เมื่อมาถึงบริเวณวีไอพีก็มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่ สิ่งที่หลิง อี้หรานต้องทำคือ ทำตามพยาบาล หลิง อี้หรานตามพยาบาลไปเจาะเลือด เอ็กซเรย์ และไปอัลตร้าซาวด์ร่วมกับคนอื่น ๆ อี้ จิ่นหลีรอหลิง อี้หรานอย่างอดทนในห้องรับรองวีไอพี ขณะที่หลิง อี้หรานเดินตามพยาบาลไปตามแผนกต่าง ๆ เธอก็เห็นคิวซึ่งยาวเหยียด พยาบาลอธิบายให้เธอฟังว่า คนเหล่านี้เป็นคนจากองค์กรอื่นที่มาตรวจสุขภาพที่นี่ ดังนั้นจึงค่อนข้างแออัด ขณะที่หลิง อี้หรานเดินตามพยาบาลไปที่ห้องอัลตราซาวนด์ ห้องอื่น ๆ สองสามห้องนั้นมีคิวยาวมาก แต่พยาบาลก็พาหลิง อี้หรานไปที่ประตูอีกบานที่ไม่มีคิวอยู่ด้านนอก “อี้หราน!” ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกชื่อของหลิง อี้หราน หลิง อี้หรานหันกลับมาเพื่อดูว่าเป็นใคร เธอเห็นกวาน ลี่หลี่เข้าคิวอยู่ หลิง อี้หราน ถึงกับผงะ เธอไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับ กวาน ลี่หลี่ที่นี่ ‘เธอมาตรวจสุขภาพด้วยเหรอ? นั่นหมายความว่า... ‘ หลิง อี้หรานมองไปที่คิวของกวาน ลี่หลี่เพื่อมองใบหน้าที่คุ้นเคยจากสำนักงานกฎหมายที่เธอเคยทำงาน อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น อดีตเพื่อนร่วมงานของเธอจากสำนักงานกฎหมายแห่งนั้นมาที่นี่เพื่อตรวจสุข
‘หลิง อี้หรานไม่น่าพยายามจะเทียบเท่ากับฉันในอดีต ใคร ๆ ก็ต่างให้ความสนใจไปที่เธอ คนที่สำนักงานกฎหมาย พวกเขาปฏิบัติกับฉันเหมือนฉันไม่มีตัวตน’ ‘ตอนนี้ฉันจะทำให้หลิง อี้หราน ‘เป็นที่น่าสนใจ’ อีกครั้ง ฉันจะให้ทุกคนในบริษัทได้เห็นว่า ทนายความหญิงที่ดีที่สุดของพวกเขา ตอนนี้ชีวิตของเธอเป็นอย่างไร’ ‘ฉันกำลังทำให้พวกเขารู้ว่าที่ผ่านมา พวกเขาคิดผิดแค่ไหน!’ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นวิธีเดียวที่เธอจะระงับความโกรธในใจได้ ขณะนั้นก็มีพยาบาลคนหนึ่งเดินผ่านมา เพื่อนร่วมงานคนนั้นถามพยาบาล “ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลของคุณคนหนึ่งบอกว่า คนไข้ทั่วไปไม่สามารถเข้าไปในห้องอัลตราซาวนด์นั้นได้ แต่ฉันเห็นพยาบาลนำใครบางคนเข้าไปในห้องนั้น มีอะไรหรือเปล่าคะ?” “อ๋อ นั่นน่าจะเป็นลูกค้าวีไอพีของโรงพยาบาลค่ะ” พยาบาลตอบ “วีไอพีงั้นเหรอ? แพ็คเกจวีไอพีนี่ ราคาเท่าไหร่กันหรือคะ?” เพื่อนร่วมงานคนนั้นผงะ “นั่นขึ้นอยู่กับแพ็คเกจที่เลือกค่ะ ค่าใช้จ่ายที่ถูกที่สุดก็ประมาณหลายพันอยู่ ถ้าราคาสูงหน่อยก็จะเป็นหลักแสนค่ะ หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมคุณสามารถไปที่ชั้นหก มีเคาน์เตอร์พิเศษสำหรับแพ็คเกจนี้นะคะ” จากนั้น
นั่นเป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิตของเธอ เธอรู้สึกว่าไม่มีความหมายสำหรับเธอที่จะอยู่ต่อไป ถ้าไม่ใช่เพราะเหลียนอีที่มาเยี่ยมเธอบ่อย ๆ เธอก็คงไม่มีชีวิตอยู่ในตอนนี้ คุณหมอถอนหายใจ “ให้สูตินารีแพทย์ตรวจดูผลของคุณ และดูว่ามีอะไรที่เราสามารถทำได้หรือเปล่า” “มีอะไรที่ทำได้อีกหรือคะ?” หลิง อี้หรานตะลึงไปชั่วขณะ “มีวิธีอื่นอีกหรือคะ?” “คุณยังอายุน้อย เราไม่สามารถบอกได้ว่าโอกาสของคุณเป็นศูนย์ นอกจากนี้ในทางการแพทย์ ก็ยังไม่มีอะไรที่แน่นอน” ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ความหวังเริ่มงอกเงยขึ้นภายในใจของหลิง อี้หราน แม้ว่าเธอจะรู้ว่าความหวังนั้นมันช่างเล็กน้อยเพียงใด ปต่มันก็ยังคงเป็นความหวัง ใช่ไหมล่ะ? หากมีวิธีที่เธอจะรักษามดลูกได้ นั่นหมายความว่าเธอสามารถมีลูกได้ ถูกไหม? เมื่อเธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ใบหน้าของอี้ จิ่นหลีก็ปรากฏขึ้นในความคิดของเธอ ถ้าเธอสามารถมีลูกได้ แล้วพ่อของเด็กก็จะ... “เอาล่ะ เสร็จแล้ว คุณสามารถลุกขึ้นได้” คำพูดของแพทย์ขัดจังหวะฝันกลางวันของหลิง อี้หราน เธอลุกขึ้นจากเตียงตรวจทันทีและจัดระเบียบเสื้อผ้า เธอรู้สึกได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่รวดเร็วเพราะความคิด
หลังจากที่หลิง อี้หรานพูดเสร็จ เธอก็ไม่ได้อยากที่จะอภิปรายกับกวาน ลี่หลี่ต่ออีก เธอแจ้งพยาบาลที่อยู่กับเธอ และพวกเขาก็ไปที่การตรวจถัดไป กวาน ลี่หลี่ถูกทิ้งไว้ที่จุดเดิม เธอจ้องมองไปทางด้านหลังของหลิง อี้หรานอย่างโกรธแค้น เมื่อเธอหันกลับมาอีกครั้ง เธอก็ต้องเผชิญกับการจ้องมองของเพื่อนร่วมงาน กวาน ลี่หลี่ยิ้มอย่างอับอายและเข้าไปต่อคิวขณะที่รู้สึกพ่ายแพ้ หลังจากผ่านปัญหามามากมาย เธอก็ยังไม่เห็นว่าหลิง อี้หรานจะมีเงินพอที่จะซื้อแพ็คเกจวีไอพีได้ หลังจากที่หลิง อี้หรานตรวจสุขภาพที่จำเป็นทั้งหมดเสร็จแล้ว เธอก็กลับไปที่อี้ จิ่นหลีรออยู่ “เสร็จแล้วเหรอ?” อี้ จิ่นหลีถาม “เสร็จแล้ว แต่บางส่วนของรายงา สามารถทำได้ในช่วงบ่ายน่ะ” หลิง อี้หรานตอบ “งั้นเราไปกินอาหารเช้ากันเถอะ ตั้งแต่เช้าพี่ยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ” อี้ จิ่นหลีเสนอ “ได้สิ” หลิง อี้หรานออกจากโรงพยาบาลไปพร้อมกับอี้ จิ่นหลี “พี่อยากไปกินที่ไหน?” “ไปหาดูที่ใกล้ ๆ แล้วกัน” ตอนนี้เพิ่งจะเป็นเวลาเก้าโมงเช้า ร้านแผงลอยส่วนใหญ่น่าจะยังไม่หมด “โอเค” เขายิ้มและจับมือเธอ ขณะที่พวกเขาเดินไปที่แผงขายของที่อยู่ใกล้
หลิง อี้หรานครุ่นคิดและพบว่ามันสมเหตุสมผลเธอจึงพยักหน้าและพูดว่า “โอเค” จากนั้นเธอก็กินอาหารเช้าในขณะที่อี้ จิ่นหลียังคงสังเกตเธอ บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาสังเกตการกระทำของเธอตอนที่เธอกัดแต่ละคำ การเคลื่อนไหวและปาท่องโก๋ รวมถึงการตักเต้าฮวยแต่ละคำของเธอ มันช่างน่ารักมากในสายตาของเขา ผมหางม้า หน้าผากที่เกลี้ยงเกลา และใบหน้าที่สง่างามของเธอ ดวงตาที่ส่องประกายคู่นั้น จมูกเล็ก ๆ และริมฝีปากสีชมพูเหล่านั้น... ทุกอย่างสมบูรณ์แบบสำหรับเขา เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งเขาจะตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้ ดูเหมือนว่าเธอดูธรรมดาสำหรับเขามาก ตอนที่หลิง อี้หรานกำลังกิน เธอมองไปเรื่อยเปื่อยจนทำให้ดวงตาอัลมอนด์ของเธอสบกับสายตาของอี้ จิ่นหลีมี่กำลังมองเธออย่างจดจ่อ ในเสี้ยววินาทีเธอก็รู้สึกว่าสมองของเธอถูกดึงดูดด้วยดวงตาคู่นั้น “หือออ... มีอะไรเหรอ?” เธอพึมพำ “ไม่มีอะไร ผมแค่เห็นว่าพี่สวยมาก” หลิง อี้หรานตกตะลึง เขาเคยเห็นผู้หญิงสวย ๆ มากมาย แต่เขาก็ยังพูดแบบนี้กับเธอ ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังละเลยการใช้ครีมดูแลผิวของเธอด้วยในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เธอรู้ว่าหน้าตาของเธอตอนนี้ คนส่วนใหญ่จะม
“เครื่องครัวและเครื่องนอนสามารถขายได้ที่ร้านขายของมือสอง ส่วนเสื้อผ้าและรองเท้าฉันยังใส่ได้ ฉันจะเอากลับไป” อี้ จิ่นหลีมองไปที่เสื้อผ้าและรองเท้าที่หลิง อี้หรานต้องการนำกลับไปด้วย พวกนั้นมันเป็นเสื้อผ้าเก่า แม้ว่าคุณภาพจะดีแต่สไตล์ก็ล้าสมัยและสีบางส่วนก็ซีดจางแล้ว อี้ จิ่นหลีเข้าใจว่าเสื้อผ้าเหล่านี้น่าจะเป็นของเธอก่อนที่เธอจะต้องเข้าคุก อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้พูดอะไร ท้ายที่สุดแม้ว่าเขาจะต้องการให้เงินเธอและบอกให้เธอซื้อใหม่ แต่เขาก็ยังต้องค่อย ๆ ทำสิ่งนั้นอย่างช้า ๆ เขากลัวว่าถ้ารีบเกินไปอาจจะทำให้เธอตกใจได้ มันเป็นเพียงการเริ่มต้นที่จะค่อย ๆ ทะลายกำแพงของเธอกับเขา “ทำไมคุณไม่รอฉันที่นี่? เดี๋ยวฉันก็กลับมาแล้ว” หลิง อี้หรานกล่าว จากนั้นเธอก็หยิบเครื่องครัว และเครื่องนอนที่เธอเก็บรวบรวมเพื่อนำไปที่ร้านขายของมือสอง อี้ จิ่นหลีเร็วกว่าเธอและแย่งของไปจากเธอ “ให้ผมแบกของพวกนี้เอง เปิดประตูให้ผมหน่อยสิ” "โอ้" เธอตอบและเดินไปที่ประตูเพื่อเปิดมัน อี้ จิ่นหลีเดินออกจากบ้านพร้อมกับถือถุงเครื่องครัวในมือข้างหนึ่งและอีกข้างหนึ่งถือชุดเครื่องนอน หลิง อี้หรานรีบปิดประต
อี้ จิ่นหลีหยุดเดินชั่วครู่ ขณะที่ดวงตาสีดำของเขากำลังจ้องมาที่เธอ เธองงงวย “มันคืออะไร?” “ถ้าผมหลอกพี่ล่ะ จะทำยังไง?” ทันใดนั้นเขาก็ถาม เธอผงะไปชั่วครู่ ขณะที่รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอค่อย ๆ หายไป ด้วยความลำบากใจ เธอเม้มริมฝีปากและมองเขาอย่างเคร่งขรึม “จิน ฉันไม่ชอบเวลาที่มีคนมาโกหกฉัน ฉันคิด มาตลอดว่าเพื่อความสัมพันธ์ที่ยืนยาวเราควรซื่อสัตย์ต่อกัน อย่างน้อยที่สุดก็คือการไม่โกหกกัน เขาเงียบ แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่เธอ “คุณจะหลอกฉันเหรอ?” เธอถามอีกครั้ง หัวใจของเธอรู้สึกกังวลและไม่สบายใจราวกับว่า เธอกลัวว่าเขาจะตอบว่าใช่ เธอกลัวว่าสิ่งที่พวกเขาทำจะอยู่ในทัศนคติที่ตรงกันข้ามกัน หากพวกเขาไม่มีทัศนคติที่ตรงกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาจะดำเนินความสัมพันธ์ต่อไปอย่างไร? มือของเขาที่อยู่ข้าง ๆ กำลังกำแน่นอย่างไม่สังเกตเห็น จากนั้นริมฝีปากของเขาก็ค่อย ๆ ขยับขณะที่เขาเปล่งเสียงออกมา “ผมไม่มีทางที่จะทำแบบนั้น” เมื่อเธอได้ยินคำตอบของเขา เธอรู้สึกราวกับว่าก้อนหินถูกยกออกจากหัวใจของเธอ และถอนหายใจ 'โชคดีที่เขาจะไม่หลอกฉัน' “ทำไมล่ะ พี่กลัวว่าคำตอบจะไม่ใช่สิ่งท
เขาคลายการกอดลงเล็กน้อย แต่ยังคงกอดเธอต่อไป “พี่สาว ห้ามบอกผมว่าพี่จะเลิกกับผมอีกนะ ตกลงไหม?” เขาก้มศีรษะลง มีความรู้สึกทุกข์ใจที่เพิ่มขึ้นในดวงตาอันแวววาวของเขา อย่างที่เธอ ไม่เคยเห็นมาก่อน ราวกับว่าถ้าเธอบอกเขาว่าเธอต้องการที่จะเลิกราเป็นอะไรที่ทำให้เขาเสียสูญ เธอ... สำคัญกับเขาขนาดนั้นเลยหรือ? สำคัญมากจนเขายอมรับสถานการณ์สมมุติไม่ได้เลยด้วยซ้ำอย่างนั้นหรือ? หลิง อี้หรานรู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างติดอยู่ในใจของเธอ มันทำให้เธอรู้สึกอึดอัด เธอไม่สามารถดึงมือของตัวเองออกและคืนกอดให้กับเขาได้ “ตกลง จิน ฉันจะไม่พูดคำว่า ‘เลิก’ อีก” สัญญานี้เป็นคำมั่นสัญญาของเธอเช่นเดียวกัน ในขณะนี้เธอไม่ได้คิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความหมายและคุณค่าที่อยู่เบื้องหลังคำสัญญานี้ แต่ตอนนี้เธอไม่อยากเห็นเขาเป็นแบบนั้น นั่นจะทำให้เธอรู้สึกหดหู่... ในช่วงบ่ายหลิง อี้หรานและอี้ จิ่นหลีกลับไปที่โรงพยาบาล ผลการตรวจสุขภาพของเธอก็พร้อมที่จะรวบรวมแล้ว ปัญหาหลักของเธอมาจากการบาดเจ็บครั้งเก่าของเธอ แม้ว่าอาการ บาดเจ็บเหล่านั้นจะหายเป็นปกติแล้ว แต่เมื่อใดก็ตามที่อากาศเย็นและชื้น ข้อต่อบางส่วนของเธอก็
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค