังวลทันที“เปล่า มันเป็นยาฟื้นฟูสุขภาพร่างกายเท่านั้น สำหรับอาการปวดข้อของฉันน่ะ” หลิง อี้หรานตอบชิน เหลียนอีตะลึง เธอรู้เกี่ยวกับการจำคุกของเพื่อนสนิทเป็นเวลาสามปี หลังจากที่อี้หรานได้รับการปล่อยตัวจากคุก เธอต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคไขข้อ เธอจะรู้สึกเจ็บข้อต่อเมื่ออากาศหนาวและมืดมนเธอแนะนำให้อี้หรานไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจและรักษา แต่อี้หรานมักจะเฉไฉเธอรู้ว่าอี้หรานคิดว่าค่ารักษามันแพงเกินไปและมันจะหายปว
ราวกับว่าเธอสามารถรับรู้ได้ถึงความกังวลของเพื่อนสนิทของเธอ หลิง อี้หรานกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ฉันจะค้นหาความจริงและความยุติธรรมให้กับห่าว เหมยยวี่ และพิสูจน์ว่าฉันบริสุทธิ์!”“ฉันไม่เป็นไร แล้วเธอล่ะ? เธอกับไป๋ ทิงซินเป็นยังไงบ้าง?” หลิง อี้หรานถาม“จะอะไรอีกล่ะ? ก็ตามนั้นแหละ” ชิน เหลียนอียักไหล่และกล่าวว่า “เราก็ดูเหมือนคู่รักทั่ว ๆ ไป”เป็นเพราะมันดู ‘ธรรมดาเกินไป’ บางครั้งเธอมักจะตกอยู่ในภวังค์ความคิดว่าเธอกำลังคบกับไป๋ ทิงซินจริง ๆ เธอยังจมอยู่กับความรู้สึก ‘ออกเดท’ นี้ เธอต้องคอยเตือนตัวเองตลอดเวลาว่าทุกอย่างเป็นเรื่องโกหก ไป๋ ทิงซินแค่ต้องการแก้แค้นเธอ หลังจากที่เธอตกหลุมรักเขา“ฉันยังไม่เชื่อว่าไป๋ ทิงซิน จะแก้แค้นเธออย่างที่เธอคิด” หลิง อี้หรานกล่าว ถ้าเขาต้องการแก้แค้นเหลียนอี คนอย่างไป๋ ทิงซินมีวิธีมากมายในการทรมานผู้คน เขาไม่จำเป็นต้องเลือกวิธีที่อ้อมค้อมและใช้เวลานานแบบนี้เลย“ฉันหวังว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดเหมือนกัน” ชิน เหลียนอีเบะริมฝีปากของเธออย่างไม่พอใจหลิง อี้หรานรู้ว่าเหลียนอียังคงคิดว่า ไป๋ ทิงซินคบกับเธอเพื่อต้องการแก้แค้น แต่เนื่องจากเธอไม่รู้เกี่ยวกับไป
เมื่อไป๋ ทิงซินเห็นแววตาของชิน เหลียนอี อารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อรถขับกลับมาที่เมืองเฉิน พวกเขาก็มาถึงคฤหาสน์อี้ อี้ จิ่นหลีและหลิง อี้หรานลงจากรถขณะที่ไป๋ ทิงซินเปลี่ยนไปนั่งที่ของคนขับแทน“ไว้เจอกันนะ อี้หราน” ชิน เหลียนอีกล่าวคำอำลา“แน่นอน” หลิง อี้หรานตอบ “ขอบใจสำหรับวันนี้นะ แล้วก็กลับบ้านอย่างปลอดภัยล่ะ!” จากนั้นเธอกับอี้ จิ่นหลีก็เดินผ่านประตูเหล็กขนาดใหญ่เข้าสู่คฤหาสน์อี้ชิน เหลียนอีจับจ้องไปที่อี้ จิ่นหลีกับหลิง อี้หรานที่ตอนนี้อยู่หลังประตูเหล็ก จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงที่ประชดประชันของไป๋ ทิงซิน “คุณยังดูไม่พออีกหรือไง?”“ฉันก็แค่มองดู แค่นั้นเอง” ชิน เหลียนอีพึมพำ ตอนที่เธอได้พบกับอี้ จิ่นหลีที่บ้านเช่าของอี้หรานก่อนหน้านี้ แม้ว่าเธอจะไม่ได้มองว่าเขาเป็นกุ๊ย แต่เธอก็ไม่เคยคิดว่าเขาจะเป็นผู้ปกครองแห่งเมืองเฉิน!จากนั้นมือคู่หนึ่งก็จับใบหน้าของชิน เหลียนอี ใบหน้าของเธอหันไปเผชิญหน้ากับเขา “เมื่อวันก่อนคุณไม่ได้บอกว่าคุณชอบมองหน้าผมเหรอ? ตอนนี้คุณกำลังสนใจอี้ จิ่นหลีใช่ไหม?”ชิน เหลียนอีแทบสำลัก เขากำลังพูดอะไร? ทำไมเขาถึงคิดว่าเธอสนใจอี้ จิ่นหลี?เธอรู้ส
ใช่สิ ยังไงเขาก็เป็นเจ้าหนี้ของเธออยู่ดี!…หลังจากที่หลิง อี้หรานและอี้ จิ่นหลีกลับไปที่คฤหาสน์อี้ อี้ จิ่นหลีก็ถามว่า “วันนี้พี่ผิดหวังไหม? เราไปที่เมืองเอส แต่ไม่เจออะไรที่เป็นประโยชน์เลย”หลิง อี้หรานส่ายหัว “ไม่หรอก”“พี่ไม่ผิดหวังเหรอ?” เขาดูค่อนข้างแปลกใจ“เพราะคุณเต็มใจที่จะช่วยฉันหาเบาะแส และทำให้ฉันพ้นผิด ฉันก็มีความสุขแล้ว ไม่ว่าเราจะพบสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือไม่ก็ตาม” เธอกล่าวราวกับว่าเขาเชื่อใจเธอจริง ๆ และความบาดหมางระหว่างพวกเขาก็ค่อย ๆ หายไปเขาจ้องมองเธอ เขาเข้าใจว่าความปรารถนาของเธอคือต้องการจะย้อนคดีเท่านั้น... เขาสามารถช่วยเธอให้พ้นผิดได้ แต่เขาไม่สามารถบอกความจริงกับเธอได้แม้ว่ามันจะเป็นความจริงที่เธออยากรู้ก็ตาม“ตราบใดที่พี่มีความสุข” เขายิ้มเล็กน้อยและหลีกเลี่ยงหัวข้อโดยกล่าวว่า “ถ้าพี่ไม่ไปทำงาน แล้วพี่จะทำอะไรในช่วงวันหยุดล่ะ?”“ฉันจะไปเยี่ยมคุณยายในสองสามวันนี้” เธอกล่าว เธอยุ่งกับงานมากจนไม่มีเวลาโทรหายายเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ เนื่องจากมันไม่ง่ายที่เธอจะมีวันหยุดในช่วงนี้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะไปเยี่ยมคุณยายของเธอ“ดีสิ พี่จะไปเมื่อไหร่?
“...” เธอพูดไม่ออก ไม่มีใครเคยลิ้มรสยาของคนอื่นเพียงเพื่ออยากจะรู้ว่ามันขมแค่ไหน นอกจากนี้ยังเป็นยาสำหรับสตรีอีกด้วยถึงแม้จะเหลือเพียงเล็กน้อยและไม่ทำให้เขารู้สึกขมมาก แต่... เอ่อ เขาประมาทเล็กน้อยที่ทำแบบนั้น“ทำไมคุณไม่กินขนมสักชิ้นเพื่อบรรเทาความขมล่ะ?” เธอถามในขณะที่ยังอมอมยิ้มอยู่ในปาก“งั้นเหรอ?” เขาตอบ แทนที่จะหยิบขนมบนจาน เขากลับเอนตัวไปเข้าหาเธอ มือของเขาจับด้านหลังศีรษะของเธอในขณะที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาโน้มเข้ามาใกล้ใบหน้าของเธอ“คุณ...” เธออ้าปากจะพูด แต่ริมฝีปากของเขากลับประกบลงบนริมฝีปากของเธอทันใดนั้น เธอก็รู้สึกได้ว่าเขาสอดใส่ลิ้นเข้ามาในปากของเธอ ราวกับว่าเขาต้องการที่จะสำรวจทุกอย่างของเธอ...เขาจูบอย่างอ้อยอิ่งและครอบงำ ทำให้เธอแทบหยุดหายใจ ความขมขื่นผสมกับความหวาน เมื่อสิ้นสุดการจูบ เธอไม่สามารถบอกได้ว่ารสชาติในปากของเธอคือรสชาติอะไรเมื่อจูบจบลง เธอก็มองเขาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ มือใหญ่ของเขายังคงอยู่ที่ด้านหลังศีรษะของเธอ ทำให้เธอไม่สามารถมองไปด้านอื่นได้“หวานจัง” ดวงตาที่สวยงามและเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของเขาจ้องมองมาที่เธอ ในขณะที่ริมฝีปากบางของเขากระซิบถ้อย
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค