“เครื่องครัวและเครื่องนอนสามารถขายได้ที่ร้านขายของมือสอง ส่วนเสื้อผ้าและรองเท้าฉันยังใส่ได้ ฉันจะเอากลับไป” อี้ จิ่นหลีมองไปที่เสื้อผ้าและรองเท้าที่หลิง อี้หรานต้องการนำกลับไปด้วย พวกนั้นมันเป็นเสื้อผ้าเก่า แม้ว่าคุณภาพจะดีแต่สไตล์ก็ล้าสมัยและสีบางส่วนก็ซีดจางแล้ว อี้ จิ่นหลีเข้าใจว่าเสื้อผ้าเหล่านี้น่าจะเป็นของเธอก่อนที่เธอจะต้องเข้าคุก อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้พูดอะไร ท้ายที่สุดแม้ว่าเขาจะต้องการให้เงินเธอและบอกให้เธอซื้อใหม่ แต่เขาก็ยังต้องค่อย ๆ ทำสิ่งนั้นอย่างช้า ๆ เขากลัวว่าถ้ารีบเกินไปอาจจะทำให้เธอตกใจได้ มันเป็นเพียงการเริ่มต้นที่จะค่อย ๆ ทะลายกำแพงของเธอกับเขา “ทำไมคุณไม่รอฉันที่นี่? เดี๋ยวฉันก็กลับมาแล้ว” หลิง อี้หรานกล่าว จากนั้นเธอก็หยิบเครื่องครัว และเครื่องนอนที่เธอเก็บรวบรวมเพื่อนำไปที่ร้านขายของมือสอง อี้ จิ่นหลีเร็วกว่าเธอและแย่งของไปจากเธอ “ให้ผมแบกของพวกนี้เอง เปิดประตูให้ผมหน่อยสิ” "โอ้" เธอตอบและเดินไปที่ประตูเพื่อเปิดมัน อี้ จิ่นหลีเดินออกจากบ้านพร้อมกับถือถุงเครื่องครัวในมือข้างหนึ่งและอีกข้างหนึ่งถือชุดเครื่องนอน หลิง อี้หรานรีบปิดประต
อี้ จิ่นหลีหยุดเดินชั่วครู่ ขณะที่ดวงตาสีดำของเขากำลังจ้องมาที่เธอ เธองงงวย “มันคืออะไร?” “ถ้าผมหลอกพี่ล่ะ จะทำยังไง?” ทันใดนั้นเขาก็ถาม เธอผงะไปชั่วครู่ ขณะที่รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอค่อย ๆ หายไป ด้วยความลำบากใจ เธอเม้มริมฝีปากและมองเขาอย่างเคร่งขรึม “จิน ฉันไม่ชอบเวลาที่มีคนมาโกหกฉัน ฉันคิด มาตลอดว่าเพื่อความสัมพันธ์ที่ยืนยาวเราควรซื่อสัตย์ต่อกัน อย่างน้อยที่สุดก็คือการไม่โกหกกัน เขาเงียบ แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่เธอ “คุณจะหลอกฉันเหรอ?” เธอถามอีกครั้ง หัวใจของเธอรู้สึกกังวลและไม่สบายใจราวกับว่า เธอกลัวว่าเขาจะตอบว่าใช่ เธอกลัวว่าสิ่งที่พวกเขาทำจะอยู่ในทัศนคติที่ตรงกันข้ามกัน หากพวกเขาไม่มีทัศนคติที่ตรงกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาจะดำเนินความสัมพันธ์ต่อไปอย่างไร? มือของเขาที่อยู่ข้าง ๆ กำลังกำแน่นอย่างไม่สังเกตเห็น จากนั้นริมฝีปากของเขาก็ค่อย ๆ ขยับขณะที่เขาเปล่งเสียงออกมา “ผมไม่มีทางที่จะทำแบบนั้น” เมื่อเธอได้ยินคำตอบของเขา เธอรู้สึกราวกับว่าก้อนหินถูกยกออกจากหัวใจของเธอ และถอนหายใจ 'โชคดีที่เขาจะไม่หลอกฉัน' “ทำไมล่ะ พี่กลัวว่าคำตอบจะไม่ใช่สิ่งท
เขาคลายการกอดลงเล็กน้อย แต่ยังคงกอดเธอต่อไป “พี่สาว ห้ามบอกผมว่าพี่จะเลิกกับผมอีกนะ ตกลงไหม?” เขาก้มศีรษะลง มีความรู้สึกทุกข์ใจที่เพิ่มขึ้นในดวงตาอันแวววาวของเขา อย่างที่เธอ ไม่เคยเห็นมาก่อน ราวกับว่าถ้าเธอบอกเขาว่าเธอต้องการที่จะเลิกราเป็นอะไรที่ทำให้เขาเสียสูญ เธอ... สำคัญกับเขาขนาดนั้นเลยหรือ? สำคัญมากจนเขายอมรับสถานการณ์สมมุติไม่ได้เลยด้วยซ้ำอย่างนั้นหรือ? หลิง อี้หรานรู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างติดอยู่ในใจของเธอ มันทำให้เธอรู้สึกอึดอัด เธอไม่สามารถดึงมือของตัวเองออกและคืนกอดให้กับเขาได้ “ตกลง จิน ฉันจะไม่พูดคำว่า ‘เลิก’ อีก” สัญญานี้เป็นคำมั่นสัญญาของเธอเช่นเดียวกัน ในขณะนี้เธอไม่ได้คิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความหมายและคุณค่าที่อยู่เบื้องหลังคำสัญญานี้ แต่ตอนนี้เธอไม่อยากเห็นเขาเป็นแบบนั้น นั่นจะทำให้เธอรู้สึกหดหู่... ในช่วงบ่ายหลิง อี้หรานและอี้ จิ่นหลีกลับไปที่โรงพยาบาล ผลการตรวจสุขภาพของเธอก็พร้อมที่จะรวบรวมแล้ว ปัญหาหลักของเธอมาจากการบาดเจ็บครั้งเก่าของเธอ แม้ว่าอาการ บาดเจ็บเหล่านั้นจะหายเป็นปกติแล้ว แต่เมื่อใดก็ตามที่อากาศเย็นและชื้น ข้อต่อบางส่วนของเธอก็
เธอตกใจมาก หน้าของเธอพลันแดงก่ำ “ฉัน... ฉัน...” หลิง อี้หรานรู้สึกตื้ออย่างกะทันหัน ราวกับว่าการตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ มันดูจะผิดทั้งคู่! “พี่ห้ามตอบว่า ไม่ นะ” อี้ จิ่นหลีโอบรอบเอวของหลิง อี้หรานอย่างเจ้ากี้เจ้าการและพูดกับเธอว่า “ถ้าผมมีลูก ผมจะมีลูกกับพี่เท่านั้น ดังนั้น... ถ้าพี่อยากเป็นแม่คน พี่เป็นได้แค่แม่ของลูกผมคนเดียว” ใบหน้าของหลิง อี้หรานพลันแดงขึ้น “นี่มันโรงพยาบาลนะ” ยังคงมีผู้คนเดินไปเดินมาตลอดทาง และมีคนมองมาทางนี้อยู่แล้วขณะที่เขาโอบแขนรอบตัวเธอ “แล้วไง?” ริมฝีปากของเขากดแนบชิดใบหูของเธอ เขาหายใจรดหูและคอของเธอ “พี่เข้าใจที่ผมพูดไปเมื่อกี้ใช่ไหม?” ร่างกายของเธอไม่สามารถขยับ มันเอาแต่สั่นระริก เสียงและลมหายใจของเขาดูเหมือนทำให้ต้องมนต์สะกด เธอจึงพยักหน้า หลังจากเข้าไปในรถใบหน้าของหลิง อี้หรานก็ยังคงแดงอยู่ อี้ จิ่นหลีกำลังขับรถอยู่และเธอก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเขาตรงที่นั่งข้าง ๆ จากมุมมองของเธอ เธอสามารถเห็นโครงร่างด้านข้างที่คมชัด ดวงตาที่ลึกและจมูกที่โด่ง หน้าของเขาดูโดดเด่นกว่า คนเอเชียทั่วไป ลักษณะของเขา สันกรามและคอของเขาล้วนดูงดงาม ถ้า
”แน่นอน” หลิง อี้หรานตอบ ขณะที่หลิง อี้หรานวางโทรศัพท์ของเธอ เธอก็ได้ยินเสียงของอี้ จิ่นหลี “นั่นเป็นสายจากชิน เหลียนอี เหรอ?” “ใช่” "ทำไม? พี่ขอให้ไป๋ ทิงซิน ช่วยทำคดีของพี่เหรอ?” เขาถาม “ก็ไม่เชิง” หลิง อี้หรานกล่าว “เธอเพิ่งขอให้ไป๋ ทิงซิน สอบสวนพยานในเมืองเอส เธอบอกว่าพยานถูกคุมขัง และเขามีวิธีที่จะทำให้พยานพูดได้ พรุ่งนี้ฉันจะไปเมืองเอส” แม้ว่าชิน เหลียนอีจะไม่ได้อธิบายอย่างละเอียดว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่หลิง อี้หรานซึ่งอดีตเคยเป็นทนายความมาก่อนก็พอรู้ที่จะจัดบางสิ่ง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพูดคุยกับชายผู้ถูกคุมขัง แต่ด้วยความสามารถของเหลียนอี จึงไม่ต้องสงสัยเลย ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า เป็นฝีมือของไป๋ ทิงซินนั่นเองที่กำลังทำเรื่องนี้อยู่ อย่างไรก็ตามนี่เป็นธุระของเธออย่างชัดเจน แต่เธอปล่อยให้เหลียนอีเป็นหนี้บุญคุณไป๋ ทิงซินอีกครั้งได้อย่างไร เหลียนอีต้องทำเพื่อเธอมากขนาดไหน? เธอจะสามารถตอบแทนเหลียนอีได้อย่างไร? หัวใจของหลิง อี้หรานหนักอึ้งเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เธอไม่ทันสังเกตเห็นแววตาของอี้ จิ่นหลี “ผมจะไปกับพี่ในวันพรุ่งนี้” อี้ จิ่นหลีกล่าว “ไม่เป็น
“คุณคิดว่า ผมควรจะบอกให้เธอรู้ความจริงไหม?” อี้ จิ่นหลีถามเบา ๆ แต่มีความรู้สึกเย็นชาอยู่ในดวงตาของเขา ทันใดนั้นร่างกายของเกา ฉงหมิง ก็สั่นสะท้าน เขารู้ว่าเขาเผลอพูดแทงใจดำของเจ้านาย เกี่ยวกับคดีความและหลิง อี้หราน... นี่ไม่ใช่เรื่องที่นายน้อยอี้จะปล่อยให้คนนอกสอดรู้สอดเห็น สิ่งที่เขาต้องทำก็แค่ทำตามคำสั่งของนายน้อยอี้ “ฉันกำลังจะไปที่เมืองเอสแล้วค่ะ” เกา ฉงหมิง กล่าว จากนั้นเขาก็ออกไป เมื่อเขาออกจากที่นั่น เขาก็เห็นหลิง อี้หราน เดินตรงมาหาเขา “คุณกำลังมองหานายน้อยอี้หรือเปล่าครับ คุณหลิง?” เกา ฉงหมิงถามด้วยความเคารพ เขารู้อยู่ในใจว่าเธอจะเป็นนายหญิงของตระกูลอี้หากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แม้ว่านายน้อยอี้เหมือนแค่เล่นกับผู้หญิงคนนี้ในตอนแรก แต่ตอนนี้เขาจริงจังกับเธอมาก สามารถพูดได้เลยว่าเขาไม่เคยเห็นนายน้อยอี้จริงจังกับผู้หญิงคนไหนขนาดนี้มาก่อน แม้แต่ห่าว อี้เหมิงซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงก้าวเดียวจากการเป็นนายหญิงของตระกูลอี้ แต่นายน้อยอี้ก็ไม่เคยจริงจังเลย อย่างไรก็ตามหลิง อี้หรานได้สิ่งนั้นไป มีเพียงไม่กี่คนในเมืองเฉินที่จะคาดคิดถึงสิ่งนี้ “ใช่ค่ะ” หลิง อี้หรานตอบ
”ไม่มีอะไร ผมแค่อยากจะกอดพี่ไว้แบบนี้สักพัก” เขากระซิบ ใบหน้าของเขาแนบลึกลงไปที่คอของเธอและพลันดมกลิ่น ราวกับว่าแค่กอดเธอแบบนี้จะทำให้เขาสบายใจได้ หลิง อี้หรานคิดว่าพฤติกรรมของอี้ จิ่นหลี ในตอนนี้เหมือนเป็นเด็กเล็ก ๆ เขาเหมือนเด็กที่กำลังจับของเล่นล้ำค่า เธอเป็นของเล่น หลิง อี้หรานยกมือขึ้นและกอดอี้ จิ่นหลีกลับอย่างนุ่มนวล ในขณะที่เธอวางมือรอบตัวเขา ร่างกายของเขาก็สั่นเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานเสียงทุ้มต่ำของเขาก็ดังขึ้นในหูของเธอ “ผมชอบวิธีที่พี่กอดผมนะพี่สาว พี่จะกอดผมอีกหน่อยไหม?” น้ำเสียงของเขาเป็นที่รักใคร่ เธอไม่สามารถปฏิเสธได้ “ได้สิ” เธอตอบในขณะที่ยังคงกอดเขาไว้ เธอปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างเงียบ ๆ ... ... เช้าวันรุ่งขึ้น ชิน เหลียนอีมาถึงทางเข้าของคฤหาสน์อี้ตรงเวลาที่นัดกันไว้ อย่างไรก็ตามนอกจากชิน เหลียนอีแล้ว ไป๋ ทิงซินก็มาด้วยเช่นกัน เขาเป็นคนขับ รถที่เขาขับคือรถราคาถูกของชิน เหลียนอี ไป๋ ทิงซินและอี้ จิ่นหลีจ้องมองหน้ากันที่ประตูคฤหาสน์อี้ ในขณะที่ชิน เหลียนอีได้เริ่มลากหลิง อี้หรานไปที่ด้านหลังของรถเพื่อที่พวกเขาจะได้พูดคุยกันอย่างอิสระ
หลังจากที่ไป๋ ทิงซินทำสิ่งนี้และบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอก็ยกย่องไป๋ ทิงซินอย่างมาก แน่นอนหลังจากยกย่องเขา ไป๋ ทิงซินก็ใช้ประโยชน์จากเธอ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้การถูกไป๋ ทิงชิน เอาเปรียบ เธอไม่ได้รังเกียจแต่เธอกลับสนุกกับมัน ชิน เหลียนอีเคยวิเคราะห์ตัวเองมานานแล้วว่าทำไมเธอถึงทำตัวแบบนั้น ในที่สุดเธอก็สรุปได้ว่าอาจเป็นเพราะใบหน้าของไป๋ ทิงซิน ท้ายที่สุดรูปลักษณ์ของเขาก็เหมือนกับถ้วยชาของเธอ เธอหมกมุ่นอยู่กับรูปลักษณ์มากจนยากที่เธอจะไม่ได้รับผลกระทบ ผู้คนไม่ได้ต่างอะไรจากสัตว์ ที่มองเห็นและได้กลิ่นอายของชายสองคนที่มองหน้ากันนอกรถนั่นช่างไม่กลมกลืนเหมือนของผู้หญิงสองคนที่อยู่บนรถ “ผมไม่ได้คาดหวังว่าคุณจะไปกับเราในวันนี้ คุณนายน้อยแห่งตระกูลอี้” ไป่ ทิงซิน กล่าว “อี้หรานเป็นแฟนของฉัน แน่นอนว่าฉันจะต้องไป ฉันเป็นห่วงเธอ” อี้ จิ่นหลีตอบเบา ๆ “อย่างนั้นเหรอ? ดูเหมือนว่าคนที่เสียชีวิตในคดีของหลิง อี้หราน คือคู่หมั้นของคุณ ห่าว เหมยยวี่ คุณนายน้อยแห่งตระกูลอี้ คุณเชื่อว่าหลิง อี้หรานมีความผิดหรือบริสุทธิ์?” ดวงตาของอี้ จิ่นหลีเปลี่ยนไปอย่างเย็นชา สายตาของเขาจ้อ